ลด 2 ต้นทุน..เพิ่ม 1 กำไร พริกหนุ่ม‘มณีมรกตโมเดล’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594924

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 24 มี.ค. 2559 05:01

 

พลิกวงการเกษตรกรรม เจียไต๋ ผู้นำธุรกิจเมล็ดพันธุ์ นำองค์ความรู้ปลูกพริกหนุ่มเขียวมณีมรกตโมเดล ลด 2 เพิ่ม 1 มาเผยแพร่สู่เกษตรกร ยังผลให้เกิดการลดต้นทุน ลดแรงงาน แต่กำไรกลับเพิ่มขึ้น

สมนึก อ่ำเทศ เกษตรกรบ้านลัดทรายมูล อ.เมือง จ.สุโขทัย เผยถึงการปลูกพริกหนุ่มจากแนวคิด “ปลูกพืชไม่หนาแน่น พืชเติบโตได้เต็มที่ ให้ผลผลิตดี ดูแลบริหารจัดการง่าย” ที่บริษัท เจียไต๋ จำกัด ได้นำองค์ความรู้มาเผยแพร่ให้เกษตรกรปลูกพริกหนุ่มมานาน 6 ปี จนเกษตรกรแถบนี้ปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่อง ได้ผลกำไรเพิ่ม แต่ลดทั้งต้นทุนและแรงงาน

สำหรับหัวใจหลักของมณีมรกตโมเดล ลด 2 เพิ่ม 1 อยู่ที่การปลูกพริกให้มีระยะห่างระหว่างต้น 50 ซม. ทำให้ปลูกพริกได้ไร่ละ 3,000-4,000 ต้น จากเดิมที่ปลูกกันไร่ละ 7,000-8,000 ต้น (ระยะห่าง 25-30 ซม. หลุมละ 2 ต้น) ทำให้ต้นพริกแย่งอาหารกันเอง ส่งผลให้คุณภาพของผลผลิตลดลง เมื่อนำไปจำหน่ายจะได้ราคาต่ำ และดูแลรักษาบริหารจัดการไม่ทั่วถึง การควบคุมโรคแมลงทำได้ยาก เพราะฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืชไปแล้ว สารมักจะติดอยู่ที่ใบไม่สามารถเข้าไปถึงต้นได้ ทำให้ผลผลิตเสี่ยงต่อความเสียหายมากขึ้น

ขณะที่ปฏิบัติตามโมเดลที่บริษัทเจียไต๋แนะนำ บอกว่า แม้จะได้ต้นพริกน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง ลดการใช้เมล็ดพันธุ์จากไร่ละ 50-60 กรัม เหลือ 30 กรัม แต่ได้ต้นพริกแข็งแรง เจริญเติบโตเต็มที่ ไม่แย่งอาหารกันเอง การดูแลยังทำได้ทั่วถึง ง่ายต่อการบริหารจัดการ มีโรคหรือแมลงสามารถจัดการได้ทันที ได้เป็นรายต้น

เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์ ต้นพริกจะให้ผลผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ ผลผลิตจึงมีคุณภาพ ผลผลิตต่อต้นก็มากขึ้น ปลูกไร่ละ 4,000 ต้น ได้ผลผลิต 4-6 ตัน เท่ากับปลูกไร่ละ 8,000 ต้นเหมือนกัน แต่ที่สำคัญคุณภาพของผลพริกที่ได้มีลักษณะตรงตามความต้องการของตลาด ขายได้ราคาดี ผลที่ตามมาอีกอย่าง ช่วยลดต้นทุนการใช้แรงงานเพราะไม่ต้องดูแลจัดการมากเหมือนการปลูกแบบเก่า เลยลดต้นทุนค่ายาและปุ๋ยไปได้ในตัว โดยรวมช่วยประหยัดต้นทุนได้ถึง 50% และกำไรเพิ่มขึ้น

“ตัวผมเองทำ 5 ไร่ เริ่มปลูกพริกหนุ่มเขียวมณีมรกตมาตั้งแต่ ธ.ค. ทยอยเก็บผลผลิตได้ตั้งแต่ ก.พ.-เม.ย. มีโรงงานมารับซื้อเพื่อนำไปขายต่อประเทศมาเลเซีย ให้ราคา กก.ละ 14-15 บาท ผลผลิตได้ไม่น้อยกว่าไร่ละ 5-6 ตัน หักค่าใช้จ่ายทุกอย่างเหลือกำไรไม่น้อยกว่า 2-3 แสนบาท แต่หากปลูกแบบหนาแน่น ผลผลิตถึงจะพอๆกัน แต่ราคาไม่มีทางได้เท่านี้แน่ เพราะผลพริก จะไม่สวย แถมยังมีภาระเรื่องปุ๋ย เรื่องยาเข้ามาเพิ่ม ยังไงก็ไม่มีทางเหลือถึง 2 แสน” สมนึก กล่าว.

