ควบสิงห์คะนองนา พาเสียวเลี้ยวชมทุ่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/613000

 

ว่างจากงานหว่านไถ แทนที่จะ “ร้อย มาลัยใบข้าวห้อยคอสาวจำปา” อย่างเพลงลูกทุ่ง นายสมบุญกลับนำรถอีแต๋นมาบริการพานักท่องเที่ยวชมนาข้าว

รถ “อีแต๋น” หรือ “อีแต๊ก” หรือ “สิงห์คะนองนา” แปลกถิ่นก็แปลกคำเรียกขาน ใช้งานได้หลายอย่างทั้งต่อผาลไถนา ต่อกระบะบรรทุกพืชผลทางการเกษตร และยังบรรทุกคนได้ด้วย แต่เมื่อนำมาบรรทุกนักท่องเที่ยวชมท้องนาแล้วเป็นอย่างไร “นักท่องเที่ยวชอบมากครับ ไม่ว่าจะชมสวน และชมนา” นายสมบุญมือควบสิงห์คะนองนายืนยัน

นายสมบุญ สวัสดิ์จุ้น อายุ 63 ปี ชาวบ้านหมู่ 1 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นักควบสิงห์คะนองนามือหนึ่งของหมู่บ้าน เสริมอีกว่า “เมื่อก่อนก็ใช้ขนข้าวเป็นกำๆมานวด ต่อมาใช้ขนข้าวฟ้อน เมื่อมีรถรูดข้าวเราก็ใช้รถรูดแทน รูดเสร็จแล้วก็ใช้รถนี่แหละเข็นข้าวเปลือกเข้าบ้าน”

ครั้นคณะกรรมการหมู่บ้าน กรมส่งเสริมการเกษตร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จับมือกันเปิดเรือกสวนไร่นาให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมเพื่อหารายได้เสริม ชาวบ้านหมู่ที่ 1 ตำบลศาลายาสำรวจพื้นที่แล้วพบว่า มีนาข้าวปลูกอย่างต่อเนื่อง แถมยังมีเรือกสวนสวยงาม จึงพร้อมใจกันเปิดทุ่งให้คนเที่ยวชม

“เมื่อนักท่องเที่ยวเข้าชม พอดีท้องนามันไกล เราเห็นว่ารถอีแต๊กมันว่างอยู่ แม้มันจะใช้สำหรับงานไร่งานนา แต่มันเป็นของแปลกสำหรับคนเมืองและต่างชาติ เราจึงนำเสนอให้ลองนั่งดู” นายปทุม สวัสดิ์นำ อายุ 83 ปี หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญบอก

ปรากฏว่า “นักท่องเที่ยวชอบ เขาบอกว่ามันหวาดเสียวดี”

หวาดเสียวอย่างไร ลองตีตั๋วนั่งดู ค่าบริการรอบละ 80 บาท นั่งได้ประมาณ 10 คน สิงห์คะนองนาค่อยๆเคลื่อนตัวจากท่าไปอย่างช้าๆ ผ่านเรือกสวนร่มรื่น มีทั้งกล้วยกำลังอวดปลี มะม่วงกำลังออกผล ขนุนบางต้นดกจนกิ่งแทบรับน้ำหนักไม่ไหว ระหว่างสิงห์คะนองนาแล่นไปบนทางดินริมสวน แรงกระแทกกระทั้นมีอยู่ทุกขณะจิต แต่ความร่มรื่นของสวนและความงามของดอกไม้ข้างทาง ช่วยปลุกให้ตื่นเต้นได้ไม่น้อย

พ้นเรือกสวนก็เข้าท้องทุ่ง กอข้าวเขียวขจีเต็มท้องนา ไกลออกไปมีหุ่นไล่กานิ่งอยู่ในแปลงนาเหมือนคนมั่นอยู่ในอุเบกขา ไม่ได้สนใจไยดีอะไรกับสิ่งรอบกาย ผืนนาแท้จริงเป็นของ “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จัดสรรที่ทำกินให้ราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ.2518 โดยมีข้อแม้ว่า ต้องทำการเกษตรเท่านั้น ที่ดินโอนให้ทายาททำมาหากินต่อได้ แต่ขายเป็นเชิงพาณิชย์ไม่ได้ จำนวนที่ดินมีทั้งหมดประมาณ 3,000 ไร่ อยู่ในพื้นที่ปกครองของอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม

ขณะสายตาแต่ละคู่เพลินอยู่กับท้องทุ่ง สนุกอยู่กับการถ่ายภาพเสียงลุงสมบุญก็ดังขึ้น “ระวัง”

สิ้นเสียงลุงเร่งเครื่องแล้วตีโค้งชนิดลืมวัยของตัวเอง ทำเอาเสียงสุภาพสตรีเผลอลืมคำว่า “สุภาพ” ไว้ชั่วขณะ อุทานคำควรพูดในที่ลับๆออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เลยโค้งใจหายใจคว่ำไป สิงห์คะนองนาก็ควบตะบึงเลียบท้องนาไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลันมีเสียงอุทานเพราะความงามของท้องทุ่งดังมา

ครั้นถึงโค้ง ลุงสมบุญก็ทำเอาหวาดเสียวไปตามๆกันอีก ก็จะไม่ให้เสียวได้อย่างไร นอกจากลุงจะตีโค้งอย่างคะนองนาแล้ว ยังปล่อยมือจากแฮนด์รถอีแต๋นอีกด้วย จังหวะการเหวี่ยง ปล่อย และตะปบแฮนด์รถทำได้อย่างคล่องแคล่ว แม่นยำ จนเราทึ่งไปตามๆกัน

“เราขับชำนาญอยู่แล้ว แต่กว่าจะขับให้นักท่องเที่ยวชมได้ ผมต้องฝึกมาเป็น 10 ปี แรกๆก็ขับได้แต่ช้าๆ ตีโค้งเร็วๆทำให้หวาดเสียวไม่ได้ ถึงอย่างนี้ก็เถอะ เราก็ต้องเผื่อพลาดไว้ด้วย ต้องกะพื้นที่ให้เหลือไว้นิดๆ กันพลาด” ลุงสมบุญกล่าวอย่างอารมณ์ดี

หลักการควบอีแต๋นของลุงสมบุญคือ ขาไปให้นักท่องเที่ยวละเลียดธรรมชาติ จึงขับช้าๆ แต่พอขากลับจะเร่งเครื่องแรง ตีโค้งให้หวาดเสียว เพื่อเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ เมื่อถามว่าเคยพลาดหรือไม่ ลุงยืนยันว่า “ไม่เคย”

