มันมากับพายุฤดูร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 25 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/610280

 

กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีความเสี่ยงเกิดพายุฤดูร้อน พายุฝนฟ้า คะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บ ถี่บ่อยมากขึ้น

น.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มีคำแนะนำแก่เกษตรกรเลี้ยงสัตว์เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

สิ่งแรกที่ควรทำ สำรวจพื้นที่รอบฟาร์ม ตัดแต่งกิ่งไม้ ต้นไม้ให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้หักโค่นมาโดนหลังคาโรงเรือนหรือสายไฟ หากโรงเรือนเลี้ยงสัตว์เป็นโรงเรือนเก่าไม่แข็งแรง ต้องหาไม้ค้ำยันเพื่อป้องกันการพัง และซ่อมแซมหลังคาให้ดี เพื่อป้องกันน้ำฝนที่จะเข้าไปในโรงเรือนได้ ควรปรับปรุงและเสริมความแข็งแรงบริเวณชายคาเพื่อไม่ให้ลมพัดเสียหาย และจัดเก็บอาหารสัตว์ให้มิดชิดไม่ให้โดนฝน

ก่อนที่จะเกิดพายุฝน สภาพอากาศจะร้อนจัด ต้องเตรียมน้ำให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้สัตว์เกิดความเครียด ขณะเดียวกันต้องมีการระบายอากาศที่ดี ในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์แบบเปิดต้องมีผ้าใบป้องกันฝนสาดเข้าโรงเรือน และต้องเพิ่มพัดลมระบายความร้อนให้กับสัตว์

โรงเรือนระบบปิดปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ (อีแวป) ต้องควบคุมการทำงานของพัดลมและเยื่อกระดาษหน้าโรงเรือนให้เหมาะสม เตรียมเครื่องสำรองไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงให้พร้อม สำหรับกรณีไฟดับ

ขณะเกิดพายุฝน ลมพัดรุนแรงทำหลังคาพังเสียหาย พื้นโรงเรือนเปียกชื้น ต้องรีบทำความสะอาดให้พื้นแห้ง ในกรณีเลี้ยงไก่เนื้อ ต้องนำแกลบรองพื้นที่เปียกออก เปลี่ยนแกลบใหม่ทันที เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดแก๊สแอมโมเนีย ที่จะกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของไก่ ส่วนการเลี้ยงสุกรและไก่ไข่ ต้องทำพื้นให้แห้งและสะอาดทันที และหากอาหารสัตว์โดนฝนจนเปียกมาก ไม่ควรนำมาเลี้ยงสัตว์

หลังเกิดพายุฝน ต้องสำรวจความเสียหายของโรงเรือน และดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว หากโรงเรือนพังเสียหาย ต้องรีบย้ายสัตว์เข้าเลี้ยงในโรงเรือนหลังอื่น และเน้นการระบายอากาศที่ดี จัดเตรียมน้ำให้เพียงพอ และให้อาหารตามที่สัตว์กินได้ควรผสมวิตามินละลายน้ำให้สัตว์กิน หลังเกิดพายุฝน 3–5 วัน เพื่อลดความเครียดให้กับสัตว์เลี้ยง.

สะ–เล–เต

 

“สามสิบ” สตรีบุรุษกินดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 25 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/610288

 

สามสิบ เป็นไม้ไทยจำพวกเถาเลื้อยมีรากเป็นเหมือนหัวขนาดใหญ่เป็นกระจุกจำนวนมาก มีชื่อว่า ASPARAGUS RACEMDSUS อยู่ในวงศ์ ASPARAGCEAE ในงานวิจัยทางเภสัชระบุว่า “สามสิบ” มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียเชื้อราคลานกล้ามเนื้อมดลูกสตรี บำรุงหัวใจมีฤทธิ์เหมือนฮอร์โมน “เอสโตรเจน” ยับยั้งเบาหวาน ต้านอาการเม็ดเลือดขาวต่ำ ลดระดับไขมันในเส้นเลือด ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร รากสด ต้มน้ำมีกลิ่นหอมดื่มหรือตำผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนกินเป็นยาบำรุงสําหรับสตรี ภาวะมีบุตรยาก แก้หมดอารมณ์ทางเพศหลังหมดประจำเดือน บำรุงครรภ์ป้องกันการแท้งลูก ผู้ชาย รากสดหรือตากแห้งดองเหล้าขาว 40 ดีกรี จนยาออกดื่มครั้งละ 1 แก้วเป๊กก่อนอาหาร 3 มื้อ เป็นยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรงไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายๆ และที่สำคัญยังบำรุงปอดตับ ลดเบาหวาน แก้โรคคอพอกได้ดีอีกด้วย

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” ไม่วางขายที่ไหนหมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม.10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาลดเบาหวานแคปซูล, ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับแก้คาวปลากลิ่นเหม็นของสตรีและแก้ต่อมลูกหมากอักเสบในบุรุษ, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยง
สมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แก้คันและแพ้เหงื่อ, ยาริดสีดวงจมูกแคปซูล ทำจากสมุนไพรหลายชนิด แก้น้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น,ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้า รูขุมขนตีบลง, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวารและอื่นๆโทร.0–2275– 2692 ครับ.

