มหัศจรรย์พรรณไม้ชิงรางวัล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 15 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/690063

เวียนวนกลับมาเป็นครั้งที่ 4 สำหรับงาน “เดอะมอลล์ มหัศจรรย์แห่งพรรณไม้” ภายใต้คอนเซปต์ “Fantastic Garden” มหัศจรรย์สวนนานาพรรณ พร้อมการประกวดสุดยอดไม้ดอกไม้ประดับระดับชาติสนามในร่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ชิงถ้วยประทาน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ

จัดประกวดไม้ดอกไม้ประดับ 14 ชนิด…1.กล้วยไม้ ที่มีความหลาก หลายทั้งสีสันลวดลาย ขนาด รูปทรงและกลิ่น…2.บอนสี ไม้ประดับที่มีใบสวยงาม และเป็นไม้มงคล มีสีสันที่หลากหลายแปลกตาและเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “ราชินีแห่งไม้ใบ” (Queen of the Leafy Plants)

3.ชวนชม ไม้ที่ปลูกเลี้ยงง่าย ทนต่อสภาพ แห้งแล้งมาก จนได้รับสมญาว่า Desert Rose (กุหลาบทะเล ทราย) นอกจากนี้ ความเชื่อของคนไทยชื่อ “ชวน ชม” ยังเป็นชื่อที่มีความไพเราะเป็นสิริมงคล…4.เฟิร์น พืชคู่โลกที่มีมาอย่างยาวนาน จากหลักฐานร่องรอยในหินฟอสซิลที่ขุดพบ…5.สับปะรดสี พันธุ์ไม้ประดับที่มีใบเป็นกลีบแข็งๆแผ่ออกไปรอบๆ ข้างบนใบมีลวดลายและสีสันที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิดพันธุ์…6.แก้วกาญจนา คนไทยรู้จักต้นไม้ชนิดนี้ในชื่อ “ว่านขันหมาก” ใช้ปลูกเป็นไม้กระถางในร่มหรือปลูกลงดินในแปลงตามร่มต้นไม้ใหญ่

7.ไม้ด่าง ที่เกิดผิดแปลกธรรมชาติจากการกลายพันธุ์…8.บอนไซไม้ขนาดใหญ่จับมาย่อส่วนลงในกระถาง…9.โป๊ยเซียน ไม้มงคล เรียกอีกชื่อ มงกุฎหนาม (Crown of Thorns) และจะเป็นมงคลอย่างยิ่ง หากเป็นสีส้มหรือสีเหลืองในดอกเดียวกันจะนำโชคลาภมาให้ผู้ปลูก…10.พญามังกร ไม้ประดับที่มีความงามในเรื่องสีสันของใบ…11.ลิ้นมังกร พรรณไม้ที่มีลำต้นเป็นหัว สีสันของใบจะมีสีเขียวซีดจนถึงสีเขียวเข้ม ดอกมีสีขาวหรือสีเขียวอ่อน

12.โกสน ไม้ยืนต้นประเภทไม้พุ่มขนาดย่อมลำต้น…13.หน้าวัวใบ นิยมปลูกลงกระถาง มีความเชื่อ นำไปปลูกเป็นไม้ประดับในบ้าน สำนักงาน จะนำแต่ความโชคดี ทำมาค้าขึ้น…14. แคคตัสและไม้อวบน้ำ พันธุ์ไม้ที่สามารถเก็บกักน้ำไว้ภายในทุกส่วนเพื่อต่อสู้กับความแห้งแล้ง

เปิดรับสมัครตั้งแต่ วันนี้ไปจนถึงก่อนเที่ยง 26 ส.ค.นี้ โดยการแข่งขันจัดขึ้น 26 ส.ค.-4 ก.ย.นี้ ที่เอ็มซีซี ฮอลล์ ชั้น 4 เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เข้าชมฟรี สอบถามรายละเอียดได้ที่ 0-2310-1442, 0-2310-1928.

สะ–เล–เต

 

ร้อนแล้ง..ตั๊กแตนอาละวาด ข้าวมีน้อย..หม่ำไร่อ้อยแทน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/690091

ต้นเดือนที่ผ่านมา เกิดฝูงตั๊กแตนระบาดอย่างหนักในพื้นที่บ้านเขาผึ้ง ต.ปากช่อง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี สร้างความเสียหายในแปลงปลูกอ้อย 1,600 ไร่…ชาวบ้านคิดว่าเป็นตั๊กแตนปาทังก้า

“การระบาดฝูงตั๊กแตนเกิดขึ้นมานาน สองสามปีแล้วแต่ไม่มาก เพราะถูกชาวบ้านจับมาทอดกินเป็นอาหาร การระบาดเลยไม่เป็นวงกว้างมาก แต่เพราะแล้งที่ผ่านมา สภาพอากาศที่ร้อนขึ้น กระตุ้นให้ตั๊กแตนวางไข่อยู่ใต้ดินเป็นจำนวนมาก และเมื่อฝนตกลงมา จึงฟักเป็นตัวอ่อนบินออกหาอาหาร

เดิมระบาดเฉพาะในนาข้าว แต่ปีนี้พื้นที่นาหลายแห่งมีการเว้นช่วงเพาะปลูก ฝูงตั๊กแตนจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากนาข้าว มารุมทึ้งกัดกินใบอ้อยแทน ทำให้การเจริญเติบโตชะงัก ยืนต้นตายในที่สุด หากปล่อยไว้ แนวโน้มเกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง เพราะระยะเวลา 24 ชั่วโมง ฝูงตั๊กแตนสามารถกัดกินใบอ้อยได้ถึง 70-100 ไร่”