แม้จะอายุ 63 ปีแล้ว แต่ลุงสมบุญยังคล่องแคล่ว ควบสิงห์คะนองนาทะยานไปชนิดไม่มีใครมาเทียบเทียมได้ จึงอดถามไม่ได้ว่า เตรียมมือสำรองไว้แล้วหรือยัง คำตอบคือ “ยัง” แม้จะเป็นคำสั้นๆ ซื่อๆ แต่ก็ทำเอาเราหลายคนอึ้งไปตามๆกัน

การบริการนักท่องเที่ยว ผู้ใหญ่มนูญ นราสดใส อายุ 56 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลศาลายา บอกว่า เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 แต่ตอนแรกๆ ยังไม่ได้ทำเป็นเรื่องเป็นราว มาเริ่มจริงๆ เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2548

“ช่วงแรกๆเราไม่ได้งบประมาณที่ไหนมาสนับสนุน เราชาวบ้านร่วมกันคิดร่วมกันทำ จัดรายการทัวร์ทั้งลงไปดูสวน นา กล้วยไม้ และนาบัว เราได้รับการสนับสนุนภายหลัง ทำให้เราได้มีการอบรมคนขับเรือ และชาวบ้านก็ได้วิทยากรมาเป็นผู้อบรมเพื่อบริการนักท่องเที่ยว”

สำหรับขั้นตอนการ “ทัวร์ทุ่ง” เริ่มจากเข้าไปบ้านลุงสมบุญ จ่ายค่าทัวร์รอบละ 80 บาท ในจำนวน 1 รอบนั้นนั่งได้ประมาณ 8-10 คน ระหว่างรอรถวนมารับ เจ้าของบ้านจัดน้ำเย็นๆมาให้ดื่ม พร้อมอาหารตามฤดูกาล

“อย่างวันนี้เรามีฝรั่ง มะม่วง ส้มโอ ทั้งหมดเป็นผลไม้ที่เรามีอยู่แล้ว มะม่วงหมดเราก็อาจจะเอาส้มเขียวหวาน หรือผลไม้อื่นมาแทน เรียกว่าสวนเรามีอะไร คนที่มาเที่ยวก็ได้รับประทานอย่างนั้น ส้มโอเราก็มีทองดี และขาวน้ำผึ้งอร่อยมากนะ”

เมื่อถามว่า ชาวต่างชาติรู้ได้อย่างไร เห็นทยอยกันมาแทบไม่ขาดสาย ผู้ใหญ่บอกว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 รายการต่างๆเข้ามาดู และนำเรื่องราวไปประชาสัมพันธ์ “เราเชื่อมกับการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย และบริษัททัวร์ต่างๆด้วย อย่างเมื่อคนเดินเข้ามา เจ้าของบ้านจะดูว่า มีอะไรบ้างก็จัดเตรียมมาให้รับประทาน แล้วก็มีการให้ความรู้เรื่องสวน พาเดินชมสวนถ้าต้องการ”

ขณะอยู่บน “สิงห์คะนองนา” นักท่องเที่ยวจะได้ฟังลุงสมบุญอธิบาย แต่ถ้าเดินไปชมสวน คนอธิบายคือนางสาวจงดี เศรษฐอำนวย หรือ “ป้าแจ๋ว” ผู้มีภูมิรู้เรื่องสวน และยังเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปผลไม้ต่างๆ “เราสนุกเมื่อมีคนเชิญไปเป็นวิทยากรที่อื่นๆด้วย ได้พบปะคนมาก และภูมิใจที่ได้ทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง”

บริการ “สิงห์คะนองนา” คือการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ชาวบ้านนำเอา “สิ่งที่มีอยู่แล้ว” มาให้บริการ แม้จะบริการแบบชาวบ้าน แต่ก็สร้างความประทับใจให้ทั้งชาวไทยและต่างชาติ

น่าจะเป็น “ต้นแบบ” หนึ่งของการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทย.

 

มะละกอคั่นมะนาว ผุดรายได้สองเด้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/612558

 

บนพื้นที่ 116 ไร่ บ้านลำเหนือ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ของศักดิ์ดา เฮ้งสมบูรณ์ เกษตรกรผู้ไม่เคยหยุดคิด มีจุดน่าสนใจที่ปลูกมะละกอคั่นด้วยมะนาวแบบยกร่อง ล้อมรอบไปด้วยน้ำ ปลูกต้นสนรอบพื้นที่เป็นรั้ว ถือเป็นชัยภูมิที่ดีกันลมกันแดดให้กับมะละกอ แถมปลูกหมากไว้ริมบ่อเป็นร่มเงาอีกชั้น เมื่อหมากโตก็ขายผลได้อีกทอด

“เดิมเคยปลูกส้มมาหลายปี จนเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว แมลงเริ่มดื้อยา ผลผลิตเริ่มน้อยลง ขาดทุนไปกว่า 10 ล้านบาท จึงหันมาปลูกมะนาวแป้นรำไพ ก็เริ่มฟื้นตัวกลับมา ครอปนี้จึงเริ่มคิดปลูกมะละกอเป็นพี่เลี้ยงมะนาว โดยเมื่อมะละกอโต นอกจากจะเป็นร่มเงาให้มะนาวแล้ว ยังพบโดยบังเอิญว่า มะนาวจะแข่งกันโตกับมะละกอ เมื่อมะละกอให้ผลผลิต ก็โค่นทิ้ง แล้วมะนาวก็จะเป็นพุ่มสูงใหญ่พอดี พร้อมที่จะให้ลูกไม่นานนัก”


ศักดิ์ดา เล่าถึงที่มาที่ไปของการปลูกมะละกอคั่นมะนาว ในพื้นที่ปลูกมะละกอ 14,000 ต้น มะนาว 4,600 ต้น รอบคันบ่อปลูกหมาก 4,600ต้นเริ่มปลูกพร้อมกันทั้งมะละกอและมะนาว โดยมะละกอปลูกห่างกัน 2.5 เมตร ระหว่างกลางแต่ละแถวปลูกมะนาว 1 ต้น

ปลูกแล้ว 10 วัน จึงเริ่มให้ปุ๋ยมะละกอสูตร 20-8-16 ให้ 2 ครั้ง ทุก 10 วัน จากนั้นทิ้งไว้ 15 วัน เปลี่ยนมาเป็นปุ๋ยสูตรเสมอ 16-16-16 ให้ 15 วันครั้ง…หลังจากให้ปุ๋ยสูตรนี้แล้วให้สังเกต หากเติบโตไม่ค่อยดีให้เปลี่ยนสูตรปุ๋ยเป็น 25–7–7 ต่อไปยันโต แต่ถ้าจะเร่งให้มะละกอออกดอกและให้ต้นเตี้ยเพื่อผลผลิตเพิ่มและเก็บเกี่ยวสะดวกขึ้นให้ใช้ปุ๋ยสูตร 8–24–24 (ไม่แนะนำให้ใช้กับมะนาว เพราะจะเร่งดอกเร็วเกินไป ผลผลิตจะได้ไม่เต็มที่เมื่อเก็บเกี่ยว)


