“มะม่วงพระยาลืมเฝ้า” ดกหวานพอดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 12 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/604404

 

มะม่วงชนิดนี้ เป็นพันธุ์ไทยโบราณที่นิยมปลูกเฉพาะถิ่นในแถบภาคกลางมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะ จ.นนทบุรี และย่านตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี กทม. ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า เวลามะม่วงดังกล่าวติดผลจะดกเต็มต้นน่าชมยิ่ง ถ้าหากผู้ปลูกไม่มีคนคอยเฝ้าหรือดูแลจะถูกคนขโมยสอยเก็บเอาผลไปจนเกลี้ยงต้น เลยถูกเรียกชื่อว่า “มะม่วงพระยาลืมเฝ้า” ดังกล่าว และถูกเรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ส่วนรสชาติ ของเนื้อสุกเท่าที่ได้ทดลองกินปรากฏว่า มีรสหวานหอมใช้ได้ แต่จะไม่ถึงกับหวานจัด หากรับประทานกับข้าวเหนียวมูนจะมีรสชาติหวานได้แบบพอดีเลย เนื้อในผลสุกมีสีสวยไม่เละ ผลดิบผู้ที่เคยกินบอกว่า เนื้อกรอบรสเปรี้ยวปนมันปอกเปลือกแล้วฝานเป็นชิ้นบางๆจิ้มน้ำปลาหวานหรือพริกเกลือป่นอร่อยมาก

มะม่วงพระยาลืมเฝ้า เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่บริเวณปลายยอด ใบรูปรีแกมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ใบจะคล้ายใบมะม่วงชื่อแม่ลูกดก สีเขียวสด ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกเป็นสีเหลืองนวล มีกลิ่นหอม “ผล” มีรูปทรงใกล้เคียงกับผลของมะม่วงแม่ลูกดก ผลดิบรสเปรี้ยวปนมันหรือเปรี้ยวจัด สมัยก่อนนิยมสับทำยำมะม่วงหรือสับละเอียดเอาไปขยำกับพล่าเนื้อเพิ่มรสเปรี้ยวไม่ต้องใช้น้ำมะนาวรับประทานหอมอร่อยมาก ผลสุกเนื้อเป็นสีเหลืองเข้มมีเสี้ยนน้อย ไม่เละแม้สุกงอม เมล็ดบางและลีบติด
ผลง่ายและติดผลดกตามฤดูกาลทุกปีอย่างสม่ำเสมอแม้ต้นจะมีอายุหลายปีก็ยังคงติดผลดกเหมือนเดิม ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

มีต้นแท้ขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร” โทร.08–6605–4945 ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนหรือเก็บผลขายได้คุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

 

คูลเชน…ยืดอายุผลผลิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 12 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/604410

 

มีโอกาสไปชมโรงงานรับซื้อพริกหนุ่มจากเกษตรกรที่สุโขทัย… รวบรวมผลผลิตส่งขาย ป้อนตลาดใหญ่ปลายทาง ณ ประเทศมาเลเซีย ที่ต้องใช้เวลาขนส่งนานหลายวัน

ปัญหาใหญ่ที่ผู้ประกอบการต้องพบเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ บ้านเราอากาศร้อน ยิ่งมาเจอภาวะโลกร้อนอย่างนี้เข้าไปด้วย ร้อนตับแลบ ผลที่ตามมา พริกหนุ่มของเราเมื่อถูกส่งไปถึงปลายทาง ถูกผู้ซื้อตำหนิ “พริกของไทยไม่สวย เน่าเร็ว” ขายไม่ได้ราคา สุดท้ายส่งผลกระทบตรงมาถึงรายได้ของเกษตรกร

ยิ่งบวกผสมกับสงครามการค้า เวียดนามคู่แข่งสำคัญตลาดพริกหนุ่มไทย ดัมพ์ราคาพริกเรียกแขก แถมพริกสวยกว่าเรา ที่สำคัญแพ็กของลงเรือผ่านทะเลจีนใต้ตรงไปยังมาเลเซียในระยะทางที่ใกล้กว่า ภาคเหนือของไทยไปมาเลย์

เวียดนามไม่เพียงจะได้เปรียบเรื่องระยะทาง ความสดใหม่ก็ยังได้เปรียบอีก เพราะสภาพอากาศเย็นกว่าบ้านเรา พริกเลยไม่เน่าเสียง่าย ต่างกับเราต้องขนส่งทางบก แม้จะเป็นรถห้องเย็น แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก เพราะไม่ได้นำหลักการวิทยาศาสตร์ ยืดอายุการผลิต มาใช้ให้เต็มระบบ ที่จะต้องทำตั้งแต่ แหล่งผลิตไปจนถึงมือผู้ซื้อ

โรงงานแห่งนี้จึงนำระบบคูลเชน เทคโนโลยีจากจีนมาใช้เป็นแห่งแรกของประเทศ

ทันทีที่พริกมาถึงโรงงานจะถูกนำเข้าห้องแพ็ก ควบคุมอุณหภูมิ 20-25 ํC ทันที…ต้องลดอุณหภูมิเฉียบพลัน เพื่อลดการหลั่งสารเอทีลีน หรือสารเร่งสุกของผลพริก เนื่องจากอุณหภูมิยิ่งร้อน สารตัวนี้จะหลั่งออกมามาก ทำให้พริกสุกเร็ว…แบบเดียวกับที่เอามะม่วงไปบ่มในถังข้าวสาร ก็เพื่อทำให้มะม่วงร้อนนั่นเอง