‘พีพวนน้อย’ ผลอร่อย สรรพคุณดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594373

โดย นายเกษตร 23 มี.ค. 2559 05:01

 

ตำรายาพื้นบ้านภาคอีสาน ระบุว่า รากของต้น “พีพวนน้อย” เอาไปผสมกับรากหญ้าคา เหง้าต้นเอื้องหมายนา และลำต้นของอ้อยแดงจำนวนเท่ากันตามต้องการต้มกับนํ้ามากหน่อยจนเดือดดื่ม สำหรับสตรีที่ผอมแห้งแรงน้อย เป็นยาบำรุงเลือดทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีนํ้ามีนวล รากของต้น “พีพวนน้อย” สดหรือแห้งก็ได้จำนวนตามต้องการต้มกับนํ้าจนเดือดดื่มก่อนอาหารเช้าและก่อนนอน 2 เวลา ครั้งละ 1 แก้ว รักษาโรคไตพิการที่เพิ่งจะเป็นใหม่ๆดีมาก โรคดังกล่าวเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะขุ่นเหลืองหรือแดง และมีอาการแน่นท้องกินอาหารไม่ได้ ต้มดื่มแล้วอาการจะค่อยๆกระเตื้องและดีขึ้นเรื่อยๆ

พีพวนน้อย หรือ UVARIA RUTA BLUME ชื่อพ้อง UVARIA RIDLEYI KING อยู่ในวงศ์ ANNONACEAE เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ลำต้นหรือเถาใหญ่ แตกกิ่งก้านน้อย ใบเดี่ยวออกสลับรูปรี ปลายแหลมโคนเว้าเล็กน้อย ดอก ออกเป็นช่อสั้นตามซอกใบ มีกลีบดอก 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น กลีบดอกเป็นสีแดงอมม่วง “ผล” เป็นกลุ่มและเป็นช่อห้อยลง แต่ละช่อประกอบด้วยผลย่อยจำนวนมาก ผลรูปกลมรี ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่เป็นสีเหลือง สุกเป็นสีแดงอมส้ม เปลือกผลมีขนละเอียดทั่ว เนื้อหุ้มเมล็ดนํ้า รสหวานปนเปรี้ยว รับประทานได้ สมัยก่อนนิยมกันอย่างกว้างขวาง มีเมล็ดเยอะ ดอกออกเดือนเมษายน-มิถุนายน ทุกปี และจะติดผลแก่หรือสุกหลังจากนั้น 4 เดือน คนหาของป่าจะรู้เวลาดีและจะเข้าไปเก็บผลออกมาวางขายตามตลาดสดในชนบททั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีชื่อเรียกอีกเยอะคือ นมแมว, บุหงาใหญ่, นมควาย, นมแมวป่า, หำลิง, ติงตัง, ตีนตั่งเครือ, พีพวนน้อย และ สีม่วน

ปัจจุบัน “พีพวนน้อย” มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 18 แผง “ลุงนรินทร์” ในชื่ออื่นคือ นมวัว นมควาย ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

เกษตรอินทรีย์กับคุณค่าอาหาร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594374

โดย สะ-เล-เต 23 มี.ค. 2559 05:01

 

เมื่อวานว่ากันถึงเกษตรอินทรีย์ ห่วงใยประเด็นธาตุอาหารหรือปุ๋ยที่จะนำมาเลี้ยงบำรุงต้นพืชให้เจริญเติบโตในระยะยาว การไม่พึ่งพาปุ๋ยเคมีเป็นเรื่องยากที่เกษตรกรจะได้ผลผลิตที่งดงามตลาดต้องการ

ไม่เพียงจะต้องใช้ต้นทุนค่าปุ๋ยสูงกว่าใช้ปุ๋ยเคมี การหาวัตถุดิบอินทรียวัตถุมาทำเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ อาจมีไม่เพียงพอ เพราะต้องใช้ในปริมาณมากกว่าปุ๋ยเคมีหลายเท่าตัว

หลายคนอาจจะมองว่านี่ไม่ใช่ปัญหา พืชผักไม่งดงามนั่นแหละดี ตรงตามเจตนารมณ์ของเกษตรอินทรีย์ ไม่สนเรื่องความสวยงามอวบอั๋นเต่งตึง เน้นแต่เรื่องปลอดภัยเป็นหลัก…ปุ๋ยธาตุอาหารไม่จำเป็นต้องใส่มาก ใส่เท่าที่มี เท่าที่หาได้ พืชผักก็งอกให้เก็บขายได้อยู่แล้ว

เลยเกิดคำถาม…คนเราควักซื้อพืชผักมากินเป็นอาหารเพื่อต้องการแค่ความอิ่ม หรือต้องการวิตามิน แร่ธาตุจากพืชผักมาเลี้ยงบำรุงร่างกาย

ทุกคนรู้กันดี ร่างกายเราจะสมบูรณ์แข็งแรง จะต้องได้รับประทานอาหารครบถ้วน 5 หมู่ สมองถึงจะมีความปราดเปรื่อง ทำงานได้ขยันขันแข็ง ไม่เจ็บป่วยง่าย มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรค…พืชผักก็ไม่ต่างกัน ต้องได้ธาตุอาหารมาบำรุงเลี้ยงลำต้นให้สมบูรณ์ ถึงจะผลิตสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ มาให้คนได้บริโภคอย่างครบถ้วน

แต่ถ้าได้ปุ๋ย ได้ธาตุอาหารไม่พอเพียง…คุณค่าโภชนาการของพืชผักย่อมลดน้อยลงไป

ถ้าคิดทำเกษตรผลิตพืชผักให้มีความปลอดภัยอย่างเดียว คุณค่าทางโภชนาการไม่แคร์…อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ใครจะซื้อแต่สินค้าปลอดภัยแต่ไร้คุณค่าทางอาหาร

อย่าลืมว่าโลกแห่งการค้าขายสินค้าเกษตรทุกวันนี้มีการนำเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย สารพิษตกค้างมาเป็นข้ออ้างกีดกัน…ต่อไปต่างชาติจะเอาเรื่องมาตรฐานทางโภชนาการมากีดกันไหม

วันนี้ประเทศไทยมีการศึกษาเรื่องทำนองนี้หรือยัง…ปลูกพืชผักต้องให้ปุ๋ย ให้ธาตุอาหารขนาดไหน ถึงจะได้สินค้าปลอดภัยและอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ

อย่ามัวแต่นั่งรอทำตามก้นฝรั่ง…หัดคิดทำเอง ทำได้ก่อนเขา แล้วเอามาสร้างมาตรฐานใหม่ กำหนดตลาดโลกจะดีกว่าไหม.

