ทำตามรัฐแนะ นาเผือกระทม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 16 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/606069

 

ภัยแล้งปีนี้ สาหัสแค่ไหน ไม่ต้องดูอะไรมากดูจากหลายจังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวดัง ถึงกับออกประกาศมาตรการประหยัดน้ำ ในช่วงเล่นสงกรานต์กันอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ยกตัวอย่าง เทศบาลนครอุบลราชธานี ประกาศลดวันและเวลาเล่นน้ำในงานประเพณีสงกรานต์กับเทศกาลอาหารไทย-อินโดจีน ช่วงวันที่ 12-15 เมษายนนี้ โดยเปิดให้เล่นน้ำได้เฉพาะวันที่ 13-15 เมษายน 2559 บนถนนดอกไม้และสายน้ำ ช่วงถนนราชบุตร ตัดกับพโลชัย รวมระยะทาง 300 เมตร

ขณะที่ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น รณรงค์ประหยัดน้ำในช่วงสงกรานต์ ด้วยการแจกขวดน้ำแบบเจาะรู เพื่อให้ “ซิดกัน” (สลัดน้ำแรงๆ) แทนการสาด และยกเลิกการจ่ายน้ำบริเวณถนนข้าวเหนียว โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้ประมาณ 400,000 ลิตร ในช่วงสงกรานต์ปีนี้

เช่นเดียวกับที่เทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งเตรียมจัดงาน “ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมืองเชียงใหม่” ประจำปี 2559 ช่วงวันที่ 13-15 เมษายน 2559 แม้จะไม่ลดจำนวนวันเล่นน้ำสงกรานต์ แต่ทางเทศบาลจะประหยัดน้ำ โดยงดสูบน้ำออกจากคูเมือง ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 50,000 ลูกบาศก์เมตร โดยนำน้ำในคูเมือง ที่มีอยู่เดิมไปบำบัดใหม่ และยังห้ามขายถังขนาดใหญ่ และให้เน้นการใช้ปืนฉีดน้ำแทนการสาดน้ำ

อย่าว่าแต่เทศกาลสงกรานต์ปีนี้ หลายพื้นที่มีน้ำเหลือให้เล่นสงกรานต์กันแบบจำกัดจำเขี่ย เจ้าของเรือกสวน ไร่ นา หลายแห่ง นอกจากไร้อารมณ์จะเล่นสงกรานต์ ยังตกอยู่ในภาวะเคร่งเครียดไปตามๆ

เพ็ญศรี ชมแค เกษตรกรเจ้าของนาเผือก 7 ไร่ ที่หมู่ 9 ต.ระแหง อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี โอดครวญอยู่หน้าแปลงเผือกวัย 4 เดือน ที่ขอบใบกำลังไหม้หงิกงอ ยืนต้นรอน้ำมาหล่อเลี้ยง

“อุตส่าห์ทำตามที่รัฐบาลแนะ ให้เลิกปลูกข้าว หันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อย ฉันก็เชื่อ ทำตามทุกอย่าง แล้วไง นี่จะเล่นไม่ปล่อยน้ำสักหยดมาให้กันเลยหรือ ถ้าเล่นยังงี้ ปลูกอะไรก็ตายเกลี้ยง”

เพ็ญศรีบอกว่า ก่อนหน้านี้เธอมีอาชีพทำนาปลูกข้าว ระยะหลังเห็นว่าเริ่มแล้งจัดขึ้นเรื่อยๆ น้ำที่จะใช้ทำนามีไม่เพียงพอ ประกอบกับต้นทุนปลูกข้าว นับวันยิ่งสูงขึ้น แต่กลับขายข้าวได้ราคาถูกลง เธอจึงลองเปลี่ยนมาทดลองปลูกเผือก ซึ่งเป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยกว่าทำนา ตามที่ทางการแนะนำ

เธอว่า เผือกมีอายุการปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 6-8 เดือน เพ็ญศรีเริ่มลงมือปลูกเผือกรุ่นแรกไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว จำนวน 4 ไร่ ช่วงนั้นยังพอดึงน้ำตามลำคลอง ซึ่งทางชลประทานปล่อยมาให้ สูบเข้าไปหล่อเลี้ยงในแปลงปลูกเผือกได้บ้าง

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ยังพอมีน้ำให้ใช้ได้อยู่ เธอจึงลงปลูกเผือกรุ่นใหม่ไว้อีก 3 ไร่ เพื่อทดแทนการขาดรายได้จากการทำนา เผือกที่ลงปลูกไว้ล่าสุด เพิ่งจะมีอายุเพียงแค่เดือนเดียว แต่กลับต้องขาดน้ำอย่างหนักมาแล้วถึง 1 สัปดาห์เต็ม เธอว่าไม่ต่างกับทารกขาดนมแม่ อาการร่อแร่เริ่มน่าเป็นห่วง

“ยังดีว่า ฉันพอมีน้ำในบ่อหลังบ้าน กับน้ำที่ขังไว้ในร่องสวนมะพร้าวเหลืออยู่นิดหน่อย เลยรีบสูบไปหล่อเลี้ยงในแปลงปลูกเผือก ไม่งั้นคงต้องขุดเอาขึ้นมาขายทั้งที่หัวยังลีบ ถูกกดราคาย่อยยับป่นปี้ หรือถ้าขุดขึ้นมาไม่ทันก็ตายเรียบ”

เพ็ญศรีอธิบายว่า ปกติวงรอบในการปลูกเผือกแต่ละรุ่น จะใช้เวลาขั้นต่ำประมาณ 6-8 เดือน แต่หากมีเหตุฉุกเฉิน จำเป็นต้องขุดเผือก ซึ่งมีอายุเพียงแค่ 4 เดือนขึ้นมาขายก่อน ก็สามารถทำได้ แต่ก็มีสภาพคล้ายทารกที่คลอดก่อนกำหนด สภาพร่างกายยังไม่พร้อมเต็มที่ เหมือนกับทารกที่คลอดครบตามอายุครรภ์ปกติ