ส่วนมะนาวถือเป็นพืชที่รับปุ๋ยได้เกือบทุกสูตร เพราะฉะนั้นในช่วงยังไม่ตัดมะละกอทิ้ง ก็ให้ปุ๋ยสูตร 16-16-16 แบบมะละกอได้เลย แต่ให้แค่เดือนละครั้ง

มาถึงตรงนี้ศักดิ์ดาแนะถึงการดูแลมะนาวช่วงแล้ง ต้องให้น้ำแต่เช้าตรู่ไม่เกิน 07.00 น. เพราะไม่ร้อน ดินชุ่มชื้นกว่าช่วงสาย ควรมีฟางมาคลุมโคน รักษาความชื้น ไม่ให้รากร้อน ต่อเมื่อ ฝนตกก็ให้ปุ๋ยสูตรเดิม สลับกับสูตร 21–7–14 สลับกัน 2–3 ครั้ง จนให้ผลผลิต


เมื่อมะละกออายุได้ 8 เดือน จะเริ่มเก็บลูกครบ 2 ปี ตัดมะละกอทิ้ง มะนาวก็พร้อมออกลูก ข้อควรระวังคือ ถ้ามะนาวออกดอก ออกลูกก่อน หน้านี้ ให้เด็ดทิ้งทั้งหมด เพื่อให้ได้ผลผลิตอย่างเต็มที่ และเมื่อมะนาวให้ผลผลิตน้อยลง (ราว 10 ปี) ก็ยกแปลงใหม่ ไถกลบ ปลูกมะละกอคั่นด้วยมะนาวครอปต่อไป

พื้นที่ 116 ไร่ มะละกอ 14,000 ต้น ให้ผลผลิตประมาณ 1,000 ตัน หรือ 1 ล้านกิโลกรัม สำหรับมะนาว 4,600 ต้น เก็บครั้งแรกปีที่ 2 ได้ แค่ต้นละ 1,000 ลูก รวมแล้ว 4 ล้านกว่าลูก แต่ปีที่ 3-10 จะได้ต้นละ 3,000 ลูกต่อปี…รวมแล้วเป็นเงินเท่าไร เชิญคิดคำนวณกันไปเล่นๆก็แล้วกัน


เกษตรกรสนใจอยากเรียนรู้ประสบการณ์จริงจากเจ้าของสวน 14 พ.ค.นี้ สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จัดทริปทัวร์พาไปดูให้เห็นกับตา สอบถามได้ที่ 08-5074-5055.

 

“พริกขี้หนู”แก้ลมป่วง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 28 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/611826

 

สมัยก่อน คนเป็นโรคลมชักหรือที่ชาวพื้นบ้านนิยมเรียกในยุคสมัยนั้นว่า โรคลมป่วง โดยระบุสาเหตุไม่ได้ เมื่อใครเป็นแล้วมักจะเกิดขึ้นได้อีกแบบไม่รู้ตัว ซึ่งหมอยาพื้นบ้านในยุคนั้นมี วิธีแก้หรือรักษาได้คือ เอา “พริกขี้หนู” แบบแห้ง กับพริกไทยขาวแห้ง ที่บดใส่โหลแก้วเอาไว้ตักอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะเท่ากันชงกับน้ำร้อนให้ผู้กำลังมีอาการ โรคลมป่วงกินอาการจะดีขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อ โดยในปัจจุบันหมอยาแผนไทยพัฒนาเอาผงป่นทั้ง 2 อย่างบรรจุใส่ในแคปซูลให้ผู้ป่วยกินครั้งละ 1 แคปซูลได้แล้ว และยังสามารถกินก่อนอาหารขณะไม่มีอาการครั้งละ 1 แคปซูลได้ กินติดต่อกันประมาณ 1-2 อาทิตย์ จากนั้นก็หยุดกิน 2-3 อาทิตย์ จึงกินต่อจะช่วยรักษาอาการ โรคลมป่วงให้หายขาดได้และเลิกกินได้เลย

พริกขี้หนู หรือ CAPSICUM FRUTES CENSLINN. ชื่อสามัญ BIRD CHILLI อยู่ในวงศ์ SOLANACEAE มีถิ่นกำเนิดอเมริกาเขตร้อน เป็นไม้ล้มลุก สูง 0.3-1.2 เมตร กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่ ปลายแหลม โคนสอบสีเขียวสด

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ 2-5 ดอก ออกตามซอกใบ และปลายกิ่ง ก้านดอกยาวประมาณ 1.5-2 ซม. กลีบเลี้ยงเชื่อมกัน ปลายตัดหรือเป็นหยัก 5 หยัก จะยังคงอยู่จนกระทั่งดอกกลายเป็นผลกลีบดอกโคนเชื่อมกัน ปลายแยกเป็น 5 กลีบ สีขาว ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. มีเกสรตัวผู้ 5 อัน “ผล” รูปกลมยาวปลายเรียวใหญ่หรือยาวได้มากน้อยตามแต่ละสายพันธุ์ที่มีหลากหลายในปัจจุบัน ผิวเป็นมัน ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีส้มหรือสีแดง เมล็ดแบนสีเหลืองอ่อนจำนวนมาก รสชาติ “พริกขี้หนู” เผ็ดร้อน มีดอกและติดผลตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ประโยชน์ ผลช่วยเจริญอาหาร ลดอาการปวดบวม ไขข้ออักเสบ ส่วน “พริกไทยขาว” หรือ PIPER NIGRUM LINN. แก้ลมอัมพฤกษ์ดีมากครับ.

“นายเกษตร”

 

อ.ต.ก.ร่วมใจช่วยภัยแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 27 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/611160

 

ภัยแล้งเกษตรกรส่วนหนึ่งปรับเปลี่ยนปลูกพืชทนแล้ง ขณะที่อีกส่วนแม้ยังพอมีน้ำทำการเกษตรอยู่บ้าง แต่ปัญหาเดิมๆยังคงตามหลอกหลอนเกษตรกร…หาตลาดไม่ได้

เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆที่ประสบปัญหาภัยแล้ง เพิ่มช่องทางในการจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตร องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) โดย ธัญลักษ์ เจริญปรุ รักษาการแทน ผู้อำนวยการ อ.ต.ก. จึงได้จัดโครงการ “อ.ต.ก.ร่วมใจช่วยภัยแล้ง” ระหว่างวันที่ 28 เม.ย.-1 พ.ค.