สะ–เล–เต

ชาวขุนหาญทำได้ ทุเรียนสี่ไร่ได้ล้านสอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594402

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 มี.ค. 2559 05:01

 

อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เริ่มปลูกทุเรียนปี 2528 เพราะเป็นพื้นที่เปิดใหม่ดินดี ปลูกทุเรียนได้คุณภาพรสชาติอร่อย โรคและแมลงยังไม่ดื้อยา…กระทั่งปี 2553 เกิดโรครากเน่า โคนเน่า และหนอน ด้วงหนวดยาวระบาดขยายเป็นวงกว้าง เนิ่นนานวันผลผลิตเริ่มไม่มีคุณภาพ พ่อค้าไม่สนใจเข้ามารับซื้อ

“ปีนั้นจึงเป็นยุคทุเรียนศรีสะเกษล่มสลาย ทุเรียนพื้นที่อื่นขายได้ราคา กก.ละ 40-50 บาท แต่ทุเรียนศรีสะเกษขายได้แค่ 20 บาท ชาวบ้านเริ่มทิ้งสวน หันไปปลูกพืชอย่างอื่น แต่ยังมีเกษตรกรบางรายต้องการทำสวนทุเรียนต่อ จึงขอความช่วยเหลือกับทางจังหวัด และสถาบันวิจัยพืชสวนศรีสะเกษ”

นายธวัชชัย นิ่มกิ่งรัตน์ ผอ.ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ สถาบัน วิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร เล่าว่า การเข้าไปสำรวจพบต้นทุเรียนส่วนใหญ่มีสภาพเกือบยืนต้นตาย ใบดอกร่วงเกือบหมด โคนต้นมองแทบไม่เห็นหน้าดิน จึงรู้ว่าจริงๆแล้วชาวบ้านไม่มีความรู้เรื่องการทำสวนทุเรียนเลย ไม่รู้วิธีป้องกันกำจัดโรคแมลงว่าต้องทำอย่างไร ช่วงไหนควรใส่ปุ๋ยสูตรอะไร ให้น้ำเวลาใดจึงเหมาะสม ดูแลรักษาอย่างไรต้นทุเรียนจึงสมบูรณ์

“ต้นไหนกู้ไม่ไหวจริงๆ ต้องขุดทิ้ง ส่วนต้นเสื่อมโทรม ต้องมาเริ่มแก้ปัญหาและทำพร้อมกันทุกแปลงทั้งจังหวัด ให้เสร็จภายในสัปดาห์ เพื่อไม่ให้โรคและแมลงศัตรูพืชต่างๆอพยพย้ายที่อยู่ ช่วงแรกจำเป็นต้องใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช จากนั้นค่อยๆลดปริมาณลง เพราะหากเลือกใช้วิธีผสมผสาน หรือ IPM ไม่ได้ผลแน่ เอาศัตรูพืชไม่อยู่”

2 ปีผ่านไป พื้นที่ปลูกทุเรียน 3,000 ไร่ กู้ขึ้นมาได้ 1,300 ไร่ ส่วนผลผลิตหากจะถามว่าได้เพิ่มกี่ร้อยพันกิโลฯนั้นบอกไม่ได้ เพราะแต่ละสวนสภาพความเสื่อมโทรมแตกต่างกันไป แต่ทุกรายสามารถเก็บทุเรียนขายเพิ่มขึ้นเท่าตัว และขายได้ราคา กก.ละ 35-50 บาท…ชาวบ้านเริ่มมีกำลังใจ ธวัชชัย จึงตั้งเป้าหมายการผลิตทุเรียนใหม่ หนนี้ไม่เน้นปริมาณ มุ่งผลิตแต่ทุเรียนคุณภาพ เพราะตลาดยั่งยืนขายได้ราคาดีกว่า

เริ่มตั้งแต่ใช้ตาข่ายดักปลานำมาพันรอบโคนต้น เพื่อดักด้วงหนวดยาว ซึ่งมีนิสัยชอบเดินขึ้นลงในแนวดิ่งตามโคนต้น ด้วงหนวดยาวไต่มาเจอตาข่าย หนามด้วง (หนวด) จะติดตาข่ายตาย หมดโอกาสวางไข่ให้กลายเป็นหนอนเจาะต้นทุเรียน

หลังเก็บเกี่ยวตัดแต่งกิ่งให้ต้นโปร่ง แสงแดดส่องถึง ลมถ่ายเทสะดวก จะได้ไม่เป็นที่พักอาศัยของเชื้อรา บำรุงปุ๋ยเพิ่มความสมบูรณ์ทางกิ่งใบ เน้นปุ๋ยสูตรมีไนโตรเจนสูง…จากนั้นเตรียมต้นให้พร้อมออกดอก เน้นใส่ปุ๋ยสูตรเลขตัวหลังมาก ช่วงนี้ประมาณ 1 เดือน ให้น้ำตลอด…ก่อนทุเรียนออกดอก 2 เดือน งดให้น้ำ (ธ.ค.-ม.ค.)