ต้นอ้อยแห้งตายนายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร บอกว่า หลังชุดทีมเฉพาะกิจของกรมฯเข้าไปตรวจสอบ พร้อมเก็บตัวอย่างตั๊กแตนไปพิสูจน์ ตั๊กแตนที่ระบาดในครั้งนี้ ไม่ใช่ปาทังก้า แต่เป็นตั๊กแตนข้าว ที่จะเริ่มออกหากินในช่วง ก.ค.-ก.ย. เติบโตตัวเต็มวัยจับคู่และวางไข่ในช่วง ต.ค.-มี.ค. ใต้ผิวดินลึก 3-5 ซม. ครั้งละ 100-150 ฟอง…เป็นพันธุ์ที่ชอบกินใบข้าวมากที่สุด รองลงมาเป็นอ้อย, ข้าวโพด, ฝ้าย, ถั่วเหลือง, ถั่วลิสง, หญ้าคา, แฝก, ไผ่, มันสำปะหลัง, ใบมะพร้าว, สับปะรด และตะไคร้

วางกับดักตั๊กแตนการกำจัดโดยใช้สารเคมีฉีดพ่นไม่เหมาะ เพราะตั๊กแตนบินหนีแล้วจะบินกลับมาอีก และกลับมาครั้งใหม่จะทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้น การกำจัดที่ดีสุดคือ…การวางเหยื่อพิษ

ใช้สารฆ่าแมลงคาร์แทป ไฮโรคลอร์ไรด์ 50% จำนวน 20 กรัม, เกลือแกง 30 กรัม, แอมโมเนียไบคาร์บอเนต 30 กรัม, สารจับใบ 5 มล. และน้ำ 1,000 มล. ผสมให้เข้ากัน แล้วนำกระดาษ A4 แบ่งเป็น 4 ส่วน มาชุบสารละลายเหยื่อพิษให้ชุ่มทั้งแผ่น นำกับดักเหยื่อพิษ

เสียบไว้ตามซอกใบอ้อยสลับซ้ายขวา ให้ใกล้ยอดมากที่สุด ระยะห่างทุกๆ 3×3 เมตร เพียงครึ่งชั่วโมง ตั๊กแตนที่สัมผัสกับดักจะร่วงหล่นอยู่ตามกออ้อย…ให้วางกับดักซ้ำทุก 3 วัน จนกว่าจะไม่พบการระบาด

ส่วนการป้องกันการ ระบาดของตั๊กแตนข้าวในฤดูถัดไป อธิบดีกรมวิชา การเกษตร แนะ หากเป็นแปลงอ้อยใหม่ ก่อนปลูกให้ทำการไถพรวนหลายๆครั้ง เพื่อกำจัดไข่ ตัวอ่อน จากนั้นโรยเชื้อราเมตาไรเซียม หรือบิวเวอร์เรีย บนท่อนพันธุ์พร้อมปลูก

ส่วนอ้อยตอ ให้ไถเปิดร่องอ้อยโรยเชื้อราเมตาไรเซียม หรือบิวเวอร์เรีย แล้วกลบดิน หรือใช้ร่วมกับเครื่องผ่าตออ้อย วิธีนี้ช่วยกำจัดไข่ ตัวอ่อนที่อยู่ใต้ดิน โดยไม่เป็นอันตรายกับสัตว์ชนิดอื่น.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

“กล้วยแดงเตี้ย” ตัดเครือง่ายเนื้ออร่อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 12 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/687541

โดย ธรรมชาติของกล้วยแดงสายพันธุ์ดั้งเดิม ต้นจะมีความสูงระหว่าง 3–4 เมตร ขึ้นไป ทำให้เวลาติดเครือแล้วผลสุกผู้ปลูกจะต้องใช้บันไดพาดปีนขึ้นไปจึงจะตัดเอาเครือลงมาได้ แต่ “กล้วยแดงเตี้ย” เป็นกล้วยหอมชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนาพันธุ์ขึ้นมาใหม่จากกล้วยแดงดั้งเดิมจนต้นมีความสูงเต็มที่ ไม่เกิน 2–2.5 เมตรแค่นั้น ผู้ปลูกสามารถยืนตัดเครือลงมาได้เลยไม่ต้องใช้บันไดพาดปีนเหมือนกล้วยแดงพันธุ์ดั้งเดิมอีก

กล้วยแดงเตี้ย จัดเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาตามที่กล่าวข้างต้น มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับกล้วยแดงโบราณทุกอย่าง จะแตกต่างกันเพียงความสูงของต้นเท่านั้น อยู่ในวงศ์ MUSACEAE และอยู่ในกลุ่มของกล้วยที่ได้กลายพันธุ์จากกล้วยป่ามาแล้ว ลำต้นเทียมหรือต้นสูง 2-2.5 เมตร ตามที่กล่าวข้างต้น เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้นมากกว่า 15 ซม.ขึ้นไป กาบลำต้นด้านนอกมีปื้นดำเล็กน้อย กาบด้านในสีเขียวอ่อนและมีเส้นเป็นสีชมพู ก้านใบมีร่องค่อนข้างกว้างและมีครีบสีเขียว

ก้านช่อดอก หรือก้านปลีมีขนละเอียดทั่ว โดยก้านจะกลมใหญ่ ใบประดับปลีเป็นรูปไข่ค่อนข้างยาว ปลายแหลม ด้านบนสีแดงอมม่วง มีนวล ด้านล่างสีแดงซีด เครือหนึ่งมี 4-6 หวี แต่ละหวีจะมีผลระหว่าง 12-16 ผล ลักษณะผลคล้ายกล้วยแดงพันธุ์ดั้งเดิมหรือกล้วยหอม หรือกล้วยนากทุกอย่าง แต่ขนาดของผลจะสั้นกว่าอย่างชัดเจน ปลายผลมีจุกใหญ่ เปลือกผลค่อนข้างบาง สีของเปลือกผลเป็นสีแดงอมม่วงจึงถูกตั้งชื่อว่า “กล้วยแดงเตี้ย” เพราะต้นเตี้ยนั่นเอง เนื้อผลสุกเป็นสีเหลืองเข้ม หรือเหลืองอมส้ม รสชาติหวานหอมปนเปรี้ยวนิดๆ เนื้อไม่เละและไม่มีเมล็ด รับประทานอร่อยมาก ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ

มีหน่อหรือต้นขาย ทั่วไปตามแผงจำหน่ายพันธุ์กล้วยที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาแต่ละแผงไม่เท่ากัน หรืออยู่ที่ขนาดของต้น เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนในช่วงที่กล้วยมีราคาแพงเช่นปัจจุบันคุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

 

นม…มอร์แกนิค จากแม่โคอารมณ์ดี๊ดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/687733

“ผู้คนเริ่มใส่ใจสุขภาพ เกิดกระแสนิยมอาหารอินทรีย์ หรือออแกนิก นับวันแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น แต่กระบวนการผลิตอาหารประเภทนี้ต้องใช้ความประณีต เพื่อให้ได้คุณภาพความปลอดภัยเต็มร้อย การเลี้ยงวัวเพื่อให้ได้นมออแกนิกก็เช่นกัน”

ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เผยว่า จากการวิจัยนมประเภทนี้ มีคุณประโยชน์มากกว่านมทั่วไป ทั้งในเรื่องการบำรุงสมอง ลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ แต่กว่าจะผลิตนมออแกนิกให้มีคุณภาพ ต้องเอาใจใส่ ฟูมฟักดูแลแม่โคเป็นพิเศษ เลี้ยงประดุจลูกหลาน

เพื่อตอบรับกระแสความต้องการของผู้บริโภค กลุ่มนี้ อ.ส.ค.จึงเริ่มศึกษาวิจัยมาตั้งแต่ปี 2550 เริ่มด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ ภายในฟาร์มแปลงปลูกหญ้า… ควบคุมดูแลตั้งแต่เมล็ดพันธุ์หญ้าต้องปลอด GMO แปลงปลูกหญ้าต้องปลอดสารพิษ และต้องมีพื้นที่ให้แม่โคเดินเล่นเล็มหญ้า 1 ตัวต่อ 1 ไร่ พร้อมกับมีการคัดแม่โคสาวคุณภาพจากฝูงใหญ่มาได้ 37 ตัว เพื่อเลี้ยงในโครงการทดลอง

ตลอดระยะเวลา 2 ปี จะมีเจ้าหน้าที่กรม ปศุสัตว์เข้ามาดูแลให้คำแนะนำ ตรวจสอบกระบวนการต่างๆ ดูแลสวัสดิภาพสัตว์ ไม่ให้เกิดการทรมานทั้งเรื่องการเลี้ยงดูและอารมณ์ เมื่อโคนมไม่มีความเครียด จะให้ปริมาณน้ำนมมาก ขณะรีดนมยังหลั่งสารเอ็นโดรฟิน (สารแห่งความสุข) ไม่เพียงจะทำให้น้ำนมมีสารอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง น้ำนมจะไม่ตกค้าง ที่เต้าอันเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่โคเป็นโรคเต้านมอักเสบ

“น้ำนมที่ได้จากแม่โคอารมณ์ดี เราได้ส่งไปตรวจสอบคุณภาพ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ น้ำนมออแกนิกมีกรดไขมัน (CLA) 2.02% ในขณะที่นมโคทั่วไปมี 1.83% ส่วนโอเมก้า 3 นมออแกนิก มี 0.9% นมทั่วไป 0.4% สารเหล่านี้จะช่วยบำรุงสมอง ลดคอเลสเทอรอลในเลือด ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม”

สำหรับปริมาณน้ำนมโคที่ได้ในแต่ละวัน ดร.ณรงค์ฤทธิ์ บอกว่า ส่วนแรก อ.ส.ค.นำมาผลิตนมออแกนิก ภายใต้แบรนด์ “มอร์แกนิค” ส่งจำหน่ายในแมกแวลู่, ตลาด อ.ต.ก., อ.ส.ค. และ ทีโอที แจ้งวัฒนะ เพื่อทดลองตลาด ส่วนที่เหลือส่งให้กับบริษัทเอกชนในราคา กก.ละ 28 บาท

ในเมื่อได้ราคาสูงกว่านมโคทั่วไป กก.ละ 8 บาท มีคำถามตามมาว่า ทำไมถึงไม่ส่งเสริมให้เกษตรกรทำฟาร์มออแก-นิกแบบนี้บ้าง ผอ.อ.ส.ค. ให้คำตอบ…วันนี้ อ.ส.ค.ยังอยู่ในขั้นเรียนรู้กระบวนการจัดการ ยังส่งต่อถึงเกษตรกรไม่ได้ เพราะการทำฟาร์มออแกนิกยังมีจุดอ่อน ในเรื่องช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนจากเลี้ยงแบบทั่วไปมาเป็นออแกนิกต้องใช้เวลานานหลายปี

และในระหว่างการเปลี่ยนผ่าน ปริมาณน้ำนมโคจะลดลง เนื่องจากไม่ได้รับอาหารข้นปริมาณมากๆเหมือนการเลี้ยงทั่วไป เป็นภาระของเกษตรกรที่จะทำให้มีรายได้ลดลง

เนื่องจากการเลี้ยงจะต้องปล่อยให้ โคนมเดินทอดน่องค่อยๆเลาะเล็มหญ้าเป็นหลัก เพื่อลดความเครียด… เราถึงจะได้น้ำนมจากแม่โคอารมณ์ ดี๊ดี คนดื่มจะได้อารมณ์ดีจากสารเอ็นโดรฟินไปด้วยนั่นเอง.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

ลุยตรวจฟาร์มไก่ลพบุรี ยกระดับจัดการแรงงาน-ป้องกันค้ามนุษย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 ส.ค. 2559 08:59

