ข้าวพองไรซ์เบอร์รี่ นวัตกรรมหนีตลาด..แห่กันปลูก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 1 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/598950

 

“เรียนจบโรงเรียนการบิน ทำงานกับการบินไทย แผนกต้อนรับภาคพื้นดิน เพื่อหาประสบการณ์ ถึงจะเป็นงานที่สาวๆหลายคนใฝ่ฝัน นึกว่ารายได้ดี แต่สำหรับตัวเองทำงานทั้งปีมีเงินเก็บ 40,000 บาทแค่นั้น ซื้อมอเตอร์ไซค์สักคันยังไม่ได้ ต่างกับพ่อแม่ ถึงจะเป็นชาวนา แต่สามารถส่งลูกเรียนไม่มีหนี้สิน หากกลับมาทำนา เอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ ต้องดีกว่าเป็นมนุษย์เงินเดือน”


ปรารถนา ม่วงงาม ชาวบ้านวังยาง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี สาววัย 29 ปี…คิดได้อย่างนี้ จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ กลับมาเป็นสาวบ้านนาตามอย่างพ่อแม่ เพราะตัวเองเป็นโรคขาดวิตามิน ทำให้ต้องกินวิตามินตามแพทย์สั่งตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคปากนกกระจอก กระทั่งพ่อไปประชุมหมู่บ้านแล้วกลับมาบอกว่า ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ให้วิตามินสูง ถ้ากินสม่ำเสมอจะแก้ปัญหาได้

เพราะกลัววิตามินสกัดเป็นเม็ดจะส่งผลต่อระบบตับไต เธอจึงเปลี่ยนมากินข้าวไรซ์เบอร์รี่ ปรากฏปากไม่เป็นแผล…เห็นถึงข้อดีมีจริง เลยคิดปลูกไว้กินเอง ในพื้นที่ 4 ไร่ เหลือนำไปขาย ช่วงปีแรกอาจเป็นเพราะคนยังปลูกข้าวชนิดนี้ไม่มาก ทำให้ขายได้ราคา กก.ละ 150 บาท

แต่ไปๆมาๆ คนเฮโลแห่กันปลูกมากขึ้น ปี 2556 ราคาลดฮวบเหลือแค่ 60-80 บาท มัวแต่เอาข้าวกรอกใส่ถุงขายไปไม่รอดแน่…จะอยู่ให้ได้ต้องพึ่งพาการแปรรูป ยกราคาข้าวให้สูงขึ้น


เริ่มแรกนำข้าวไรซ์เบอร์รี่มาทำซูชิญี่ปุ่น ขนมคัพเค้ก ออกร้านขายตามงานต่างๆ…แต่ต้องทำกันวันต่อวัน เพราะขายภายในวันเดียวไม่หมด มีสิทธิ์ขาดทุนย่อยยับ… ต้องคิดหาวิธีแปรรูปสินค้าใหม่ ที่เก็บไว้ได้หลายวัน

หันไปหันมา นึกถึงข้าวพองขนมยอดนิยมในอดีต แต่มีข้อเสีย กระบวนการผลิตแบบดั้งเดิม ต้องนำไปทอดในน้ำมัน แล้วยังต้องราดน้ำตาลหยอดหน้าเพิ่มความหวาน…คนรักสุขภาพยุคนี้ไม่นิยม ไม่ซื้อแน่ เพราะอุดมไปด้วยน้ำมันและน้ำตาล โรคอ้วน หัวใจ ความดันฯ เบาหวาน มาเยี่ยมแน่


เลยค้นหาวิธีทำข้าวพองแบบใหม่…ใช้เทคโนโลยีอัดแผ่นด้วยความร้อน ไม่ต้องทอดด้วยน้ำมัน…ส่วนเรื่องหวาน ใช้หญ้าหวานทดแทนน้ำตาลทราย นอกจากจะไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ยังช่วยลดน้ำตาลในเลือด เหมาะกับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน

นำข้าวสารไรซ์เบอร์รี่เทใส่เครื่องอัดด้วยความร้อนให้ออกมาเป็นแผ่น ข้าวสาร 1 กก. อัดเป็นแผ่นข้าวพองได้ 300 ชิ้น บรรจุใส่แพ็กเกจจิ้งได้ 10 กระปุก…ช่วยเพิ่มมูลค่าข้าวไรซ์เบอร์รี่ จาก กก.ละ 80 บาท ขึ้นมาเป็น 1,300 บาท