หลังจากคัดแยกเกรดพริก ก่อนขนส่งไปปลายทาง จะนำพริกมาเข้าห้องเย็น ลดอุณหภูมิพริกลงไปอีกจนถึง -5 ํC เป็นเวลา 10-15 นาที เพื่อให้ผลพริกคายน้ำและความร้อนแฝงออกไปให้มากที่สุด พริกจะได้
สุกช้ายิ่งขึ้น

จากนั้นเข้าสู่ห้องรูมคูลลิ่ง ควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ 2-8 ํC เก็บรอขนส่งเคลื่อนสู่ปลายทาง

ปรากฏว่า ระบบคูลเชนของโรงงานแห่งนี้ช่วยยืดอายุพริกให้เก็บได้นานกว่า 1 เดือน ต่างจากเมื่อก่อนเก็บได้นานสุดแค่ 14 วัน… ส่งผลพริกไทยไม่เน่าเสียง่าย ตลาดต่างประเทศให้การยอมรับมากขึ้น.

สะ–เล–เต

 

“หญ้างวงช้าง” ไม่มีต้นขายสรรพคุณดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 11 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/603909

 

หญ้างวงช้าง ไม่มีต้นขาย เนื่องจาก มีขึ้นเองตามธรรมชาติในที่รกร้างว่างเปล่าข้างทางทั่วไป มีสรรพคุณทางสมุนไพรหลายอย่าง เช่น ทั้งต้นแบบสดรวมราก 1 ต้นหั่นต้มกับน้ำประมาณ 1.5 ลิตร จนเดือด ดื่มครั้งละ 3 ส่วน 4 แก้ว วันละ 3-4 เวลา ตอนไหนก็ได้ จะช่วยละลายนิ่วในกระเพาะปัสสาวะให้หายได้ ในตำรายาไทยโบราณระบุว่า ทั้งต้นเป็นยาแก้กระหายน้ำ ละลายก้อนนิ่ว ตำพอกแก้พิษฝี ผสมใบและดอกชมเห็ดไทยกับใบและดอกผักเสียนผีพอกแก้ปวดตามข้อเข่าข้อไหล่ โดยเมื่อรู้สึกร้อนให้เอาเนื้อยาออกวันละ 2 เวลา แล้วทาน้ำมันมะพร้าวต่อจะช่วยให้ดีขึ้นทั้งต้นมีสารกลุ่ม PYRROLIZIDINE ALKALOID เป็นพิษต่อตับควรระวังในการดื่ม สารสกัดจากต้นแห้งแก้อาการอักเสบ และ เพิ่มการเจริญของเนื้อเยื่อแผล

หญ้างวงช้าง หรือ INDIAN HELIOTRO PE HELIOTROPIUM INDICUM (L.) R.BR. อยู่ในวงศ์ BORAGINACEAE

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” ไม่วางขายที่ไหนหมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ป.ณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม.10900 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร กระเทียมโทนแคปซูล ผสมสมุนไพรหลายอย่างแก้หอบหืด, แก้ถุงลมโป่งพอง, แห้วหมูแคปซูล ลดความดันโลหิตสูง, ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือดลดไตรกลีเซอไรด์, น้ำมัน 12 ประดงทาภายนอก ฆ่าเชื้อสมานแผลแก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น, ครีมโลดทนงรักษาสิวฝ้า รูขุมขนตีบลง, แชมพูสูตร 5 ชนิด บำรุงรากผมขจัดรังแคแก้คันศีรษะ, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่า รักแร้หายดำคล้ำ, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ยาต้นคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์, โลชั่นบำรุงผิวและอื่นๆ โทร.0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

 

ฝนผิดนัด..เลื่อนนาปี เจียไต๋แนะปลูกพืชรอฝน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/603938

 

ตุลาคมปีที่แล้ว…ก่อนเกี่ยวข้าวนาปี พื้นที่ตรงนี้ได้เขียนเตือนให้ระวังภัยแล้ง ปีนี้ทำนาปรังไม่ได้ พร้อมแนะนำพันธุ์พืชใช้น้ำน้อย ให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาด เพื่อพี่น้องเกษตรกรมีรายได้ในช่วงไม่อาจทำนาปรัง

มาวันนี้ภัยแล้งรุนแรงกว่าที่คิด เห็นได้ชัดจากทางการวางแผน ใช้น้ำลากยาวไปจนถึงสิงหาคม แม้ภายหลังจะพยายามเลี่ยงบาลีมาเป็นแค่กรกฎาคมก็ตามทีเถอะ


สรุปง่ายๆเอาเป็นว่า…ปีนี้ฤดูฝน ฤดูเริ่มต้นนาปี ที่เคยมากลางพฤษภาคม อาจจะต้องเลื่อนออกไปอีก 2–3 เดือน

แต่เดือนหน้าโรงเรียนจะเปิดเทอม ลูกต้องกินต้องใช้ เงินต้องจ่ายทุกวัน…วันนี้ขอนำเรื่องราวเก่าๆ ณ วันเวลาใหม่มานำเสนอกันอีกครั้ง ในช่วงเวลาสั้นๆ 2-3 เดือน ถ้านาปีต้องเลื่อน เกษตรกรควรจะทำอะไรดี ก่อนฝนฟ้าจะหอบน้ำมาให้เราทำนาปีได้