โดยเปิดโอกาสให้เกษตรกรตัวจริงเสียงจริงนำผลผลิตทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูปมาจำหน่ายกันแบบฟรีๆกว่า 130 บูธ

ในวันงาน 4 วัน นอกจากผู้เข้าร่วมงานจะได้เลือกซื้อเลือกชมร้านค้าผลผลิต/ผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรจากทั่วทุกภูมิภาคของไทยกว่าร้อยร้านค้า รวมทั้งจัดแสดงผลไม้ อ.ต.ก. Selected ซึ่งเป็นผลไม้คัดเกรดส่งออกผ่านการรับรองโดย อ.ต.ก.แล้ว

ยังจะได้พบกับกิจกรรมเสวนา อันจะนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง อาทิ การปลูกเมล่อนบนดาดฟ้า ทางเลือกใหม่เกษตรกรไทย ที่สามารถทำได้แม้แต่ในคอนโด โดยเจ้าของสวนโดยตรง

การปลูกมะนาว ใช้น้ำน้อย 1 ต้น 2,000 ลูก จากเจ้าของสวนวโรชา เมืองอ่างทอง ที่บอกคำเดียว “ทำได้รวยแน่ๆ”

Super Market กล้วยไม้ เทรนด์ใหม่การค้ากล้วยไม้ไทย โดยแอร์ออคิด ร้านกล้วยไม้ระดับโลก ที่มีอะไรดีๆมาบอกกล่าวเล่าความรู้แก่คอกล้วยไม้

สุดท้าย กระถางต้นไม้จากยางพารา ผลิตภัณฑ์จาก 3 จ.ชายแดนใต้ อีกหนึ่งแนวทางเพิ่มมูลค่ายางพาราไทยในภาวะยางราคาตกต่ำ

และพลาดไม่ได้กับกิจกรรมสาธิตฝึกอาชีพ หลักสูตรการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ อาทิ ไข่เค็มกะทิสดดินสอพอง การทำน้ำสลัดซีฟู้ดและการทำสลัดโรล การแปรรูปถั่วเขียว การทำวุ้นสายรุ้ง และการสาธิตวิธีแกะสลักและร้อยมาลัย

เกษตรกรสนใจนำผลิตภัณฑ์เข้าร่วมจำหน่ายในงาน ติดต่อได้ที่ประชาสัมพันธ์ อ.ต.ก. โทร. 0-2279-2080-9.

สะ–เล–เต

 

โมเดลสู้แล้งอีสานถึงตะวันออก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/611205

 

ผลไม้ภาคตะวันออก…กำลังทยอยออกสู่ตลาด เมื่อเจอกับ

ปัญหา “ภัยแล้ง”…อยู่ในภาวะน่าเป็นห่วงอย่างหนัก ต้องแข่งกับเวลา เพราะถ้าต้นตาย…จะเสียหายรุนแรงมาก

สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร บอกว่า ไม้ผลเป็นพืชที่อายุยาว ปลูกแล้วกว่าจะเริ่มออกดอกให้ผล บางชนิดต้องใช้เวลา 5 ปี…7 ปี…มังคุด 8 ปีกว่าจะได้ ทุเรียนอย่างน้อยก็ 6 ปี ถ้าตายจะเสียหายมาก เพราะกว่าจะฟื้นฟูได้ต้องใช้เวลาอีกหลายปี

“กรมฯให้ความสนใจดูแลเป็นพิเศษอย่างเช่น ภาคตะวันออก เขตปลูกไม้ผลประเทศไทย ปีนี้กระทบแล้งมากๆมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ต้องหาซื้อน้ำมารดต้นไม้ บางพื้นที่ก็ไม่มีให้ซื้อ ชาวบ้านก็ดิ้นรน”

พยายามให้คำแนะนำทางวิชาการ เช่น ให้ข้อมูลดูความสามารถในการอุ้มน้ำของดิน เขตรากพืช ถ้าเนื้อดินละเอียดอุ้มน้ำได้ดีกว่าเนื้อดินหยาบหรือดินทราย อาจต้องสร้างวิธีการให้เกษตรกรเข้าใจ

ประการต่อมา…พยายามทำความเข้าใจว่า “อุณหภูมิสูง…ความชื้นในอากาศต่ำ…ลมแรง จำเป็นต้องให้น้ำบ่อยครั้งขึ้น หรือแม้กระทั่งตจการจัดการสวน ในการไว้ผลไม้ต่อต้น”

ถ้าหากไว้ลูกมากเกินไป อัตราความต้องการน้ำก็จะยิ่งมีมากขึ้น ฉะนั้น…ในช่วงวิกฤติอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ พี่น้องเกษตรกรสวนผลไม้ปลูกทุเรียนอยู่…ถ้าจะต้องรักษาต้นเอาไว้ก็อาจจะต้องเอาลูกออกบางส่วนไม่ให้แน่น จนมีความต้องการน้ำสูง บางสวนจึงอาจต้องตัดทุเรียนออกสัก 30 …40 เปอร์เซ็นต์

ถัดมา…แนะนำให้เกษตรกรเปลี่ยนวิธีการใช้น้ำ…จากที่ใช้แบบฟุ่มเฟือย ปล่อยน้ำไหลไปทั้งผืนเลย ก็เปลี่ยนระบบน้ำหยด หัวน้ำ…สปริงเกอร์ นอกเหนือจากนั้นก็ให้เปลี่ยนเวลาให้น้ำ แทนที่ให้กลางวันก็เป็นช่วงกลางคืน ลดอัตราการสูญเสียจากการระเหย ที่สำคัญ…ไม่ต้องตัดหญ้าโคนต้นผลไม้ เพราะจะเสียน้ำได้ง่าย และเสริมด้วยวัสดุคลุมดินที่หนาแน่นพอสมควร คลุมโคนต้นเอาไว้เพื่อรักษาความชื้น อาจจะใช้ใบพืช ต้นเก่า โคนต้น…ไม่ควรเปิดโล่ง

ประเด็นต่อมา…การแก้ปัญหาภัยแล้ง การเข้าไปช่วยให้มีอาชีพเสริม ยกตัวอย่างภาคอีสาน ที่จังหวัดขอนแก่น…ร้อยเอ็ด ในพื้นที่อาจจะมีน้ำไม่มากก็เปลี่ยนวิธีการปลูก เข้ามาร่วมทำการเกษตรแปลงรวมในพื้นที่ 10 ไร่ ก็แบ่งกันทำคนละงาน สองงาน สามงาน จัดการแบ่งพื้นที่กันแล้วแต่ความสามารถ…ทำท้องร่อง ปล่อยปลาเลี้ยงเอาไว้ด้วย แล้วก็ดึงแหล่งน้ำเข้ามาปลูกผักอายุสั้น การจัดการศัตรูพืชก็ไม่ให้มีการใช้สารเคมี ใช้ไส้เดือนฝอยคุมศัตรูพืช