และเพื่อให้มีสินค้าป้อนตลาดได้ทั้งปี ปรารถนา จึงรวมกลุ่มชาวบ้านปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ ส่วนหนึ่งแบ่งทำข้าวถุง อีกส่วนแปรรูปเป็นข้าวพองไร้ไขมัน ส่งร้านค้าด้านสุขภาพ ร้านดอยคำ และ รพ.สุพรรณบุรี…แค่เริ่มต้น แต่ละเดือนมียอดส่ง 500 กระปุก ทำเงินได้ 4-5 หมื่นทุกเดือน.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

“พริกไทยซีลอนพุ่มเตี้ย” ปลูกกระถางผลดกคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 1 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/598921

 

ปัจจุบัน การปลูกพืชครัวกำลังเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ในสังคมคนเมือง โดยส่วนใหญ่จะนิยมปลูกลงกระถางเพื่อเก็บใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆ และ “พริกไทยซีลอนพุ่มเตี้ย” จัดเป็นพืชครัวชนิดหนึ่งที่ผู้ปลูกชอบปลูกกันมาก เนื่องจากปลูกแล้วใช้นํ้าน้อย สามารถปลูกลงกระถางตั้งในที่มีแสงแดดส่องถึงทั้งวัน มีดอกและติดผลดก เก็บผลสดรับประทานได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องควักเงินไปซื้อเขากินให้เปลืองสตางค์และคุ้มค่ามาก นั่นเอง

พริกไทยซีลอนพุ่มเตี้ย เกิดจากการพัฒนาพันธุ์จากพริกไทยซีลอนดั้งเดิมที่เป็นไม้เถาเลื้อยจนได้กลายพันธุ์เป็นพริกไทยใหม่ มีลักษณะแตกต่างจากพริกไทยซีลอนดั้งเดิมอย่างชัดเจนคือ ได้กลายเป็นไม้พุ่มเตี้ย ไม่เป็นไม้เถาเลื้อยเหมือนลักษณะทางพฤกษศาสตร์เดิม ที่สำคัญจะมีดอกและติดผลดกแบบไม่ขาดต้นเกือบตลอดทั้งปีอีกด้วย จึงถูกตั้งชื่อว่า “พริกไทยซีลอนพุ่มเตี้ย” ดังกล่าว

พริกไทยซีลอนพุ่มเตี้ย หรือ PEPPER PIPER NIGRUM LINN. อยู่ในวงศ์ PIPER-ACEAE เป็นไม้พุ่ม สูงไม่เกิน 1 เมตร ลำต้นเป็นข้อโป่งนูน มีรากฝอยตามข้อ ใบออกเรียงสลับรูปรีแกมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ดอก เป็นดอกแยกเพศ ออกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกสีขาวแกมเขียว “ผล” รูปทรงกลม เรียงตัวแน่นตามแกนช่อจำนวนมาก ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่หรือสุกเป็นสีแดงหรือคลํ้า รสเผ็ดร้อนมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว นิยมเอาผลสดหรือแห้งปรุงอาหารหลากหลายอย่างทั่วโลก เป็นเครื่องเทศ เป็นสมุนไพร และมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตมนุษย์อย่างมาก มีดอกติดผลเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำต้น

ใคร ต้องการต้นแท้ ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร. 08-8533-2299 ราคาสอบถามกันเอง สามารถปลูกลงกระถางมีดอกและติดผลดกได้เหมือนกับการปลูกลงดินทุกอย่าง ต่างจังหวัดผู้ขายจัดส่งทางไปรษณีย์ได้ด้วยครับ.