นั่นหมายถึง เธอต้องเจอกับสถานการณ์ตึงเครียดที่ตามมา

“ปกติเผือกที่มีขนาดหัวหนักตั้งแต่หัวละ 8 ขีดขึ้นไป เวลานี้ราคารับซื้ออยู่ที่กิโลฯละ 53 บาท แต่ถ้าเป็นเผือกที่จำเป็นต้องรีบขุดขึ้นมาขายก่อนกำหนด เช่น อายุ 4 เดือน หนักหัวละแค่ 2 ขีด รีบขุดขึ้นมาขายเพราะกำลังขาดน้ำใกล้ตาย ราคาจะร่วงลงมาเหลือแค่กิโลฯ ละ 18-25 บาท แล้วแต่ความสวย”

เพ็ญศรีบอกว่า เนื่องจากเมื่อเผือกเริ่มขาดน้ำ รากจะเริ่มเสียหาย ลำต้นหยุดการเติบโต เกิดการชะงักงันทันที โดยสังเกตได้จากขอบใบเริ่มแห้ง ไหม้เกรียม เธอจึงฝากวิงวอนไปยังทางการ

“ฉันอุตส่าห์ทำตัวเป็นเกษตรกรที่ดี เชื่อฟัง ทำตามที่แนะนำแล้วทุกอย่าง ไม่ให้ทำนา ก็ไม่ทำ หันมาทำเผือก ที่ใช้น้ำน้อยกว่า จึงไม่ควรทิ้งขว้างกันแบบนี้ เล่นหยุดส่งน้ำ ไม่ยอมปล่อยมาเจือจานกันบ้างเลย ความเสียหายนี้ใครจะรับผิดชอบ”

ฉวีวรรณ สวนทับทิม หรือ “แหวว” เกษตรกรเจ้าของนาเผือก 5 ไร่ ถัดไปไม่ไกลกันนักกับแปลงเผือกของเพ็ญศรี มาในอารมณ์เดียวกันกับเพ็ญศรี เธอว่า

หลังจากเผือกที่ปลูกไว้เริ่มขาดน้ำ อาการแรกที่ออกคือ ขอบใบของต้นเผือกเริ่มไหม้ กาบเริ่มล้ม และหัวเผือกที่อยู่ใต้ดินเริ่มลีบ

“ฉันก็เป็นอีกคนที่ทำตามนโยบายของรัฐบาลทุกอย่าง เขาให้ปลูก พืชผักสวนครัว ปลูกเผือก แทนทำนา เราก็ทำตาม แล้วยังไง ผักที่ปลูกไว้ ค่อยๆทยอยตายเกลี้ยง นี่เผือกก็เริ่มออกอาการร่อแร่แล้ว”

เมื่อถูกถามว่า เหตุใดจึงไม่ขุดบ่อบาดาลเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนในบางพื้นที่ เธอว่าบ่อบาดาล กับน้ำบาดาลที่สูบขึ้นมาได้แต่ละแห่ง ใช่ว่าจะมีคุณภาพดีเหมือนกันหมด บางพื้นที่ขุดขึ้นมาเจอน้ำเปรี้ยวบ้าง น้ำเค็มบ้าง ไปเอามารดต้นไม้ ยิ่งตายเร็วเข้าไปอีก นอกเสียจากขุดขึ้นมาแล้วมีบ่อธรรมชาติ สำรองไว้พักน้ำเพื่อลดความเปรี้ยว หรือลดความเค็มลงก่อนสักระยะ จึงค่อยสูบไปรดต้นไม้

“แถวลาดหลุมแก้ว โดยมากสภาพพื้นที่เป็นดินเปรี้ยว มีความเป็นกรดสูง ไม่ค่อยมีใครนิยมขุดบ่อบาดาลขึ้นมาใช้ ต้องพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำ ลำคลองเป็นหลัก”

ดูเหมือนยามนี้ จำเลยหัวใจของชาวนาเผือก แถบลาดหลุมแก้ว อยู่ที่ทางการซึ่งหมายถึงกรมชลประทาน ผู้มีหน้าที่ในการระบายหรือสั่งงดการระบายน้ำไปยังแม่น้ำลำคลองต่างๆ แต่เมื่อตามหาตัวคนจากกรมชลฯมาจับเข่าคุยด้วยไม่ได้ จึงต้องเอาคนจากกระทรวงเดียวกัน มาจับเข่าชี้แจงเกษตรกรไปพลางก่อน

จรัล ซื่อสัตย์ รักษาการแทนเกษตรอำเภอ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ออกไปอธิบายกับเกษตรกรนาเผือกในพื้นที่รับผิดชอบของตนให้ฟังว่า เขาได้รับแจ้งว่า น้ำในเขื่อนหลักมีไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถระบายลงมาให้ใช้ทำการเกษตรได้

“ตอนนี้ความหวังขึ้นอยู่กับฝนอย่างเดียว ทางชลประทานแจ้งมาล่าสุดว่าจะปล่อยน้ำมาให้อีกระลอก ในวันที่ 5 เมษายนนี้ เพื่อช่วยรักษาระบบนิเวศ พอให้มีน้ำนอนคลอง ไม่ให้คลองแห้งจนถนนที่ขนานกับคลองทรุดตัวพัง แต่ไม่ได้ปล่อยมาเพื่อให้ใครสูบเอาไปใช้ทำการเกษตร”

จรัลบอกว่า แต่ในความเป็นจริง ทันทีที่เกษตรกรส่วนใหญ่รู้ข่าวว่าจะมีการปล่อยน้ำลงมาเพื่อรักษาระบบนิเวศ พวกเขาไม่สนใจ รีบไปสูบน้ำเข้ามาใช้ในที่ไร่ ที่นาของตน

“เรารู้ปัญหาความทุกข์ร้อนของเกษตรกรดี แต่อย่างที่บอก เราไม่มีอำนาจไปสั่งให้ใครห้ามสูบน้ำได้ เกษตรกรเองก็มีทั้งคนที่เดือดร้อนจริง และไม่เดือดร้อน พอปล่อยน้ำไปช่วยคนที่เดือดร้อนจริง ก็ถูกคนที่ไม่เดือดร้อน แต่เห็นแก่ได้ ชิงแย่งสูบน้ำตัดหน้าเข้าไปใช้ในไร่นาตัวเองก่อน ตราบใดที่เกษตรกรยังจัดระเบียบ หรือคุยกันเองไม่รู้เรื่อง ปัญหาก็ไม่จบ”

“ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ ก็ต่อว่าต่อขานว่าน้ำในแม่น้ำมีออกเยอะแยะ ทำไมถึงไม่ปล่อยเข้าไปให้ใช้บ้าง เขาหารู้ไม่ว่า ที่เห็นเยอะแยะในแม่น้ำนั้น เป็นน้ำที่มีค่าความเค็มเกินมาตรฐาน จากน้ำทะเลที่หนุนสูง ขืนปล่อยไปให้ใช้ พืชอาจน็อกตายเกลี้ยง” จรัลทิ้งท้าย.

 

“กล้วยน้ำว้ากาบขาว” ผลสวยเนื้ออร่อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 15 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/605723

 

กล้วย เป็นไม้ผลที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายมาแต่โบราณและในประเทศไทยมีหลากหลายสายพันธุ์ ซึ่ง “กล้วยน้ำว้ากาบขาว” เป็นสายพันธุ์หนึ่งที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่น ในแถบจังหวัดราชบุรี ไม่แพร่หลายเหมือนกล้วยน้ำว้าพันธุ์ดั้งเดิมที่มีผลวางขายเป็นหวีๆ ตามตลาดทั่วไป โดย “กล้วยน้ำว้ากาบขาว” มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะเหมือนกล้วยน้ำว้าคือ MUSA SAPIENTUM L. อยู่ในวงศ์ MUSACEAE จัดเป็นกล้วยในกลุ่มเป็นพันธุ์ผสมที่มีลักษณะค่อนไปทางกล้วยตานี

ลำต้นเทียม หรือต้นสูงไม่เกิน 3.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 15 ซม.กาบลำต้นด้านนอกเป็นสีเขียวอ่อน มีปื้นเล็กน้อย ด้านในเป็นสีเขียวอ่อนหรือสีค่อนข้างขาว ก้านใบมีร่องค่อนข้างแคบ เส้นกลางใบสีเขียว

ก้านช่อดอกไม่มีขน ใบประดับปลีรูปไข่ค่อนข้างป้อม ปลายม้วนงอขึ้น ปลายป้าน ด้านบนเป็นสีแดงอมม่วง มีนวลสีขาว ด้านล่างเป็นสีแดงเข้ม เครือขนาดใหญ่และยาวมาก โดย ในหนึ่งเครือจะมีหวีไม่น้อยกว่า 10-12 หวี หวีหนึ่งมี 10-16 ผล ผลมีขนาดใหญ่มีเหลี่ยมเล็กน้อย ก้านผลสั้น เปลือกผลหนา ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลืองอมส้มตามภาพประกอบคอลัมน์ เนื้อในเป็นสีขาว ไส้กลางสีเหลือง สีชมพูหรือสีขาว จึงทำให้กล้วยน้ำว้าแบ่งได้เป็นกล้วยน้ำว้าเหลือง กล้วยน้ำว้าแดง และกล้วยน้ำว้าขาว เป็นต้น รสชาติของ “กล้วยน้ำว้ากาบขาว” จะหวานหอมรับประทานอร่อยมาก ติดผลตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ

ปัจจุบัน “กล้วยน้ำว้ากาบขาว” มีต้นหรือหน่อวางขาย เกือบทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาแต่ละแผงไม่เท่ากันหรืออยู่ที่ขนาดของต้นและหน่อ ผู้ซื้อจะต้องเดินสำรวจสอบถามก่อนตัดสินใจซื้อไปปลูก ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือน หรือเก็บขายเชิงพาณิชย์ได้คุ้มค่ามากครับ.

นายเกษตร

 

กล้าเปลี่ยน..ยอมเรียนรู้ ที่ดิน8ไร่..กำไรปีละ 1.4 ล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/605781

 

แตงเมล่อน…สิบปีก่อน คนไทยไม่ค่อยนิยม เพราะเป็นผลไม้นำเข้ามาจากต่างประเทศ ในบ้านเราถึงจะมีปลูกกันบ้าง แต่ไม่มาก ราคาจึงค่อนข้างแพง คนมีฐานะอันจะกินเท่านั้นถึงซื้อได้

แต่ปัจจุบันนักวิชาการเกษตรกรไทยเก่ง ทำให้หลายพื้นที่ในอยุธยา, สระบุรี, กาญจนบุรี, สุพรรณบุรี สามารถปลูกได้ จนกลายเป็นแหล่งทำเงินได้ดีกว่าพืชหลายตัว

“มีที่ทำกิน 70 ไร่ เมื่อก่อนปลูกอ้อยทั้งหมด หักค่าปุ๋ย ค่ายา แรงงาน ค่าพันธุ์อ้อยเหลือเงินปีละ 400,000 บาท เงินที่ได้แทบไม่พอส่งลูก 3 คน เรียนหนังสือ”

นายชูศักดิ์ แตงโสภา ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บ.หนองคาง ต.แจงงาม อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี บอกว่า หลังจากสังเกตเพื่อนบ้านมาหลายปี คนที่ปลูกเมล่อนรายได้ดี มีเงินเข้ากระเป๋าทุกเดือน ไม่เหมือนทำไร่อ้อยได้แค่ปีละครั้ง


ใช้พู่กันแต้มเกสรดอกตัวผู้.