รอจนกระทั่งออกดอก จึงให้น้ำต่อแบบโชย เพื่อให้ความชื้นสม่ำเสมอ เพื่อดอกทุเรียนจะได้ไม่ร่วงหล่น เมื่อเจอสภาพอากาศแห้งแล้งรุนแรงเหมือนที่หลายสวนเคยเจอกันมา

และผลจากการนำวิชาการมาให้ชาวบ้านใช้แก้ปัญหา จึงทำให้ปีที่ผ่านมา คนขุนหาญได้ผลผลิตไร่ละ 3,000 กก. ขายได้ กก.ละ 100 บาท…ชาวบ้านมีที่ทำกินแค่ 4 ไร่ เก็บทุเรียนขายได้แค่ปีละ 1.2 ล้านเท่านั้นเอง.

เพ็ญพิชญา เตียว

ฉัตรชัย สาริกัลยะ เจ๋งไหมเรื่องเกษตร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593813

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 มี.ค. 2559 05:01

 

“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ได้ “คะแนนบ๊วย”…น้อยสุดจากโพลสำรวจความพึงพอใจในผลงานของแต่ละกระทรวง ครั้งล่า…ที่ผ่านมา

หากยอมรับข้อเท็จจริงร่วมกันว่า รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่แตกต่างไปจากรัฐบาลก่อนๆ…รวมถึงรัฐบาลผสมที่มาจากการเลือกตั้ง ตรงที่มิได้มีความเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ก็จะพอมองภาพออกว่ามีการแบ่งโครงสร้างอำนาจทางการเมืองออกเป็น 3-4 กลุ่มสำคัญๆ

อันได้แก่ “สายทหาร” นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “สายเศรษฐกิจ”…นำโดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ “นักกฎหมาย”…

มี ดร.วิษณุ เครืองาม และ “กลุ่มเพื่อนนายกฯ” เตรียมทหาร รุ่น 12 ซึ่งมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ หรือ “บิ๊กฉัตร” รมว.เกษตรและสหกรณ์เป็นหนึ่งในนั้น

ภายใต้เงื่อนไขที่แต่ละกลุ่มพยายามแสดงบทบาท ทั้งในรูปแบบของการแข่งขันและร่วมมือกัน จนปรากฏผลออกมาเป็นรูปธรรมผ่านผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เนื่องในโอกาสทำงานครบรอบ 1 ปี 6 เดือนของรัฐบาลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า “บิ๊กป้อม” และเครือข่ายลอยลำเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หนึ่ง

โดยมี ดร.สมคิด และ ดร.วิษณุ ตามมาโดยลำดับ ที่น่าสนใจก็คือ อันดับสุดท้าย “บิ๊กฉัตร” เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ที่เคยได้รับความไว้วางใจให้เป็น ผอ.ช่อง 5 ผลักดันให้ขึ้นสู่ตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ.

แต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจของ คสช.เป็น รมว.พาณิชย์ ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญเรื่องการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล ก่อนจะมีการปรับ ครม. และเป็น รมต. ฝ่ายเศรษฐกิจคนเดียวที่ไม่ถูกปรับออก ซ้ำยัง…ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาคุมกระทรวงสำคัญอย่าง “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์”

คำถามสำคัญมีว่า…พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ หรือ “บิ๊กฉัตร” รมว.เกษตรและสหกรณ์ คือตัวจริง…เก่ง เจ๋ง จริงไหม?

สุ้มเสียงจากคนวงใน อดีตข้าราชการระดับสูง กระทรวงเกษตรฯ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคสมัยรัฐบาล สะท้อนว่าแม้ผลโพลจะออกมาไม่น่าพอใจนัก แต่การทำความเข้าใจเรื่องนี้อาจดูแค่จากค่าเฉลี่ยของความรับรู้ของประชาชนไม่ได้…

เนื่องจากหน้างานของกระทรวงเกษตรฯ ค่อนข้างกว้างขวาง มีความ หลากหลาย ครอบคลุมภารกิจที่แตกต่างกันจำนวนมาก ตั้งแต่…การทำฝนหลวงบนฟ้า ปฏิรูปที่ดินในเขตป่าเสื่อมโทรม พัฒนาแหล่งน้ำและที่ดิน ควบคุมการเลี้ยงสัตว์ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ส่งเสริมและตรวจบัญชีสหกรณ์

กระทั่ง…ดูแลการจับสัตว์น้ำนอกน่านน้ำไทย

“นอกจากหลายๆเรื่องยังจะมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่หมักหมมมาอย่างยาวนาน ไม่คลี่คลาย…แก้ไขให้สำเร็จลงในเร็ววัน กระทั่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก อาทิ สภาวการณ์ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติแล้ว ยังเป็นเรื่องที่ใหญ่และมีความสำคัญมาก จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ โดยมีกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้รับผิด…มีรัฐบาลเป็นผู้รับชอบ”

ยกตัวอย่างเช่น “ปัญหาภัยแล้ง”…ใหญ่และหนักหนาในปีนี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นภัยธรรมชาติอยู่เหนือการควบคุมของใครคนใดคนหนึ่งแล้ว ยังเป็นผลของเหตุที่สั่งสมมาก่อนหน้าอย่างยาวนานแล้ว แถมยังต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมืออย่างขนานใหญ่ นายกรัฐมนตรีก็ต้องพูดถึงและลงพื้นที่เพื่อภารกิจนี้ด้วยตนเอง

หากจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา “บิ๊กฉัตร”…นอกจากจะได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำของ คสช.แล้ว ยังรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการแก้ไขปัญหาวิกฤติภัยแล้งปี 2558/59 มีบทบาทในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา

“รับผิด…ในฐานะที่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องเกษตรกรได้รับผลกระทบมากจากการขาดแคลนน้ำในการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์”