น่าสนใจว่า…กลุ่มที่รวมกันเฉพาะกิจไปได้สวย ผลิตผัก…สู้แล้ง ส่งขายได้ มีรายได้ดีทีเดียว

สมชาย บอกอีกว่า อีกโครงการทำกับวัดทุ่งกุลาเฉลิมพระเกียรติฯ หลวงพ่อมีที่ว่าง 21 ไร่ ก็ขอพื้นที่มาทำโครงการ…ด้วยปัญหาทุ่งกุลาพอถึงหน้าแล้งทำอะไรไม่ได้เลย ต้องหนีออกมาทำงานที่อื่น รับจ้าง แต่ด้วยความมั่นใจว่า ถ้ามีน้ำ มีการจัดการที่ดีเราทำได้แน่ ก็เลยลองใช้ที่วัดแบ่งคนละงาน ยกร่อง ใช้น้ำวัดที่ใส่แท็งก์ที่มีไม่มาก

วางท่อจัดการระบบให้ดีๆ เริ่มต้นจากปลูกพืชผักง่ายๆ ผักบุ้ง เย็นก็มารดน้ำ ตัดผักรอส่ง…ติดต่อขายส่งไปยังห้างสรรพสินค้า “สองเดือนที่ผ่านมา…ไม่น่าเชื่อว่า เกษตรกรสามารถทำรายได้กว่าเดือนละ 5,000 บาท ในยามแล้งจัดขนาดนี้ถือเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลยทีเดียว”

ภาพใหญ่…การแก้ปัญหาที่ผ่านมา ในบทบาทกรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินการแก้ปัญหา “ภัยแล้ง” ตามนโยบายรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งลดพื้นที่การปลูกข้าว …หันมาปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยกว่ากลุ่มพืชตระกูลถั่ว… ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ที่ดำเนินการมาล่วงหน้า เตรียมพันธุ์ ให้ใช้ได้ทันฤดูกาล ตั้งแต่ 25 พฤศจิกายนปีที่แล้ว…

“รอปลูกเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จในเดือนธันวาคม…ขณะนี้กำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ ได้ผลผลิตออกมาแล้วตามสมควร ในบางพื้นที่ก็ได้ผลผลิตค่อนข้างดี บางพื้นที่อาจจะมีปัญหาบ้างกระทบแล้ง หรือว่าในช่วงมกราคมอาจจะกระทบหนัก เพราะถั่วเขียวเจอกับอากาศหนาวเย็น อาจจะมีกระทบบ้าง…แต่ในภาพรวมคิดว่าได้ผลดี”

เช่น ถั่วเหลือง 400 กว่าราย ได้ผลผลิตค่อนข้างดี…ถั่วเขียว 212 ราย …ถั่วลิสง 144 รายที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ กลุ่มที่สมัครใจเมื่อได้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์แล้วจะคืนกลับมาใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ผลิตต่อเนื่องต่อไปเรื่อยๆ

ส่วนที่เหลือ กลุ่มเกษตรกรที่ผลิตเอง ขายถั่วเอง…1,113 ราย พื้นที่ 1,970 กว่าไร่ ได้ผลผลิตก็จะขายตามราคาท้องตลาด ก็เป็นที่พอใจของพี่น้องเกษตรกรเช่นกัน

มองไกลต่อเนื่องเมื่อผ่านวิกฤติภัยแล้งไปแล้ว ก็ต้องเตรียมการเข้าสู่ “ฤดูฝน”…ความพร้อมด้านปัจจัยการผลิต เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาเคมีที่ต้องใช้ในแปลง เมื่อมีฝนปุ๊บก็เพาะปลูกได้ทันที

อธิบดีสมชาย ย้ำว่า การควบคุมมาตรฐาน การจำหน่ายปัจจัยการผลิต ต้องเข้มงวด บริษัท ห้างร้านที่จะขายของให้พี่น้องเกษตรกร ที่ผ่านมากรมฯให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก เข้าไปตรวจสอบใกล้ชิด นับตั้งแต่การนำเข้า สุ่มตรวจตามศูนย์จำหน่าย ร้านค้ามากกว่า 12,800 ครั้ง

“ตรวจแล้วก็เก็บตัวอย่างกลับมาเพื่อตรวจสอบว่าเป็นปุ๋ยปลอมไหม… สารเคมีมีคุณภาพหรือเปล่า หรือว่าด้อยคุณภาพ นอกเหนือจากนั้น…เมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรต้องเตรียมก็เข้าไปเก็บตัวอย่างเพื่อดูว่ามีมาตรฐานจริงๆ”

“ปุ๋ย”…ปีหนึ่งเรานำเข้ามากว่า 5 ล้านตัน มีมูลค่า 50,000-60,000 ล้านบาท ปีที่แล้วนำเข้า 4.6 ล้านตัน…มูลค่า 5.6 หมื่นล้านบาท ถือว่าต่ำสุด…สูงสุดในปี 2555 นำเข้า 5.3 ล้านตัน…มูลค่า 8.1 หมื่นล้านบาท

“นำเข้าน้อยลง แต่ปริมาณการใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มขึ้น…เป็นทิศทางที่ดี เกษตรกรปรับเปลี่ยนใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น อาจใช้เสริมเป็นอินทรีย์…เคมี ปรับปรุงโครงสร้างของดินให้พืชสามารถดูดธาตุอาหารไปใช้ได้ดี”

ทั้งหมดเหล่านี้นำไปสู่เรื่อง “การลดต้นทุนการผลิต” ที่ถูกต้องที่สุดก็คือใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ถูกต้องที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ เลือกพื้นที่ดิน ปริมาณน้ำที่มีเหมาะสมกับพืช นับรวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสม…ใช้ปุ๋ยตามอัตราส่วนถูกต้องในช่วงเวลาที่เหมาะสม…ตามที่พืชต้องการ

“เหมือนกับเวลาเราจะกินอาหาร อิ่มอยู่จะให้อาหารอร่อยอย่างไรก็ไม่อร่อย กินไม่ลง แต่ถ้าให้เวลาหิว…เวลาที่พืชต้องการ แล้วก็ให้อาหารที่ถูกต้อง ก็สามารถดูดซึมปุ๋ยไปใช้ประโยชน์ เจริญเติบโตได้ดี ถ้าให้เวลาไม่ถูกต้อง…ไม่ใช่เวลาที่ต้องการ ก็จะไม่เกิดประโยชน์ สูญเงินโดยใช่เหตุ”

