ไก่โคราช..แก้จน-แล้ง ลูกผสมกึ่งพื้นเมืองเลี้ยง 2 เดือน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593566

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 21 มี.ค. 2559 05:01

 

แม่พันธุ์ไก่ มทส.-พ่อพันธุ์ไก่เหลืองหางขาว.

ภัยแล้งมีแนวโน้มยาวนาน จะให้เกษตรกรเว้นวรรคพักทำเกษตรตามฝนฟ้า ยุคนี้คงจะไม่ไหว เพราะรายจ่ายประจำวัน ดอกเบี้ยประจำเดือน งอกเงยไม่รอฟ้าฝน

หาน้ำทำกินปลูกพืชผักเป็นเรื่องยาก อีกหนทางอาชีพที่พอเป็นไปได้ เลี้ยงสัตว์เพราะใช้น้ำน้อย…ไม่มีสัตว์ตัวไหนจะทำเงินได้เร็วเท่าไก่

“จะให้เลี้ยงไก่เนื้อ 40 วัน จับขายได้ เกษตรกรรายย่อยคงจะทำไม่ได้ เพราะธุรกิจนี้ล้วนอยู่ในมือบริษัทรายใหญ่ ต้องเลี้ยงแบบคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง ต้องไปกู้เงินลงทุนเป็นหนี้เป็นสินเป็นล้าน คนจนทำไม่ได้ จะให้ไปเลี้ยงไก่พื้นเมือง กว่าจะจับขายได้ ต้องเลี้ยง 4 เดือน นานเกินไปสำหรับช่วงวิกฤติแบบนี้ แต่ยังมีไก่ลูกผสมกึ่งพื้นเมืองอีกพันธุ์ ไก่โคราช ที่เหมาะกับภาวะเช่นนี้ ใช้เวลาเลี้ยงแค่ 2 เดือน จับขายได้แล้ว”

ลูกไก่โคราช อายุ 3 วัน.

ผศ.อมรรัตน์ โมฬี หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาไก่โคราช สาขาวิชาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) แนะทางเลือกอาชีพใช้น้ำน้อย ให้กับเกษตรกรด้วยการเลี้ยง “ไก่โคราช” ไก่ลูกผสมที่เกิดจากการผสมพันธุ์ของพ่อพันธุ์พื้นเมือง ไก่เหลืองหางขาว ของกรมปศุสัตว์ กับแม่พันธุ์ ไก่ มทส. ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาเอง

มีคุณสมบัติทนโรค ทนแล้ง ใช้เวลาเลี้ยงเพียงแค่ 2 เดือน จะมีน้ำหนัก 1.2 กก. จับขายได้ ด้วยการเลี้ยงง่ายๆ แบบพื้นบ้าน…นอกจากจะโตไว คุณสมบัติด้านรสสัมผัสของเนื้ออยู่ระหว่างกลางของไก่เนื้อกับไก่พื้นเมืองไม่นุ่มเละเหมือนไก่เนื้อ ไม่เหนียวแข็งเหมือนไก่พื้นเมือง…เนื้อไก่โคราช เหนียวแต่นุ่ม เคี้ยวไปแล้วเหมือนมีสปริง เพราะมี คอลลาเจน สูงกว่าไก่เนื้อ 2 เท่า แต่ไม่มากไป จนทำให้เนื้อเหนียวแข็งเหมือนไก่พื้นเมือง…ที่สำคัญมีปริมาณโปรตีนสูง แต่ไขมันต่ำ และยังมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย จึงเป็นที่ต้องการของตลาดผู้บริโภครักสุขภาพ

ไก่โคราช อายุเดือนครึ่ง.