กระทรวงเกษตรฯ เองก็มีกลไกคือ “กรมชลประทาน” จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประชาชนจะนึกถึงเมื่อเดือดเนื้อร้อนใจ แต่…เมื่อปัญหาได้รับการคลี่คลายลงในแต่ละลำดับ ก็ต้องยกประโยชน์ให้แก่ภาพรวมในการรับผิดชอบ เพื่อสนับสนุน เสถียรภาพของรัฐบาลที่ยังสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆที่ถาโถมเข้ามาได้

ไม่แตกต่างนักกับ…“ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ” ที่พื้นฐานของเรื่อง งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์จำนวนมากชี้ตรงกันว่าเกี่ยวพันอย่างยิ่งอยู่กับสถานการณ์ของ…“ตลาดโลก” มากกว่าการบริหารงานของรัฐบาล แต่ในเงื่อนไขที่ผู้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือ…“พี่น้องเกษตรกร” จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

แนวทางในการปฏิรูปภาคการเกษตรของบิ๊กฉัตร ด้วยการ “ลดต้นทุน เพิ่มโอกาสทางการแข่งขัน” ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ใช่แนวทางสำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่เป็นความพยายามในการปรับเปลี่ยนและวางรากฐานใหม่ให้กับการผลิตสินค้าเกษตร

“นโยบายสำคัญนี้นอกจากจะไม่ทันใจพี่น้องเกษตรกร…ช้ากว่าการอัดเม็ดเงินลงไปเพื่อพยุงยกระดับราคาโดยตรงแล้ว เมื่อต้องเผชิญกับทั้งปัญหาราคายาง ราคาข้าว รวมถึงภัยแล้ง จึงยังไม่ค่อยออกดอกออกผลเป็นความรับรู้ของพี่น้องประชาชนสักเท่าไหร่”

ที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือ “ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย”…ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ซึ่งสหภาพยุโรปกำลังเล่นงานเราอย่างหนัก ความเป็นมาของฝีเม็ดใหญ่เบิ้มที่เพิ่งแตกและกำลังอักเสบอยู่นี้ สะท้อนปมปัญหา…การปล่อยให้มีการทำประมงเกินขนาด (Overfishing) มาอย่างยาวนาน ด้วยสารพัดวิธีการ และเครื่องมือที่ไม่เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ

ความท้าทายยากยิ่งอยู่ที่การแก้ไขปัญหาเหล่านี้เพื่อคลี่คลายไม่ให้เกิดผลกระทบที่จะติดตามมากระแทกกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของรัฐบาล หากอียูแบนสินค้าประมงของไทยด้วยการเข้าไปปัดกวาด จัดระเบียบการทำประมงของประเทศใหม่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจสร้างความยินดีให้กับพี่น้องชาวประมงเป็นรายบุคคลได้เลย เพราะเขาเหล่านั้นคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

จากการดำเนินการข้างต้นผนวกเข้ากับปัญหาที่อยู่ในสภาพเรื้อรังและอันที่จริงก็เป็นปัญหาที่ใหญ่ไม่แพ้กัน แถมเกี่ยวพันต่อเนื่องกับเรื่องอื่นๆของแทบทุกหน่วยงานในประเทศด้วยก็คือ “การค้ามนุษย์ (Human Trafficking)” เพื่อบังคับใช้แรงงานในภาคประมง

มองในภาพใหญ่ถือเป็นวาระของรัฐบาลในการบูรณาการความร่วมมือจากแทบทุกภาคส่วน โดยมีการจัดตั้ง ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) มีการแต่งตั้งกองทัพเรือ กรมประมง และอีก 9 หน่วยงานเข้าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศ ศปมผ.

“การทำงานที่ยังบูรณาการกันแบบขนมชั้นของหน่วยงานราชการไทย กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ซึ่งว่ากันด้วยการแบ่งหน้าที่…งบประมาณตามโครงสร้างของราชการไทยนั้นเป็นเรื่องของกระทรวงแรงงาน…การบังคับใช้แรงงาน”

และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์…การค้ามนุษย์

แต่เมื่อมีคำว่า “ประมง” เข้าไปเกี่ยวข้อง แม้ขอบข่ายความรับผิดชอบแต่เดิมจะไม่ได้ถูกกำหนดไว้รองรับ แต่ทั้งต่างประเทศ กระทั่งพี่น้องชาวประมง…ไม่พ้น ย่อมนึกถึงกระทรวงเกษตรฯ ก่อนเป็นอันดับต้นๆ

ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนเป็นเวรกรรมที่เลี่ยงไม่ได้ แก้บาปก็ยาก “บิ๊กฉัตร”…จึงมีสภาพเป็นตำบลกระสุนตก รับผิดไว้แทนทุกเม็ด

หากมีการปรับ ครม. ชายชื่อ “ฉัตรชัย สาริกัลยะ” จะอยู่หรือจะไป คงต้องลุ้นกันว่าความสามารถหรือว่าสายสัมพันธ์พี่น้องสีเขียวที่แนบชิดสนิทแน่นจะช่วยได้.