“เกษตรกรไทย” อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 55 ปี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจจะยุ่งยากกว่า แต่วันนี้ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ถ้ายังทำการเกษตรอยู่แบบเดิมมีแต่จะ “ขาดทุน” ทำข้าว…ทำนา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ที่นาก็ถูกยึดไปเพราะไม่สามารถมีเงินใช้หนี้ เป็นหนี้พอกพูนเพิ่มทุกปี

สมมติว่ามีที่ 15 ไร่…ถ้าทำนาต่อไร่ได้ข้าว 80 ถังต่อไร่ ได้ข้าวเปลือก 12 ตันกว่าเท่านั้น ข้าวราคาตันละ 7,000 บาท ขายได้ 80,000 กว่าบาทเท่านั้น คำถามสำคัญมีว่า…ใน 1 ปีทำนาขายข้าวได้เงินเท่านี้ หักต้นทุนแล้วแทบจะไม่เหลืออะไรเลย กำไรน่าจะไม่เกิน 20,000 บาท แต่ต้องใช้ทั้งปี…จะไหวหรือ

ปรับเปลี่ยนการผลิตสู้ภัยแล้ง ภัยเศรษฐกิจ…พื้นที่ส่วนหนึ่งปลูกข้าว…เอาไว้ยังชีพ อีกส่วนหนึ่งไปทำอย่างอื่นเพื่อก่อให้เกิดรายได้มากขึ้นอย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ทำการเกษตรระยะสั้น 30 วัน…50 วันก็ได้เงินมาใช้จ่ายหมุนเวียน ดำเนินตามแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” …เกษตรกรจะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง

สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ทิ้งท้ายว่า “เกษตรกรไทย”…ต้องทำการเกษตรแบบคิดอย่างมีเหตุมีผล…ไม่ใช่ทำตามๆกันไป.

 

“จำปูน” ไม้ดอกหอมใต้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 27 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/611159

 

ไม้ต้นนี้ พบมีขึ้นตามธรรมชาติมากมายในแถบเทือกเขาบรรทัดทางภาคใต้ของประเทศ ไทย สมัยก่อนนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายเฉพาะถิ่นในบริเวณบ้านมาช้านาน จนทำให้ต้น “จำปูน” ได้ชื่อว่าเป็นไม้ดอกหอมของภาคใต้ และเป็นสัญลักษณ์ของชาวใต้โดยปริยาย ปัจจุบันคนรุ่นใหม่น้อยคนนักจะรู้จักต้น “จำปูน” เนื่องจากค่านิยมปลูกได้ลดน้อยลงไปตาม

กาลเวลา ซึ่ง ต้น “จำปูน” มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ ANAXAGOREA JAVANICA BL. อยู่ในวงศ์ ANNONACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก ต้นสูงเต็มที่ประมาณ 2-4 เมตรเท่านั้น แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบเกือบมน ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีจางกว่า เวลามีใบดกผู้ปลูกตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เป็นพุ่มน่าชมยิ่ง

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามกิ่งก้านตรงกันข้ามกับใบและปลายกิ่ง มีกลีบดอก 6 กลีบ เนื้อกลีบหนาและแข็ง กลีบดอกเรียงซ้อนกันเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาวนวล โคนกลีบดอกเป็นสีเขียว ปลายกลีบสีอ่อนกว่า ดอกมีกลิ่นหอมแรงมาก ดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. มีเกสรตัวผู้และ เกสรตัวเมียจำนวนมาก เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามแปลกตาพร้อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจและประทับใจยิ่ง “ผล” เป็นผลกลุ่ม รูปร่างค่อนข้างกลม ภายในมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก ดอกออกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

ปัจจุบันต้น “จำปูน” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณแผงขายไม้ไทยโครงการ 5 ใกล้ทางออกประตู 3 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกในบริเวณบ้าน 2-3 ต้น เวลามีดอกถูกลมพัดเอากลิ่นหอมโชยเข้าบ้านจะสร้างบรรยากาศเป็นธรรมชาติดีมากครับ.

“นายเกษตร”

 

น้ำหยด..มันสำปะหลัง ระวังโรคที่ไม่คาดฝัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/611352

 

ไม่มีอะไรดีไปหมดหรือเลวไปหมด ทุกอย่างมีทั้งข้อดีข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น เป็นสัจธรรมคู่โลกใบนี้…ส่วนใครจะนำข้อดีไปใช้ได้มากกว่ากัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรู้เท่าทันแค่ไหน

ระบบน้ำหยดที่กำลังได้รับความนิยมตาม ไร่มันสำปะหลังก็เช่นกัน น่าจะมีแต่ดี…ไม่มีข้อเสีย


“ภาวะภัยแล้งปีนี้ สิ่งที่เราพบในหลายพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง ระบบน้ำหยดทำให้ โรครากเน่าหัวเน่า และ โรครากปม ระบาดมากขึ้น ทั้งที่โรคนี้จะพบการระบาดเฉพาะในหน้าฝน ฤดูแล้งไม่เคยเกิดการระบาดเลย”

ดร.จรรยา มณีโชติ หัวหน้าโครงการวิจัยการ บริหารจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการในมันสำปะหลัง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เผยถึงปรากฏการณ์ใหม่ที่มากับน้ำหยด

แต่ไม่ได้หมาย ความว่า ระบบน้ำหยดไม่ดี ใช้ไม่ได้ เพียงแต่ระบบน้ำหยดทำให้ เชื้อราไฟท็อปทอร่า ต้นตอของโรครากเน่าหัวเน่า และ ไส้เดือนฝอยชนิดไม่ดี ต้นตอก่อให้เกิดโรครากปม ที่ฝังตัวอยู่ในดินยามหน้าแล้ง เมื่อเจอน้ำหยดเข้าไปมันจะแหวกว่ายเข้ามาขยายพันธุ์ แพร่เชื้อร้ายทำลายต้นมันฯได้ดีกว่าไม่มีน้ำ ส่งผลให้มันสำปะหลังไม่ให้หัวมาขุดขาย


ดังนั้น สิ่งที่เกษตรกรควรรู้ให้เท่าทัน ถ้าใช้ระบบน้ำหยด ต้องรู้จักเลือกพันธุ์ที่ทนต่อ 2 โรคนี้…จากการวิจัย ดร.จรรยา พบว่า พันธุ์
ระยอง 72 เหมาะสมที่สุด

แต่พันธุ์ระยอง 72 มีข้อด้อย…อ่อนแอ ต่อเพลี้ยแป้งสีชมพู ต้องแก้ปัญหาด้วยการนำท่อนพันธุ์แช่น้ำยาป้องกันเพลี้ยแป้งสีชมพูก่อนปลูกก่อนเท่านั้นเอง