ปลูกพืชผักอายุสั้น ใช้น้ำน้อยนี่แหละ…เอาที่นามาปลูกผักแค่ 1 ไร่ ช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ มีพืชหลายตัวที่ช่วยทำเงินได้ตั้งแต่ 45,000 บาท ไปจนถึง 300,000 บาท

รายได้ตรงนี้หลายคนอาจจะมองว่าเว่อร์ น.ส.กัญญา รอตเสียงล้ำ ผู้จัดการฝ่ายปรับปรุงพันธุ์พืช บริษัท เจียไต๋ จำกัด ยืนยัน ตัวเลขนี้คำนวณจากการสำรวจราคาขายหน้าสวนเมื่อ มี.ค.59 นี่เอง…ต่อไปแล้งยาว พืชผักจะยิ่งขาดแคลน ราคาเป็นต้องเพิ่มไปมากกว่านี้อย่างมิต้องสงสัย


บอกไปอย่างนี้ พี่น้องเกษตรกรเป็นต้องถาม ในเมื่อน้ำไม่มีแล้วจะปลูกอะไรได้…ถึงจะเป็นปัญหาใหญ่ แต่เพื่อให้มีรายได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าแหล่งน้ำยังพอมีให้หามาใช้ได้บ้าง มีสระ มีบ่อน้ำตื้น บ่อบาดาล และเพื่อให้น้ำได้มีใช้ไปยาวๆ กัญญา แนะให้ทำแบบเล็กๆ ปลูกผักแค่ 1 งาน พืชผักยังทำเงิน 11,250-75,000บาท แถมพืชบางตัวในช่วงเวลาแค่ 2-3 เดือน ยังปลูกได้หลายรอบ ยิ่งทำเงินได้มากยิ่งขึ้น

ยิ่งใครมีความสามารถติดตั้งระบบน้ำหยดได้…จะยิ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำได้มากทีเดียว

ถ้าคิดว่าตัวเองพอหาน้ำได้ ตัดสินใจจะเอานามาทำแปลงปลูกผัก สิ่งแรกที่ ผู้รู้จากเจียไต๋ แนะนำให้ทำ…เตรียมดินนาปลูกข้าวให้เป็น แปลงปลูกพืชผัก


อันดับแรกให้หว่านปูนขาวไปบนพื้นที่จะทำแปลงปลูกผัก เพื่อปรับความเป็นกรดด่างให้กับดิน จากนั้นไถพลิกดิน ตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรค 7 วัน จากนั้นนำปุ๋ยคอกมาหว่านแล้วถึงจะไถพรวน…

แต่ถ้าต้องการประหยัดค่าปุ๋ยคอก ไถพรวนเสร็จแล้วยกแปลงปลูก ค่อยใส่ปุ๋ยคอกทีหลังก็ได้ ปุ๋ยเคมีไม่ต้องใส่ เพราะดินนามีปุ๋ยตกค้างจากการปลูกข้าวให้ใช้ได้เหลือเฟืออยู่แล้ว


และเพื่อไม่ให้แปลงปลูกต้องถูกแดดเผาความชุ่มชื้นของดิน ให้หาฟาง หรือผ้าพลาสติกมาคุมแปลง ช่วยรักษาความชื้น

เตรียมพื้นที่ได้เสร็จสรรพ มั่นใจมีน้ำพอ คราวนี้ถึงขั้นเลือกพันธุ์พืชผักที่เหมาะจะปลูกในฤดูแล้ง ทำเงินได้เร็วและมากที่สุด…โปรดติดตามตอนต่อไป.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

22 ปีที่รอ…ต้องให้รออีกแค่ไหน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 11 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/603907

 

ฝายนาไพร ต.ฟากท่า อ.ฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ แห้งขอด ไม่เหลือสภาพลำน้ำ…เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้ แต่ไม่ใช่ครั้งแรก

ปี 2536 เกิดปรากฏการณ์เอลนินโญให้คนไทยได้คุ้นชื่อนี้เป็นครั้งแรก ฝายที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2517 เลยมีสภาพเหมือนปีนี้ ทั้งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าต้นน้ำของแม่น้ำปาด ลุ่มน้ำสาขาของลุ่มน้ำน่าน

คงไม่ต้องบรรยายว่า เกษตรกรทุกข์แค่ไหน ไม่มีน้ำ ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้…ปี 2537 จึงได้ร้องเรียนต่อรัฐบาลในยุคนั้น ขอให้สร้างอ่างเก็บน้ำ เพื่อจะได้เก็บสำรองใช้ในหน้าแล้ง และรัฐบาลได้อนุมัติให้กรมชลประทาน ศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างอ่างเก็บน้ำน้ำปาด

แต่ด้วยขณะนั้น ประเทศไทยเพิ่งมีการใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม มีการปรับแก้กฎหมายให้เหมาะสมกันตลอดเวลา ตามกระแสเรียกร้องของเอ็นจีโอและนักวิชาการ ผู้มีรายได้หลักจากการรับจ้างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม…การศึกษาของกรมชลประทาน ที่เริ่มต้นทำมาในปี 2544 จึงเป็นไปอย่างเรือเกลือ เพราะต้องทำตามกฎหมายใหม่ที่เปลี่ยนไปเรื่อย