“ละมุดสีดา” ผลกิน จิตใจชุ่มชื้น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593873

โดย นายเกษตร 22 มี.ค. 2559 05:01

 

สมัยก่อน “ละมุดสีดา” นิยมปลูกอย่างกว้างขวางทั้งตามบ้านและวัดวาอาราม เนื่องจากให้ร่มเงาดี ผลสุกสีสันสวยงามน่าชมยิ่ง สามารถรับประทานได้ รสชาติหวานปนฝาดเล็กน้อย อร่อยมาก ที่สำคัญคนเพิ่งฟื้นจากการเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆน้อยๆ ไม่มีเรี่ยวมีแรง อ่อนเพลีย หากได้รับประทานผลสุกของ “ละมุดสีดา” ตำรายาไทยโบราณระบุว่า จะช่วยทำให้จิตใจชุ่มชื้นและหายจากอาการอ่อนเพลียได้อย่างเหลือเชื่อ ส่วนเนื้อไม้นิยมเอาไปทำเสา กระดานพื้นบ้าน ฝาลอด เครื่องใช้ต่างๆ ทำตู้ใส่เสื้อผ้า แข็งแรงทนทานและขึ้นเงาดีมาก

ละมุดสีดา หรือ MADHUCA GRANDIFLORD FLETCHER อยู่ในวงศ์ SAPOTACEAE พบขึ้นในป่าดงดิบทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงใต้ของไทย โดยจะขึ้นตามที่สูงจากนํ้าทะเลไม่เกิน 400-500 เมตร ภาคอื่นพบประปราย เป็นไม้ยืนต้นเนื้อไม้แข็ง สูง 10-15 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทรงกลมทึบ กิ่งอ่อนเกลี้ยงสีนํ้าตาล เปลือกต้นเป็นสีนํ้าตาลปนแดง แตกเป็นร่องลึกตามยาวของลำต้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงถี่บริเวณปลายยอด ใบรูปหอกแคบ ปลายสอบเรียว บางทีมน โคนใบสอบ เนื้อใบหนาขอบใบเรียบเป็นคลื่น ใบดกให้ร่มเงาดีมาก

ดอก ออกเป็นกระจุกใหญ่ที่ปลายกิ่ง บางครั้งมีออกตามง่ามใบก็มี แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกเป็นสีขาว “ผล” รูปกลมรี ลักษณะคล้ายผลพิกุล แต่ขนาดของผลจะใหญ่กว่าอย่างชัดเจน ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่หรือสุกเป็นสีแดงสดใสหรือสีแดงคลํ้าเล็กน้อย เวลาติดผลดกและผลสุกพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามสดใสมาก เนื้อในเป็นสีเหลืองอมส้มกินได้ รสหวานปนฝาดเล็กน้อยตามที่กล่าวข้างต้น มี 1 เมล็ด ติดผลเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง ภาคกลางเรียกว่า “มะซาง”

มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร” โทร. 08-6605-4945 ราคาสอบถามกันเอง ปัจจุบันผลสุกกิโลกรัมไม่ตํ่ากว่า 100 บาทครับ.

“นายเกษตร”

เกษตรอินทรีย์ยั่งยืนจริงหรือ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593884

โดย สะ-เล-เต 22 มี.ค. 2559 05:01

 

มาว่ากันต่อถึงนโยบายเกษตรอินทรีย์…ด้วยคำถามง่ายๆ จะช่วยให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ยั่งยืนแค่ไหน??

หลายคนคงยกมือตอบยั่งยืนแน่ เพราะเกษตรกรไม่ต้องควักเงินซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้…แค่ลงทุนทำปุ๋ยหมัก หาปุ๋ยคอก นำน้ำชีวภาพมาใส่ลงไป เพียงแค่นี้พืชผักที่ปลูกไว้ก็งดงาม

แต่จะงดงามได้สักกี่น้ำ สักกี่ปี…ความจริงเรื่องนี้แทบไม่ต้องพูดถึง เพราะนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านดินและปุ๋ยรู้ทั้งนั้น แต่ไม่มีใครกล้าออกมาชี้แจงกันเท่าไร ไปค้านรัฐบาลอนาคตจะมืดมน เลยเฉยไว้ซะดีกว่า

มันจะดีได้แค่ 2-3 ปีเท่านั้น และที่ตอนนี้มีให้เห็น ทำแล้วดี ไม่ใช่ เพราะปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยชีวภาพ ที่เติมลงไป…แต่เป็นเพราะพื้นที่เพาะปลูกตรงนั้นมีการใช้ปุ๋ยเคมีมากมาก่อน เลยมีการสะสมตกค้างอยู่ในดินและได้แปรสภาพกลับไปเป็นแร่ธาตุ ที่รากพืชไม่สามารถดูดเอาไปใช้ประโยชน์ได้

แต่เมื่อใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก น้ำชีวภาพ จุลินทรีย์ในปุ๋ยเหล่านั้นจะทำหน้าที่เป็นโรงงานแปรสภาพธาตุอาหารที่ตกค้างอยู่ในดินให้คืนกลับมาอยู่ในรูปของปุ๋ยที่รากพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ การทำเกษตรอินทรีย์ในระยะแรกพืชจึงเจริญงอกงามได้ดี

แต่เมื่อผ่านไป 2-3 ปี ปุ๋ยที่ตกค้างในดินถูกพืชดูดไปจนหมด พืชจะเอาธาตุอาหารที่ไหนมาเลี้ยงบำรุงลำต้น ใบ ดอก ผล…หลายคนคงบอกว่า ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำชีวภาพนั่นไง มีสารอาหารไปเลี้ยงพืชได้

รู้ไหมสารพัดปุ๋ยที่ว่ามีธาตุอาหารมากขนาดไหน…น้ำชีวภาพไม่ต้องพูดถึง ธาตุอาหารแทบไม่มี มีแต่จุลินทรีย์เป็นหลัก แต่ดันมีคนพูดให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นปุ๋ยอยู่ได้

ส่วนปุ๋ยคอกเอาแบบที่หาง่ายใกล้ตัว ราคาไม่แพง ธาตุอาหารเยอะ “มูลไก่แห้ง” ที่มีธาตุอาหารหลัก N-P-K รวมกัน 10% ราคาอยู่ที่ กก.ละ 5 บาท…ปุ๋ยอินทรีย์ ตามกฎหมายให้มีธาตุอาหาร N-P-K รวมกันไม่ต่ำกว่า 2% ราคา กก.ละ 4 บาท…ปุ๋ยเคมี สูตรยอดนิยม 15-15-15 มีธาตุอาหารหลัก 45% ราคา กก.ละ 14 บาท

จะให้พืชได้ธาตุอาหารเท่าปุ๋ยเคมี 1 กก. ต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 22.5 กก. ใช้มูลไก่ 4.5 กก.