ส่วนพันธุ์ระยอง 7 กับ ระยอง 11 ถ้าใช้น้ำหยดไม่ควรปลูก

น้ำหยดไม่เพียงแต่ทำให้ 2 โรคดังว่าระบาดได้ผิดธรรมชาติเท่านั้น…ยังทำให้เมล็ดพันธุ์ เหง้า หัว วัชพืชงอกได้ดีอีกด้วย น้ำหยดตรงไหน วัชพืชงอกตรงนั้น

งอกตรงโคนต้นจะใช้จอบถากถางต้นมันฯท่อน้ำหยดเสี่ยงถูกจอบทำลาย จะใช้มือถอนคงไม่ไหว จะใช้ยาฉีดพ่น ต้นมันฯพลอยตาย…ถ้าไม่ป้องกันกำจัดวัชพืชเติบโตได้เร็วกว่า จะแย่งกินอาหารและน้ำหยดจากต้นมันสำปะหลังไปหมดสิ้น แถมวัชพืชยังเป็นแหล่งพักพิงให้แมลงศัตรูพืชมาทำลายต้นมันฯได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย


ปลูกมันสำปะหลังจะใช้น้ำหยด ต้องป้องกันวัชพืชตั้งแต่เริ่มปลูก ลงท่อนพันธุ์เสร็จให้พ่นยาคุ้มวัชพืชทับลงไปทันที…แต่วัชพืชที่ขึ้นได้ใน
แปลงปลูกมันฯ มีทั้งวัชพืชใบแคบและใบกว้าง ดร.จรรยาแนะให้ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชทั้ง 2 ชนิดไปพร้อมกันทีเดียว เพื่อประหยัดค่าแรง…นำน้ำยา 2 ชนิดมาผสมรวมกัน

แต่ต้องทำเป็นขั้นตอน ให้นำฟูลมิอ๊อกซาซิน 20 กรัม (คุมวัชพืชใบกว้าง) ผสมกับน้ำ 80 ลิตร คนให้ละลายเข้ากันดี จากนั้นถึงนำอะลาคลอร์ 500 ซีซี (คุมวัชพืชใบแคบ) ผสมเติมลงไป คนให้เข้ากันอีกที…ถึงจะนำไปฉีดพ่นคุมวัชพืชได้

ฉีดพ่นทับไปเฉพาะบนร่องแถวปลูกมันฯ ส่วนตรงร่องทางดินไม่ต้อง ไปฉีดให้เปลืองเงิน …เพราะตรงนั้นน้ำไม่มีหยด วัชพืชไม่งอก.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

“ทองพันชั่ง” ผมร่วงติดเชื้อราช่วยได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 26 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/610665

 

เพื่อนใกล้ตัว หลายคนผมร่วงเป็นหย่อมๆหรือเป็นกระจุกๆเป็นหย่อมๆเพิ่งมีอาการใหม่ๆพากันตกอกตกใจกลัวศีรษะล้านก่อนวัยอันควรปรึกษาว่ามีทางช่วยได้หรือไม่ ซึ่งก็อธิบายว่า หากผมร่วง สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อราไม่ใช่เพราะเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างอื่นหรือเกิดจากการให้เคมีบำบัด และเพิ่งมีอาการใหม่ๆ พอมีทางแก้ได้โดยให้เอาใบสด ของต้น “ทองพันชั่ง” จำนวน 1 กำมือตำจนละเอียดใส่น้ำเล็กน้อย

จากนั้น ควักเอาทั้งน้ำและเนื้อพอกบริเวณจุดที่ผมร่วงหรือจะพอกทั้งศีรษะก็ได้ โดยตำพอกตอนค่ำก่อนนอนแล้วใช้ผ้าคลุมไว้ทั้งคืน พอรุ่งเช้าก็เอาผ้าคลุมออกล้างผมด้วยน้ำเฉยๆ ไม่ต้องสระผมทำติดต่อกันทุกวัน 15-30 วัน เชื้อราจะหมดไป ถ้าเส้นผมยังมีรากผมอยู่ยังไม่ตายจะงอกขึ้นได้เหมือนเดิมทุกอย่าง จากนั้นต้องระวังอย่าให้ติดเชื้อราอีก สูตรดังกล่าวใช้ได้ผลมาแต่โบราณแล้ว เพียงแต่จะยุ่งยากเล็กน้อยเท่านั้น

ทองพันชั่ง หรือ RHINACANTHUS NASUTUS (LINN.) KURZ อยู่ในวงศ์ ACANTHACEAE มีถิ่นกำเนิด อินเดีย มาเลเซียและ มาดากัสการ์ เป็นไม้พุ่ม สูง 1-2 เมตร กิ่งอ่อนมักเป็นสันสี่เหลี่ยม ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงกันข้ามกัน เป็นรูปไข่รูปวงรี ปลายและโคนใบแหลม ดอก ออกเป็นช่อที่ซอกใบ กลีบดอกสีขาว โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 2 ปาก ปากล่างมีจุดประสีม่วงแดง “ผล” แห้งแตกได้ ภายในมีเมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีชื่ออีกคือ ทองคันชั่ง หญ้ามันไก่

ประโยชน์ รากบำบัดโรคผิวหนังกลากเกลื้อนผื่นคัน รากและใบมีสาร RHINA CANTHIN และ OXYMETHYLANTHRAQUINONE เป็นยาดับพิษไข้ รากป่นละเอียดแช่เหล้าขาว 1 อาทิตย์ เอาน้ำทาแก้กลากเกลื้อนผื่นคัน ทั้งต้นต้มน้ำเดือดเอาน้ำซักผ้าทำให้ผ้ามีกลิ่นหอมได้ มีต้นขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ– พฤหัสฯ ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

คืบหน้า…กฟก.ลุยแก้หนี้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 26 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/610663

 

เป็นไปตามสัญญา…หลังสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ได้บอร์ดครบทั้ง 3 คณะ เข้ามาแก้ปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกรที่เป็นสมาชิก นายละม้าย เสนขวัญแก้ว ประธานกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร พร้อมคณะทำงานฯ ลงพื้นที่ 9 จังหวัดที่กำลังมีปัญหาเร่งด่วนทันที

ไล่มาตั้งแต่ อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, ชัยนาท ลงพื้นที่ไปเรียบร้อยแล้ว คิวต่อไป อ่างทอง, ลำพูน, ลำปาง, เชียงราย, พัทลุง และเพชรบุรี…ด้วยเป็นพื้นที่มีปัญหา สหกรณ์เจ้าหนี้กำลังเร่งรัดยึดที่ทำกินของเกษตรกรมาขายทอดตลาด

“เราต้องรีบลงพื้นที่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรและสหกรณ์เจ้าหนี้ ว่าทางกองทุนฟื้นฟูจะเข้ามาแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรและซื้อหนี้จากสหกรณ์อย่างแน่นอน พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้เจ้าหนี้ชะลอการบังคับหนี้ไว้ก่อนเป็นเวลา 90 วัน หรือ 3 เดือน นับตั้งแต่ 1 พ.ค. ไปจนถึงสิ้นเดือกรกฎาคม”