สามารถขายได้ราคา กก.ละ 75-85 บาท…ในขณะที่ไก่เนื้อได้แค่ กก.ละ 35-40 บาท

ส่วนวิธีการเลี้ยง ผศ.อมรรัตน์ บอกว่า การลงทุนแค่ 5,000-10,000 บาท เกษตรกรสามารถสร้างโรงเรือนแบบง่ายๆ มุงหญ้าคา สังกะสี ล้อมด้วยตาข่ายสูงประมาณเข่า…ถ้าเลี้ยงได้ด้วยอาหารสำเร็จรูปจะโตเร็ว 2 เดือน เกษตรกรจะได้กำไร ตัวละ 20-30 บาท ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเอาใจใส่ดูแลไก่

ไก่โคราช.

แต่ถ้าต้องการลดต้นทุน สามารถหาผักหญ้ามาให้ไก่โคราชกินได้…แต่อาจจะต้องใช้เวลาเลี้ยงนาน เพิ่มไปอีกครึ่งเดือนจะได้น้ำหนักจับขาย

สนใจเลี้ยงเรื่องการตลาดไม่ต้องกังวล เพราะทางมหาวิทยาลัยฯมีการติดต่อเชื่อมโยงโครงข่ายผู้ประกอบการที่ต้องการไก่โคราชไปจำหน่ายไว้แล้ว เพียงแต่เกษตรกรจะต้องมานั่งคุยเจรจากับผู้ประกอบการเองเท่านั้น ติดต่อสอบถามได้ที่ 08-7253-7975.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

“อกร่องทองเกษตร 1” กับที่มาพันธุ์หวานดก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592172

โดย นายเกษตร 18 มี.ค. 2559 05:01

 

มะม่วงชนิดนี้เป็นพันธุ์ใหม่ ที่ถูกคัดพันธุ์จากมะม่วงอกร่องทองพันธุ์แท้ดั้งเดิมของไทยโบราณโดยเกษตรกรฝีมือดีหลายวิธีทั้งเพาะเมล็ด ติดตา และเขี่ยเกสร จากนั้นก็นำต้นกล้าที่ได้ไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่า มีลักษณะเด่นกว่ามะม่วงอกร่องทองพันธุ์เดิม

หลายจุด เช่น ลำต้นแข็งแรง ขนาดความสูงของต้นเตี้ย และถือเป็นที่สุดได้แก่ติดผลดกมาก ติดผลเป็นพวงตามฤดูกาล โดยธรรมชาติไม่ต้องบังคับด้วยปุ๋ยอะไรเลย เป็นมะม่วงพันธุ์ใหม่แบบถาวรแล้ว จึงถูกตั้งชื่อว่า “อกร่องทองเกษตร 1” ดังกล่าว

รูปทรงของผลสวย เหมือนกับผลของมะม่วงอกร่องทองพันธุ์ดั้งเดิมทุกอย่าง แต่ขนาดของผลจะใหญ่กว่าเล็กน้อย ผลดิบเป็นสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลืองทองน่าชมยิ่ง เนื้อสุกเป็นสีเหลือง รสชาติหวานหอมแบบมะม่วงอกร่องทองหรือมะม่วงอกร่องเขียวที่เป็นเอกลักษณ์ของมะม่วงไทยทุกอย่าง วัดความหวานได้ประมาณ 24 องศาบริกซ์ มีเสี้ยนน้อย รับประทานกับข้าวเหนียวมูนหรือข้าวสวยร้อนๆ อร่อยมาก

มะม่วง “อกร่องทองเกษตร 1” มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับต้นมะม่วงอกร่องทองทั่วไปทุกอย่าง แต่ต้นจะเตี้ยสูงเพียง 3-5 เมตรเท่านั้น ผู้ปลูกสามารถตัดแต่งกิ่งทำให้ต้นเตี้ยลงได้อีกจะไม่ทำให้ผลผลิตต่อต้นลดน้อยลงกว่าเดิมอย่างเด็ดขาด จะติดผลดกเป็นพวงเต็มต้น ไม่ต้องใช้ไม้คํ้ายันต้นเหมือนกับมะม่วงสายพันธุ์อื่น เมื่อต้นเตี้ยจะทำให้ดูแลรักษา และเก็บผลผลิตได้สะดวกขึ้น เป็นมะม่วงปี หรือติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ใครต้องการกิ่งตอนด้วยระบบเสียบยอดต้นแท้ของมะม่วง “อกร่องทองเกษตร 1” ติดต่อตรงที่ “คุณประภาส สุภาผล” บ้านเลขที่ 33/4หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08-8533-2299 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือน หรือปลูกหลายๆ ต้นเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ได้คุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