ลองคำนวณดูล่ะกัน ต้นทุนแบบไหนสูงกว่ากัน…ถ้าจะอ้างไม่ต้องซื้อ เกษตรกรทำเองได้ ถามหน่อยเถอะ จะไปหาวัตถุดิบจากไหนมาทำปุ๋ยถึงจะป้อนพื้นที่เกษตรอินทรีย์ได้เพียงพอ.

สะ-เล-เต

ยางนาขายได้ทุกส่วน วิจัยเมล็ดเพิ่มพลังเพศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594000

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 มี.ค. 2559 05:01

 

ต้นยางนา ที่หลายคนไม่เคยมองเห็นค่ามากไปกว่าเอาลูกมาหมุนเล่นเพลินๆ เอาไม้มาทำอาคารบ้านเรือน เอาน้ำมันมายาเรือ…แต่วันนี้ยางนามีค่ามากกว่าทองไปซะแล้ว เมื่อนักวิจัยมหาวิทยาลัยขอนแก่น พบสารพัดสรรพคุณจากทุกส่วนของต้นยางนา แถมเอามาทำเครื่องสำอาง ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

นิภาพร นาโสก นักวิจัยภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เผยถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากยางนา มีที่มาจากการสังเกตการเจาะเอาน้ำมันต้นยางนาสามารถฟื้นตัว สมานแผลรอยเจาะได้เร็ว ต้นยางน่าจะมีสารสำคัญอะไรบางอย่างอยู่ภายใน จึงได้เริ่มทำวิจัยเมื่อ 7 ปีที่แล้วด้วยทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จนกลางปีที่แล้ว จึงได้ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกเป็นสบู่จากใบยางนา เพราะใบมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อสิว มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เชื้อรา จากนั้นเซรั่มจากใบและดอก ครีมพอกหน้า เจลแต้มสิว เจลล้างหน้าตามมา

นอกจากนั้น การวิจัยยังพบว่าต้นยางมีประโยชน์มากกว่าที่คนไทยเคยรู้จักกันมา ตั้งแต่สามารถเพาะเห็ดได้ เนื่องจากธรรมชาติยางนาเอื้อต่อการเกิดเห็ดอยู่แล้ว แต่จะให้ดี ก่อนเริ่มปลูกนำเชื้อเห็ดราคาสูง ตระกูลไมคอร์โรซา เช่น เห็ดเผาะ เห็ดโคนควาย เห็ดไข่ไก่ ผสมกับดินรอง พื้น เมื่อต้นยางอายุได้ 3 ปี จะเริ่มเกิดเห็ด และสามารถเก็บได้ทุกปีตลอดอายุยางนา จะได้เห็ดเฉลี่ยปีละ 5 กก.ต่อยางนา 1 ต้น

ขณะเดียวกัน ยังสามารถเริ่มเก็บใบขายให้เราได้ในราคา กก.ละ 60 บาท ดอกยางนาจะออกเฉลี่ยต้นละ 4 กก.ต่อปี ขายได้ กก.ละ 50 บาท เพราะมีผู้รับซื้อนำไปทำเครื่องสำอางประทินผิวได้หลายรูปแบบ ส่วนเมล็ดใน 1 ต้น สามารถนำไปเพาะกล้ายางเฉลี่ยปีละ 200 ต้น ขายได้ต้นละ 10 บาท

และจากการวิจัยเบื้องต้นนิภาพร ยังพบว่าในเมล็ดยางนายังมีสารบางตัวที่มีฤทธิ์เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ รักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย ส่วนต้นให้น้ำมันมาก ในต้นอายุ 25 ปีขึ้นไป 1 ต้นให้น้ำมันเฉลี่ย 500 มล. สามารถนำมากลั่นเป็นไบโอดีเซล ผสมกับไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชอัตรา 1:1 ใช้แทนดีเซลในเครื่องยนต์ได้

กิ่ง ใบแห้ง แต่ละปีจะมีเฉลี่ยต้นละ 1 ตัน สามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้มในครัวเรือน ไบโอซาร์ ถ่านอัดแท่ง เชื้อเพลิงชีวมวล ผลิตเป็นไฟฟ้าชุมชน

ส่วนยางนานอกจากสรรพคุณทางยามากมายแล้ว สารสกัดจากยางนา 1 กก. สามารถขายให้บริษัทผลิตเครื่อง สำอาง ที่ได้ราคาสูงถึง กก.ละ 30,000 บาทอีกด้วย.