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/687468

รองผู้ว่าฯ ลพบุรี จับมือเบทาโกร ตรวจแรงงานในฟาร์มไก่ มุ่งยกระดับการจัดการด้านแรงงานในอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ และป้องกันปัญหาค้ามนุษย์…

จังหวัดลพบุรี นำโดยรองผู้ว่าฯ จับมือภาคเอกชน เครือเบทาโกร นำคณะตรวจบูรณาการและแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจฟาร์มไก่ในจังหวัดลพบุรี ไม่พบการกระทำที่ผิดกฎหมายแรงงาน พร้อมให้นโยบายและชี้แนะแนวทางการปฏิบัติต่อแรงงานที่ดีและมีประสิทธิภาพต่อนายจ้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรังสรรค์ ตันเจริญ รองผู้ว่าราชการ จ.ลพบุรี ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจบูรณาการ และแก้ไขปัญหาด้านแรงงาน นำคณะทำงานประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยภาคเอกชนเครือเบทาโกร ลงพื้นที่ตรวจฟาร์มไก่ใน จ.ลพบุรี เพื่อให้การป้องกันแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานมีประสิทธิภาพตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้งสภาพการจ้างงานและสภาพการทำงานเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด โดยเข้าตรวจสถานประกอบกิจการ พี เจ ฟาร์ม 2 ซึ่งตั้งอยู่ ต.หนองยายโต๊ะ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี เป็นแห่งแรกตามแผน และจะเข้าตรวจสถานประกอบกิจการอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

นายรังสรรค์ กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยมฟาร์มว่า จ.ลพบุรี มีการเลี้ยงไก่ แปรรูปไก่มากที่สุดในประเทศไทย มีไก่แปรรูปส่งออกต่างประเทศ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนหากมีประเด็นปัญหาที่แสดงออกถึงว่ายังขาดมาตรฐาน ไม่เป็นมาตรฐานสากลด้านแรงงานหรือมีการค้ามนุษย์ อาจจะถูกต่อต้านจากประเทศผู้รับซื้อ ซึ่งผู้ว่าฯ มอบให้เป็นประธานคณะทำงาน วันนี้มาดูแล้ว จากการตรวจเรื่องของกฎหมาย เรื่องการคุ้มครองแรงงานเป็นไปตามกฎหมาย บริษัทนี้เป็นคอนแทร็ค ฟาร์ม ของบริษัทใหญ่ บริษัทใหญ่ดูแล ให้คำแนะนำตลอดตามนโยบายท่านผู้ว่าฯ

ทั้งนี้ ลพบุรีมีผู้ประกอบการประมาณกว่า 200 ราย ในส่วนของจังหวัดเชิญผู้ประกอบการรายใหญ่มาประชุมชี้แจงทำความเข้าใจ ว่าทำไมถึงต้องเข้มงวดหรือต้องแข็งขันในเรื่องนี้ ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าใจดีมาก เพราะรู้ว่าธุรกิจสมัยใหม่มีความเกี่ยวเนื่องกันทั่วโลก กติกาสากลเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนคอนแทร็คฟาร์มมีอยู่ 200 – 300 แห่ง คือหลุดไม่ได้ ถ้าผิดพลาดขึ้นมาสักที่จะกระทบภาพรวมของทั้งจังหวัด ชุดบูรณาการฯ ต้องออกไปตรวจให้คำแนะนำ ที่ไหนผิดกฎหมายต้องดำเนินคดี โดยที่นี่เป็นที่แรกตรวจดูแล้วถูกต้อง พูดคุยกับผู้ประกอบการ ทราบดีถึงเรื่องหลักเกณฑ์เรื่องเหล่านี้ และก็ยินดีให้ความร่วมมือทุกประการ

ด้าน นายรุ่งโรจน์ ตันติเวชอภิกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เครือเบทาโกร กล่าวว่า เบทาโกร ตระหนักถึงความสำคัญในการยกระดับการจัดการด้านแรงงานของอุตสาหกรรมอาหาร จึงมีนโยบายในการควบคุมให้ทุกบริษัทในเครือและตลอดจนห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง มีการจัดการเรื่องแรงงานโดยยึดหลักความถูกต้อง ปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานอย่างถูกกฎหมาย มีวิธีการปฏิบัติต่อแรงงานที่ดีและเท่าเทียมกันทุกเชื้อชาติ ตามหลักจริยธรรมสากล ซึ่งดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และเพื่อยกระดับมาตรฐานแรงงานให้มีมาตรฐานเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม จึงกำหนดมาตรฐานแรงงานเบทาโกร หรือ BLS ขึ้น โดยประกาศเริ่มดำเนินการกับทุกบริษัทในเครือ เมื่อเดือน เม.ย. 2558 และขยายไปสู่เกษตรกรคู่สัญญาในเดือน พ.ย.2558 โดยมีหน่วยงานภาครัฐร่วมดำเนินการด้วย

สำหรับมาตรฐานแรงงานเบทาโกรไม่เพียงสอดคล้องกฎหมายแรงงานไทย มาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชน และแรงงานสัมพันธ์ ยังมีเป้าหมายที่จะผลักดันมาตรฐานการจัดการแรงงานให้ดียิ่งขึ้นไปในอนาคต การดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรฐาน BLS ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ได้แก่ การจัดอบรม เตรียมความพร้อมทีมงานที่ปรึกษาภายในเครือเบทาโกร การจัดอบรมให้ความรู้และความเข้าใจแก่เกษตรกรคู่สัญญา การติดตามความคืบหน้า รวมถึงมีระบบตรวจสอบทั้งจากภายในเครือฯ และจากภายนอก  เช่น ลูกค้า ภาคราชการ ตลอดจนหน่วยงานที่เชื่อถือได้ในระดับสากล หากตรวจพบการกระทำใดๆ ที่ไม่ถูกต้อง จะขอให้เกษตรกรคู่สัญญาดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว พร้อมส่งทีมงานที่ปรึกษาเข้าไปช่วยให้คำแนะนำ ทั้งนี้ เครือเบทาโกร ได้ตัดสินใจยกระดับสัญญาจ้างให้มีข้อกำหนดในการหยุดดำเนินธุรกิจชั่วคราวหากพบว่ามีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้นกับคู่สัญญา จนกว่าจะดำเนินการจัดการด้านแรงงานให้ถูกต้องตามข้อแนะนำของทีมที่ปรึกษา