หนอนไหม..อุ้มนกเขา พันธุ์ไทยมีทีเด็ดใช่แค่สอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592217

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 มี.ค. 2559 05:01

 

ทำเอากระทาชายเจ้าของนกเขาไม่ขันดีใจไปตามๆกัน เมื่อนายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม ให้ข่าวงานวิจัยของกรมหม่อนไหมร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่…ดักแด้หนอนไหมของไทย สรรพคุณยิ่งกว่ายาไวอากร้า

กินหนอนไหมต้ม 22 ตัว จะได้สารซิลเดนาฟิลมากกว่ากินไวอากร้าขนาด 100 มิลลิกรัม

แต่ในบรรดาหนอนไหม 7 สายพันธุ์ที่มีในบ้านเรา …พันธุ์ที่ให้สารช่วยกระตุ้นอาการเซ็กซ์เสื่อมในผู้ชายได้ดีที่สุด ต้องเป็นสายพันธุ์ “เหลืองสุรินทร์” กับ “ศรีสะเกษ-1” เท่านั้น ถึงจะมีสารตัวนี้มากเป็นพิเศษ

นี่แหละ..ผงสกัดหนอนไหมที่มีสารออกฤทธิ์สำคัญ.

หลายคนใคร่รู้…เวลาเลือกซื้อเลือกหาจะสังเกตดูตรงไหน ถึงจะรู้ว่าเป็นหนอนไหมดักแด้ของสองพันธุ์นี้ เพราะที่วางขายกันนั้นดูไปแล้วหน้าตามันเหมือนกันหมด

ผศ.ดร.สมชาย จอมดวง คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนึ่งในทีมวิจัยฯบอกว่า เป็นเรื่องยาก ที่คนทั่วไปจะแยกออก เพราะแม้แต่ตัวนักวิชาการอยู่กับหนอนไหมมานานหลายปีก็ยังแยกไม่ได้

“ตัวหนอนไหมไม่ว่าจะพันธุ์อะไร ถ้าเอาตัวหนอนดักแด้เปลือยๆมาวางในถาดรวมกัน เราจะไม่มีทางแยกแยะได้เลย เพราะรูปร่างหน้าตาขนาดจะเหมือนกันหมด จะแยกได้ก็ต่อเมื่อหนอนไหมเข้าดักแด้แล้วต้มสาวเส้นไหมออกมาก่อน ต้องดูที่เส้นไหมว่ามีสีเหลืองเข้มอ่อนแบบไหน มีความมันวาว เส้นใยเส้นไหมมีความเหนียวขนาดไหน นั่นแหละถึงจะรู้ว่าเป็นหนอนไหมพันธุ์อะไร คนธรรมดาเดินไปซื้อไม่มีทางแยกออก คนขายบอกเป็นพันธุ์อะไร ต้องว่าไปตามนั้น”

ส่วนคนที่กังวล เชื่อคนขาย ลงทุนซื้อไปกินแล้ว เกิดได้หนอนไหมพันธุ์ไม่ตรงสเปก ไม่ตรงสายพันธุ์ นกเขาจะไม่ขัน เสียทั้งเงิน ทั้งเวลาและอารมณ์

ประเด็นนี้ ผศ.สมชาย บอกว่า ไม่ต้องกังวล พันธุ์ไหนๆ ก็กินได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องไปเจาะจงพันธุ์…เพราะทุกสายพันธุ์มีสารสำคัญเหมือนกันหมด