“นายเกษตร”

 

ถั่วเขียวแทนข้าวกำไรไร่ละสองพัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 มี.ค. 2559 05:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/598401

 

จากการที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งปี 2558/59 ในเขตลุ่มเจ้าพระยา 22 จังหวัด

น.ส.เยาวรี มั่นรอด เกษตรกรหมู่ 7 ต.ท่างาม อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี หนึ่งในเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนี้ เผยว่า ได้ร่วมโครงการนี้มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยได้รับการสนับสนุนเมล็ดถั่วเขียวพันธุ์ชัยนาท 72 มาปลูกทดแทนข้าว ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ครั้งแรกของชีวิตชาวนาที่นี่ ช่วงแรกๆกลัวจะไม่ประสบความสำเร็จ ปลูกแล้วตาย ผลผลิตออกมาไม่ดี ขายไม่ได้ แต่หมดความกังวลใจเมื่อมีเจ้าหน้าที่เกษตรตำบลมาคอยดูแลให้คำแนะนำ สนับสนุนเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตทั้งหมด จึงเป็นการสร้างรายได้ที่ดีกว่าการปลูกข้าวอย่างชัดเจน

 

มะพร้าวแก่ศัตรูเยอะ หนุนปลูกพันธุ์ชุมพร 2

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 มี.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/598393

 

น.ส.จริยา สุทธิไชยา รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยว่า แหล่งปลูกมะพร้าวที่สำคัญของประเทศไทยมี 4 จังหวัด คือ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ปัจจุบันต้นมะพร้าวมีอายุมากกว่า 50 ปี ทั้งยังเกิดปัญหาเสื่อมโทรมจากแมลงศัตรูมะพร้าว เช่น แมลงดำหนาม และหนอนหัวดำ ระบาดเข้ากัดกินยอดมะพร้าว สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตเป็นจำนวนมาก ยากต่อการเยียวยาและฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ฉะนั้น ทางภาครัฐได้จัดโครงการเพิ่มศักยภาพการปลูกมะพร้าวพันธุ์ดีทดแทนสวนมะพร้าวเก่า โดยกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ หรือกองทุน FTA ได้สนับสนุนงบประมาณแก่เกษตรกร


ขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรผู้รับผิดชอบจัดกิจกรรมของโครงการได้เริ่มคัดเลือกสวนมะพร้าวเก่าที่มีอายุมากกว่า 40 ปี อยู่ในพื้นที่แมลงศัตรูมะพร้าวเคยระบาดและทำลายต้นเสียหาย พร้อมแจกฟรีต้นกล้ามะพร้าวพันธุ์ชุมพร 2 ให้เกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการรายละ 2 ไร่ ไร่ละ 270 ต้น เพราะเป็นพันธุ์โตไว แค่ 4 ปีครึ่งก็ให้ผลผลิตได้แล้ว และเมื่ออายุ 10 ปีจะให้ผลผลิตสูงถึง 1,800 ลูกต่อปีต่อต้น ปลูกง่ายทนต่อโรคและแมลง ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 250 ราย เกษตรกรสนใจสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร 0-7755-6073, 0-7755-6194.

 

กฟก.ลั่นกลองประชารัฐ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 31 มี.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/598396

 

…หนี้เป็นหน้าที่เราต้องแก้ปัญหาให้เกษตรกรอยู่แล้ว แต่ปัญหาสำคัญขณะนี้ อยู่ที่จะทำอย่างไรให้เกษตรกรไทยมีความหวังในอาชีพ นับจากนี้ไปปีครึ่ง ขอให้ทุกคนร่วมใจผลักดันโครงการประชารัฐ ปฏิรูปภาคเกษตร ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเลือกตั้ง…

บางส่วนในคำปาฐกถาของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการบริการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ในการสัมมนาแนวทางขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งและยั่งยืน…เป็นสัญญาณ กฟก. ออกสตาร์ตฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรด้วยแนวทางประชารัฐ

โดยมีภาครัฐและประชาชน อันประกอบด้วย ภาคธุรกิจเอกชน และเกษตรกร ร่วมกันปฏิรูปในแนวทางที่เกษตรกรตัดสินใจเลือกทำเอง…ไม่ใช่รัฐเป็นผู้กำหนดสั่งให้ทำอย่างในอดีต

แนวทางขับเคลื่อน นายวัชระพันธุ์ จันทรขจร เลขาธิการ กฟก. แจกแจงจะฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรร่วมกับกองทุนหมู่บ้าน สนับสนุนเรื่องแหล่งน้ำ ปัจจัยพื้นฐานสำคัญของเกษตรกร แต่พื้นที่ไหนไม่มีปัญหาจะมีการต่อยอดฟื้นฟูอาชีพ ตามความต้องการของเกษตรกร ในแบบสอดคล้องกับความต้องการตลาด

