“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ได้ “คะแนนบ๊วย”…น้อยสุดจากโพลสำรวจความพึงพอใจในผลงานของแต่ละกระทรวง ครั้งล่า…ที่ผ่านมา
หากยอมรับข้อเท็จจริงร่วมกันว่า รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่แตกต่างไปจากรัฐบาลก่อนๆ…รวมถึงรัฐบาลผสมที่มาจากการเลือกตั้ง ตรงที่มิได้มีความเป็นปึกแผ่นเดียวกัน ก็จะพอมองภาพออกว่ามีการแบ่งโครงสร้างอำนาจทางการเมืองออกเป็น 3-4 กลุ่มสำคัญๆ
อันได้แก่ “สายทหาร” นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “สายเศรษฐกิจ”…นำโดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ “นักกฎหมาย”…
มี ดร.วิษณุ เครืองาม และ “กลุ่มเพื่อนนายกฯ” เตรียมทหาร รุ่น 12 ซึ่งมี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ หรือ “บิ๊กฉัตร” รมว.เกษตรและสหกรณ์เป็นหนึ่งในนั้น
ภายใต้เงื่อนไขที่แต่ละกลุ่มพยายามแสดงบทบาท ทั้งในรูปแบบของการแข่งขันและร่วมมือกัน จนปรากฏผลออกมาเป็นรูปธรรมผ่านผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เนื่องในโอกาสทำงานครบรอบ 1 ปี 6 เดือนของรัฐบาลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า “บิ๊กป้อม” และเครือข่ายลอยลำเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่หนึ่ง
โดยมี ดร.สมคิด และ ดร.วิษณุ ตามมาโดยลำดับ ที่น่าสนใจก็คือ อันดับสุดท้าย “บิ๊กฉัตร” เพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ที่เคยได้รับความไว้วางใจให้เป็น ผอ.ช่อง 5 ผลักดันให้ขึ้นสู่ตำแหน่ง รอง ผบ.ทบ.
แต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจของ คสช.เป็น รมว.พาณิชย์ ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญเรื่องการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล ก่อนจะมีการปรับ ครม. และเป็น รมต. ฝ่ายเศรษฐกิจคนเดียวที่ไม่ถูกปรับออก ซ้ำยัง…ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาคุมกระทรวงสำคัญอย่าง “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์”
คำถามสำคัญมีว่า…พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ หรือ “บิ๊กฉัตร” รมว.เกษตรและสหกรณ์ คือตัวจริง…เก่ง เจ๋ง จริงไหม?
สุ้มเสียงจากคนวงใน อดีตข้าราชการระดับสูง กระทรวงเกษตรฯ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคสมัยรัฐบาล สะท้อนว่าแม้ผลโพลจะออกมาไม่น่าพอใจนัก แต่การทำความเข้าใจเรื่องนี้อาจดูแค่จากค่าเฉลี่ยของความรับรู้ของประชาชนไม่ได้…
เนื่องจากหน้างานของกระทรวงเกษตรฯ ค่อนข้างกว้างขวาง มีความ หลากหลาย ครอบคลุมภารกิจที่แตกต่างกันจำนวนมาก ตั้งแต่…การทำฝนหลวงบนฟ้า ปฏิรูปที่ดินในเขตป่าเสื่อมโทรม พัฒนาแหล่งน้ำและที่ดิน ควบคุมการเลี้ยงสัตว์ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ส่งเสริมและตรวจบัญชีสหกรณ์
กระทั่ง…ดูแลการจับสัตว์น้ำนอกน่านน้ำไทย
“นอกจากหลายๆเรื่องยังจะมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่หมักหมมมาอย่างยาวนาน ไม่คลี่คลาย…แก้ไขให้สำเร็จลงในเร็ววัน กระทั่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก อาทิ สภาวการณ์ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติแล้ว ยังเป็นเรื่องที่ใหญ่และมีความสำคัญมาก จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ โดยมีกระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้รับผิด…มีรัฐบาลเป็นผู้รับชอบ”
ยกตัวอย่างเช่น “ปัญหาภัยแล้ง”…ใหญ่และหนักหนาในปีนี้ ซึ่งนอกจากจะเป็นภัยธรรมชาติอยู่เหนือการควบคุมของใครคนใดคนหนึ่งแล้ว ยังเป็นผลของเหตุที่สั่งสมมาก่อนหน้าอย่างยาวนานแล้ว แถมยังต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมืออย่างขนานใหญ่ นายกรัฐมนตรีก็ต้องพูดถึงและลงพื้นที่เพื่อภารกิจนี้ด้วยตนเอง
หากจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา “บิ๊กฉัตร”…นอกจากจะได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการ บริหารจัดการทรัพยากรน้ำของ คสช.แล้ว ยังรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการแก้ไขปัญหาวิกฤติภัยแล้งปี 2558/59 มีบทบาทในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา
“รับผิด…ในฐานะที่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องเกษตรกรได้รับผลกระทบมากจากการขาดแคลนน้ำในการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์”
กระทรวงเกษตรฯ เองก็มีกลไกคือ “กรมชลประทาน” จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ประชาชนจะนึกถึงเมื่อเดือดเนื้อร้อนใจ แต่…เมื่อปัญหาได้รับการคลี่คลายลงในแต่ละลำดับ ก็ต้องยกประโยชน์ให้แก่ภาพรวมในการรับผิดชอบ เพื่อสนับสนุน เสถียรภาพของรัฐบาลที่ยังสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆที่ถาโถมเข้ามาได้
ไม่แตกต่างนักกับ…“ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ” ที่พื้นฐานของเรื่อง งานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์จำนวนมากชี้ตรงกันว่าเกี่ยวพันอย่างยิ่งอยู่กับสถานการณ์ของ…“ตลาดโลก” มากกว่าการบริหารงานของรัฐบาล แต่ในเงื่อนไขที่ผู้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือ…“พี่น้องเกษตรกร” จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
แนวทางในการปฏิรูปภาคการเกษตรของบิ๊กฉัตร ด้วยการ “ลดต้นทุน เพิ่มโอกาสทางการแข่งขัน” ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ใช่แนวทางสำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่เป็นความพยายามในการปรับเปลี่ยนและวางรากฐานใหม่ให้กับการผลิตสินค้าเกษตร
“นโยบายสำคัญนี้นอกจากจะไม่ทันใจพี่น้องเกษตรกร…ช้ากว่าการอัดเม็ดเงินลงไปเพื่อพยุงยกระดับราคาโดยตรงแล้ว เมื่อต้องเผชิญกับทั้งปัญหาราคายาง ราคาข้าว รวมถึงภัยแล้ง จึงยังไม่ค่อยออกดอกออกผลเป็นความรับรู้ของพี่น้องประชาชนสักเท่าไหร่”
ที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือ “ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย”…ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ซึ่งสหภาพยุโรปกำลังเล่นงานเราอย่างหนัก ความเป็นมาของฝีเม็ดใหญ่เบิ้มที่เพิ่งแตกและกำลังอักเสบอยู่นี้ สะท้อนปมปัญหา…การปล่อยให้มีการทำประมงเกินขนาด (Overfishing) มาอย่างยาวนาน ด้วยสารพัดวิธีการ และเครื่องมือที่ไม่เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ
ความท้าทายยากยิ่งอยู่ที่การแก้ไขปัญหาเหล่านี้เพื่อคลี่คลายไม่ให้เกิดผลกระทบที่จะติดตามมากระแทกกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของรัฐบาล หากอียูแบนสินค้าประมงของไทยด้วยการเข้าไปปัดกวาด จัดระเบียบการทำประมงของประเทศใหม่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจสร้างความยินดีให้กับพี่น้องชาวประมงเป็นรายบุคคลได้เลย เพราะเขาเหล่านั้นคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
จากการดำเนินการข้างต้นผนวกเข้ากับปัญหาที่อยู่ในสภาพเรื้อรังและอันที่จริงก็เป็นปัญหาที่ใหญ่ไม่แพ้กัน แถมเกี่ยวพันต่อเนื่องกับเรื่องอื่นๆของแทบทุกหน่วยงานในประเทศด้วยก็คือ “การค้ามนุษย์ (Human Trafficking)” เพื่อบังคับใช้แรงงานในภาคประมง
มองในภาพใหญ่ถือเป็นวาระของรัฐบาลในการบูรณาการความร่วมมือจากแทบทุกภาคส่วน โดยมีการจัดตั้ง ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) มีการแต่งตั้งกองทัพเรือ กรมประมง และอีก 9 หน่วยงานเข้าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศ ศปมผ.
“การทำงานที่ยังบูรณาการกันแบบขนมชั้นของหน่วยงานราชการไทย กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมประมง ที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ซึ่งว่ากันด้วยการแบ่งหน้าที่…งบประมาณตามโครงสร้างของราชการไทยนั้นเป็นเรื่องของกระทรวงแรงงาน…การบังคับใช้แรงงาน”
และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์…การค้ามนุษย์
แต่เมื่อมีคำว่า “ประมง” เข้าไปเกี่ยวข้อง แม้ขอบข่ายความรับผิดชอบแต่เดิมจะไม่ได้ถูกกำหนดไว้รองรับ แต่ทั้งต่างประเทศ กระทั่งพี่น้องชาวประมง…ไม่พ้น ย่อมนึกถึงกระทรวงเกษตรฯ ก่อนเป็นอันดับต้นๆ
ท้ายที่สุดแล้ว เหมือนเป็นเวรกรรมที่เลี่ยงไม่ได้ แก้บาปก็ยาก “บิ๊กฉัตร”…จึงมีสภาพเป็นตำบลกระสุนตก รับผิดไว้แทนทุกเม็ด
หากมีการปรับ ครม. ชายชื่อ “ฉัตรชัย สาริกัลยะ” จะอยู่หรือจะไป คงต้องลุ้นกันว่าความสามารถหรือว่าสายสัมพันธ์พี่น้องสีเขียวที่แนบชิดสนิทแน่นจะช่วยได้.