ผลการศึกษาของกรมชลประทานสำเร็จ แต่พอจะเอามาใช้กลับต้องแห้ว ด้วยกฎกติกาใหม่ การศึกษาที่ทำมากว่า 5 ปี ใช้ไม่ได้ เป็น ข้อมูลเก่าที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน…ศึกษาไปเสียเงินฟรี

ปี 2557 มีการประชุม ครม.สัญจร ที่อุตรดิตถ์ มีการอนุมัติให้กรม ชลประทานทำการศึกษาทบทวนความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง จะสร้างอ่างเก็บน้ำเหนือฝายนาไพรขึ้นไปประมาณ 2-3 กม. เก็บกักน้ำได้ 85 ล้าน ลบ.ม. โดยมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 3 พันไร่…ที่สำคัญราษฎรที่ได้รับผลกระทบถูกน้ำท่วมที่ทำกินและบ้านเรือน ทุกคนต่างยินดีให้สร้างอ่างเก็บน้ำ ไม่มีใครคัดค้าน เพราะรู้ฤทธิ์พิษสงของความแห้งแล้งเป็นอย่างดี

ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้เร็ว…แต่ก็นั่นแหละ พื้นที่ก่อสร้างฯอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรมของกรมป่าไม้ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช

ต้องรอให้เจ้าของพื้นที่อนุมัติให้เข้าไปศึกษาในพื้นที่ได้เสียก่อน… ช่วยคิดทำอะไรไวๆหน่อย อย่าให้ชาวบ้านต้องรอเก้อกันอีกเลย…รู้ใช่ไหม ประเทศชาติเกิดวิกฤติขาดแคลนน้ำ.

สะ–เล–เต

 

“กระท้อนผอบทอง” ดกเนื้ออร่อยขายคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 8 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/602391

 

กระท้อนชนิดนี้ มีลักษณะประจำพันธุ์คือ เนื้อเป็นปุยฟูและหนานุ่ม สามารถใช้ช้อนตักรับ-ประทานได้จนถึงเปลือก โดยรสชาติจะหวานสนิทไม่มีรสเปรี้ยวหรือฝาดเจือปนเลย ส่วนใหญ่เนื้อเปลือกกระท้อนจะมีรสเปรี้ยวและฝาด จัดเป็นกระท้อนพันธุ์เบา ติดผลง่ายให้ผลผลิตสูงหลังปลูกแค่ 2 ปีเท่านั้นจะเริ่มติดผลเป็นชุดแรก และจะติดผลดกขึ้นเรื่อยๆเมื่อต้นมีอายุได้ 4 ปีขึ้นไปตามภาพประกอบคอลัมน์ นอกจากนั้น “กระท้อนผอบทอง” ยังแตกต่างจากกระท้อนสายพันธุ์อื่นคือ เวลาติดผลจะแก่ได้เร็วกว่าประมาณ 15 วัน ทำให้ผู้ปลูกเก็บผลขายได้ก่อนกระท้อนพันธุ์อื่น สร้างรายได้ก่อนใคร และที่สำคัญเวลาติดผลไม่ต้องห่อผลป้องกันแมลงอีกด้วย น้ำหนักผลเมื่อโตเต็มที่อยู่ระหว่าง 4-6 ขีดต่อผล ผลอ่อนสีเขียว พอผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองยังไม่ถึงแก่หรือสุกเนื้อในจะหวาน กินได้เลย ผลสุกหรือแก่เป็นสีเหลืองจัด รูปทรงของผลกลมแป้นเล็กน้อยทำ ให้ดูเหมือนกับผอบทองโบราณ จึงถูกตั้งชื่อว่า “กระท้อนผอบทอง” ดังกล่าว ผลสุกสามารถติดอยู่กับต้นได้นานโดยเนื้อในไม่เป็นโรคน้ำหมาก รับประทาน อร่อย เหมือนเดิม

กระท้อนผอบทอง หรือ SANDORI-CUM INDICUMCAR, KOETJAPE-MERR อยู่ในวงศ์ MELIACEAE เป็นกระท้อนสายพันธุ์โบราณ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมที่ จ.นนทบุรี ถูกนำไปปลูกต่างถิ่นครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ศ.2505 ที่ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี สามารถเจริญเติบโตมีดอกและติดผลดกได้ดีเหมือนปลูกในถิ่นเดิมทุกอย่างและติดผลดกมากตามที่ระบุข้างต้น ส่วนต้นแม่เดิมที่ จ.นนทบุรีนั้นถูกน้ำท่วมตายในเวลาต่อมา ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง เสียบยอด และติดตา

ใคร ต้องการกิ่งตอนด้วยระบบติดตาต้นแท้ ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08-8533-2299 หรือ “สวนณับธิดาพันธุ์ไม้” โทร.08-0646-4699 ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ทุกภาคของประเทศ ไทย เหมาะจะปลูกเก็บผลกินในครัวเรือน หรือเก็บผลขายได้คุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

 

ชาวนา…อินทร์บุรี รวยถั่วไม่กลัวแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/602418

 

แล้ง แล้ง แล้ง…ที่ไหนแล้งก็แล้งกันไป แต่

ชาวนาที่ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ถึงผืนนาจะแห้งแล้งปานใด พวกเขาก็ยังยิ้มได้ และหัวเราะเริงร่า ขอเพียงในดินยังพอมีความชื้นหลงเหลือ…