เพราะได้มีการประสานข้อมูลเชื่อมโยงตลาดในพื้นที่ ทั้งจาก ปตท. ที่มีปั๊มน้ำมันให้เป็นจุดจำหน่ายสินค้า จากทางจังหวัด เปิดตลาดให้เกษตรกรนำสินค้ามาจำหน่าย รวมทั้งหอการค้าจังหวัด เพื่อนำข้อมูลความต้องการสินค้ามาให้เกษตรกรตัดสินใจเลือกว่าต้องการผลิตสินค้าแบบไหน ที่มีตลาดรองรับ ไม่มีปัญหาเรื่องล้นตลาด

นอกจากนั้นยังจะมีการทำตลาดแบบอีคอมเมิร์ซ ให้เกษตรกรขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อสินค้าสามารถส่งขายต่างประเทศได้ และขณะนี้การประสานไปยังตลาดตะวันออกกลาง ประเทศโอมานต้องการถั่วเขียว ถั่วเหลือง นี่ก็จะเป็นอีกหนึ่งในข้อมูลให้เกษตรกรเลือกผลิต

ส่วนการขับเคลื่อนจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน เลขาธิการ กฟก.ขอเวลา 3 เดือนนับจากนี้ จะสรุปผลการขับเคลื่อนประชารัฐ อุปสรรคปัญหาอยู่ตรงไหน เนื่องจากโครงการนี้เป็นการทำงานบูรณาการร่วมกันหลายหน่วยงาน

เลยต้องดูให้ชัดๆ ใครขยันขับหรือขยันขี่ จะได้ปรับจูนให้ก้าวเดินไปพร้อมๆกัน…เพื่อพี่น้องเกษตรกรไทย ไชโย.

สะ–เล–เต

 

“เข็มออสเตรเลีย” ดอกสวยใบแปลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 31 มี.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/598398

 

เข็มชนิดนี้ มีต้นวางขาย แต่ละต้นปลูกในกระถางดำกว้างประมาณ 1 ฟุต ต้นสูงแค่ฟุตกว่าๆ มีดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ ลักษณะดอกเหมือนดอกเข็มทั่วไปทุกอย่าง สีสันของดอกสวยงามมาก และที่แปลกและแตกต่างจากต้นเข็มทั่วไปได้แก่ ใบของต้นเข็มดังกล่าวจะมีความยาวและมีขนาดใหญ่ไม่เหมือนใบของต้นเข็มทั่วไปอย่างชัดเจน ผู้ขายบอกว่า เป็นต้นเข็มใหม่นำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย จึงถูกตั้งชื่อว่า “เข็มออสเตรเลีย” ส่วนชื่อเฉพาะและชื่อวิทยาศาสตร์ผู้ขายไม่รู้ “นายเกษตร” เห็นว่าดอกสวยใบแปลกจึงแนะนำให้รู้จักตามระเบียบ

เข็มออสเตรเลีย เท่าที่ดูจากต้นจริงและสอบถามผู้ขายประกอบพอจะระบุลักษณะทางพฤกษศาสตร์ได้ดังนี้คือ เป็นไม้พุ่มสูง 1-1.5 เมตร แตกกิ่งก้านโปร่งๆ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามหนาแน่นในช่วงปลายยอด ก้านใบสั้น ใบแปลกกว่าใบของต้นเข็มทั่วไปตามที่กล่าวข้างต้นคือ ใบเป็นรูปใบหอกหรือรูปรียาวประมาณครึ่งฟุต ปลายแหลม โคนสอบ สีเขียวสด ซึ่งใบของต้นเข็มทั่วไปจะรีป้อมสั้นและมีขนาดเล็กกว่าชัดเจน

ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกเป็นหลอดเชื่อมติดกันขนาดเล็ก ปลายแยกเป็นกลีบดอก 4-5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 4 อัน กลีบดอกเป็นสีแดงอมชมพู เวลามีดอกหลายๆช่อและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามสดใสมาก “ผล” รูปค่อนข้างกลม เมื่อผลสุกเป็นสีคลํ้า ภายในมีเมล็ด ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่งและปักชำกิ่ง

ปัจจุบัน “เข็มออสเตรเลีย” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2 แผง “ป้าแอ๊ด-คุณขวัญ” ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกทั้งแบบลงดินกลางแจ้งจำนวนหลายๆต้น และปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งประดับในที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน รดนํ้าบำรุงปุ๋ยสมํ่าเสมอ เวลามีดอกจะสวยงามสดใสมากครับ.

“นายเกษตร”

 

“มะนาวนิ้วมือ” แหล่งใหญ่ มีเกือบทุกสีขาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 30 มี.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/597785

 

การปลูกพืชใช้นํ้าน้อย เป็นเรื่องที่ผู้ปลูกต้องเน้นหนัก เนื่องจากประเทศไทยบ้านเราตอนนี้กำลังประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก ซึ่ง “มะนาวนิ้วมือ” เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ปลูกแล้วใช้นํ้าน้อยโดยธรรมชาติ มีมากกว่า 20 สายพันธุ์ แต่ละพันธุ์จะมีความแตกต่างกันที่สีของเปลือกผลกับสีของเนื้อในผล เช่น สายพันธุ์ที่เปลือกผลเป็นสีแดง เนื้อในผลจะเป็นสีเดียวกัน ขณะที่สายพันธุ์เปลือกผลเป็นสีเขียวอมดำ เนื้อในกลับเป็นสีขาวใส และชนิดเปลือกผลเป็นสีเหลือง เนื้อในจะเป็นสีแดงอมชมพูหรือสีเหลืองและสีม่วง เป็นต้น ส่วนรสชาติเปรี้ยวมีกลิ่นหอมเหมือนกันทุกอย่าง

มะนาวนิ้วมือ เป็นไม้พื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย พบขึ้นตามป่าที่เป็นทะเลทรายทั่วไป มีชื่อว่า AUSTRALIAN FINGER LIME, CAVIER LIME เป็นไม้พุ่ม สูง 3 เมตร ใบเล็ก ออกเรียงสลับ รูปรีกว้าง ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกสีขาว “ผล” รูปกลมยาวประมาณ 8-16 ซม. ดูเหมือนกับนิ้วมือมนุษย์ จึงถูกเรียกว่า “มะนาวนิ้วมือ” ส่วนเนื้อในผลเป็นเม็ดกลมใสๆจำนวนมาก ดูคล้ายไข่ปลาคาเวียร์ เลยถูกเรียกอีกชื่อว่า “มะนาวคาเวียร์” และเรียกชื่อรวมๆในประเทศไทยว่า “มะนาวนิ้วคาเวียร์” ภายในผลที่มีเม็ดกลมใสๆ จะมีนํ้าเป็นสีสันตามแต่ละสายพันธุ์ที่ระบุข้างต้น ตัวเม็ดดังกล่าวจะไม่ติดกับเปลือกผล เมื่อผ่าผลแล้วสามารถใช้ช้อนตักเอาเม็ดเคี้ยวในปากได้เลย มีเสียงดังเป๊าะแป๊ะๆ รสชาติไม่เปรี้ยวจัดมากนัก มีกลิ่นหอมรับประทานอร่อยมาก ในต่างประเทศนิยมนำไปปรุงอาหารคาวหวานหลากหลายชนิด ในประเทศไทยมีผลวางขายตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆหลายแห่ง ราคาไม่ตํ่ากว่า 200 บาทต่อ 1 กิโลกรัมขึ้น มีดอกและติดผลดกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอดกับตอส้มโอ

ใคร ต้องการต้นแท้มีเกือบทุกสายพันธุ์ ติดต่อ “สวนณัฐมะนาวนิ้ว” โทร. 09-5593-2468, 08-6383-3061 ราคาเริ่มตั้งแต่ 150 บาทขึ้นไปตามขนาดของต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป เป็นพืชใช้นํ้าน้อยโดยธรรมชาติ ปลูกแล้วเก็บผลกินหรือขายสุดคุ้มครับ.

“นายเกษตร”

 

เลี้ยงโคพีพอดในบ่อดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/597795

โดย สะ-เล-เต 30 มี.ค. 2559 05:01

 

โคพีพอด…แพลงก์ตอนหรือไรน้ำกร่อย เป็นอาหารที่สัตว์น้ำวัยอ่อนขาดไม่ได้…และเดิมทีไทยเราไม่สามารถเพาะเลี้ยงเองได้ ต้องหาตามธรรมชาติ

แต่วันนี้กรมประมง โดย ดร.พิชญา ชัยนาค นักวิชาการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งภูเก็ต ประสบความสำเร็จเพาะเลี้ยงโคพีพอดในบ่อดินได้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย!!!