“นายเกษตร”

 

ลูกตะขบ..ไม่ขี้เหร่ เพิ่มพลังกล้ามเนื้ออึดทน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/610321

 

ตะขบ…ผู้คนสมัยนี้แทบไม่รู้จัก มองไม่เห็นค่า ต่างกับคนรุ่นก่อน ยุคอาหารการกินไม่มีให้เลือก ลูกตะขบถือเป็นผลไม้ชั้นสูงที่ต้องปีนขึ้นไปเก็บมากินให้อิ่มๆไปวันๆ กินไปโดยไม่รู้ว่ามันมีประโยชน์มากมายแค่ไหน

แต่วันนี้ เรารู้แล้วสรรพคุณไม่ธรรมดา สถาบัน วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ค้นพบ มีสารสำคัญช่วยเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ


“เราพบความจริงของตะขบ สืบเนื่องมาจากทางการรณรงค์ให้คนไทยออกกำลังกายมากขึ้น แต่กลับไม่ค่อยมีใครทำกันสักเท่าไร สาเหตุเนื่องมาจาก เมื่อออกกำลังกายไปแล้ว ในระยะแรกจะมีอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ คนเลยหยุดออกกำลังกาย เราจึงคิดหาวิธีที่จะนำสมุนไพรไทยมาแก้ปัญหานี้”

น.สพ.ภาคภูมิ ศิริอาชาวัฒนา นักเภสัชวิทยา ฝ่ายเภสัชและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เล่าว่า การวิจัยช่วงแรกได้ค้นหาพืชสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณในเรื่องนี้ โดยเฉพาะสมุนไพรแก้เคล็ดขัดยอก ปวดเมื่อย ในสูตรยาดองเหล้าโบราณ มีทั้ง เถาโคคาน, เถาเอ็นอ่อน, กำลังช้างสาน, ม้ากระทืบโรง


ส่วนลูกตะขบไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไร รู้แต่เพียงว่าอินโดนีเซีย นำมาใช้เป็นยาดองเหล้าเหมือนกัน…เลยนำมาวิจัยร่วมด้วย

การวิจัยในช่วงแรกจึงนำสมุนไพรทั้งหมดมาสกัดหาสารไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่มีคุณสมบัติทำให้เซลล์กล้ามเนื้อทนทานต่อไฮโดรเจนโปรออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการทำให้เราปวดเมื่อยอ่อนล้า และไบโอฟลาโวนอยด์ยังเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารอนุมูลอิสระ


ปรากฏว่า ในบรรดาพืชสมุนไพรดองเหล้าแก้ปวดเมื่อยทั้งหลาย…ตะขบ มีสารไบโอฟลาโวนอยด์มากที่สุด

ลูกตะขบสุกสด 10 กก.มาอบแห้ง สกัดเอาสารสำคัญจะได้สารโอฟลาโวนอยด์ 210 มิลลิกรัม นำไปให้สัตว์ทดลองกินพบว่า สัตว์มีความแข็งแรง วิ่งเล่นได้อย่างต่อเนื่อง

แต่ถ้าจะให้ได้สารโอฟลาโวนอยด์มากกว่านี้ น.สพ.ภาคภูมิ บอกว่า ต้องใช้วิธีนำลูก ตะขบสุกคั้นน้ำสดๆมาเข้าสู่กระบวนการสเปรย์ดราย ทำให้แห้งเป็นผง สำหรับชงดื่ม โดยกลิ่นตะขบยังคงอยู่ไม่เหมือนวิธีแรก


ส่วนคนไทยที่รู้สรรพคุณของลูกตะขบ สนใจอยากจะเด็ดมากินสดๆกันบ้าง ทีมวิจัยบอกว่าร่างกายจะได้สารไบโอฟลาโวนอยด์เหมือนกัน…แต่ต้องกินจำนวนมาก ถึงบรรเทาอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อได้