นายรุ่งโรจน์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เครือเบทาโกรมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานการจัดการด้านแรงงานเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มีการทบทวนและพัฒนาระบบการจัดการอย่างต่อเนื่อง และบริษัทยังมีส่วนสำคัญในการผลักดันมาตรฐานการจัดการแรงงานในระดับประเทศด้วย.

 

หนอนกออ้อยระบาด แนะวิถีธรรมชาติบำบัด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/686837

กอง​ส่งเสริม​การ​อารักขา​พืช​และ​จัดการ​ดิน​ปุ๋ย กรม​ส่งเสริม​การ​เกษตร ให้​ข้อมูล​ด้วย​ใน​ระยะ​นี้​พบ​หนอน​กอ​อ้อย​ระบาด​ใน​พื้นที่​ปลูก​อ้อย​ที่​สำคัญ​ของ​ประเทศ​ใน​หลาย​จังหวัด

โดย​มี​ผีเสื้อ​กลางคืน​มา​วางไข่​บน​ใบ​อ้อย เมื่อ​ฟัก​ออก​มา​เป็น​ตัว​หนอน จะ​อยู่​รวม​กัน​เป็น​กลุ่ม​กัด​กิน​อยู่​บริเวณ​ผิว​ใบ​หรือ​หน่อ​อ้อย​เป็น​ระยะ​เวลา​สั้นๆ จาก​นั้น​จะ​เจาะ​เข้าไป​ภายใน​ลำ​ต้น​ที่​อยู่​หนอนกออ้อยระบาด แนะวิถีธรรมชาติบำบัดกองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย กรมส่งเสริมการเกษตร ให้ข้อมูลด้วยในระยะนี้พบหนอนกออ้อยระบาดในพื้นที่ปลูกอ้อยที่สำคัญของประเทศในหลายจังหวัด โดยมีผีเสื้อกลางคืนมาวางไข่บนใบอ้อย เมื่อฟักออกมาเป็นตัวหนอน จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกัดกินอยู่บริเวณผิวใบหรือหน่ออ้อยเป็นระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นจะเจาะเข้าไปภายในลำต้นที่อยู่บริเวณผิวดิน และตัวหนอนทั้งหมดจะเข้าไปรูเดียวกัน ทำลายต้นอ้อยอยู่ข้างในลำต้น ทำให้ส่วนยอดเหี่ยวแห้ง อ้อยไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ถ้าระบาดมากๆ จะทำให้อ้อยสูญเสียน้ำหนักและความหวาน

ประกอบกับหนอนกออ้อยมีลักษณะอุปนิสัยชอบการเคลื่อนย้าย หลังจากทำลายหน่ออ้อยที่อยู่อาศัยให้ตายไปแล้ว จะย้ายไปทำลายหน่อใหม่ ดังนั้น หนอนกออ้อย 1 ตัว จึงสามารถทำลายอ้อยได้ 3-4 หน่อ หลังจากนั้นก็จะเข้าดักแด้อยู่ภายในลำต้น

นอกจากนั้นหนอนกออ้อยยังสามารถทำลายอ้อยได้ในทุกระยะการเจริญเติบโต ทำลายหน่อเมื่ออ้อยยังเล็กอยู่ ถ้าอ้อยอยู่ในระยะย่างปล้องและระยะเจริญเติบโตเต็มที่ หนอนกออ้อยจะเข้าทำลายตั้งแต่ระยะแตกกอจนถึงอ้อยเป็นลำได้เช่นกัน
สำหรับวิธีการป้องกันกำจัด กองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย แนะนำให้เกษตรหมั่นสำรวจแปลงอ้อยอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง โดยเฉพาะเกษตรกรที่ปลูกอ้อย พันธุ์มาร์กอสคิว 130 ให้ระวังเป็นพิเศษเพราะเป็นพันธุ์ที่หนอนกออ้อยชอบมาก ถ้าพบการระบาดให้ตัดอ้อยทิ้งและนำหนอนไปทำลายหรือประกอบอาหาร

ถ้าพบการทำลายไม่เกิน 5% ให้ใช้ แมลงหางหนีบ ปล่อยในอัตรา 500 ตัวต่อไร่ เพื่อทำลายไข่และตัวอ่อนของหนอนกอ หรือใช้ แตนเบียน ไข่ทริโครแกรมม่า ปล่อยในอัตรา 12,000-20,000 ตัวต่อไร่ต่อครั้ง เพื่อควบคุมปริมาณไข่หนอนกอให้น้อยลง โดยปล่อย 5 ครั้ง แต่ละครั้งให้ห่างกัน 7-15 วัน ปล่อยหลังจากตัดอ้อยประมาณ 1 เดือน และในฤดูถัดไปไม่ควรเผาใบอ้อยเพราะจะเป็นการทำลายศัตรูธรรมชาติ เช่น มด ตัวห้ำ ตัวเบียน แมลงหางหนีบ แตนเบียนไข่ และแตนเบียนหนอน.บริเวณ​ผิว​ดิน และ​ตัว​หนอน​ทั้งหมด​จะ​เข้าไป​รู​เดียวกัน ทำลาย​ต้น​อ้อย​อยู่​ข้าง​ใน​ลำ​ต้น ทำให้​ส่วน​ยอด​เหี่ยวแห้ง อ้อย​ไม่​สามารถ​เจริญ​เติบโต​ได้ ถ้า​ระบาด​มากๆ จะ​ทำให้​อ้อย​สูญเสีย​น้ำหนัก​และ​ความ​หวาน
ประกอบ​กับ​หนอน​กอ​อ้อย​มี​ลักษณะ​อุปนิสัย​ชอบ​การ​เคลื่อน​ย้าย หลังจาก​ทำลาย​หน่อ​อ้อย​ที่​อยู่​อาศัย​ให้​ตาย​ไป​แล้ว จะ​ย้าย​ไป​ทำลาย​หน่อ​ใหม่ ดังนั้น หนอน​กอ​อ้อย 1 ตัว จึง​สามารถ​ทำลาย​อ้อย​ได้ 3-4 หน่อ หลังจาก​นั้น​ก็​จะ​เข้า​ดักแด้​อยู่​ภายใน​ลำ​ต้น