จึงตัดสินใจเข้าไปเรียนรู้กับ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกเมล่อนบ้านหนองคาง นานร่วม 2 เดือน…ไม่ใช่ว่าใครอยากเข้าก็เข้าได้ ทางกลุ่มไม่ยอมให้เป็นสมาชิกง่ายๆ ต้องมาเรียนรู้เทคนิคต่างๆ ฝึกปฏิบัติลงมือทำจริงตั้งแต่เพาะกล้า ผสมเกสรที่ต้องทำในช่วง 07.00-09.00 น.เท่านั้นเมล่อนถึงจะติดลูก

ต้องเรียนรู้ ฝึกฝน…เมื่อเกิดปัญหาจะได้ไม่เสียเงินลงทุนก้อนใหญ่

เมื่อมั่นใจสามารถปลูกแตงเมล่อนได้แน่ ผู้ใหญ่ชูศักดิ์ ปรับพื้นที่ 6 ไร่ ลงทุนสร้างโรงเรือนปลูกแตงเมล่อน 8 หลัง สร้างระบบน้ำ ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ย หมดไปเป็นเงิน 400,000 บาท…

แต่ตัดเมล่อนขายแค่งวดแรก ทุกอย่างที่ลงทุนไปได้คืนมาหมด

เมื่อรายได้ดีจึงขยายพื้นที่อีก 2 ไร่ สร้างโรงเรือนเพิ่มอีก 12 หลัง เพราะคิดว่าหนนี้นอกจากคืนทุน ยังมีกำไรเหลืออีกเท่าตัว…แต่บริษัทเอกชนที่สัญญาจะรับซื้อเกิดเบี้ยวจ่ายเงินให้ชาวบ้านแค่บางส่วน โดยให้เหตุผลว่าแตงเมล่อนล้นตลาด เลยปล่อยลอยแพ


นำพู่กันเปื้อนเกสรตัวผู้มาสัมผัสผสมพันธุ์ดอกตัวเมีย.

“พวกเราเลยต้องมาประชุมหาตลาด กระทั่งมาเจอ บ.เอกชนรายใหม่ รวบรวมเมล่อนส่งห้างแม็คโคร ซึ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ พร้อมกับเชิญอาจารย์ภาควิชาโรคพืช ม.เกษตรศาสตร์ กำแพงแสน มาให้คำแนะนำการปรับปรุงคุณภาพเมล่อนให้ได้มาตรฐานตามที่แม็คโครต้องการ เมื่อผ่านการรับรอง คุณภาพเกรด A น้ำหนัก 1.6-2.2 กก.ต่อลูก จะได้ราคา กก.ละ 43 บาท เกรด B ขนาด 2.2-2.3 กก.ต่อลูก ได้ราคา กก.ละ 38 บาท”

เพราะกล้าที่จะเปลี่ยน ยอมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ…พื้นที่ 8 ไร่ ปลูกเมล่อน 20 โรงเรือน เก็บผลผลิตปีละ 3 หน ทำให้ผู้ใหญ่ชูศักดิ์มีรายได้หลังหักต้นทุน เหลือกำไรปีละ 1,496,000 บาท หรือไร่ละ 187,000 บาทต่อปี

ปลูกข้าว ปลูกอ้อย ทั้งปีจะมีปัญญาทำได้เท่านี้ไหม.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

ผักปลอดสารโคกสำราญ ฝ่าวิกฤติ 10 ปี..จึงมีวันนี้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/605368

 

ชาวบ้านโคกสำราญ อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา ปลูกอ้อย รายได้เข้าครัวเรือนเพียงปีละครั้ง เวลาที่เหลือตลอดทั้งปีแทบไม่มีเงินเข้าครัวเรือน ปี 2549 เกิดโครงการ 1 ตำบล 1 ฟาร์ม เปิดให้ชาวบ้านรวมกลุ่มปลูกผักปลอดสารพิษ แล้วขอใช้พื้นที่ว่างเปล่า 15 ไร่ ริมแหล่งน้ำแก่งละว้าโคกสำราญจากชลประทาน

นายคำพอง สไหวงาม ประธานกลุ่มผลิตผักปลอดภัยจากสารพิษตำบลโคกสำราญ เล่าว่า ช่วงแรกที่เข้ามาสภาพดินแย่มาก อย่าว่าแต่ปลูกผัก ขนาดช่วงหน้าฝนน้ำดีๆ ต้นหญ้ายังแทบไม่ขึ้น ต้องมาปรับสภาพดินกันใหม่ เอาปุ๋ย คอก สารพัดจุลินทรีย์ใส่ปรับสภาพดินไปเรื่อย ทำซ้ำๆ เกือบปี เริ่มเห็นต้นหญ้าขึ้นหนาตา เลยคิดว่าปลูกผักได้แน่ จึงเอาเมล็ดพันธุ์ผักมาหว่าน เมล็ดงอกขึ้นก็จริงแต่สูงแค่ 4-5 ซม. ใบเริ่มเหลือง โคนเน่าตาย จึงได้ปรึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นเข้ามาช่วยเหลือพร้อมเก็บตัวอย่างดินไปตรวจวิเคราะห์ จึงรู้ว่าดินยังมีความเปรี้ยว การปรับสภาพดินช่วงแรก ต้องทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อให้ดินปล่อยกรดกำมะถันออกมา แล้วโรยปูนขาวบางๆ แต่ยังช่วยไม่ได้มาก ต้องซื้อหน้าดินจากที่อื่นมาถม ใช้เวลา 6 ปีเต็ม จึงสามารถปลูกพืชผักได้


“ปลูกผักขายช่วงแรกๆ เรายังไม่รู้กลไกตลาด ทุกคนคิดเหมือนกันหมด ปลูกทุกอย่างที่กิน ส่วนมากเป็นผักกวางตุ้งดอกและผักกาดเขียวน้อย ผักกาดขาวปลี ถึงเวลาเก็บขายพร้อมกัน ผักมีจำนวน มากล้นตลาด ขายไม่ได้ราคา จึงต้องจัดการวิธีปลูกใหม่ ก่อนปลูกตกลงราคากับพ่อค้ารับซื้อ ผักทั้งลอตจะรับซื้อราคาเท่ากันทั้งหมด แล้วจัดคิวให้แต่ละครอบครัว มีช่วงระยะหว่านเมล็ดพันธุ์ห่าง 5-7 วัน เพื่อให้มีผักออกต่อเนื่องทุกวัน”