เกษตรอินทรีย์ : ประชาธิปไตย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593519

โดย สะ-เล-เต 21 มี.ค. 2559 05:01

 

ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อน…ไม่ได้ต่อต้านหรือรังเกียจเกษตรอินทรีย์แต่ประการใด เพียงแต่ขอตั้งข้อสังเกต รัฐบาลคิดถ้วนถี่แล้วหรือถึงได้ผลักดัน เกษตรอินทรีย์ให้เป็นนโยบายระดับชาติ

ทำเพื่ออะไร ถ้าแค่เพื่อให้เกษตรกรฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ สินค้าเกษตรตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง ให้เกษตรกรทำปุ๋ยเอง ต้นทุนจะได้ถูกลง ในระยะเปลี่ยนผ่าน…นั่นเป็นอีกเรื่อง

แต่ถ้าคิดจะให้เกิดการผลิตทั้งประเทศ รู้และเข้าใจหรือยังเกษตรอินทรีย์คืออะไร ต้องทำอย่างไร จะขายได้ขนาดไหน จะได้ผลผลิตดีทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ ผู้บริโภครับประทานจะได้สารอาหารมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนแค่ไหน

หวังว่านโยบายนี้ไม่ได้มาจากฟังความผิวเผิน มีคนบอกว่าดี ช่วยให้ผู้บริโภค เกษตรกรปลอดภัย ไร้สารพิษตกค้าง…ถ้ามุ่งหวังเพียงแค่นี้ สานต่อนโยบายสินค้าเกษตรปลอดภัยจะไม่ดีกว่าหรือ

เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาเหมือนนำลัทธิประชาธิปไตยเข้ามาในบ้านเรา…ปลุกปล้ำปลูกกันมากว่า 80 ปี ต้นประชาธิปไตยกลายพันธุ์เป็นต้นอะไรไม่รู้

สาเหตุเพราะความไม่รู้จริงอย่างถ่องแท้ แล้วแห่ตามเขาหรือเปล่า

ลูกหลานเจ้าขุน–มูลนายถูกส่งไปเรียนเมืองนอก เห็นบ้านเมืองตะวันตกเจริญกว่า เพราะบ้านเขามีประชาธิปไตยไม่มีระบบกษัตริย์ กลับมาเลยรวมหัวเปลี่ยนแปลงการปกครอง…ไม่ได้ดูลึกในรายละเอียด ตะวันตกมีประชาธิปไตยพาชาติเจริญได้ วัฒนธรรมค่านิยมคนของเขาเป็นอย่างไร เขามีระบบอุปถัมภ์ฝังรากลึกเหมือนเราไหม มีระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง พวกพ้องเดียวกันหรือเปล่า ค่านิยมกตัญญูรู้บุญคุณคน
มีไหม…ขนาดพ่อแม่มันยังไม่นับถือเลย

แต่บ้านเราคนละเรื่องกัน เอาประชาธิปไตยมาใช้แล้วเป็นไง ต่อให้เลวโคตรโกงยังไง ถ้ามีของมาให้ เอาเงินมาแจก ถือว่ามีบุญคุณต้องทดแทน ยกมือไหว้ยกย่องเป็นคนดี…สุดท้ายเปลี่ยนปุ๋ยรัฐธรรมนูญมาไม่รู้กี่สูตร ต้นประชาธิปไตยยังแกร็นเหมือนเดิม

เป็นเพราะเมล็ดพันธุ์ไม่ดี ปุ๋ยปลอม หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม

เรื่องเกษตรอินทรีย์ก็เช่นกัน รู้รึยังสินค้าเกษตรอินทรีย์จะขายได้ราคาต้องมีใบรับรอง เกษตรกรต้องจ่ายค่าตรวจสอบ ใครล่ะจะได้ประโยชน์จากตรงนี้…ส่วนเรื่องอื่นๆ ติดตามตอนต่อไป.

สะ–เล–เต

“ถั่วเขียว” บรรเทาปวดเข่าเสื่อม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593523

โดย นายเกษตร 21 มี.ค. 2559 05:01

 

เข่าเสื่อม มักเกิดกับผู้สูงอายุ เป็นแล้วจะปวดมากถึงกับเดินไม่ได้ก็มี ถ้าเริ่มมีอาการใหม่ๆ ในทางสมุนไพรพอบรรเทาได้คือ ให้เอา “ถั่วเขียว” จำนวนตามต้องการต้มกับน้ำซาวข้าวน้ำที่ 2 เพราะน้ำแรกจะสกปรก โดยจำนวนน้ำมากหน่อย ต้มจนเดือด เนื้อถั่วแตก กินทั้งน้ำและเนื้อครั้งละครึ่งแก้วก่อนอาหาร 3 มื้อ ต้มกิน 10 วัน จะสังเกตได้ว่าอาการปวดจะบรรเทา เดินได้สะดวกขึ้น สามารถต้มกินได้เรื่อยๆ และควรไปให้แพทย์รักษาด้วย

ถั่วเขียว หรือ GREEN BEAN มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศอินเดีย อยู่ในวงศ์ PAPILIONOIDEAE ทางโภชนาการ กินต้ม “ถั่วเขียว” ช่วงฤดูร้อนช่วย ลดอาการเมาแดด ปวดบวม ฝี ตุ่มหนองได้ และยังช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงตับ ต้านภูมิแพ้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีธาตุเย็น ร่างกายอ่อนแอไม่ควรกิน “ถั่วเขียว” มากเกินไป

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” เหลือไม่มากแล้ว ไม่วางขายที่ไหน หมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์”ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร แชมพูสูตร 5 ชนิด บำรุงรากผม ขจัดรังแคแก้คันศีรษะ เส้นผมแข็งแรง, สเปรย์ฉีดบำรุงรากผม, น้ำมัน 12 ประดง ทาภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล น้ำมูลไหลมีกลิ่นเหม็น, โลชั่นบำรุงผิว สกัดจากสมุนไพรหลายชนิด, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่า รักแร้หายดำคล้ำ, ครีมโลดทนง รักษาสิว ฝ้า รูขุมขนตีบลง, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, แห้วหมูแคปซูล ลดความดันโลหิตสูง, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ,ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร, ยาลดเบาหวานแคปซูล โทร. 0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”