“นาแถบนี้ น้ำไหล ทรายมูล หมายความว่า พอถึงหน้าน้ำ น้ำจะหลากท่วมพัดพาเอาตะกอนลักษณะคล้ายทรายขี้เป็ดมาทับถมไว้ตามท้องไร่ปลายนา จนกลายเป็นดินร่วนปนทราย”

สมพร จุ้ยจุ่น ชายผู้สวมหมวก 2 ใบ ใบแรกในฐานะนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการพิเศษ (เทียบเท่าตำแหน่งผู้ช่วยเกษตร อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี)

ส่วนหมวกอีกใบ เขายังเป็นเจ้าของแปลงปลูกถั่วลิสง 11 ไร่ มรดกตกทอดมาจากพ่อ แม่ ที่ ต.ประศุก อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี…พูดถึงสภาพดินที่ถั่วลิสงชอบ

สมพรบอกว่า หลังจากเสร็จสิ้นฤดูทำนา ช่วงต้นฤดูหนาวหรือประมาณเดือน ต.ค.-พ.ย.ของทุกปี ชาวนาแถว ต.ประศุก อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี จะเริ่มเตรียมดินเพื่อปลูกถั่วลิสง

“ทำกันแบบนี้มา 42 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็ก ก็เห็นพ่อ แม่ และเพื่อนบ้านปลูกถั่วลิสงเป็นอาชีพเสริมหลังจากทำนา พันธุ์ถั่วที่นิยมปลูก เมื่อก่อนใช้พันธุ์เมล็ดสีขาว แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาใช้พันธุ์สุโขทัย 38 เมล็ด สีชมพูแทน”

สมพรบอกว่า เหตุที่ชาวนาแถบ ต.ประศุก นิยมปลูกถั่วหลังฤดูทำนา เป็นเพราะการปลูกพืชตระกูลถั่ว สลับกับพืชอย่างอื่น นอกจากช่วยปรับปรุงสภาพดิน

ถั่วลิสงที่นำมาปลูกยังมีวงรอบการปลูกไม่ยาว เพียง 85 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว ที่สำคัญยังเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำ ขอเพียงยังมีความชื้นหลงเหลืออยู่ในดินก็พอแล้ว

แต่เหตุผลเหนือเหตุผล ที่ทั้งยั่วยวนและชวนเชิญขึ้นไปอีก ก็คือ รายได้จากการปลูกถั่วลิสง นับว่าเป็นกอบเป็นกำ ดีกว่าทำนาเป็นไหนๆ สมพรเปรียบเทียบรายรับคร่าวๆให้เห็นระหว่างการปลูกข้าว ปลูกถั่วลิสง และปลูกมันเทศว่า

เทียบกันไร่ต่อไร่ สมัยนี้ปลูกข้าวใช้ต้นทุนประมาณไร่ละ 5,000 บาท แบ่งเป็นค่าเช่าที่นา ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าจ้างพ่นยาและค่าเก็บเกี่ยว ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องมีน้ำขังอยู่ในนาเกือบตลอด

เทียบกับการปลูกมันเทศ ใช้ต้นทุนประมาณไร่ละ 11,000 บาท แบ่งเป็นค่าต้นพันธุ์ ค่าแรงงาน ค่าปล่อยน้ำเข้าไปหล่อในร่องปลูกทุก 15 วัน ค่าแรงเก็บเกี่ยว ภายใต้เงื่อนไขทุก 15 วัน ต้องปล่อยน้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงในร่องปลูกอย่างน้อย 1 ครั้ง

ขณะที่การปลูกถั่วลิสง ใช้ต้นทุนไร่ละประมาณ 8,000 บาท แบ่งเป็นค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าเตรียมดิน ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าจ้างแรงงาน และค่าเก็บเกี่ยว โดยไม่จำเป็นต้องให้น้ำตลอดการเพาะปลูก ขอเพียงในดินที่ปลูกยังพอมีความชื้นหลงเหลือมาจากการทำนา หรือทำการเกษตรอย่างอื่นมาก่อน

สมพรบอกว่า เมื่อนำต้นทุนการเพาะปลูกพืชทั้ง 3 ชนิดมาเทียบกับรายรับจากการขายผลผลิต โดยคิดที่ผลผลิตเฉลี่ยอัตราต่ำสุด หรืออย่างที่ไม่ค่อยได้ผล

จะเห็นว่า ทำนา ปลูกข้าว ใช้ต้นทุนไร่ละประมาณ 5,000 บาท ถ้าเฉลี่ยได้ผลผลิตต่ำสุดเพียงแค่ไร่ละ 70 ถัง ปัจจุบันข้าว 100 ถัง

หรือ 1 เกวียน ราคาประมาณ 7,000 บาท ถ้าได้ผลผลิตไร่ละ 70 ถัง ก็จะได้เงินแค่เพียง 4,900 บาท หรือเท่ากับขาดทุนไร่ละ 100 บาทเทียบกับการ ปลูกมันเทศ มีต้นทุนไร่ละประมาณ 11,000 บาท ถ้าได้ผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุดที่ไร่ละ 700 กก. ปัจจุบันราคามันเทศ กก.ละ 20 บาท เท่ากับ 1 ไร่ ขายได้เงิน 14,000 บาท หักออกจากทุนแล้วยังพอมีกำไรไร่ละ 3,000 บาท แต่สมพรบอกว่า การปลูกมันเทศ ทั้งเหนื่อยกว่าและดูแลยากกว่าทำนา และปลูกถั่ว

มาถึงพระเอกของรายการ ถั่วลิสง ต้นทุนปลูกอยู่ที่ไร่ละประมาณ 8,000 บาท ถ้าเฉลี่ยได้ผลผลิตต่ำสุดที่ไร่ละ 70 ถัง ปัจจุบันราคารับซื้อถั่วลิสงอยู่ที่ถังละ 200 บาท

เท่ากับว่าปลูกถั่วลิสง 1 ไร่ สามารถทำเงินได้อย่างต่ำไร่ละ 14,000 บาท เมื่อหักออกจากต้นทุนไร่ละ 8,000 บาท จึงเหลือกำไรไร่ละประมาณ 6,000 บาท

แถมซากต้นถั่ว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วยังสามารถนำไปตากแห้งและอัดเป็นก้อน หนักก้อนละ 25 กก. ถือเป็นอาหารสัตว์ชั้นเยี่ยม นำไปใช้เลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ ขายได้ก้อนละ 80 บาท ถือเป็นอีกผลพลอยได้จากการปลูกถั่วลิสง การปลูกถั่วลิสงจึงดีกว่าทำนามหาศาล อย่างที่สมพร เปรียบเทียบว่า

“ทำนา 2 ไร่ สู้ปลูกถั่วลิสงไร่เดียวไม่ได้”

ถามว่าในเมื่อมีรายได้เห็นๆกันแบบนี้ ทำไมไม่เลิกทำนา หันมาปลูกถั่วลิสงกันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่สมพรบอกว่า ช้าก่อน…มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ

เขาอธิบายว่า ผืนดินแถบ ต.ประศุก อ.อินทร์บุรี เป็นดินร่วนปนทราย เหมาะสมในการปลูกถั่วลิสงก็จริง แต่ดินสภาพแบบนี้ เมื่อได้น้ำ หรือถูกฝนตกลงมาอีกครั้ง ดินจะเริ่มจับตัวกันแน่นมับ หรือไม่ร่วนซุยเหมือนเมื่อช่วงหลังจากเพิ่งทำนาเสร็จใหม่ๆ ที่ยังพอมีความชื้นหลงเหลืออยู่ จึงทำให้บริเวณนี้สามารถปลูกถั่วลิสงได้ปีละครั้งเท่านั้น

“ปกติหลังเก็บเกี่ยวถั่วในเดือนกุมภาพันธ์ ปีไหนมีน้ำเต็มคลอง แถวนี้จะเริ่มเตรียมดินเพื่อทำนาต่อในเดือนมีนาคม เพราะดินจะเริ่มมับจับตัวแน่น ไม่สามารถปลูกถั่วลิสงซ้ำอีกรอบได้ แต่สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้ไม่ปกติ ไม่มีน้ำจะทำนา แถมยังปลูกถั่วซ้ำก็ไม่ได้ จึงต้องเลี่ยงไปปลูกพืชอื่นแทน”

สมพรว่า เกษตรกรรายที่พอมีกำลัง สามารถไปจ้างเอกชนมาขุดบ่อน้ำบาดาลให้ มักจะเลือกนำน้ำจากบ่อบาดาลขึ้นมาใช้ปลูกพืชผัก จำพวกแตงโมอ่อน บวบ ฟักทอง หรือข้าวโพดข้าวเหนียว ซึ่งมีวงรอบในการปลูกประมาณ 80-90 วัน ถึงแม้จะมีพ่อค้าผักจาก จ.อ่างทอง หรือตลาดไท ตลาดสี่มุมเมืองมารับซื้อถึงที่ แต่สมพรบอกว่า ยังคงมีข้อจำกัดเรื่องการตลาด นั่นคือ เมื่อเกษตรกรหลายรายปลูกผักกันมาก ก็จะถูกผู้รับซื้อกดราคา

ต่างกับการปลูกถั่วลิสง ซึ่งจะมีนายหน้าหรือที่เรียกว่า “ล้ง” จากแถว จ.สระบุรี หรือลพบุรี ทั้งนำเมล็ดพันธุ์ถั่วมาให้ปลูก และรับซื้อผลผลิตทั้งหมดในลักษณะของลูกไร่ ซึ่งให้ราคาที่เป็นธรรม

“ยังดีที่ปีนี้กระทรวงเกษตรฯมีมาตรการบรรเทาภัยแล้งให้แก่ชาวนา ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้กับกระทรวงฯ และมีสมุดทะเบียนเกษตรกรเป็นหลักฐาน สามารถเลือกทำกิจกรรมทางการเกษตรได้รายละ 1 อย่าง เช่น ปลูกผักอายุสั้น ใช้น้ำน้อย ปลูกถั่วเขียว ถั่วลิสง ทำเห็ด เลี้ยงปลา เลี้ยงกบ หรือเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อจุนเจือครอบครัวในช่วง 3-4 เดือน ที่ประสบภัยแล้งจนไม่สามารถทำนาได้ตามปกติ”

“ใครมีสมุดทะเบียนเกษตรกรดังกล่าว ถือว่ามีหลักฐานเป็นเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งจริง ไม่สามารถทำนาในฤดูกาลปี 58/59 ได้ มีสิทธิได้รับการผ่อนผันดอกเบี้ย หรือยืดระยะเวลาชำระหนี้เงินต้น หรือยืดระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยจากสหกรณ์การเกษตร และ ธ.ก.ส. เท่ากับได้ยืดลมหายใจออกไปอีกระยะ”