นอกจาก​นั้น​หนอน​กอ​อ้อย​ยัง​สามารถ​ทำลาย​อ้อย​ได้​ใน​ทุก​ระยะ​การ​เจริญ​เติบโต ทำลาย​หน่อ​เมื่อ​อ้อย​ยัง​เล็ก​อยู่ ถ้า​อ้อย​อยู่​ใน​ระยะ​ย่าง​ปล้อง​และ​ระยะ​เจริญ​เติบโต​เต็มที่ หนอน​กอ​อ้อย​จะ​เข้า​ทำลาย​ตั้งแต่​ระยะ​แตก​กอ​จนถึง​อ้อย​เป็น​ลำ​ได้​เช่น​กัน

สำหรับ​วิธีการ​ป้องกัน​กำจัด กอง​ส่งเสริม​การ​อารักขา​พืช​และ​จัดการ​ดิน​ปุ๋ย แนะนำให้​เกษตร​หมั่น​สำรวจ​แปลง​อ้อย​อย่าง​สม่ำเสมอ​ต่อ​เนื่อง โดยเฉพาะ​เกษตรกร​ที่​ปลูก​อ้อย พันธุ์​มาร์​กอส​คิว 130 ให้​ระวัง​เป็น​พิเศษ​เพราะ​เป็น​พันธุ์​ที่​หนอน​กอ​อ้อย​ชอบ​มาก ถ้า​พบ​การ​ระบาด​ให้​ตัด​อ้อย​ทิ้ง​และ​นำ​หนอน​ไป​ทำลาย​หรือ​ประกอบ​อาหาร

ถ้า​พบ​การ​ทำลาย​ไม่​เกิน 5% ให้​ใช้ แมลง​หาง​หนีบ ปล่อย​ใน​อัตรา 500 ตัว​ต่อ​ไร่ เพื่อ​ทำลาย​ไข่​และ​ตัว​อ่อน​ของ​หนอน​กอ หรือ​ใช้ แตน​เ​บี​ยน​ ไข่​ท​ริ​โค​ร​แก​รม​ม่า ปล่อย​ใน​อัตรา 12,000-20,000 ตัว​ต่อ​ไร่​ต่อ​ครั้ง เพื่อ​ควบคุม​ปริมาณ​ไข่​หนอน​กอ​ให้​น้อย​ลง โดย​ปล่อย 5 ครั้ง แต่ละ​ครั้ง​ให้​ห่าง​กัน 7-15 วัน ปล่อย​หลังจาก​ตัด​อ้อย​ประมาณ 1 เดือน และ​ใน​ฤดู​ถัด​ไป​ไม่​ควร​เผา​ใบ​อ้อย​เพราะ​จะ​เป็น​การ​ทำลาย​ศัตรู​ธรรมชาติ เช่น  มด  ตัว​ห้ำ ตัว​เ​บี​ยน  แมลง​หาง​หนีบ  แตน​เ​บี​ยน​ไข่​ และ​แตน​เ​บี​ยน​หนอน.

 

“หมรุยมัน” กินได้สรรพคุณดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 11 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/686602

หมรุยมัน หรือ MICROMELUM MINUTUM WIGHT-ARN. อยู่ในวงศ์ RUTACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-10 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาต่ำ เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา ใบเป็นใบประกอบขนนก ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ใบมีความเป็นพิเศษคือเด็ดขยี้จะมีกลิ่นหอมชื่นใจ ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก มีกลีบดอก 5 กลีบ เป็นสีขาวล้วน เวลามีดอกบานพร้อมกัน จะดูสวยงามน่าชมยิ่งนัก “ผล” รูปทรงกลม เมื่อผลสุกจะเป็นสีแดงสดใส ติดผลเป็นพวงจำนวนหลายผล ใน 1 ผล จะมีเมล็ด 3 เมล็ด ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

หมรุยมีหลายชนิดคือหมรุยหอมใบ จะมีรสหวานนิยมใช้บริโภคทั่วไป หมรุยขม ชนิดนี้ใบมีขน กับ หมรุยช้าง ใบมีขนาดใหญ่ขรุขระมีรสขม และ “หมรุยมัน” ชนิดนี้ใบมีกลิ่นหอมตามที่กล่าวข้างต้น ทางภาคใต้ นิยมเอายอดอ่อนดอกอ่อนกินเป็นผักสดกับแกงไตปลา น้ำพริกชนิดต่างๆ และกินกับขนมจีนใต้ ดอกอ่อนรสหวานมันอร่อยมาก นอกจากชื่อ “หมรุยมัน” แล้ว ยังมีชื่อเรียกอีกคือ หมรุย หมุยใหญ่ (กระบี่) หมุย สมุย และ หัสคุณ (ภาคใต้) ชนิดที่นิยมปลูกกันแพร่หลายคือ “หมรุยมัน” มียอดอ่อนดอกอ่อนวางขายตามตลาดสด หรือตลาดผักทั่วไป ทำให้บางคนเรียกอีกชื่อว่า “หมุยบ้าน”