แต่กระนั้น ประธานกลุ่มฯ บอกว่า ไม่วายเจอปัญหาโรคหนอนกระทู้ระบาด กัดกินผักเสียหาย ใบเป็นรู เก็บขายไม่ได้ ต้องถอนทิ้งยกแปลง เลยไปขอความช่วยเหลือจากเกษตรอำเภอ และเจ้าหน้าที่จากกรมวิชาการเกษตร เข้ามาอบรมวิธีการเพาะเลี้ยงไส้เดือนฝอยไว้กำจัดแมลงศัตรูพืช ก่อนหว่านเมล็ดพันธุ์พืช ต้องรดน้ำให้หน้าดินชุ่ม นำไส้เดือนฝอย 1 กระปุก ผสมน้ำ 10-20 ลิตร ฉีดพ่นดินช่วงแดดอ่อน เพื่อกำจัดไข่ ตัวอ่อน หนอนด้วง โดยพื้นที่ 1 ไร่ ใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท


หลังแก้ปัญหาดินมา 10 ปี ส่งผลให้วันนี้พื้นที่แก่งละว้าโคกสำราญสามารถปลูกผักปลอดสารพิษ สร้างรายได้ให้ชาวบ้าน 2,500-3,000 บาทต่อเดือน.

 

เพลี้ยไก่แจ้ทุเรียนระบาดภาคใต้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 14 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/605342

 

ช่วงนี้สภาพอากาศแห้งแล้ง กรมวิชาการเกษตรเลยออกมาเตือนเกษตรกรชาวสวนทุเรียนภาคใต้เฝ้าระวัง “เพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน” ระบาด มักพบการเข้าทำลายในระยะที่ทุเรียนแตกใบอ่อนถึงออกดอก

สิ่งที่เกษตรกรทำได้ ณ ขณะนี้คือ ควรหมั่นสำรวจสวนทุเรียนอย่างละเอียด โดยเฉพาะยอดที่แตกใบอ่อน!!!!

เพราะใบอ่อนสำหรับทุเรียนสำคัญมาก จะออกเพียง 2-3 ชุดต่อปีเท่านั้น หากใบอ่อนชุดแรกเสียหายจากเพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน ต้นก็จะไม่สมบูรณ์ ส่งผลต่อการเกิดลูก กระทบต่อการปลูกทุเรียนทั้งระบบ

ในต้นที่เกิดการระบาด มักพบตัวอ่อนและตัวเต็มวัยเพลี้ยไก่แจ้ทุเรียนดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อน ทำให้ใบอ่อนเกิดจุดสีเหลือง ไม่เจริญเติบโต เมื่อระบาดมากๆ ใบจะหงิกงอ ถ้าเข้าทำลายในช่วงที่ใบอ่อนยังเล็กมากหรือยังไม่คลี่ออก จะทำให้ใบแห้งและร่วงได้

หากพบการระบาดของเพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน ให้เกษตรกรพ่นด้วยสารฆ่าแมลงแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 5% เอสซี 10 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร หรือสารคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี 50 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร

หรือสารคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี 10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร หรือสารไซเพอร์เมทริน/โฟซาโลน 6.25%/22.5% อีซี 40 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร พ่นทุก 7-10 วัน ในช่วงระยะแตกใบอ่อน

ทั้งนี้ ตามธรรมชาติทุเรียนจะแตกใบอ่อนไม่พร้อมกันทั้งสวน ฉะนั้นหากพบการเข้าทำลายของเพลี้ยไก่แจ้ทุเรียนต้นใด เกษตรกรควรพ่นสารฆ่าแมลงเฉพาะต้นนั้นๆ

นอกจากช่วยลดการใช้สารฆ่าแมลงแล้ว ยังไม่ไปทำลายแมลงศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน อย่าง ตัวห้ำและด้วงเต่า

แต่หากต้องการเพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการ ลดช่วงเข้าทำลายของเพลี้ยไก่แจ้ทุเรียน ไม่ต้องใช้สารฆ่าแมลงหลายครั้ง สามารถกระตุ้นการแตกใบให้ต้นทุเรียนแตกใบรุ่นเดียวกันทั้งสวนได้ ด้วยการพ่นยูเรีย (สูตร 46-0-0) 200 กรัม/น้ำ 20 ลิตร.

สะ–เล–เต

 

“มะขามป้อมแป้นสยาม” พันธุ์ไทยต้นเตี้ยดกผลใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 14 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/605347

 

มะขามป้อม เป็นไม้ผลทนแล้งได้ดี และ “มะขามป้อมแป้นสยาม” เป็นสายพันธุ์ไทยแท้ๆที่เกิดจากเกษตรกรชื่อ “จุ่น คงมันธี” ได้เก็บเอาผลติดเมล็ดของมะขามป้อมที่พบขึ้นในป่าธรรมชาติเขตพื้นที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งขนาดของผลโตเท่าปลายนิ้วหัวแม่มือผู้ใหญ่ เป็นขนาดของผลมะขามป้อมไทยทั่วไปจำนวนเกือบร้อยเมล็ดไปเพาะเป็น ต้นกล้าแล้วแยกต้นปลูกเลี้ยงจนต้นโต มีดอกและติดผล ปรากฏว่าความสูงของต้นเตี้ย 1-2เมตร สามารถมีดอกและติดผลขนาดใหญ่โตเท่าลูกปิงปองได้แล้ว รูปทรงของผลกลมแป้นน่าชมมาก น้ำหนักผล 20-25 ผลต่อ 1 กิโลกรัม เชื่อว่าเป็นมะขามป้อมกลายพันธุ์และขยายพันธุ์ปลูกทดสอบความนิ่งอยู่หลายวิธี จนแน่ใจว่ากลายพันธุ์ถาวรแล้วจึงตั้งชื่อว่า “มะขาม ป้อมแป้นสยาม” ดังกล่าว