ขณะนี้การศึกษาวิจัยนำตะขบมาแปรรูปเป็นอาหารเสริมในรูปอัดเม็ดและผงชงดื่มประสบความสำเร็จแล้ว และพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์ ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร. 0-2577-9300.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

กรมปศุสัตว์แนะใส่ใจเลือกซื้อเนื้อสัตว์ เพื่อความปลอดภัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 22 เม.ย. 2559 15:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/609580

 

โฆษกกรมปศุสัตว์ ออกโรงแนะผู้บริโภคเลือกซื้อเนื้อสัตว์มาตรฐานใส่ใจการบริโภคที่ถูกสุขลักษณะ ย้ำปรุงอาหารจากเนื้อสัตว์ต้องทำให้สุกเท่านั้น…

น.สพ.สรวิศ ธานีโต รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ในฐานะโฆษกกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า แนะนำผู้บริโภคใส่ใจการเลือกซื้อเนื้อสัตว์เพื่อความปลอดภัยการบริโภค โดยควรเลือกซื้อเนื้อสัตว์จากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ สถานที่จำหน่ายต้องสะอาดถูกสุขลักษณะ เช่น ตลาดสด ร้านค้าโมเดิร์นเทรด ห้างสรรพสินค้า ที่รับเนื้อสัตว์จากโรงงานฆ่าสัตว์และแปรรูปเนื้อสัตว์ที่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากพนักงานตรวจโรคสัตว์มาแล้ว ไม่ควรซื้อเนื้อสัตว์ที่จำหน่ายข้างทาง หรือ รถเร่ ที่ไม่ทราบแหล่งที่มา รวมทั้งอาจมีวิธีการฆ่าสัตว์และแปรรูปที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากพนักงานตรวจโรคสัตว์ รวมถึงไม่ซื้อเนื้อสัตว์ที่ราคาถูกเกินไป เพราะอาจเป็นเนื้อที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นเนื้อจากสัตว์ที่ป่วยหรือตายจากโรคโดยไม่ได้รับการตรวจสอบ

สำหรับวิธีการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ดีนั้น เช่น เนื้อหมูต้องมีสีชมพูสดถึงแดง แต่ต้องไม่แดงมาก เนื้อละเอียดไม่หยาบ กลิ่นต้องเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อใช้นิ้วกดเนื้อต้องคืนตัวได้ดีไม่เกิดรอยบุ๋มตามแรงกด ไม่ควรซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว กลิ่นเหม็นรุนแรง หรือมีเมือกลื่น มีสีคล้ำ หรือเนื้อหมูที่สีซีดเกินไปและมีน้ำซึมไหลออกมาแสดงว่า เป็นเนื้อที่เสื่อมคุณภาพ ส่วนเนื้อไก่ที่สดต้องมีเนื้อสีชมพูเรื่อๆ ไม่มีสีแดงมากหรือไม่ซีดเกินไปจนเป็นสีขาว เนื้อต้องไม่แฟบแบน หนังมีสีขาวอมเหลือง เต่งตึงไม่เหี่ยวย่น และสังเกตที่ภาชนะที่บรรจุต้องไม่มีน้ำนองออกมาซึ่งแสดงว่าไก่ยังมีความสดอยู่

รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวต่อว่า ผู้บริโภคควรเลิกรับประทานลาบ หลู้ ส้า ที่ปรุงโดยใช้เนื้อหมูดิบ เลือดและชิ้นส่วนต่างๆ ของหมูดิบ การปรุงอาหารจากเนื้อสัตว์ต้องทำให้สุกเท่านั้น โดยต้องปรุงที่อุณหภูมิตั้งแต่ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป เป็นเวลาอย่างน้อย 10 นาที ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อต่างๆ ที่อาจติดมากับเนื้อสัตว์ได้ นอกจากนี้ ผู้บริโภคควรเลือกซื้อจากร้านค้าที่ได้รับการตรวจสอบและให้การรับรองจากกรมปศุสัตว์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านค้าที่มีป้ายตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK ป้ายเขียงสะอาด หรือสินค้าที่ติดตราสัญลักษณ์ Q mark ที่ได้รับการรับรองโดยกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค.

 

เลี้ยงกล้วยไม้ในบ้าน…ทำไมถึงไร้ดอก?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/608852

 

หลายคนชอบถาม…ตอนอยู่ที่ร้านทำไมกล้วยไม้ออกดอกสวยงาม แต่พอมาอยู่ที่บ้านปลูกรดน้ำไปเท่าไร อัดฉีดปุ๋ยก็แล้ว ทำไมมันไม่ออกดอกสักที

บางคนถึงขั้นโทษไปว่า สายพันธุ์ไม่ดี หรือปุ๋ยที่ซื้อมาไม่เหมือนที่ร้านใช้ และร้านก็ไม่ยอมบอกเรา เพราะต้องการให้เรามาซื้อกล้วยไม้อยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จักจบ เพื่อหวังกำไร


มาไขข้อสงสัยให้คนปลูกกล้วยไม้มือสมัครเล่น…มันจะจริงเหมือนอย่างที่เราวิจารณ์กันมั้ย

ไชยพันธุ์ คุ้มวิเชียร คนปลูกกล้วยไม้มืออาชีพ จากฟาร์มกล้วยไม้แอร์ออร์คิดส์ เฉลยถึงวิธีการจะเลี้ยงกล้วยไม้ให้งามเหมือนอยู่ที่ร้าน เราได้ทำ 3 สิ่งนี้…สภาพแวดล้อม-น้ำ-ปุ๋ย ถูกต้องแค่ไหน

กล้วยไม้แต่ละพันธุ์ชอบสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกัน สกุลช้าง สกุลเอื้อง สกุลแวนด้า ชอบให้นำไปแขวนสูงๆ 2-3 ม. สกุลหวาย สกุลแคทลียา จะแขวนจะวางได้ทั้งนั้น แต่ให้อยู่ในระดับความสูงแค่ 1.5 ม.ก็พอ


เรื่องแสงแดด ทุกสายพันธุ์ล้วนชอบแสงอ่อนๆ ไม่เกิน 8 โมงเช้า หลังจากนั้นควรบังแสงด้วยสแลน 60% เพราะต้องการเพียง 40%…สังเกตได้ ถ้าแสงน้อยเกินไป กล้วยไม้ยืดยาวไม่อ้วน อ่อนแอเป็นโรคง่าย…แต่หากโดนแสงมากเกินไปใบไหม้ ต้นแคระแกร็น

อีกอย่าง กล้วยไม้เป็นพืชชอบเกาะเกี่ยวต้นไม้ใหญ่ ฉะนั้นการนำมาปลูกที่บ้านเราเอามาปลูกยึดเกาะกับวัสดุอื่น ต้องหาเชือกหรือไม้มาทำเป็นราวยึดกระถาง ไม่ให้เกิดการกวัดแกว่งไปมาตามแรงลม เพราะกล้วยไม้มักจะเกิดอาการตกใจ แล้วก็จะไม่ออกดอก


น้ำ สำคัญสุดใช้น้ำ อะไรมารดกล้วยไม้…น้ำ ประปาหรือเปล่า นี่แหละตัว ปัญหา คลอรีนในน้ำประปา มีฤทธิ์ทำให้กล้วยไม้ไม่ออกดอก

“เปรียบได้กับสาวสวยเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำประปาต่างถิ่น บางคนเกิดเป็นผื่น เป็นสิว เต็มไปทั่วใบหน้า กล้วยไม้ก็คล้ายคลึงกัน เพราะที่ร้านขายกล้วยไม้ส่วนใหญ่มักจะใช้เครื่องกรองน้ำอย่างดี ก่อนที่จะสูบมารดกล้วยไม้” ไชยพันธุ์ เปรียบเทียบให้เห็นภาพ


หากจะให้มีดอก แต่ไม่มีเงินซื้อเครื่องกรองน้ำ ต้องใช้วิธีการเอาน้ำประปามาพักใส่ถัง เปิดฝาวางทิ้งตากแดดอย่างน้อย 2 วัน ถ้าไม่มีแดดทิ้งไว้ 3 วัน เพื่อให้คลอรีนระเหยออก…จากนั้นเอาขันมาตักไปราดรดหรือจะใช้กระถางฝักบัวรดน้ำก็ได้

ให้เลิกนิสัยใช้สายยางเปิดก๊อกน้ำ ประปาฉีดใส่กล้วยไม้โดยตรง เพราะกล้วยไม้จะซดคลอรีนเข้าไปเต็มๆ แถมต้นยังสั่นไหว เลยหมดกำลังใจให้ดอกออกมาให้ชม


ส่วนปุ๋ย ไชยพันธ์ุ แนะนำไม่จำเป็นต้องใช้สูตรพิเศษ แค่ให้ปุ๋ย N-P-K สูตรเสมอ จะเป็นเม็ดเป็นน้ำ หรือเป็นผงได้ทั้งนั้น สัปดาห์ละครั้ง…แต่เมื่อดอกโรยควรตัดก้านดอกทิ้ง และเพื่อเร่งให้ดอกออกใหม่เร็วขึ้น ควรปรับเปลี่ยนการให้ปุ๋ย ควรใช้สูตรตัวกลางหรือตัวหลังสูง

ทำได้ดังว่า คนปลูกกล้วยไม้มืออาชีพรับรองไม่เกิน กว่า 1 ฤดูกาล (3 เดือน-1 ปี แล้วแต่สายพันธุ์) จะออกดอกมาให้เชยชมแน่.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

“ทุเรียนเม็ดในยายปราง” คนเสาะหาก่อนหน้าฝน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 22 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/608822

 

สมัยก่อน ชาวสวนทุเรียน นิยมปลูกทุเรียนด้วยการเพาะเมล็ด ซึ่ง “ทุเรียนเม็ดในยายปราง” เป็นพันธุ์ดั้งเดิมของ จ.นนทบุรี มีเจ้าของชื่อ

“ยายปราง” ได้เอาเมล็ดทุเรียนในสวนตัวเองไปเพาะเป็นต้นกล้าจำนวนหลายเมล็ด จากนั้นก็แยกต้นปลูกจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่ามีอยู่ 2-3 ต้นแปลกมากคือ ติดผลดกเต็มต้นเมื่อแกะเนื้อสุกเนื้อสีสวยเมล็ดเล็ก รสชาติหวานหอมอร่อยมาก เลยขยายพันธุ์ปลูกทดสอบความนิ่งของพันธุ์อยู่หลายวิธีทุกอย่างยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง จึงตั้งชื่อว่า “ทุเรียนเม็ดในยายปราง” ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อเนื้อไปรับประทานอย่างกว้างขวาง ทั้งขายในประเทศและส่งต่างประเทศราคาดีมาก

อย่างไรก็ตาม “ทุเรียนเม็ดในยายปราง” มีผู้นำต้นพันธุ์ไปปลูกนอกพื้นที่ ที่ อ.แกลง จ.ระยอง ปรากฏว่าสามารถเจริญเติบโตมีดอกและติดผลดกและเนื้อสุกหวานอร่อยเหมือนกับปลูกที่ จ.นนทบุรีทุกอย่าง ผู้ปลูกเก็บผลส่งไปขายที่ประเทศแคนาดา จีนและไต้หวัน ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากรสชาติหวานหอมนั่นเอง

ทุเรียนเม็ดในยายปราง เคยชนะเลิศการประกวดทุเรียนดีในงานเกษตรประจำปีของ จ.ระยองหลายปีติดต่อกัน จัดเป็นทุเรียนที่มีรูปทรงของผลสวย เปลือกบาง ติดผลได้ง่ายและติดผลดกมาก ผลแก่เก็บได้ก่อนทุเรียนสายพันธุ์อื่นๆจึงขายได้ก่อน ผลโตมีน้ำหนัก 1–2 กิโลกรัมต่อผลเท่านั้น เหมาะจะแกะเนื้อกินได้พอดีสำหรับ 1–2 คน ปัจจุบันใกล้เข้าสู่ฤดูฝน คนเสาะหากิ่งตอนของ “ทุเรียนเม็ดในยายปราง” ไปเตรียมรองรับเพื่อปลูกกันแล้ว

ใครต้องการ กิ่งตอน “ทุเรียนเม็ดในยายปราง” ที่เป็นต้นแท้และขยายพันธุ์ด้วยวิธีเสียบยอด ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” บ้านเลขที่ 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08–8533–2299 ราคาสอบถามกันเอง ต่างจังหวัดสามารถจัดส่งทางไปรษณีย์ได้ด้วย ปลูก 1 ไร่ได้ 33 ต้น รดน้ำ 1-2 วันครั้ง ใส่ปุ๋ยคอกทุกๆ 3 เดือน สลับกับสูตร 16-16-16 ทุกๆ 2 เดือน จะติดผลดกหลังปลูกได้ 4 ปีครับ.

“นายเกษตร”

 

กรมส่งเสริมสหกรณ์ ครบ 100 ปี เดินหน้าสร้างเยาวชน ‘ต้นกล้าสหกรณ์’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 21 เม.ย. 2559 12:55

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/608894

 

กรมส่งเสริมสหกรณ์ เสริมความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการสหกรณ์แก่เด็กและเยาวชน ผ่านกิจกรรมสหกรณ์นักเรียน เน้นปลูกฝังช่วยเหลือตนเอง และช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามหลักการสหกรณ์ ณ ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการสหกรณ์ที่ 9 …

เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 59 ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้ดำเนินการส่งเสริม สนับสนุนกิจกรรมสหกรณ์นักเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ภายใต้โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 477 โรงเรียน


ทั้งนี้ เป็นโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 198 โรงเรียน โรงเรียนในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 177 โรงเรียน โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (ปอเนอะ) 14 โรงเรียน โรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 8 โรงเรียน โรงเรียนในสังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พระปริยัติธรรม) 54 โรงเรียน โรงเรียนสังกัดสำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร (กทม.) 26 โรงเรียน โรงเรียนในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และโรงเรียนที่นำแนวพระราชดำริไปขยายผล จำนวน 15,027 โรงเรียน

สำหรับในโอกาสครบรอบ 36 ปี แห่งการทรงงานของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร และในโอกาสครบรอบ 100 ปีสหกรณ์ไทย กรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงได้จัด โครงการค่ายเยาวชนต้นกล้าสหกรณ์ ขึ้น เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องของสหกรณ์ และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน


โดยเยาวชนที่เข้าร่วมในครั้งนี้ เป็นเด็กนักเรียนที่เป็นคณะกรรมการกิจกรรมสหกรณ์ที่มีความโดดเด่นในการทำกิจกรรมสหกรณ์ของโรงเรียน ในโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (กพด.) และโรงเรียนที่นำแนวพระราชดำริไปขยายผล ในระดับชั้น ป.5–ป.6 จำนวน 150 คน

อย่างไรก็ตาม การจัดทำฐานการเรียนรู้กิจกรรมสหกรณ์ มุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจในอุดมการณ์ หลักการ วิธีการสหกรณ์ คุณค่าสหกรณ์ ควบคู่กับการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผ่านการฝึกปฏิบัติ จะเน้นการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบแบบแผน ทั้งเรื่องของการจดบันทึก การจัดทำบัญชีเพื่อความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ อีกทั้งทำให้เด็กๆ ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเรียนรู้ในเรื่องของการจัดกิจกรรมสหกรณ์นักเรียนในโรงเรียน พร้อมทั้งนำความรู้ที่ได้ในครั้งนี้ไปปรับใช้กับชีวิตประจำวัน และสร้างสรรค์กิจกรรมสหกรณ์ในรูปแบบต่างๆ ในโรงเรียนอีกด้วย

 

ต้นแบบชุมชนพึ่งตนเอง บ.ลิ่มทอง 11 ปีไม่มีแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 21 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/608230

 

ชุมชนเข้มแข็ง ชาวบ้านลิ่มทอง บุรีรัมย์ ไม่ง้อใคร รวมตัวทำแก้มลิง คลองดักน้ำ ผันน้ำท่วมมาใช้ในการเกษตร 10 กว่าปี ไม่เคยแล้ง แถมสร้างรายได้เพิ่มปีละ 5 เท่า

นางสนิท ทิพย์นางรอง สมาชิกสภาเกษตรกร แกนนำบริหารจัดการน้ำ บ.ลิ่มทอง ต.หนองโบสถ์ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เผยถึงการจัดการน้ำ จากเดิมประสบปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งซ้ำซากมากว่า 40 ปี พื้นที่การเกษตรกว่า 3,700 ไร่ ไม่ มีแหล่งน้ำ คลองส่งน้ำ ยามน้ำหลากก็ท่วมถนนใน หมู่บ้าน ยาม แล้งไม่มีน้ำใช้สอย ส่งผลชาวบ้านเดือดร้อนเป็นอย่างมาก


แกนนำชาวบ้านจึงนำเรื่องนี้เข้าเวทีประชาคมหมู่บ้าน ช่วยกันวางแผนแก้ปัญหา เอาน้ำท่วมมาเก็บกักเป็นน้ำใช้ ด้วยเริ่มจากหาข้อมูลแหล่งน้ำเดิม สำรวจแหล่งน้ำและเส้นทางน้ำหลาก โดยใช้แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม เครื่องระบุพิกัด GPS โดยได้รับความเอื้อเฟื้อจากมูลนิธิอุทกศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์กรมหาชน) ปี 2549 จึงเริ่มขุดลอกคลองขนานกับถนนขุดคลองขวางดักน้ำหลากพร้อมกับขุดแก้มลิงในพื้นที่สาธารณประโยชน์ และชักชวนให้ชาวบ้านขุดสระเก็บกักน้ำในที่ดินส่วนตัว เพื่อผันน้ำที่ท่วมถนนทุกปีให้ไหลลงคลองส่งน้ำไปเก็บกักไว้ที่แก้มลิง เพื่อเกษตรกรจะได้ดึงน้ำเข้าสระส่วนตัวไปใช้ได้ยามต้องการ


นางสนิท เล่าต่ออีกว่า ต่อมาเมื่อน้ำหลากถนนนานเข้าก็เกิดปัญหาชำรุดทรุดโทรม ชุมชนจึงร่วมกันปรับปรุงโครงสร้างให้เป็นถนนน้ำเดิน ปรับความลาดเอียงจากริมถนนเข้าสู่ศูนย์กลางลักษณะรูปตัววี เสริมคัน จัดทำที่ระบายน้ำ รับน้ำ นำน้ำท่วมน้ำหลากส่งต่อไปยังทุ่งรับน้ำและแก้มลิง อีกส่วนส่งต่อไปยังบ่อเก็บน้ำส่วนรวมเนื้อที่ประมาณ 37 ไร่ ซึ่งเป็นสระสาธารณะใช้ร่วมกันทั้งชุมชน


“สิบกว่าปีมานี่ ชาวบ้าน 2,221 ครัวเรือน ไม่เคยมีปัญหาเรื่องน้ำแล้งเลย จากพื้นที่รับประโยชน์ 3,700 ไร่ สามารถขยายผลสู่เครือข่ายทำงานร่วมกัน 42 หมู่บ้าน 5 ตำบล พื้นที่ 173,904 ไร่ มีคลองดักน้ำหลากและคลองซอย ระยะทางรวมกว่า 47.7 กม. มีสระน้ำแก้มลิง 61 สระ สระประจำไร่นาอีกกว่า 50 สระ ส่งผลให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มจากเดิมครัวเรือนละราว 40,000 บาทต่อปี กลายเป็นปีละกว่า 200,000 บาท” นางสนิท กล่าว.

 

น้ำหยดใช่แค่ประหยัดน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 21 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/608236

 

หัวใจสำคัญของระบบน้ำหยดมีอะไรบ้าง อยู่ตรงไหน บอกกล่าวกันไปแล้ว…วันนี้มาว่ากันถึงประโยชน์บางอย่างของระบบน้ำหยด ที่หลายคนคิดไม่ถึง

เพราะไม่ได้มีประโยชน์แค่ช่วยประหยัดใช้น้ำเท่านั้น…แต่ยังทำให้เราได้ปุ๋ยไนโตรเจน ปุ๋ยตัวหน้า ปุ๋ยตัว N

ได้มาโดยไม่ต้องซื้อหา เพราะได้มาจากธรรมชาติ

หลายคนคงเคยได้ยินการปลูกพืชตระกูลถั่วช่วยปรับปรุงดิน เพราะจะทำให้เราได้ปุ๋ยไนโตรเจน เนื่องจากในปมรากพืชตระกูลถั่ว มีแบคทีเรียไรโซเบียม คอยทำหน้าที่ดึงไนโตรเจนจากอากาศมาเป็นปุ๋ยอยู่ในดิน

ระบบน้ำหยดช่วยให้ได้ปุ๋ยโดยไม่ต้องพึ่งไรโซเบียม…เพราะในอากาศที่เราหายใจกันนั้น มีไนโตรเจน 78% ออกซิเจน 21% ส่วนที่เหลือเป็นแก๊สชนิดอื่นๆ

ไนโตรเจนในธรรมชาติมีมากมาย ปรเมศวร์ สมพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายพาณิชย์ เนต้าฟิม (ประเทศไทย) บริษัทสัญชาติอิสราเอล เจ้าตำรับระบบน้ำหยด อธิบายถึงการได้มาของปุ๋ยแบบไม่ต้องซื้อหาเพราะระบบน้ำหยด น้ำจะค่อยๆซึมโผล่ออกมาเป็นเม็ดน้ำแล้วหยดลงไปอย่างช้าๆ ทำให้น้ำหยดได้มีโอกาสผสมคลุกเคล้ากับไนโตรเจนได้มากขึ้น ไนโตรเจนเลยถูกน้ำชักพาลงไปเป็นปุ๋ยอยู่ในดิน ไม่เพียงเท่านั้น น้ำยังชักพาออกซิเจนลงไปในดินด้วย

ต่างจากการรดน้ำแบบทั่วๆไป น้ำพุ่งแรง เร็ว โอกาสน้ำสัมผัสกับไนโตรเจนและออกซิเจนมีน้อย

ส่วนปุ๋ยตัวอื่นๆ ระบบน้ำหยดสามารถให้ปุ๋ยทางน้ำได้ โดยไม่ต้องลำบากเดินลงไปในไร่ในสวน ยิ่งช่วยประหยัดแรงงานได้มากขึ้น เป็นประโยชน์อีกอย่างของระบบน้ำหยด