นายละม้าย อธิบายว่า สืบเนื่องมาจากการกู้หนี้ของเกษตรกร จากสหกรณ์ส่วนใหญ่จะเป็นการกู้หนี้แบบไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จะใช้บุคคลค้ำประกันแทน แต่กฎหมายในการซื้อหนี้ของกองทุนฯ ได้กำหนดไว้ว่าการซื้อหนี้นั้นจะต้องโอนทรัพย์สินมาเป็นของกองทุนฯ

เมื่อไม่มีทรัพย์สินให้โอนมาเป็นของกองทุนฯ เลยเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แม้ที่ผ่านมา กฟก. จะใช้วิธีโอนบุคคลค้ำประกัน มาช่วยค้ำประกันให้ทางกองทุนฯต่อ แต่ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทักท้วงมาว่าปฏิบัติไม่ถูกต้อง ขอให้ปรับแก้ไขระเบียบให้ชัดเจนเสียก่อนถึงจะทำได้ จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยภายใน 3 เดือนนี้

อีกปัญหาที่ต้องรีบจัดการ หนี้ที่ไม่ได้มาจากการกู้ยืมเพื่อการเกษตร หนี้ประเภทนี้ กฎหมาย กฟก.ไม่สามารถเข้าไปซื้อได้ ทั้งที่ในทางปฏิบัติเป็นที่รู้กันดี ถ้าเกษตรกรจะกู้หนี้ไปทำการเกษตร เจ้าหนี้มักจะไม่ให้กู้หรือ ให้กู้แต่ได้เงินน้อย การทำสัญญากู้เงินจึงระบุไปว่า นำไปซื้อเครื่องจักรกล ซ่อมบ้าน สร้างบ้าน หรือทำธุรกิจ เป็นอีกเรื่องที่ทาง สตง.ได้ทักท้วงมา… จึงต้องขอเวลาแก้ไขระเบียบเหล่านี้ให้แล้วเสร็จใน 3 เดือนไปพร้อมกัน

ประธานกรรมการจัดการหนี้ฯ ยืนยันจัดการได้ทันแน่ เพราะรัฐบาลนี้ยินดีจะช่วยเหลือเกษตรกรเต็มสูบอยู่แล้ว.

สะ–เล–เต

 

วิจัย 4 จุลินทรีย์ทนเค็ม อัพเกรดเป็นปุ๋ยชีวภาพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 26 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/610694

 

เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกแบบทั่วไปจุลินทรีย์ทนเค็มทำให้รากยาวขึ้นอย่างชัดเจน

ดร.ฉวีวรรณ เหลืองวุฒิวิโรจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางดิน กรมพัฒนาที่ดิน เผยถึงการวิจัยนำจุลินทรีย์ทนเค็มมาใช้ประโยชน์ว่า ได้เริ่มลงมือทำการวิจัยดังกล่าวมาได้ราว 1 ปีเศษ มีความก้าวหน้าไปมาก คาดว่าไม่นานนี้ จะมีผลงานเป็นรูปธรรมให้เกษตรกรนำไปใช้ได้ เป็นงานวิจัยที่เริ่มจากการเก็บจุลินทรีย์จากพื้นที่ดินเค็มหลากหลายพื้นที่ นำมาเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อในห้องปฏิบัติการ เติมโซเดียมคลอไรด์ลงไปในเชื้อ เพื่อคัดแยกจุลินทรีย์ตัวที่ไม่ทนความเค็มออกไป ให้เหลือแต่เชื้อที่ทนต่อความเค็มเท่านั้น จากการทดลองทำให้ได้จุลินทรีย์ที่เกิดประโยชน์ในดินเค็ม 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต เป็นจุลินทรีย์ที่สามารถแปรสภาพสารอนินทรีย์ เปลี่ยนรูปแร่ธาตุในดินที่ไม่เป็นประโยชน์ ให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืช เช่น หินฟอสเฟต แร่โพแทสเซียมเฟลด์สปาร์ รวมทั้งธาตุอาหารที่ถูกตรึงในดิน โดยการปลดปล่อยกรดอินทรีย์ละลายฟอสเฟตให้พืชนำไปใช้ประโยชน์เป็นปุ๋ยได้


จุลินทรีย์ผลิตฮอร์โมน สามารถผลิตฮอร์โมน ออกซิน จิบเบอเรลลิน ไซโตไคนิน ช่วยกระตุ้นการงอกของเมล็ดและรากพืช เร่งการเจริญเติบโตของพืช ส่งเสริมการออกดอก และเพิ่มการติดผล ได้แก่ อะโซสไปริลลัม อะโซโตแบคเตอร์ และยีสต์ เป็นต้น

จุลินทรีย์ไรโซเบียม ช่วยตรึงก๊าซไนโตรเจนในอากาศให้อยู่ในรูปสารประกอบไนโตรเจน ซึ่งพืชนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยตรง สามารถทำให้ไรโซเบียมในรากถั่วบางชนิดสามารถทำงาน ร่วมกับไรโซเบียมในรากถั่วอีกชนิดได้ ต่อไปการปลูกถั่วทุกชนิดจะมีไรโซเบียมที่ช่วยปรับปรุงได้เป็นอย่างดี ไม่เหมือนปัจจุบันที่มีถั่วแค่บางพันธุ์เท่านั้นที่ไม่มีไรโซเบียมเพิ่มให้ดิน


จุลินทรีย์ในกลุ่มเชื้อราไมคอร์ไรซา เป็นจุลินทรีย์ที่สร้างเส้นใยรอบรากพืช อาศัยอยู่ร่วม กันกับพืชแบบพึ่งพาอาศัยกันและกัน รากที่มีจุลินทรีย์ กลุ่มนี้ อาศัยอยู่จะช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวรากให้ยาวกว่ารากเดิมเกือบ 10 เท่า ทำให้รากหากินได้ไกลขึ้น หาธาตุอาหารได้มากขึ้น ส่งผลให้พืชมีความแข็งแรงทนเค็มมากขึ้น

ดร.ฉวีวรรณ กล่าวว่า การวิจัยจุลินทรีย์ 4 ชนิดดังกล่าว สามารถนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ปุ๋ยชีวภาพเพื่อประโยชน์ ในการปลูกพืชในพื้นที่ดินเค็มได้เป็นอย่างดี รวมถึงนำไปใช้เพิ่มธาตุอาหารเสริมการเจริญเติบโตของพืชได้ในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นที่ลุ่ม พื้นที่ดอน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมีให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี.