ชาวไร่มันฯ ต้องเปลี่ยน ใช้น้ำหยดได้ไร่ละ 8 ตัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/597334

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 มี.ค. 2559 05:01

 

สภาพอากาศแห้งแล้ง เกษตรกรหลายพื้นที่ไม่พร้อมปรับเปลี่ยนปลูกพืชใช้น้ำน้อย โดยเฉพาะชาวไร่มันสำปะหลังที่กำลังวิตกกังวล ลงท่อนพันธุ์ไปแล้วรอดจากอาการแห้งตายคาท้องร่องได้หรือไม่ นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร แนะการทำเกษตรในช่วงวิกฤตินี้ จะให้ได้ผลดี เกษตรกรต้องทำเกษตรแบบประณีต ดูแลตัวพืช สภาพดิน และใช้เทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนดี ไม่ใช่ยึดการทำเกษตรแบบดั้งเดิม การทำไร่มันสำปะหลัง หากต้องการให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูง ควรเริ่มตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์

ขณะนี้มีพันธุ์เด่น 2 สายพันธุ์ ระยอง 7 คุณภาพแป้ง 27-29% หัวมันมีสีเปลือกขาวนวล ผลผลิต 6 ตันต่อไร่ กับ ระยอง 9 คุณภาพแป้ง 28-31% หัวมันมีสีน้ำตาลอ่อน ให้ผลผลิต 5 ตันต่อไร่ ทั้งสองสายพันธุ์สามารถปลูกได้ทั้งในสภาพดินร่วนปนทราย แม้ดินจะมีอินทรียวัตถุต่ำก็ตาม

สำหรับวิธีการปลูกที่เหมาะสม อธิบดีกรมวิชาการเกษตรแนะนำต้องใช้ระยะห่างระหว่างต้น 90×90 ซม. ระหว่างแถว 40 ซม. เป็นระยะที่ช่วยให้หัวเจริญเติบโต รากเดินได้เต็มที่ ให้ผลผลิตต่อไร่สูง ส่วนการให้น้ำควรให้ตามความจำเป็นที่พืชต้องการ ซึ่งมันสำปะหลังระยะเวลาให้น้ำเหมาะสมอยู่ในช่วงตั้งแต่ปลูกไปจนถึงอายุ 150 วัน

“เกษตรกรจะเคยชินกับการปล่อยให้น้ำไหลไปตามท้องร่อง วิธีนี้นอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำมาก ยังทำให้พวกหญ้าวัชพืชเกิดขึ้นได้ง่ายตามท้องร่อง วันนี้เกษตรกรควรหันมาใช้ระบบน้ำหยดโคนต้นแทน ไม่เพียงจะช่วยให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ ยังช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องเสียเงินและเวลาในการกำจัดวัชพืชอีกด้วย”

ส่วนพื้นที่ไหนไม่มีน้ำผิวดิน จำเป็นต้องเจาะบ่อบาดาล แต่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง การเดินสายไฟฟ้าไปยังแปลงปลูกต้องใช้เงินทุนสูง ดังนั้นควรนำระบบโซลาร์เซลล์มาใช้สูบน้ำมาเก็บไว้ในตุ่มสำรองพักน้ำ แล้วต่อท่อจ่ายน้ำเข้าสู่ระบบน้ำหยด พื้นที่ปลูก 15 ไร่ ใช้เงินลงทุนเพียงแค่ 120,000 บาท สามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปี เพราะการให้น้ำแบบนี้จะทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากไร่ละ 3 ตัน เป็น 6-8 ตัน.

“มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” จตุจักรและแหล่งใหญ่มีขาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/597335

โดย นายเกษตร 29 มี.ค. 2559 05:01

 

มะนาวชนิดนี้ เป็นสุดยอดของมะนาวพันธุ์ใหม่ในยุคปัจจุบันที่มีผู้ต้องการกิ่งตอนไปปลูกอย่างแพร่หลาย แต่หาซื้อที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ที่เปิดขายเฉพาะไม้ดอกไม้ผลเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะไม่มีใครนำมาวางขายและไม่สะดวกที่จะไปซื้อที่อื่น เมื่อพบว่ามีผู้เอากิ่งตอนของมะนาวดังกล่าวมาวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯแล้ว จึงรีบแนะนำให้ผู้อ่านที่เป็นขาประจำทราบอีกทันที

มะนาวแป้นสุขประเสริฐ เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมระหว่าง มะนาวแป้นพิจิตร 1 กับ มะนาวแป้นแม่ลูกดก จากนั้นก็นำเอาเมล็ดจากผลที่เกิดจากการเขี่ยเกสรไปเพาะเป็นต้นกล้า และแยกต้นปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่ามีลักษณะแตกต่างจากมะนาวพันธุ์พ่อและแม่หลายอย่างคือ กลีบดอกเป็นสีขาวอมม่วง ซึ่งกลีบดอกของมะนาวทั่วไปจะเป็นสีขาวล้วน ดอกมีกลิ่นหอมเหมือนกัน รูปทรงของผลกลมแป้นอย่างชัดเจน เปลือกผลบางให้นํ้าเยอะ นํ้ามีรสเปรี้ยวจัดมีกลิ่นหอมเหมือนกับนํ้ามะนาวแป้นทั่วไปทุกอย่าง ไม่มีเมล็ด และที่สำคัญเป็นพันธุ์ที่ทนทานต่อโรคแมลงหรือโรคแคงเกอร์ที่ชอบลงเกาะกินต้นมะนาวได้เป็นอย่างดี เป็นมะนาวพันธุ์เบา มีดอกและติดผลง่าย ผลดกตลอดทั้งปี ส่วนลักษณะทางพฤกษศาสตร์อย่างอื่นเหมือนกับต้นมะนาวแป้นทั่วไปทุกอย่าง เจ้าของผู้เขี่ยเกสรเชื่อว่าเป็นมะนาวกลายพันธุ์ใหม่อย่างแน่นอน จึงปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่หลายวิธีทุกอย่างยังคงที่ได้กลายพันธุ์ถาวรแล้ว เลยตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” ดังกล่าว และขยายพันธุ์ด้วยวิธีติดตากับตอส้มโอวางขายได้รับความนิยมปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

มีต้นแท้ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร” โทร. 08-6605-4945 และแหล่งใหญ่ที่ “สวนณัฐมะนาวนิ้ว” โทร.09-5593-2468, 08-1761-8210 ราคาสอบถามกันเอง โดย “สวนณัฐมะนาวนิ้ว” สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้ด้วยครับ.

“นายเกษตร”

หลงอินทรีย์…ระวังเกษตรกรยับเยิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596902

โดย สะ-เล-เต 28 มี.ค. 2559 05:01

 

สัปดาห์ที่แล้วเขียนติงนโยบายเกษตรอินทรีย์ของรัฐบาลติดต่อกันหลายตอน ในมุมมองที่อาจค้านความรู้สึก ความเชื่อของผู้อ่านบางท่าน มองไปว่า…เขียนรับใช้นายทุนค้าปุ๋ยเคมี

วันนี้เลยขอเขียนถึงเรื่องนี้อีกสักหน่อย…ถ้ามองว่าเขียนปกป้องพ่อค้าปุ๋ยเคมี ลองมองย้อนไปอีกมุม นโยบายเกษตรอินทรีย์จะเป็นการส่งเสริมให้พ่อค้าปุ๋ยอินทรีย์ได้อิ่มหนำสำราญยิ่งๆขึ้นไปไหม และจะเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรถูกเอาเปรียบมากขึ้น ได้สินค้าราคาสูง แต่คุณภาพต่ำหรือเปล่า

เพราะอย่าลืมว่าการส่งเสริมให้ปลูกพืชอินทรีย์กันมากมาย มูลวัวมูลไก่ มูลสุกร รวมทั้งสารพัดวัตถุดิบที่นำมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์มีไม่พอแน่ เกษตรกรต้องซื้อปุ๋ยอินทรีย์มาใช้ ประกอบนิสัยเกษตรกรบ้านเรายุคนี้เอาความสะดวกเข้าว่า คิดจะซื้อมาใช้มากกว่าทำเอง

คราวนี้มาดูกฎหมายปุ๋ยกันบ้าง…ปุ๋ยเคมีตามกฎหมายนั้นบังคับไว้ชัดเจน ต้องมีธาตุอาหารหลัก 3 อย่าง N-P-K รวมกันไม่น้อยกว่า 20% แต่สูตรยอดนิยมที่ใช้กัน 16-16-16 มีธาตุอาหารรวมกัน 48%

ส่วนปุ๋ยอินทรีย์กฎหมายบังคับต้องมี 3 ธาตุอาหารหลักรวมกันไม่น้อยกว่า 2%

คิดง่ายๆแบบเด็ก ป.1 เมื่อมีธาตุอาหารให้พืชรวมกันแค่ 2%อย่างนี้สมควรจะเรียกว่าปุ๋ยมั้ยเนี่ย…เราไปซื้อเป็ด ไก่ หมู วัว มากิน ถ้ามันมีโปรตีนอยู่แค่ 2% จะยอมเสียเงินซื้อมากินมั้ย มันจะเป็นเนื้อสัตว์ปลอมจากจีนหรือเปล่า

มาดูเรื่องราคากัน…ณ วันนี้ ปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหาร 2% ราคาขายอยู่ที่ กก.ละ 4 บาท ดังนั้นราคาธาตุอาหารสำหรับพืชของปุ๋ยอินทรีย์จะอยู่ที่เปอร์เซ็นต์ละ 2 บาทต่อ กก.

ส่วนปุ๋ยเคมียอดนิยมมีธาตุอาหาร 48% ราคาขายอยู่ที่ กก.ละ 16 บาท…ราคาธาตุอาหารสำหรับพืชของปุ๋ยอินทรีย์จะอยู่ที่เปอร์เซ็นต์ละ 34 สตางค์ต่อ กก.

ราคาธาตุอาหารในปุ๋ยอินทรีย์แพงกว่า 11 เท่าตัว

คราวนี้พอจะมองเห็นภาพกันหรือยัง…ใครกันแน่ที่จะอู้ฟู่เอาจากการเอาสินค้าคุณภาพต่ำมาขายแพง เกษตรกรจะถูกเอาเปรียบมากเกินไปไหม.

สะ–เล–เต

“ต้นใบมะเขือพวง” แก้นิ้วมือนิ้วเท้าชา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596907

โดย นายเกษตร 28 มี.ค. 2559 05:01

 

อาการดังกล่าวมักเกิดกับผู้สูงอายุ เป็นแล้วทรมานมาก จับหรือหยิบอะไรไม่ค่อยจะยึดให้อยู่ได้ ในทางสมุนไพรของชาวเขาเผ่าอีก้อ ให้เอา “ต้นใบมะเขือพวง” แบบสดจำนวนตามต้องการ ใช้ปั่นให้ละเอียดใส่น้ำเล็กน้อยแล้วใช้ผ้าขาวบาง กรองเอาน้ำทาและกากพอกบริเวณที่ชาพร้อมต้มน้ำอาบประจำ จะทำให้ปลายประสาทนิ้วมือนิ้วเท้าที่ชาดีขึ้นหรืออาจหายได้ และยังช่วยให้คนที่เพิ่งเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตใหม่ๆได้อีกด้วย สาร SALASODINE SALA-SODIENE ที่แยกได้จากใบ ต้านเชื้อไวรัสดีมาก

มะเขือพวง หรือ SOLANUM TORVUM SW. อยู่ในวงศ์ SOLANACEAE ลำต้นต้มน้ำดื่มหรือกินสดๆแก้เมาเหล้าทำให้รสชาติเหล้าจืดลง กินบ่อยๆสามารถแก้โรคเบาหวานได้ แต่ไม่ใช่รักษาให้โรคเบาหวานหาย เมล็ดเผาไฟสูดควันเข้าจมูกแก้ปวดฟัน รากสดตำพอกส้นเท้าที่แตกจนเป็นแผลให้หายได้ดีมาก

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” ไม่วางขายที่ไหน หมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร น้ำมัน 12 ประดง ทาภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน ชันนะตุ แพ้เหงื่อ,ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น, โลชั่นบำรุงผิว สกัดจากสมุนไพรหลายชนิด รวมทั้งกวาวเครือขาวด้วย, สเปรย์ฉีดบำรุงรากผม, แชมพูสูตร 5 ชนิด ขจัดรังแครากผมแข็งแรง, ข่อยสีฟันเป็นผง ไม่มีฟองรักษาเหงือกรากฟัน, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, ยาลดเบาหวานแคปซูล และอื่นๆ โทร.0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

ซีพีไอเปิดแฟรนไชส์สวนกระแส ปั้นมาตรฐานปาล์มไทยสู่เออีซี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596948

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 28 มี.ค. 2559 05:01

 

ทั้งที่ราคาสินค้าเกษตรตกรูด แต่ ซีพีไอ อะโกรเทค บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายกล้าพันธุ์ปาล์มน้ำมันรายใหญ่ของไทย กลับเปิดแนวรุกครั้งใหญ่ ทำธุรกิจแฟรนไชส์กล้าพันธุ์ ซีพีไอ ไฮบริด ประเดิมในพื้นที่ 3 จังหวัด…พังงา, ระนอง และระยอง

จนเป็นที่สงสัย…ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ทำไมถึงช่างหาญกล้า

“พืชเศรษฐกิจหลักวันนี้ ตัวไหนบ้างมีอนาคต ยางอีก 3 ปีก็ยังไม่ฟื้น ยิ่งราคาน้ำมันถูกอย่างนี้ยากจะกลับมาทำรายได้ สินค้าตัวอื่นก็อยู่ในสภาพล้นตลาด มีแต่ปาล์มน้ำมันเท่านั้นที่พอจะมีอนาคต” โกศล นันทิลีพงศ์ กก.ผจก.บริษัท ซีพีไอ อะโกรเทค ไขปริศนาข้อสงสัย

สอดคล้องกับมุมมองของ นิคม แซ่จึง เกษตรกรรายใหญ่ ต.หนองใหญ่ อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี ทำการเกษตรบนที่ดินหลายพันไร่ ปลูกมันสำปะหลัง อ้อย…แต่วันนี้คิดจะปลูกปาล์ม

“เพราะทำอ้อย 1,000 ไร่ เหลือเงินเข้ากระเป๋าไม่ถึงแสน ต้นทุนสูง ต้องใช้คนงาน 100 คน รถไถ 3 คัน แต่ปลูกปาล์มใช้รถไถแค่ 2 คัน คนงานแค่ 10 คน ตอนนี้ปลูกไปแล้ว 70 ไร่ ได้ปีละเป็นล้าน นี่ขนาดพันธุ์ยังไม่ดีเท่าไร เพราะยังอยู่ในขั้นซื้อพันธุ์มาปลูกพิสูจน์ 5 ปี พันธุ์ไหนให้ผลผลิตดีที่สุด จะทยอยเปลี่ยนไปปลูกพันธุ์นั้น”

และผลจากการปลูกมานับหลายพันธุ์ นิคม ยอมรับพันธุ์ซีพีไอ ไฮบริด ให้ผลผลิตดีกว่าพันธุ์อื่น แค่ 20 เดือน เริ่มให้ทะลายแล้ว ทั้งที่พื้นที่ปลูกอยู่ในสภาพแห้งแล้ง ปีที่แล้วแล้ง 6 เดือน มาปีนี้แค่ มี.ค. แล้งไปแล้ว 5 เดือน แต่พันธุ์นี้ยังให้ลูก…ด้วยเหตุผลนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ซีพีไอจะใช้โอกาสนี้รุกตลาด

“เราเริ่มธุรกิจในปีนี้ ไม่ใช่เพราะสถานการณ์ แต่เพราะบริษัทได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาพันธุ์ปาล์มน้ำมัน ซีพีไอ ไฮบริด ที่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศ ฝนน้อย 1,500 มม.ต่อปี แต่ให้ผลผลิตสูงไร่ละ 5-6 ตัน เมื่อ 8 ปีก่อน และได้จำหน่ายพันธุ์ให้เกษตรกรไปปลูกในพื้นที่ฝนน้อย ผลพิสูจน์ออกมาให้เห็นแล้วว่าพันธุ์ของเราดีจริง ในช่วงจังหวะนี้พอดี”

เมื่อเกษตรกรรู้ข่าวบอกต่อๆกัน ความต้องการ เปลี่ยนมาปลูกปาล์มมีมากขึ้นเกินกว่าทางบริษัทจะผลิตกล้าพันธุ์ได้ทัน จึงต้องเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ขึ้นมา เพื่อให้มาช่วยขยายกำลังผลิตให้เพียงพอ และเป็นทางเลือกให้เกษตรกรมั่นใจว่าได้พันธุ์ปาล์มที่มีคุณภาพจริง… ไม่ใช่พันธุ์ดูใบ พันธุ์ใต้โคนไปปลูก

โดยบริษัทจะเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ร่วมทำธุรกิจแฟรนไชส์ ให้คำแนะนำในเรื่องนำเมล็ดพันธุ์มาเพาะเป็นกล้าพันธุ์…ส่วนเรื่องคุณภาพ เกษตรกรไม่ต้องกังวล เพราะทางบริษัทจะมีการนำระบบตรวจสอบคุณภาพ ISO 9001 เวอร์ชั่น 2008 ที่ต่างประเทศใช้กัน มาควบคุมมาตรฐานการเพาะขยายพันธุ์กับธุรกิจแฟรนไชส์ทุกแห่ง…ทั้งนี้ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการผลิตกล้าพันธุ์ที่มีมาตรฐานจำหน่ายให้กับเกษตรกร

นิคมโชว์ให้ดูทะลายปาล์มน้ำมัน ที่ปลูกมาได้ 20 เดือน ในพื้นที่แล้งฝนปีละ 5-6 เดือน.

และนี่จะเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการปาล์มน้ำมันในอาเซียนอีกด้วย เพราะเวลานี้ประเทศเพื่อนบ้านเริ่มให้ความสนใจมาเยี่ยมๆมองๆ ขอมีเอี่ยว…ได้เวลาพันธุ์ปาล์มน้ำมันไทยไปนอกกันบ้างแล้ว.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

กรมส่งเสริมสหกรณ์ เสริมแกร่งคุณภาพน้ำนมดิบปลอดภัย ป้อนผู้บริโภค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/597056

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 27 มี.ค. 2559 19:07

 

กรมส่งเสริมสหกรณ์ยกระดับสหกรณ์โคนมทั่วประเทศ เสริมแกร่งคุณภาพน้ำนมดิบปลอดภัย ป้อนผู้บริโภค พร้อมลดต้นทุนสมาชิก เร่ง ขยายโคนมทดแทนฝูง ดึงบุตรหลานเกษตรกรสานต่ออาชีพพระราชทาน

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยถึงแนวทางการพัฒนาสหกรณ์โคนมปี 2559 ว่า ปีนี้กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้มุ่งพัฒนายกระดับกระบวนการผลิตน้ำนมของสหกรณ์โคนมทั่วประเทศ โดยเน้นให้ผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพ สะอาด ถูกสุขลักษณะ มีความปลอดภัย และได้มาตรฐานตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ เริ่มจากการส่งเสริมและพัฒนาฟาร์มของสมาชิกให้ได้รับการรับรองมาตรฐานจีเอพี (GAP) พร้อมปรับปรุงศูนย์รวบรวมน้ำนมโคของสหกรณ์ ให้ได้การรับรองตามมาตรฐานจีเอ็มพี (GMP) ก่อนเข้าสู่โรงงานแปรรูปของสหกรณ์ทั้ง 26 แห่ง ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP และ HACCP เพื่อการันตีว่าผ่านกระบวนการและกรรมวิธีที่ดีในการผลิตอาหาร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ

ปัจจุบันมีศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบผ่านการรับรองมาตรฐาน GMP แล้ว 116 ศูนย์ สหกรณ์โคนม จำนวน 102 สหกรณ์ มีสมาชิกกว่า 19,000 ราย มีปริมาณโคนม 387,693 ตัว ปริมาณน้ำนมโคเฉลี่ย 1,948.32 ตัน/วัน ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตนมโรงเรียนปริมาณ 809.28 ตัน/วัน คิดเป็นร้อยละ 41.63 ส่วนที่เหลือเข้าสู่การผลิตนมพาณิชย์

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์

ขณะเดียวกัน ยังส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมลดต้นทุนลง เนื่องจากฟาร์มโคนมสมาชิกสหกรณ์ส่วนใหญ่เป็นฟาร์มขนาดเล็ก ซึ่งต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตสูง โดยเฉพาะค่าอาหารโคนม มีสัดส่วนถึงร้อยละ 70 และขณะนี้มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงเร่งสนับสนุนให้สหกรณ์โคนมจัดทำแปลงหญ้าซึ่งมีสหกรณ์ที่ได้ดำเนินการแล้ว เช่น สหกรณ์โคนมไทยมิลค์ จำกัด, สหกรณ์โคนมปากช่อง จำกัด, ชุมนุมสหกรณ์โคนมภาคใต้ และตะวันตก จำกัด ฯลฯ โดยการปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 2 เพื่อเป็นแหล่งอาหารหยาบเลี้ยงโคนมได้ตลอดทั้งปี ส่งผลให้แม่โคมีน้ำนมเพิ่มขึ้น จากการกินอาหารหยาบ คุณภาพดี อีกทั้งยังสนับสนุนให้เกษตรกรสมาชิกใช้อาหารทีเอ็มอาร์ (TMR) เลี้ยงโคนมในฟาร์ม และมีแผนส่งเสริมให้สหกรณ์ตั้งศูนย์ผลิตอาหารสัตว์ (Feed Center) ซึ่งส่งผลต่อปริมาณและคุณภาพน้ำนมดิบ ที่สำคัญยังช่วยลดปัญหาขาดแคลนอาหารสัตว์คุณภาพดี และช่วยลดต้นทุนให้สมาชิกด้วย

นอกจากนั้น ยังมีแผนเร่งต่อยอดพัฒนาการเลี้ยงโคนมทดแทนฝูงของสหกรณ์โคนม 3 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์โคนมผาตั้ง จำกัด จังหวัดเชียงใหม่ สหกรณ์โคนมพิมาย จำกัด จังหวัดนครราชสีมา และสหกรณ์โคนมพัทลุง จำกัด จังหวัดพัทลุง เพื่อให้สมาชิกสหกรณ์ได้โคนมทดแทนฝูงที่มีคุณภาพ ช่วยลดต้นทุนการผลิต และได้น้ำนมดิบที่มีคุณภาพปริมาณมากขึ้น โดยส่งเสริมให้สหกรณ์สร้างโรงเรือนเลี้ยงโค และให้สมาชิกนำลูกโคอายุ 3 เดือน น้ำหนักไม่น้อยกว่า 60 กิโลกรัม เข้าสู่โรงเลี้ยงของสหกรณ์ แล้วเลี้ยงลูกโคจนเติบโต ทำการผสมเทียมเป็นโคสาวท้องส่งคืนสู่สมาชิก ปัจจุบันได้ปรับรูปแบบดำเนินการในลักษณะธนาคารโคนมทดแทน เพื่อเป็นแกนนำในการกระจายแม่โคสมบูรณ์พันธุ์สู่ผู้เลี้ยงโคนมในชุมชน คาดว่า จะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงโค ประมาณ 8,500 บาท/ตัว และทำให้สมาชิกมีกำไรเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 4,300 บาท/ตัว หรือร้อยละ 15

สหกรณ์โคนมหนองโพ จ. ราชบุรี ในพระบรมราชูปถัมภ์

“ปีนี้กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เร่งปลูกฝังอาชีพการเลี้ยงโคนมให้กับบุตรหลานสมาชิกสหกรณ์ ตามแนวพระราชดำริ โดยได้ร่วมกับคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จัดฝึกอบรมให้ลูกหลานสมาชิกสหกรณ์มีความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงโคนมที่ถูกต้อง อาทิ การจัดการฟาร์มโคนม การให้อาหารถูกหลักโภชนศาสตร์ การคัดเลือกสายพันธุ์ การดูแลรักษาสุขภาพโคเบื้องต้น และหลักสุขศาสตร์ในการรีดนม ที่ผ่านมาได้จัดอบรมไปแล้ว 4 รุ่น รวม 127 คน คาดว่า ทายาทเกษตรกรที่ผ่านการอบรมแล้ว จะนำความรู้ที่ได้ไปสู่การปฏิบัติจริงในฟาร์ม และเป็นกำลังสำคัญที่จะสืบทอดอาชีพเลี้ยงโคนมจากรุ่นสู่รุ่น” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว…

“มะลิถอด” หอมแรง กลีบลอยนํ้าดื่มชื่นใจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/595478

โดย นายเกษตร 25 มี.ค. 2559 05:01

 

มะลิชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศอินเดีย และ ประเทศในแถบเอเชียกลาง ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานแล้ว แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าในยุคสมัยไหน จนทำให้กลายเป็นไม้ไทยไปโดยปริยาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า JASMINUM SAMBAC อยู่ในวงศ์ OLEACEAE เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย สูง 1-2 เมตร ลำต้นมักโค้งลงและทอดไปตามหน้าดิน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามรูปไข่ ปลายแหลมโคนมน ก้านใบสั้น

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ 3-5 ดอก ออกบริเวณปลายกิ่ง ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 7-8 กลีบ เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ 7-8 ชั้น ขนาดของดอกจะเล็กกว่าดอกของมะลิทั่วไปอย่างชัดเจน กลีบดอกเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมแรง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูคล้ายดอกพิกุล แต่จะเป็นคนละสี สวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ประทับใจมาก จึงมีชื่อเรียกอีกว่า “มะลิพิกุล”

ส่วนที่มาของชื่อ “มะลิถอด” นั้น มาจากกลีบดอกแต่ละชั้นสามารถเด็ดเอาดอกลงมาถอดเอากลีบแต่ละชั้นออกจากกันได้ ซึ่งคนในยุคสมัยก่อนนิยมถอดเอากลีบดอกแต่ละชั้นไปลอยในขันนํ้าดื่มทำให้มีกลิ่นหอมเป็นธรรมชาติต้อนรับแขกที่เดินทางไปเยี่ยมเยียนและดื่มเองชุ่มชื่นใจยิ่งนัก จึงเป็นที่มาของชื่อ “มะลิถอด” ดังกล่าว ดอกออกทั้งปี และจะมีดอกดกมากในช่วงฤดูร้อนหรือฤดูฝน ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง และทาบกิ่ง

ประโยชน์ของมะลิทุกชนิด ดอกสดบดละเอียด สุมศีรษะเด็กเป็นยาแก้หวัด ดอกแห้งปรุงเป็นยาแต่งเพื่อทำยาหอมบำรุงหัวใจ ใบสดตำผสมกับกะลามะพร้าวหรือนํ้ามันพืชแต้มหรือทารักษาแผลพุพองหรือแผลฝีดาษทำให้แห้ง รากสดหรือแห้งต้มนํ้าดื่มแก้ร้อนในแก้เสียดท้องได้

มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงเยื้องกับโครงการ 9 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกในบริเวณบ้าน เวลามีดอกจะสวยงามส่งกลิ่นหอมชื่นใจและใช้ประโยชน์ทางยาสมุนไพรได้คุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

สตรอเบอรี่ 88 สายพันธุ์ไทย ละลายในปาก..ชิงตลาดพรีเมียม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/595507

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 มี.ค. 2559 05:01

 

มูลนิธิโครงการหลวงส่งเสริมให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงปลูกสตรอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน 80 และพันธุ์ 329 ป้อนให้กับ บ.ดอยคำ ผลิตภัณฑ์อาหาร สร้างรายได้ให้เกษตรกรไม่ต่ำกว่าไร่ละ 80,000 บาท มานานกว่า 10 ปี…ล่าสุดเตรียมส่งสตรอเบอรี่พันธุ์ใหม่ พันธุ์พระราชทาน 88 ตีตลาดพรีเมียม สกัดดาวรุ่งสตรอเบอรี่เกาหลีที่ขณะนี้กำลังฮอตฮิตติดตลาดในบ้านเรา

“สตรอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน 88 เป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์พระราชทาน 80 กับพันธุ์พระราชทาน 60 วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์โดยมูลนิธิโครงการหลวง มาตั้งแต่ปี 2550 และได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 ปัจจุบันอยู่ระหว่างขอขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร”

จุดเด่นของสตรอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน 88 ดร.ณรงค์ชัย พิพัฒน์ธนวงศ์ รักษาการรองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ประสานงานไม้ผลขนาดเล็ก-ร้อน มูลนิธิโครงการหลวง หัวหน้าคณะผู้วิจัย อธิบายว่า ลักษณะรูปร่างของผลจะคล้ายหัวใจมากกว่าสายพันธุ์อื่น ผิวสวย ไม่มีขนติดผิวผล

ขนาดของผลค่อนข้างสม่ำเสมอ สีส้มแดงถึงแดงสด เนื้อละเอียดแน่น สีแดงสลับขาว หวานกว่าสายพันธุ์อื่น (15-20 บริกซ์) แทบจะไม่มีรสเปรี้ยวติด กลิ่นหอมโดดเด่นกว่าทุกสายพันธุ์ที่เคยมีมา ที่สำคัญรับประทานแล้ว สัมผัสแรก…เนื้อสตรอเบอรี่แทบละลายในปาก ผสานกับความหอมหวานที่มิอาจพบได้ในสายพันธุ์อื่น

ด้วยเหตุนี้ปี 2560 มูลนิธิโครงการหลวง และดอยคำ จึงเตรียมส่งเสริมเกษตรกรปลูกขายตลาดพรีเมียมเกรด เน้นคุณภาพเป็นหลัก ส่งขึ้นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ หวังแข่งขันทดแทนการนำเข้าสตรอเบอรี่จากต่างประเทศ โดยเฉพาะสตรอเบอรี่เกาหลีราคาแพง ตั้งแต่แพ็กละหลายร้อยถึงหลักพัน

สตรอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน 88 ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ และทดลองปลูกที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ขณะนี้มีต้นพันธุ์แล้วกว่า 10,000 ต้น พร้อมเตรียมคัดเลือกแปลงที่เหมาะสม ส่งเสริมเกษตรกรบนดอยต้นกำเนิดทดลองปลูก ก่อนขยายสู่พื้นที่อื่นตามความเหมาะสมต่อไป

เป็นพันธุ์ที่เหมาะกับอากาศไม่หนาวเย็นเกินไป อุณหภูมิระหว่าง 15-25 องศา ชอบแดดจัด แต่ไม่ชอบชื้นเกินไป ส่วนการปลูกและการดูแลแทบไม่ต่างจากพันธุ์เดิมที่เกษตรกรคุ้นเคย…แต่เมื่อออกดอกจะแทงช่อออกมานอกพุ่ม ทำให้แมลงมาผสมเกสรได้ง่าย ให้ลูกดกใกล้เคียงกับพันธุ์ 80 ประมาณไร่ละ 1.5-3 ตัน ค่อนข้างปลอดโรคและแมลงศัตรูพืช เพราะช่อดอกไม่ต่ำจนสัมผัสกับพื้นเหมือนพันธุ์ดั้งเดิม

จึงเป็นพันธุ์ที่เกิดมาเพื่อสยบสตรอเบอรี่เกาหลี ขยี้สตรอเบอรี่อเมริกา ข่มชะตาสตรอเบอรี่นอกอย่างแท้จริง.

กรวัฒน์ วีนิล

เกษตรอินทรีย์…ขายได้แค่ไหน?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594891

โดย สะ-เล-เต 24 มี.ค. 2559 05:01

 

เขียนติติงนโยบายเกษตรอินทรีย์ที่รัฐบาลกำลังจะผลักดัน ได้คิดดีคิดถ้วนถี่รอบด้านรึยัง ไม่ได้หวังต่อต้านเกษตรอินทรีย์แต่อย่างใด เพียงแต่กังวลว่า…ในยุคที่มิมีใครกล้าพูด กล้าค้าน จะทำให้การผลิตสินค้าเกษตรไทยถอยหลังลงคลอง

วันวานได้ยกเรื่องคุณภาพของสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ส่งเสริมให้เพาะปลูกไปนั้น ได้ธาตุอาหารไม่ครบ สินค้าเกษตรอินทรีย์จะมีคุณภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการเยี่ยงไร…วันนี้มามองอีกแง่ ในเรื่องรายได้ของเกษตรกร

นโยบายที่จะผลักดันให้เกิดการทำเกษตรอินทรีย์ในระดับประเทศ จะเป็นแปลงใหญ่หรืออะไรก็ตามแต่ จะเกิดอะไรขึ้นตามมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสินค้าจะล้นตลาด เอากันง่ายๆแค่ปัจจุบันสินค้าเกษตรอินทรีย์จะขายได้แค่ไหน จะทำเงินเข้าประเทศ ทำให้เศรษฐกิจภาคการเกษตรของประเทศได้เฟื่องฟู เหมือนที่มีคนเป่าหูคอยคิดสารพัดโครงการขึ้นมาเพื่อใช้งบประมาณ

เพราะถ้าคิดจะปลูกค้าขายแบบอัฐยายซื้อขนมยาย ซื้อกินใช้ในประเทศ รายได้คงไปไม่ถึงไหน มันต้องส่งออกไปขายต่างประเทศ เอาเงินคนอื่นมาเติมกระเป๋ายายได้มากนั้นแหละ เศรษฐกิจถึงจะมั่งคั่งเฟื่องฟูได้จริง

ตอนนี้ เกษตรอินทรีย์บ้านเรายังมีไม่เท่าไร…อยู่ในขั้นล้นตลาดหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะส่งออกไปต่างประเทศมากกว่าบริโภคในประเทศ

สถิติที่ผลิตได้ทั้งหมดเมื่อปี 2557 สินค้าเกษตรอินทรีย์ทำเงินได้รวม 2,331 ล้านบาท บริโภคในประเทศ 22% ส่งออกไปต่างประเทศ 78% คิดเป็นมูลค่า 1,816 ล้านบาท…ในขณะที่สินค้าเกษตรอุตสาหกรรมส่งออกไปเป็นมูลค่า 694,805 ล้านบาท

เกษตรกรอินทรีย์ทำเงินเข้าประเทศได้แค่ 0.2%

ทำไมถึงได้แค่เนี่ย…ทั่วโลกต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์มากจริงเหมือนที่เป่าหูกันมั้ย

และทำไมสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมถึงได้ขาย 99.08% ส่งออกไปขายได้ ต้องเป็นสินค้าปลอดภัย ไร้สารพิษตกค้างใช่หรือไม่

โลกต้องการสินค้าแบบไหนมากกว่ากัน… คงไม่ต้องเฉลย.

สะ–เล–เต

“นํ้าเต้าผลยาวใหญ่” กับที่มาพันธุ์ปลูกคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594894

โดย นายเกษตร 24 มี.ค. 2559 05:01

 

นํ้าเต้าชนิดนี้ มีที่มาของสายพันธุ์โดยชาวไทยใหญ่และชาวเขาบนดอยสูงทางภาคเหนือของประเทศไทยเป็นคนนำเอาเมล็ดพันธุ์ติดตัวเดินทางมาปลูกด้วยระหว่างเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่เพื่อใช้ประโยชน์เป็นอาหารและเป็นสมุนไพรนานแล้ว มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “หมากนํ้า” ต่อมามีผู้นำเอาเมล็ดลงมาปลูกในพื้นที่ราบตํ่าทั่วไป สามารถเจริญเติบโตได้ดีมีดอกและติดผลรูปทรงแปลกยาวใหญ่ตามภาพประกอบคอลัมน์ ผู้ปลูกจึงเก็บเมล็ดบรรจุถุงพลาสติกออกวางขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างแพร่หลาย ในชื่อว่า “นํ้าเต้าผลยาวใหญ่” ปลูกแล้วคุ้มค่ามาก เนื่องจากขนาดผลยาวและใหญ่เก็บผลกินในครัวเรือนหรือเก็บผลขายได้คุ้มค่ามากนั่นเอง

นํ้าเต้า มีด้วยกัน 4 สายพันธุ์ แต่ละพันธุ์จะมีข้อแตกต่างกันที่ขนาดและรูปทรงของผลซึ่ง “นํ้าเต้าผลยาวใหญ่” จัดเป็น 1 ใน 4 ของสายพันธุ์ที่กล่าวข้างต้นด้วย มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับนํ้าเต้าทั่วไปทุกอย่างและมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า LAGENARIA SICERARIA (MOL.) STANDL.) อยู่ในวงศ์ CUCURBITACEAE เป็นไม้เถาเลื้อย สีเขียวอ่อน ลำต้นมักมีขน มีมือเกาะแตกออกตามข้อลำต้น มือเกาะดังกล่าวมีกลิ่นฉุนแรงใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ฐานเว้า ขอบจักเป็นคลื่น แผ่นใบมีขนกระจายทั่ว ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ เป็นดอกแยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ดอกตัวผู้มีลักษณะคล้ายถ้วย กลีบดอกเป็นสีขาวหรือสีเหลือง “ผล” รูปกลมยาวคล้ายผลฟักเขียว โตหรือด้วนประมาณลำแขนผู้ใหญ่ ยาวได้เกือบ 2 เมตร มีเมล็ดเยอะ เนื้อผลเหมือนนํ้าเต้าทั่วไป มีดอกและติดผลทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ผลอ่อน ยอดอ่อนทำแกงส้มใส่กุ้งทะเลสด ต้มเป็นผักจิ้มนํ้าพริกรับประทานอร่อยมาก ประโยชน์ทางสมุนไพร ใบสด ต้มนํ้าดื่มแก้ร้อนใน ตำพอกแก้ฟกชํ้า แก้เริม งูสวัด ถอนพิษอักเสบ รากต้มนํ้าดื่มช่วยเจริญอาหาร เมล็ดขับพยาธิ ปัจจุบันเมล็ดพันธุ์ของ “นํ้าเต้าผลยาวใหญ่” หาซื้อยากแล้ว เนื่องจากผู้นำเมล็ดวางขายได้เสียชีวิตไปแล้วครับ.

“นายเกษตร”