มะขามป้อมแป้นสยาม หรือ EM–BLIC MYROBALAN PHYLLAN THUSEMBLICA LINN. อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE เป็นไม้พุ่มเตี้ยสูงไม่เกิน 3 เมตร ดอกเป็นสีเหลืองนวล “ผล” กลมแป้น ผลขนาดใหญ่เกือบเท่าลูกปิงปองตามที่กล่าวข้างต้น ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่จัดเป็นสีเขียวอ่อน ฉ่ำน้ำ เนื้อผลรสชาติเปรี้ยวปนฝาด ติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาลคือระหว่างเดือนมกราคม ต่อเนื่องไปจนถึงผลแก่จัดระหว่างเดือนเมษายนของทุกปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด

จัดเป็นมะขามป้อมพันธุ์ไทยแท้ๆ ที่เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและเก็บผลขายได้คุ้มค่ามาก เนื่องจากต้นเตี้ยติดผลดกโดยธรรมชาติ และทนแล้งได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันผลมีราคาถึงกิโลกรัมละประมาณ 100 บาท หากนำไปแปรรูปเป็นมะขามป้อมแช่อิ่มจะเพิ่มราคาไม่น้อยกว่า 200 บาท

ใคร ต้องการต้นพันธุ์แท้ ติดต่อ “สวนณัฐพนธ์ฟาร์ม” 48/4 หมู่ 7 ต.โคกไม้ลาย อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โทร.08–6383–3061, 09–5593–2468 ราคาสอบถามกันเอง ต่างจังหวัดสามารถส่งทางไปรษณีย์ได้ด้วยครับ.

“นายเกษตร”

 

ฝนผิดนัด..เลื่อนนาปี ผักบุ้งจีน..ที่สุดพืชทำเงิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 เม.ย. 2559 06:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/604949

 

ต่อจากเมื่อวาน…10 อันดับพืชผักทำเงิน ที่ กัญญา รอตเสียงล้ำ ผู้จัดการฝ่ายปรับปรุงพันธุ์พืช บริษัท เจียไต๋ จำกัด แนะให้เกษตรกรปลูกเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวในระหว่างรอฝน เพราะปีนี้มีแนวโน้มฤดูฝนจะมาช้า ฤดูเริ่มทำนาปี อาจจะต้องเลื่อนจากกลางพฤษภาคมไป 2–3 เดือน

การจัดอันดับพืชผักทำรายได้สูงแบบนับถอยหลังจากอันดับ 10 แตงกวา…9 บวบหอม…8 บวบงู…7 มะระขี้นก…6 มะเขือเทศสีดา…5 แตงโมเนื้อเหลือง… แต่ละชนิดสร้างรายได้ขนาดไหนบอก กล่าวกันไปแล้ว

วันนี้มาว่ากันต่อ ถึงพืชผักซดน้ำไม่มาก ทนแล้งพอได้ และทำเงินได้เร็ว อันดับ 4 ต้องยกให้…แฟง

ปลูกแค่ 1 งาน เพื่อจะหาน้ำมาพอให้รดได้ ในระยะเวลา 100 วัน จะได้ผลผลิต 3.75 ตัน ราคาขายหน้าสวนเดือนที่แล้ว กก.ละ 7.50 บาท คิดแล้วทำเงินได้ 28,125 บาท หักต้นทุนแล้วจะเหลือกำไร 26,625 บาท


อันดับ 3…มะระจีน ถ้าปลูก 1 งาน ระยะเวลา 95 วัน ได้ผลผลิต 1.75 ตัน ราคาขายหน้าสวนเฉลี่ย ณ มี.ค. 59 กก.ละ 19 บาท ทำให้มีรายได้ 33,250 บาท หักต้นทุนจะเหลือกำไร 29,500 บาท


อันดับ 2…ถั่วฝักยาว พืชผักยอดนิยมกินกันทั้งปี แต่ช่วงแล้ง เดือนที่แล้ว ราคาขายหน้าสวนอยู่ที่ กก.ละ 37 บาท ระยะเวลา 115 วัน พื้นที่แค่ 1 งาน ได้ผลผลิต 1 ตัน คิดเป็นเงิน 37,500 บาท หักต้นทุนเหลือกำไร 35,250 บาท


แชมป์พืชผักอันดับ 1 ทำเงินได้เร็วและสูงสุด ต้องยกให้…ผักบุ้งจีน

แค่ 25 วัน พื้นที่ 1 งาน ได้ผลผลิต 10 ตัน ราคาขายหน้าสวนเดือนที่แล้วอยู่ที่ 7.50 บาท ทำเงินได้ถึง 75,000 บาท หักต้นทุนแล้วยังเหลือกำไร 73,125 บาท…พักแปลง ปรับปรุงดิน กว่าฝนจะมาให้ทำนาปีได้ ปลูกผักบุ้งจีนทำเงินได้ใหม่หลายรอบ


เห็นตัวเลขรายได้ทำเงินมากมายขนาดนี้…อย่าเพิ่งตาโต คิดจะเฮโล แห่กันปลูก

ผู้จัดการฝ่ายปรับปรุงพันธุ์พืช บริษัท เจียไต๋ จำกัด ให้ข้อคิด ในบรรดาพืชผัก 10 อันดับที่กล่าวมา แม้ผักบุ้งจีนจะทำเงินได้มากที่สุดก็ตาม…แต่ผักบุ้งจีนมีข้อด้อย ปลูกแล้วต้องเก็บพร้อมกันทีเดียวเพราะเป็นผักกินใบที่เก็บได้ไม่นาน ปลูกมากไป ขายไม่หมด ไม่มีคนมารับซื้อ รวมทั้งเอาไปขายเองไม่เป็น หาตลาดไม่ได้ ปลูกไปก็มีแต่เจ๊งไม่ได้เงิน

“ฉะนั้น สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะปลูกพืชชนิดไหน ต้องคำนึงก่อนเสมอว่าตลาดอยู่ที่ไหน จะขายให้ใคร และใครจะซื้อ พื้นที่ละแวกบ้านเรา พืชผักชนิดไหนคนพื้นที่ต้องการขนาดไหน ถ้าจะปลูกผักบุ้งจีน ควรจะปลูกแบบเว้นระยะเวลาเก็บเกี่ยวให้ห่างกัน เพื่อจะได้มีผลผลิตทยอยออกไปขายทุกวัน ไม่ใช่เก็บทีเดียวทั้งหมด ขายไม่หมดเน่าเสียไปโดยไม่ได้เงินกลับคืนมา”.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ฝนผิดนัด..เลื่อนนาปี 10 อันดับพืชผักทำเงินรอฝน