เมื่อน้ำหยดลงมาเป็นที่เป็นทาง ผลพลอยได้อีกอย่าง วัชพืชงอกมีน้อย กำจัดง่าย เพราะจุดไม่มีน้ำหยดวัชพืชไม่เกิด…เมื่อวัชพืชน้อย แหล่งพักอาศัยของแมลงศัตรูพืช โรคพืชพลอยลดจำนวนลงไปด้วย ส่งผลให้ลดการใช้สารเคมีได้อีกทาง

ประการสุดท้าย มีระบบน้ำหยด ปลูกพืชได้หลายครอป วางแผนการผลิตได้ และเพิ่มช่องทางปลูกพืชได้หลากหลายชนิด…สามารถทำมาหากินได้ทั้งปี ไม่ต้องรอ ไม่ต้องง้อเทวดาอีกต่อไป.

สะ–เล–เต

 

“โป๊ยเซียนแอฟริกา” สวยแปลกน่าปลูก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 21 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/608239

 

บางครั้ง การแนะนำต้นไม้ในคอลัมน์แล้วผู้อ่านตามไปซื้อในแหล่งที่บอกไว้ แต่ปรากฏว่าผู้ขายบอกว่าต้นหมดหรือไม่มีแล้ว ทำให้เสียความรู้สึกได้เช่นกัน และ “โป๊ยเซียนแอฟริกา” เป็นอีกต้นหนึ่งที่มีต้นวางขาย มีป้ายชื่อติดไว้ชัดเจน แต่ผู้ขายบอกไม่ได้ว่ามีชื่อวิทยาศาสตร์และวงศ์อย่างไร ระบุเพียงว่า เป็นไม้นำเข้าจากประเทศแอฟริกาและอยู่ในวงศ์โป๊ยเซียน ซึ่งดูแล้วลำต้นสวยงามแปลกตามาก เนื่องจากส่วนใหญ่ต้นโป๊ยเซียนที่คนทั่วไปรู้จักและนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายนั้น จะไม่มีเหง้าหรือหัว ส่วนดอก ผู้ขายบอกต่อว่ายังไม่เคยเห็นเช่นกัน เลยขอแนะนำให้รู้จักเป็นความรู้เท่านั้น

โป๊ยเซียนแอฟริกา เท่าที่ดูจากต้นจริงและผู้ขายบอกเพิ่มเติมพอจะบอกลักษณะได้ดังนี้คือ เป็นไม้พุ่มมีหัวหรือเหง้าขนาดใหญ่ เปลือกเหง้าเรียบสีน้ำตาลเทา เหง้าหรือหัวจะสูงประมาณเกือบครึ่งฟุต บริเวณส่วนปลายของเหง้าหรือหัวจะมีต้นแทงขึ้นจำนวนหลายต้น ลำต้นเป็นสีเขียวเขียวสด และเป็นสันเหลี่ยมเหมือนกับลำต้นของโป๊ยเซียนหรือลำต้นของตะบองเพชรทั่วไป แต่ที่แปลกคือลำต้นจะบิดเป็นเกลียวสวยงามน่าชมมาก ตามสันเหลี่ยมจะมีหนามแหลมเป็นกระจุก 4-5 หนามแหลม และทิ้งระยะห่างกันอย่างชัดเจนคล้ายต้นโป๊ยเซียนหรือตะบองเพชรทั่วไปทุกอย่าง ลำต้นของ “โป๊ยเซียนแอฟริกา” ผู้ขายบอกว่าสามารถยาวได้กว่า 1 ฟุต

ส่วนดอก ที่ผู้ขายบอกในตอนแรกแล้วว่าไม่เคยเห็น จึงไม่รู้ว่าลักษณะดอกเป็นอย่างไรและสีอะไรด้วย ดอกจะออกบริเวณไหนของลำต้น เป็นช่อหรือเป็นดอกเดี่ยวๆ ก็ไม่รู้ ผู้ขายบอกได้เพียงว่า ขยายพันธุ์ด้วยเหง้าหรือหัว

โป๊ยเซียนแอฟริกา ปลูกได้ในดินผสมสำหรับปลูกต้นตะบองเพชรทั่วไป เป็นไม้ทนแล้งโดยธรรมชาติ ชอบแสงแดดได้เต็มวัน รดน้ำอาทิตย์ละครั้ง เหมาะจะปลูกกระถางกะทัดรัด ตั้งประดับโต๊ะทำงาน สามารถยกเข้ายกออกได้ง่ายๆ สวยงามมาก เคยมีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แถวบริเวณโครงการ 24 แต่ปัจจุบันจะยังมีต้นขายอยู่หรือไม่ต้องเดินสำรวจดูครับ.

“นายเกษตร”