ส่วนคนที่ไม่เข้าเงื่อนไขใดๆสักอย่างตามที่ว่ามา สมพรบอกว่า เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นก็ต้องบากหน้าไปรับจ้างทำงานก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้าน หรือรับจ้างทาสีที่ในเมือง หรือไม่ก็ไปรับจ้างทำความสะอาดคูคลอง หรือรับจ้างเรียงหินตามท้ายคลองระบายน้ำของกรมชลประทาน ตามแต่จะมีใครหรือหน่วยงานใดว่าจ้าง

แม้แล้งนี้หลายคนยังรอดได้ เพราะกินบุญเก่าจากเงินค่าขายถั่วฯรอบที่แล้ว แต่หากพ้นจากนี้ไป เมื่อบุญเก่าเริ่มร่อยหรอ แต่ยังแล้งยาว อะไรจะเกิดขึ้น และภาครัฐจะหาทางแก้กันอย่างไร.

 

วันยางพาราแห่งชาติ 2559 รุกแปรรูปแทนขายเป็นวัตถุดิบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/602392

 

10 เมษายนของทุกปี เป็น “วันยางพาราแห่งชาติ” มีมาแล้ว 12 ปี แต่ปีนี้จะเป็นปีแรกที่หน่วยงานด้านยางพาราของไทย 3 หน่วยงาน ได้ถูกควบรวมให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้มาทำหน้าที่จัดงานยางพาราแห่งชาติปีนี้ 9-10 เม.ย.59 ที่จังหวัดตรัง พื้นที่ปลูกยางต้นแรกของประเทศ ไทย…ภายใต้สถานการณ์ราคายางไม่สู้ดีนัก


“แม้ว่ายางพาราจะเผชิญกับปัญหาราคาตกต่ำ จากภาวะเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันปรับลดลง แต่ยางพารายังเป็นพืชที่มีความสำคัญต่อประเทศ มีเกษตรกรปลูกยางจำนวนมาก หลายล้านครัวเรือน มีพื้นที่ปลูกทั่วประเทศกว่า 22 ล้านไร่ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ผลักดันมาตรการช่วยเหลือชาวสวนยางออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งกู้วิกฤติให้เกิดความยั่งยืน ทั้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน่วยงานใหม่ มีโครงการแก้ไขปัญหายางพาราตามแนวทางพัฒนายางพารา 15 โครงการ เป็นแผนระยะกลางและแผนระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนายางพาราทั้งระบบ โดยเฉพาะการแปรรูปเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ยาง มากกว่าการที่จะส่งออกเป็นสินค้าวัตถุดิบป้อนโรงงานเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ยังมีแผนระยะสั้น เฉพาะหน้าเพื่อช่วยเหลือชาวสวนยางให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เช่น โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น”


นายเชาว์ ทรงอาวุธ รองผู้ว่าการ กทย. ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงานวันยางพาราแห่งชาติ ประจำปี 2559 เผยว่า การจัดงานวันยางแห่งชาติในปีนี้ จึงมีเป้าหมายต้องการสร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตรยางพาราที่ถูกต้อง และส่งเสริมการขับเคลื่อนประชารัฐแบบบูรณาการระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในด้านการพัฒนายางพาราทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนตามนโยบายรัฐบาล

และต้องการให้เกษตรกรมีความภาคภูมิใจในอาชีพการทำสวนยางพารา ตลอดจนตระหนักถึงความสำคัญของการแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง อุตสาหกรรม การตลาด ตลอดจนการพัฒนาสถาบันเกษตรกร


ดังนั้น การจัดงานในปีนี้จึงเน้นสัมมนาวิชาการเรื่อง “เสริมความรู้เพิ่มมูลค่า สร้างสังคมยางพาราอย่างยั่งยืน” ในวันที่ 9 เม.ย.นี้ ณ โรงแรมธรรมรินทร์ธนา จังหวัดตรัง โดยมีการเชิญเกษตรกร ตัวแทนจากสถาบันเกษตรกร ตัวแทนผู้ประกอบธุรกิจยางพาราและผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้มาบรรยายเรื่อง การส่งเสริมบทบาทผู้แทนเกษตรกรและผู้แทนสถาบันเกษตรกร ในการดำเนินงานส่งเสริมความรู้ด้านการพัฒนาสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง การส่งเสริมและพัฒนาความรู้ด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตและการตลาดยางพารา การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตพลังงานทางเลือก Green Rubber Energy เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม การแปรรูปผลผลิตด้านยางพารา เพิ่มมูลค่าผลผลิต เพื่อให้การพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางพาราเป็นไปได้อย่างยั่งยืน.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

เขื่อนอุบลรัตน์น้ำหมด! ชลประทานยัน..เอาอยู่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 7 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/601937

 

กรมชลประทานเตือนชาวอีสานอย่าเพิ่งตื่น ตระหนกกับกระแสข่าวน้ำหมดเขื่อนอุบลรัตน์ น้ำไม่หมดเขื่อนแน่ เคยทำมาแล้ว 2 ครั้ง น้ำไม่เคยหมดเขื่อน ยอมรับน้ำใช้การเหลือ 0% จริง แต่น้ำที่ระบายมาตอนนี้ เป็นเพียงแค่การดึงน้ำสำรองมาใช้ให้ถึง ก.ค. หลังจากนั้นเข้าสู่ภาวะปกติ ย้ำปล่อยน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค รักษาระบบนิเวศเท่านั้น ไม่เหลือทำการเกษตร