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

เดินเครื่องเหมืองปุ๋ยโปแตช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 13 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/604846

 

หลังผ่านการต่อสู้ยืดเยื้อยาวนานมาหลายสิบปี ท่ามกลางกระแสทั้งต่อต้านและเห็นด้วย ในที่สุด เหมืองแร่โปแตชบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ หรือโครงการเหมืองแร่โปแตชอาเซียนได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในพื้นที่ 9,707 ไร่ มาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว

อภิชาติ สายะสิญจน์ รองกรรมการผู้จัดการ (สายปฏิบัติการ) บริษัท อาเซียนโปแตช ชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ บริษัทพร้อมผลิตปุ๋ยโปแตชได้ในปลายปี 2561 หรือต้นปี 2562…ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตั้งระบบการผลิต การขนส่ง รวมถึงระบบอื่นๆที่จำเป็น

จากการสำรวจเหมืองแห่งนี้ มีโปรแตชประมาณ 500 ล้านตัน แต่นำมาใช้แค่ 1 ใน 3 หรือ 150 ล้านตัน ส่วนที่เหลือต้องนำไปใช้เป็นเสากำแพงค้ำยัน เสริมความแข็งแกร่งตัวเหมือง เพราะทำเหมืองขุดเจาะแบบอุโมงค์ห้องสลับเสาค้ำยัน

ฉะนั้น มั่นใจ ได้…เราจะไม่ได้ยินข่าวเหมืองโปแตชถล่มในแผ่นดินไทยแน่

สำหรับประทานบัตรมีอายุทั้งสิ้น 25 ปี การผลิตปีแรกในช่วงปลายปี 2561 หรือต้นปี 2562 จะมีกำลังการผลิต 5.6 แสนตัน แล้วจะเพิ่มเป็น 8.8 แสนตันในปีที่ 2 และเพิ่มเป็น 1.1 ล้านตัน เต็มกำลังการผลิตในปีที่ 3

ด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่หลายคนห่วงใย อภิชาติ บอกไม่ต้องห่วง เพราะก่อนทำได้ผ่าน EIA มานานแล้ว ส่วนหางแร่ที่สกัดเหลือจากโปแตช ไม่ต้องกังวลจะทำดินเค็ม น้ำเค็ม เพราะบริษัทได้ทำบ่อเก็บขนาด 5,600 ไร่ ออกแบบอย่างมิดชิด ตั้งอยู่ที่สูงป้องกันน้ำท่วม รั่วซึม พร้อมปรับปรุงทัศนียภาพอย่างสวยงาม

ส่วนการทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ไม่มีปัญหา เพราะบริษัทลงพื้นที่มาหลายปี ก่อนได้ประทานบัตรซะอีก มีกิจกรรมร่วมกับชุมชนมากมาย ทั้งส่งเสริมการศึกษา การจ้างงานในชุมชน สนับสนุนอาชีพ สนับสนุนให้เปิดสาขาวิชาใหม่ เทคนิคการทำเหมืองแร่ แก่วิทยาลัยเทคนิคในพื้นที่

ทั้งที่บ้านเรามีของดีอยู่ใต้จมูกมาแต่ดึกดำบรรพ์ ไม่รู้ทำไมถึงเพิ่งมาคิดทำได้จริง หลังจากต้องเสียเงิน เสียดุลการค้าให้ต่างชาติ นำเข้าโปแตช มาไม่รู้กี่สิบปี ปีละ 700,000 ตัน คิดเป็นเงิน 8,000-10,000 ล้านบาท

ในเมื่อวันนี้ได้ลงมือทำกันแล้ว ได้แต่หวัง โปแตช แม่ปุ๋ยตัว K บำรุงลูกผล เมด อิน ไทยแลนด์ ราคาคงถูกกว่าปุ๋ยนำเข้า…อย่าหวังค้ากำไรเอาเปรียบพี่น้องเกษตรกรมากจนเกินไปก็แล้วกัน.

สะ–เล–เต

 

“มะปรางไข่หวาน” เนื้อหวานราคาดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 13 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/604847

 

มะปรางชนิดนี้ มีต้นวางขายมีป้ายชื่อติดไว้ว่า “มะปรางไข่หวาน” พร้อมมีภาพถ่ายผลจริงโชว์ให้ชมด้วย ผู้ขายบอกที่มาของชื่อและที่มาของสายพันธุ์ไม่ได้ แต่ยืนยันว่าเนื้อหวานอร่อยราคากิโลกรัมละหลายร้อยบาทเท่านั้น ซึ่งมะปรางทั่วไปมีหลายพันธุ์มีทั้งผลเล็กและใหญ่ รสชาติจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสายพันธุ์ โดยมะปรางนิยมปลูกกันมาตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแล้ว ต่อมาได้กระจายพันธุ์ปลูกลงมาสู่ภาคกลางตั้งแต่ จ.อ่างทอง จ.นนทบุรี และแถบใกล้เคียงก่อนจะปลูกไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามแหล่งที่ปลูก ซึ่ง “มะปรางไข่หวาน” จัดอยู่ในจำนวนนั้นด้วย

มะปรางไข่หวาน เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ๆรูปรี ปลายแหลม โคนมน ใบอ่อนเป็นสีม่วงแดง ดูคล้ายกับใบมะม่วง ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ลักษณะเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกมี 4 กลีบ เป็นสีเหลืองสด มีเกสรตัวผู้ 10 อัน ดอกบานได้นาน 3-5 วันก่อนจะร่วง “ผล” รูปกลมรี ปลายเรียวเล็กน้อย ผลอ่อนสีเขียวหรือเขียวอ่อน และจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือสีเหลืองอมส้มเมื่อผลสุก เนื้อหนา รสหวาน อาจมีรสเปรี้ยวปนเล็กน้อยตามแต่ละสายพันธุ์ที่กล่าวข้างต้น มี 1 เมล็ด ติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ความแตกต่างของรสชาติระหว่างมะปรางกับมะยงชิดทั่วไปคือ มะยงชิดปอกเปลือกแล้วกินเนื้อจะมีรสหวาน เพราะเปลือกมะยงชิดมีรสเปรี้ยว ซึ่งถ้ากินทั้งเปลือกจะหวานปนเปรี้ยว ส่วนมะปรางปอกเปลือกกินเนื้อจะหวานเพียงอย่างเดียวล้วนๆ

ปัจจุบัน “มะปรางไข่หวาน” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 11 แผง “คุณหมู” โทร.08–1861–6644 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนหรือเก็บผลขายกิโลกรัมละหลายบาทครับ.