สรรพคุณทางสมุนไพร เนื้อไม้ต้มน้ำดื่มขับผายลม ผลสดเป็นยาถ่ายมีฤทธิ์อ่อนกว่าผลสดของต้นสลอด ดอกสดกินขับเสมหะสู่คู่ทวาร รากสดต้มน้ำดื่มแก้ไข้ แก้หอบหืด ตำพอกแผลสด แก้ริดสีดวงจมูก คุดทะราด ใบสดกับเปลือกต้น ใช้เป็นยาเผารมควันสูดดมแก้ริดสีดวงจมูกได้

ปัจจุบัน “หมรุยมัน” มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณ แผง “คุณตุ๊ก” หน้าตึกกองอำนวยการเก่าในเต็นท์ โทร.08-5164-2800 ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูก เพื่อใช้ประโยชน์ตามที่กล่าวข้างต้น คนใต้นิยมปลูกกันอย่างกว้างขวางครับ.

“นายเกษตร”

 

นะ-รึ-บอ-ดิน-ทระ-จิน-ดา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 11 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/686603

นฤบดินทรจินดา…ชื่อนี้หลายคนไม่คุ้น ด้วยเป็นชื่อใหม่ของอ่างเก็บน้ำห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานมาเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา มีความหมาย อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นตามพระราชดำริในพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว

ถึงวันนี้ 38 ปีมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริเกี่ยวกับโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ ทรงมีพระราชดำริครั้งแรก 22 ม.ค.2521…ปี 2532 ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการให้กรมชลประทานดำเนินการศึกษา สำรวจและออกแบบ…ปี 2546 กรมชลประทานได้ส่งรายงาน EIA…ปี 2548 คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติมีมติให้เพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติฯ ทับลานและปางสีดา (บางส่วน) เพื่อให้เข้าไปใช้พื้นที่ก่อสร้างได้

ถัดมาเพียง 2 เดือน มีการประกาศให้ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่–ทับลาน-ปางสีดา เป็นแหล่งมรดกโลก…พ.ค.2554 ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 35 ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส ร้องขอให้ระงับการก่อสร้างเขื่อน ห้วยโสมงชั่วคราว จนกว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะทบทวนรายงาน EIA

“การดำเนินโครงการนี้ กรมชลประทานให้ความสำคัญเรื่องการแก้ไข ผลกระทบสิ่งแวดล้อมมากเป็นพิเศษ มีการจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมมากถึง 47 แผน มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2555-2569 และมีหน่วยงานรับผิดชอบถึง 15 หน่วยงาน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้การก่อสร้างกระทบต่อแหล่งมรดกของโลก ในที่สุดแผนงานของเราทำให้การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เมื่อ มิ.ย.2557 ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ได้ชื่นชมการดำเนินการแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการประชุม คณะกรรมการมรดกโลก ครั้งล่าสุด มิ.ย.2559 ไม่มีการนำประเด็นห้วยโสมงมาพูดถึงอีกเลย”

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เล่าสรุปถึงที่มาของโครงการอ่างเก็บน้ำ “นฤบดินทรจินดา” อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ได้เริ่มลงมือก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2553 ถึงวันนี้การก่อสร้างแล้วเสร็จไปกว่า 90% จะเสร็จสมบูรณ์ปลายปีนี้ และขณะนี้เริ่มกักเก็บน้ำแล้ว

เมื่อเก็บน้ำได้เต็ม 295 ล้าน ลบ.ม. จะเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้อีก 111,300 ไร่.

“สะ–เล–เต”

 

“มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” ติดตาเสียบยอดดกทนโรคดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 10 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/685616

การขยายพันธุ์ มะนาวทั่วไปนิยมใช้วิธีตอนกิ่ง ทำให้ต้นไม่แข็งแรงมีอายุสั้น ปัจจุบันจะใช้ระบบติดตาและเสียบยอดกับตอส้มโอที่เกิดจากการเพาะด้วยเมล็ด ทำให้ต้นแข็งแรงมีอายุยืนยาวกว่าการขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่ง ซึ่ง “มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” เป็นสายพันธุ์หนึ่งที่ปัจจุบันผู้ขยายพันธุ์นิยมนำไปติดตาและเสียบยอดกับตอส้มโอตามที่กล่าวข้างต้น ทำให้ต้นแข็งแรงให้ผลผลิตเร็ว มีดอกและติดผลดกอย่างต่อเนื่องไม่ขาดต้นหรือเกือบตลอดทั้งปี ที่สำคัญ ของ “มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” จะทนต่อโรคแมลงหรือโรคแคงเกอร์ได้สูงโดยธรรมชาติที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เลยเป็นที่ต้องการของผู้ปลูกอย่างกว้างขวางหรือดังต่อเนื่องอยู่ในเวลานี้

มะนาวแป้นสุขประเสริฐ เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมระหว่าง มะนาวแป้นพิจิตร 1 กับ มะนาวแป้นแม่ลูกดก จากนั้นก็เอาเมล็ดที่ได้จากผลที่เกิดด้วยการผสมเกสรจำนวนหลายเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้า แล้วคัดเอาต้นดีที่สุดไปปลูกเลี้ยงจนโต มีดอกและติดผล ปรากฏว่า มีความโดดเด่นหลายอย่าง เช่น สีสันของดอกจะเป็นสีขาวอมม่วง แตกต่างจากสีสันของดอกมะนาวทั่วไปที่จะเป็นสีขาวล้วน ดอกมีกลิ่นหอมเหมือนมะนาวทั่วไป รูปทรงของผลกลมแป้นชัดเจน เปลือกผลบาง ให้น้ำเยอะ ไม่มีเมล็ด รสชาติของน้ำเปรี้ยวจัด และมีกลิ่นหอมเหมือนกับน้ำมะนาวแป้นทุกอย่าง เป็นมะนาวพันธุ์เบาติดผลง่ายและติดผลดกเกือบทั้งปีตามที่กล่าวข้างต้น ที่สำคัญเป็นมะนาวพันธุ์ใหม่ที่มีความแข็งแรงทนทานต่อโรคแมลงหรือโรคแคงเกอร์ได้สูงมาก ผู้เขี่ยเกสรผสม จึงตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” ดังกล่าว