วิธีการเพาะขยายพันธุ์ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยาก ดร.พิชญา แนะให้เริ่มที่เตรียมบ่อ ทำคอกใส่ปุ๋ย ทำโพงพางในบ่อดินเพื่อดักเก็บโคพีพอด โรยปูนขาว ปรับปรุงดินพื้นบ่อ ติดตั้งระบบให้อากาศ หมุนเวียนน้ำ เปิดน้ำเข้าบ่อให้ได้ระดับ 30-50 ซม.

น้ำที่นำมาใช้เลี้ยงควรมีความเค็ม 15-30 PM ความเป็นกรด-ด่าง 7-8 PM

จากนั้นโรยกากชา 20-25 กก.ต่อไร่ เพื่อกำจัดลูกกุ้ง ลูกปลาที่ติดมากับน้ำ แช่ทิ้งไว้ 3-5 วัน จากนั้นใส่ปุ๋ยคอก เพื่อสร้างอาหารให้โคพีพอด น้ำจะเริ่มมีสีเขียวไปเรื่อยๆ จากนั้นให้ชักน้ำเข้าบ่อจนได้ระดับ 1.6-1.8 เมตร รอจนน้ำเป็นสีเขียวอมน้ำตาล

ทิ้งไว้ 3-5 วัน นำพ่อแม่พันธุ์โคพีพอดจากทะเลมาลงบ่อ เลี้ยงไป 3-4 สัปดาห์…จึงจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ด้วยการเปิดใบพัดตีน้ำให้หมุนวนพัดพาโคพีพอดเข้าถุงโพงพาง ตักเก็บโคพีพอดด้วยสวิง…เก็บเกี่ยวไปได้ 5-7 วัน ปริมาณโคพีพอดจะเริ่มลดลง ให้เติมปุ๋ยคอก เศษปลาสดตามปริมาณโคพีพอดที่มีอยู่ในบ่อ

โคพีพอดมีมากให้มาก มีน้อยให้น้อย แต่ไม่ควรเกินครึ่งหนึ่งของการเติมครั้งแรก เพื่อสร้างอาหารเลี้ยงโคพีพอดที่เหลือให้ออกลูกออกหลาน…โคพีพอดจะเพิ่มจำนวนขึ้นภายใน 7-8 วัน

การทดลองเพาะเลี้ยงของศูนย์วิจัยฯ ใช้บ่อขนาด 4 ไร่ ลึก 2 เมตร สามารถผลิตโคพีพอดได้เดือนละ 100-120 กก. โดยมีราคาขายอยู่ที่ กก.ละ 300 บ. รายได้เดือนละสามหมื่นกว่า ถือเป็นอีกทางเลือกของอาชีพที่น่าสนใจ

และขณะนี้ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งภูเก็ต ได้เตรียมต่อยอดเลี้ยงโคพีพอดความหนาแน่นสูงในถังไฟเบอร์กลาส เพื่อให้เหมาะกับเกษตรกรมีพื้นที่จำกัด สามารถเพาะเลี้ยงเป็นอาชีพได้ สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-7662-1822.

สะ-เล-เต

วิศวกรชวนเลี้ยงไส้เดือน อีกทางเลือกฝ่าวิกฤติแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/597839

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 มี.ค. 2559 05:01

 

เลี้ยงไส้เดือนอาจไม่ใช่เรื่องแปลก…แต่หากวัยรุ่นเพิ่งผ่านเบญจเพสหมาดๆ ดีกรีจบวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอม เกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เลี้ยงไส้เดือนได้ดิบได้ดี จนมีแบรนด์ปุ๋ยไส้เดือนของตัวเอง มีรายได้หลักแสน หลายท่านอาจต้องอึ้ง

“เลี้ยงไส้เดือนมา 5 ปีแล้ว ตอนแรกทำงานตามวิชาที่เรียนมา แต่เมื่อเราเป็นลูกชาวนา ผูกพันกับเกษตรตั้งแต่เด็ก จึงคิดทำเกษตรอินทรีย์ เริ่มจากพืชหลายชนิด จนได้คำตอบ จะปลูกพืชให้ดีได้ ดินต้องดี จึงหันมาเลี้ยงไส้เดือนทำปุ๋ย ทำไปทำมาปุ๋ยมูลไส้เดือนรายได้ดีกว่าปลูกพืชผัก เลยยึดเป็นอาชีพหลัก”

ส่วนทำอย่างไรจนก้าวสู่เจ้าของปุ๋ยมูลไส้เดือน ด้วยกำลังผลิตเดือนละกว่า 10 ตัน สร้างรายได้หลักแสน ศราวุฒิ มลิชัย แห่งสติฟาร์ม อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี บอกที่นี่ไม่เน้นเลี้ยงไส้เดือนหนาแน่น เพราะเน้นเอามูลทำปุ๋ย หากปล่อยหนาแน่น ขยายพันธุ์เร็ว อาหารหมดเร็ว ภาชนะเลี้ยงแออัด เสียเวลาแบ่งออกเลี้ยง ไม่เอื้อต่อพื้นที่จำกัด

การเลี้ยงจึงใช้กะละมังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 ซม. เจาะรูก้นกะละมัง เพื่อให้น้ำที่รดไหลลงบ่อพักแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ ปล่อยไส้เดือนกะละมังละ 200 ตัว หรือราว 2 ขีด…พื้นที่ 1 งาน เลี้ยงได้ 3,000 กะละมัง ทำชั้นวางกะละมัง 5-6 ชั้น เหมือนคอนโดฯ แต่อย่าให้สูงมาก ควรอยู่ในระดับสายตา เพื่อจะได้ทำงานง่าย

ใส่มูลวัวเกือบเต็มกะละมังเหลือขอบไว้ 1 นิ้ว แช่น้ำ 1 คืน จากนั้นเทน้ำออก รดน้ำทุกวันต่อไปอีก 14 วัน รักษาความชื้นพอหมาด ห้ามแฉะเกินไป ช่วงนี้มูลวัวจะระบายความร้อนออกมา…ให้สังเกตเมื่อมูลวัวหายร้อน จึงปล่อยไส้เดือนลงกะละมัง ให้เศษอาหารเหลือเสริมบ้างเป็นบางครั้ง แต่ต้องไม่ให้อาหารรสจัดหรือเป็นกรด ไส้เดือนไม่ชอบ

การดูแลไม่มีอะไรยุ่งยาก เพราะมีมูลวัวเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว แค่ใช้สายยางสูบน้ำจากบ่อกักเก็บน้ำ รดอาทิตย์ละครั้ง พอชุ่ม เฉลี่ยใช้น้ำกะละมังละแค่ 2 ขันต่อสัปดาห์ กับเสียค่าไฟเดือนละ 800 บาท

ต้องเปิดไฟตอนกลางคืน เพราะมืดเมื่อไร ไส้เดือนจะคลานออกมาเพ่นพ่านหายหมด เปิดไฟแล้วเลี้ยงง่ายไม่ต้องกลัวไส้เดือนหาย ไม่ต้องปิดฝา และอีกอย่างไส้เดือนไม่ชอบแฉะ เพราะจะนึกว่าน้ำท่วมต้องหาที่อยู่ใหม่ และถ้าร้อนไปก็เหมือนกัน

เลี้ยงไปราว 1-2 เดือน เมื่อเห็นมูลไส้เดือน ก้อนสีดำเล็กๆผุดเต็มไปหมด ได้เวลาเก็บเกี่ยว แต่ควรงดให้น้ำ 7-14 วัน เพื่อให้กะละมังแห้งเก็บมูลได้ง่าย จับตัวไส้เดือนออก ตักมูลร่อนตะแกรงแยกสิ่งเจือปน…1 กะละมังจะได้มูลไส้เดือน 4-5 กก. ผึ่งลมสักครู่ รวบรวมพร้อมบรรจุถุงขาย กก.ละ 10 บาท

พื้นที่ 1 งาน เวลาแค่ 2 เดือน เงินแสนรออยู่ตรงหน้า ใช้น้ำไม่ถึง 50 คิว น้อยกว่าปลูกพืชน้ำน้อย…แต่ทำเงินได้มากกว่า

สุดท้าย ศราวุฒิ ฝากเตือน คิดจะทำเกษตรไม่ว่าอะไร ถ้าคิดแต่จะแห่ตามกัน เจ๊งมานักต่อนัก ฉะนั้นจะทำอะไร ให้ทำที่ชอบ ที่เอาไปใช้ได้เอง ได้ผลผลิตมาก มีตลาดรับซื้อ แล้วถึงค่อยคิดขยาย…นกน้อยอย่าทำรังใหญ่เกินตัว.

กรวัฒน์ วีนิล

กีฬาสีเลือกข้าง…เกษตรกรพัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/597329

โดย สะ-เล-เต 29 มี.ค. 2559 05:01

 

มาว่ากันต่อกรณีผู้อ่านตั้งข้อสังเกตบทความเขียนติติงนโยบายเกษตรอินทรีย์ของรัฐบาลที่นำเสนอในคอลัมน์นี้ว่า ผู้เขียนมีผลประโยชน์ผูกติดกับพ่อค้าปุ๋ยเคมี

เลยมีคำถามว่าปุ๋ยเคมีไม่ดีตรงไหน…ไม่ดีเพราะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในพืชผักหรือ

คำตอบไม่น่าจะใช่ เพราะแม้แต่สินค้ามาตรฐานสูงอย่างข้าวหอมมะลิ ที่ได้ตรารับรองจีไอจากสหภาพยุโรปยังให้ใช้ได้…ปุ๋ยเคมีไม่ใช่สารกำจัดศัตรูพืช

ถ้าอย่างนั้นเรารังเกียจเพราะอะไร…ยิ่งใช้ ยิ่งใส่ปุ๋ยเคมี เกษตรกรยิ่งเป็นหนี้ ผลผลิตไม่ได้งอกเงยเพิ่มขึ้น มีแต่ทำให้ดินเค็ม ดินทึบ ดินแน่น

นี่น่าจะเป็นคำตอบตรงจุดมากที่สุด

เลยมีคำถามอีกว่า…ปุ๋ยเคมีมีธาตุอาหารมาก แต่ทำไมเกษตรกรไทยใช้ไปแล้วไม่ได้

จะว่าอะไรไหมที่จะตอบกันแบบกวนๆ นั่นเป็นเพราะนิสัยชอบเลือกข้าง แข่งกีฬาสีจนบ้านเมืองวุ่นวาย…ใครบอกว่าปุ๋ยเคมีดีก็แห่ใช้แต่ปุ๋ยเคมี เขาบอกอินทรีย์ ก็ยึดถืออินทรีย์ตะพึดตะพือ

ทั้งที่ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรดีไปหมด หรือเลวไปหมด ทุกอย่างต้องพอดี…ไม่ต้องอะไรมาก ข้าวที่เรากินกันทุกวันดีไหม แต่ถ้ากินมากเกินไปก่อให้เกิดโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ

ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ก็เช่นกัน…มีทั้งข้อดีข้อด้อย และในทางวิชาการเป็นที่ยอมรับ การปลูกพืชให้ได้ผลผลิตดีที่สุดต้องใช้ทั้งเคมีและอินทรีย์ร่วมกัน ไม่ใช่เล่นกีฬาสีแบ่งข้าง ใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่ง

นี่ต่างหากปัญหาของการทำเกษตรในบ้านเรา…ก่อนจะปลูกพืชเกษตรกรมีการวิเคราะห์ดินของตัวเองไหมว่าขาดอะไรแค่ไหน เพื่อจะได้ใส่ทั้งอินทรีย์และเคมีได้พอดี เคยไหมที่จะนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในอาชีพตัวเอง

และที่คุยนักคุยหนา เกษตรอินทรีย์ที่ทำๆกันนั้น ทำไปแล้วจะขายให้ใคร ถ้าใช้มาตรฐานแบบที่กำลังคิดทำกัน มีคนบอกว่าขายได้แค่ในประเทศ เพราะไม่ได้มาตรฐานที่ IFOAM ยอมรับ…ส่งเสริมให้ทำทั่วประเทศ สินค้าล้นตลาดจะเกิดอะไรขึ้น

นี่ยังไม่ได้พูดถึงอินทรีย์สวมแปลง สวมใบอนุญาต เพราะระบบตรวจสอบของทางการทำได้แค่ตรวจรับรองแปลงปลูก ยังไม่ถึงขั้นรับรองผลผลิต จึงสามารถเอาสินค้านอกแปลงมาสวมได้…แล้วอย่างนี้จะเป็นเกษตรอินทรีย์ปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคเหรอ สุดท้ายเกษตรกรเจ๊ง ทำเกือบตายได้ราคาเท่าทำเกษตรทั่วไป.

สะ–เล–เต