ดร.ทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เผยถึงสถานการณ์น้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ ล่าสุดหลังปริมาณน้ำที่สามารถนำไปใช้ได้จริง หรือน้ำใช้การเหลือ 0% หรือใช้ไม่ได้เลย ทำให้กรมชลประทานจำเป็นต้องใช้น้ำสำรอง หรือดึงน้ำก้นเขื่อนมาใช้เพื่อการอุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศ แต่จะไม่ปล่อยน้ำสำหรับทำการเกษตร

โดยได้เริ่มดึงน้ำก้นเขื่อนมาใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ขณะนี้มีปริมาณน้ำสำรองในเขื่อน 579 ล้าน ลบ.ม. หรือ 24% ของความจุเขื่อน จากน้ำสำรองทั้งหมด 581 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ขณะนี้มีน้ำใช้การเฉลี่ยติดลบ-2% (ตัวเลข ณ 5 เม.ย.59)


“เราต้องปล่อยน้ำวันละ 800,000 ลบ.ม.เพื่ออุปโภค บริโภค และรักษาระบบนิเวศเท่านั้น ไปจนสิ้น ก.ค.นี้ หลังจากนั้นคาดว่าฝนน่าจะตกตามฤดูกาล ตามการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดไปจากนี้ แล้วเราก็จะ พ้นวิกฤติ”

สำหรับการนำน้ำก้นเขื่อนมาใช้ ดร.ทองเปลว เผยว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อปี 2536 นำน้ำก้นเขื่อนมาใช้ 246 ล้าน ลบ.ม. ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2537 นำน้ำมาใช้ 240 ล้าน ลบ.ม. ส่วนครั้งนี้ ถ้าฝนมาตามที่คาดไว้ น่าจะใช้น้ำก้นเขื่อนไม่เกิน 180 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งถือว่าน้อยกว่า 2 ครั้งที่ผ่านมา


ทั้งนี้ ยอมรับว่าเหตุการณ์ภัยแล้งครั้งนี้วิกฤติที่สุดในรอบ 20 ปี น้ำใช้การในเขื่อนหลักอื่นๆ ไม่ต่างกัน เขื่อนภูมิพลเหลือน้ำใช้การ 4% เขื่อนสิริกิติ์เหลือน้ำใช้การ 12% เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนเหลือน้ำใช้การ 27% เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เหลือน้ำใช้การ 31% แต่ยังไม่มีเขื่อนใดวิกฤติเท่าเขื่อนอุบลรัตน์ ที่ต้องดึงน้ำสำรองก้นเขื่อนมาใช้.

 

“สมอพิเภก” คุณค่าดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 7 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/601940

 

ไม้ต้นนี้ เป็นไม้มีขึ้นเฉพาะถิ่นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าธรรมชาติในทุกๆภาค และในยุคสมัยก่อนนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายตามวัดวาอาราม เนื่องจากเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ใบดกหนาแน่นให้ร่มเงาดีมากนั่นเอง มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ TERMINALIA BELLIRICA (GAERTN) ROXB ชื่อสามัญ BELERIC MYROBALAN อยู่ในวงศ์ COMBRETACEAE เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูง 20-35 เมตร กิ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรูปไข่กลับหรือรูปรี ปลายมนหรือเป็นติ่งสั้น โคนสอบเป็นรูปลิ่ม ผิวใบด้านบนมีขนสีน้ำตาลอ่อน เมื่อใบโตเต็มที่ขนจะหลุดและหายไป บริเวณกลางก้านใบจะมีตุ้ม 1 คู่

ดอก ออกเป็นช่อเดี่ยวๆตามซอกใบหรือตามกิ่งก้าน ปลายช่อดอกห้อยลง ช่อยาว 10-15 ซม. มีกลีบเลี้ยงขนาดเล็กจำนวน 5 แฉก ไม่มีกลีบดอก มีเกสรตัวผู้ 10 อัน ดอกเป็นสีขาวแกมเหลืองอ่อน “ผล” รูปกลมหรือรี มีพูตื้นๆ 5 พู ผิวผลมีขนสีน้ำตาลหนาแน่น มีเมล็ด 1 เมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีชื่อเรียกอีกคือ ลัน, สมอแหน, สะคู้, แหน, แหนขาว, แหนต้น, สมอใหญ่ และ ลูกหมอพ่อยักษ์

ประโยชน์ เปลือกต้นใช้ฟอกหนังย้อมผ้าให้สีเขียวขี้ม้า เนื้อไม้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำหีบเครื่องมือเกษตรและต่อเรือ

ทางสมุนไพร ผลอ่อนมีรสเปรี้ยวกินแก้ไข้ แก้ลม ผลแก่รสฝาดแก้โรคตา บำรุงธาตุ แก้ไข้ แก้ริดสีดวงทวาร เมล็ดในกินแก้บิด ใบสดตำพอกบาดแผลสด เปลือกต้นต้มน้ำดื่มขับปัสสาวะ รากแก้โลหิตพิการทำให้ร้อน

ปัจจุบันต้น “สมอพิเภก” มีขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 21 แผง “คุณพร้อมพันธุ์” ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย สามารถสร้างระบบนิเวศได้ดีครับ.

“นายเกษตร”