ใคร ต้องการกิ่งตอนแท้ด้วยระบบติดตาและเสียบยอดกับตอส้มโอ ติดต่อตรง “บ้านสวนพันธุ์ไม้นครนายก” โทร.08-6348-2347 เป็นแหล่งขยายพันธุ์ “มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง หรือไปซื้อที่ งานเกษตรภาคใต้ จัดขึ้นที่ ม.สงขลาฯ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา บริเวณ โซนซี 1/3 ล็อก 13-17 ระหว่างวันที่ 12-21 ส.ค.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

กลยุทธ์เพิ่มค่า..สังข์หยด ชาวนาคิด..จะมีใครอายไหม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/685691

“ชั่งข้าวสารขายเป็นกิโล ใครก็ทำได้ แต่ทำยังไงให้ข้าวที่ขายมีราคาสูงกว่าที่อื่นนี่ซิ เป็นเรื่องต้องคิด หาวิธีสร้างความแตกต่าง ทำยังไงให้ข้าวปลูกในพื้นที่เท่าเดิม ขายได้ราคาเพิ่มมากขึ้น”

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัว ลุงนัด อ่อนแก้ว ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านเขากลาง ต.ปันแต อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ตลอดเวลา…กระทั่งเจอคำตอบ ต้องพัฒนาคุณภาพข้าว ให้เป็นเกรดพรีเมียม ไม่เพียงจะทำให้กลุ่มผู้บริโภคยอมรับ ยังสามารถเปิดตลาดสร้างโอกาสทางการค้าขายได้ขึ้น

ลุงนัด เล่าให้ฟัง เมื่อก่อนชาวบ้านปลูกข้าวสังข์หยดไว้เพื่อกินในครัวเรือน ราคาขายจึงได้แค่ตันละ 3,000-3,500 บาท แต่เมื่อคนในเมืองเริ่มรู้จัก ข้าวสังข์หยดมีกากใย โปรตีน ธาตุเหล็กสูง มีสารช่วยป้องกันมะเร็ง แม้ความ ต้องการเพิ่มขึ้น แต่ราคากลับยังวนเวียนเท่าเดิม เลยปรึกษากรมการข้าว หาวิธีทำให้ข้าวสังข์หยดมีราคา

หลังจากจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อปรับระบบการปลูกให้เป็น GAP ควบคู่กับการสร้างโรงสีให้เป็นไปตามมาตรฐาน GMP จึงขอให้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรมการข้าว และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) มาเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมพื้นที่ ควบคุมการปลูก ระยะเวลาเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ข้าวสารออกมามีคุณภาพ

“การปลูกข้าวนอกจากปรับกระบวนการผลิตให้ปลอดสารเคมี ระยะเวลาในการเกี่ยวข้าว นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าทางวิชาการแนะนำให้เกี่ยวข้าวช่วงพลับ-พลึง แต่ลุงใช้วิชากู รอให้ข้าวแก่จัด ตอนเช้าห้ามเกี่ยวข้าว เพราะยังมีความชื้นจากน้ำค้างหลงเหลืออยู่ ต้องเกี่ยวใกล้เที่ยง แสงแดดและความร้อนจะช่วยไล่ความชื้นทำให้ข้าวแห้ง เกี่ยวข้าวปุ๊บส่งเข้าโรงสีทันที ให้โรงสีช่วยไล่ความชื้นอีกที เพราะถ้าทำกันแบบปล่อยให้ชาวบ้านตากข้าวเอง ตากทิ้งไว้บนลาน ความร้อนไม่สม่ำเสมอ นำข้าวไปสี เมล็ดแตกหักจะมีมาก”

ส่วนเรื่องเมล็ดพันธุ์ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ข้าวมีคุณภาพ ลุงนัด จะใช้วิธีเปลี่ยนพันธุ์ข้าวทุก 3 ฤดู โดยรับมาจากศูนย์วิจัยข้าวพัทลุง เพราะถ้านำพันธุ์เก่ามาปลูกต่อกันไปเรื่อย ข้าวจะเตี้ยให้ผลผลิตน้อย แต่ในการเปลี่ยนพันธุ์จะใช้วิธีทยอยเปลี่ยน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนๆ ทั้งนี้เพื่อเมล็ดพันธุ์ที่กรมการข้าวผลิตออกมา จะได้เพียงพอต่อการใช้ ขืนเปลี่ยนทีเดียวพร้อมกันหมด เมล็ดพันธุ์มีไม่พอแน่

และจากการพัฒนาตัวเองก้าวสู่การปลูกข้าวแบบ GAP ลุงนัด บอก ว่า ช่วยทำให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนควนขนุนเกิดความเข้มแข็ง ช่วยชาวบ้านขายข้าวเปลือกได้ราคาสูงถึงตันละ 17,000 บาท และทำให้การปลูกข้าวกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญให้กับชาวบ้าน….เพราะวันนี้ชุมชนไม่ได้ปลูกข้าวขายเป็นแค่ข้าวเปลือก

แต่มีการแปรรูปเป็นข้าวสาร และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆมากมาย และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรักษ์สุขภาพจากจีน และสิงคโปร์…ในขณะนี้นโยบายภาครัฐยังคงงมโข่งอยู่กับเรื่องเดิมๆ.

เพ็ญพิชญา เตียว