“นายเกษตร”

 

ฝนผิดนัด..เลื่อนนาปี 10 อันดับพืชผักทำเงินรอฝน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/604439

 

ปีนี้ฤดูฝน ฤดูเริ่มต้นทำนาปี ที่เคยมากลางพฤษภาคม อาจต้องเลื่อนไปอีก 2-3 เดือน…ช่วงระหว่างรอฝนทำนาปี พี่น้องเกษตรกรจะทำมาหากินอะไรดี ถึงจะมีรายได้พอเลี้ยงครอบครัว

ถ้าพอจะหาน้ำได้ เมื่อวาน ผู้รู้จากบริษัท เจียไต๋ จำกัด ได้บอกวิธีการเตรียมเนื้อเตรียมตัว เตรียมที่นาเป็นแปลงปลูกพืชผัก ทำเล็กๆแค่ 1 งานเพื่อจะได้ไม่ลำบากในการหาน้ำมากนัก จะช่วยให้มีรายได้ 11,250-75,000 บาท ต่อ 1 ฤดูกาลเพาะปลูกเลยทีเดียว…แล้วพืชผักอะไรล่ะที่ทำเงินได้ขนาดนั้น

วันนี้ขอจัดอันดับ 10 ชนิดพันธุ์พืชผัก ซดน้ำไม่มาก ทนแล้งพอได้…ที่สำคัญทำเงินได้เร็ว ในช่วงระหว่างรอฝนทำนาปี

เริ่มกันที่อันดับ 10…แตงกวา


“ปกติแตงกวา แตงท่อน แตงร้าน ปลูกได้ทุกฤดู เพราะความต้องการของตลาดมีทั้งปี แต่ปีนี้ร้อนแล้งจัดและต้องมาปลูกรอฝน ที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไรแน่ ฉะนั้นตอนนี้ แตงท่อน แตงร้าน เราต้องมองข้าม หันมาปลูกแตงกวาลูกเล็กจะดีกว่า เพราะใช้น้ำน้อย”

กัญญา รอตเสียงล้ำ ผู้จัดการฝ่ายปรับปรุงพันธุ์พืช บริษัท เจียไต๋ จำกัด บอกว่า การปลูกแตงกวาในช่วงนี้ 1 ไร่ จะได้ผลผลิตประมาณ 5 ตัน ราคาขายหน้าสวน ณ เดือน มี.ค.59 อยู่ที่ กก.ละ 9 บาท จะทำรายได้ประมาณ 45,000 บาท…ถ้าปลูกแค่ 1 งาน จะทำเงินได้ 11,250 บาท หักต้นทุนค่าใช้จ่าย (ไม่รวมค่าแรง) จะมีกำไรเหลือ 8,700 บาท (ถ้าราคาหน้าสวนยังอยู่ที่ กก.ละ 9 บาท ไม่ขยับขึ้นตามภาวะภัยแล้ง)

อันดับ 9…บวบหอม ปลูกแค่ 1 งาน ระยะเวลา 110 วัน จะได้ผลผลิต 1 ตัน ถึงจะไม่มากนัก แต่ราคา ขายหน้าสวนอยู่ที่ กก.ละ 13 บาท ทำให้มีรายได้ประมาณ 13,000 บาท หักต้นทุนจะเหลือกำไร 10,500 บาท


อันดับ 8…บวบงู ปลูกแค่ 1 งาน ให้ผลผลิตสูงถึง 1.5 ตัน ประกอบกับราคาขายหน้าสวนเดือนที่ผ่านมา อยู่ที่ กก.ละ 11 บาท ทำให้มีรายได้ 16,500 บาท หักต้นทุนจะเหลือกำไร 14,000 บาท ต่อรอบการผลิต 170 วัน


อันดับ 7…มะระขี้นก แม้ผลผลิตต่อไร่จะแค่ 5ตัน ราคาขายหน้าสวนเดือนที่แล้วอยู่ที่ กก.ละ 16 บาท ปลูกแค่ 1 งาน ทำรายได้ถึง 20,000 บาท หักต้นทุนแล้วเหลือกำไร 16,250 บาท


อันดับ 6…มะเขือเทศสีดา รอบการผลิตอยู่ที่ 150 วัน ได้ผลผลิต 2 ตันต่อ 1 งาน ราคาขายหน้าสวน กก.ละ 10 บาท จึงสร้างรายได้ถึง 20,000 บาท เท่ามะระขี้นก แต่ต้นทุนถูกกว่า ทำให้ได้กำไร 17,000 บาท


อันดับ 5…แตงโมเนื้อเหลือง ความจริงแตงโมเนื้อแดงก็ปลูกได้ แต่ด้วยราคาหน้าสวนแตงโมเนื้อเหลืองได้ราคาดีกว่า เดือนที่แล้ว กก.ละ 11 บาท (เนื้อแดง 8 บาท) และเมื่อนำมาคำนวณกับผลผลิต 7.5 ตันต่อไร่…ปลูกแค่ 1 งาน แตงโมเนื้อเหลืองจะทำได้ถึง 20,625 บาท หักต้นทุนแล้วจะเหลือกำไร 18,375 บาท


ส่วนอันดับ 1-4 เป็นพืชพันธุ์ชนิดไหน…ติดตามพรุ่งนี้.

ชาติชาย ศิริพัฒน์