แต่ในการวิจัยมีการทำรายงานละเอียด แจงยิบ พันธุ์ไหนมีสารออกฤทธิ์ขนาดไหน และพันธุ์ “เหลืองสุรินทร์” กับ “ศรีสะเกษ-1” เป็นพันธุ์ที่มีสารออกฤทธิ์สูงกว่า 5 สายพันธุ์เท่านั้นเอง

ไม่ได้แปลว่าไม่มีสารออกฤทธิ์เลย…ทั้ง 7 สายพันธุ์มีสารออกฤทธิ์แตกต่างกันไม่เท่าไร เพียงแค่มีน้อยกว่า 2 พันธุ์นั้นแค่ 2-3% เท่านั้น

จะมีก็แต่พันธุ์ J108x นางลาย มีสารสำคัญน้อยสุด…แต่ก็ไม่น่ากังวล เพราะเป็นพันธุ์ที่ชาวบ้านไม่นิยมเลี้ยง อ่อนแอ ติดโรคง่าย เลี้ยงไปแล้วขาดทุน

ฉะนั้น เพื่อความมั่นใจว่าตัวเองจะไม่เสียเวลาและอารมณ์ แค่เพิ่มปริมาณกินให้มากขึ้นไปอีกสัก 3-4 ตัวก็เป็นพอ…แต่ถ้าเป็นดักแด้หนอนไหมทอด อาจต้องเพิ่มปริมาณไปอีก เพราะสารออกฤทธิ์จะเสื่อมสลายไปมากกว่าการต้มเท่านั้นเอง.

เพ็ญพิชญา เตียว

เกษตรฯ-ภาคเอกชน ร่วมพัฒนา-ยกระดับ ‘มันสำปะหลัง’ ป้อนโรงงานเพิ่ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/592393

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 17 มี.ค. 2559 19:42

 

กรมวิชาการเกษตร จับมือมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นฯ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังสู่ชาวไร่เมืองน้ำดำ ต่อยอดสีคิ้วโมเดล ช่วยยกระดับผลผลิตต่อไร่พุ่ง 20% ลดต้นทุน สร้างรายได้เกษตรกรเพิ่ม…

เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 59 นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ กรมวิชาการเกษตร ได้จัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลัง ภายใต้โครงการ “ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังจากผลการวิจัยสู่เกษตรกรจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างรายได้เพิ่ม” โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น มุ่งพัฒนาทักษะอาชีพและเพิ่มความรู้ด้านการผลิตมันสำปะหลังอย่างเหมาะสมแก่เกษตรกรในเครือข่ายโรงงานแป้งมัน 4 แห่ง และสหกรณ์ 1 แห่ง ได้แก่ บริษัท เอเชียโมดิฟายด์สตาร์ช จำกัด บริษัท จิรัฐพัฒนาการเกษตร จำกัด บริษัท แป้งมันกาฬสินธุ์ จำกัด บริษัท เนชั่นแนลสตาร์ชแอนด์เคมิเคิล (ไทยแลนด์) จำกัด และกลุ่มสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเขาพระนอน จำกัด เป้าหมายไม่น้อยกว่า 300 ราย เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตมันสำปะหลัง พร้อมเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ และสร้างรายได้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นการดำเนินการตามแนวทางประชารัฐที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก

เบื้องต้น ได้นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังตามแนวทางของ “สีคิ้วโมเดล” ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตร มาถ่ายทอดให้กับชาวไร่มันสำปะหลังในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ตามแนวทางประชารัฐ โดยจัดฝึกอบรมเกษตรกรทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ จำนวน 3 ครั้ง ตามช่วงการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง ครอบคลุมทุกด้านตั้งแต่พันธุ์มันสำปะหลัง การจัดการดิน การจัดการปุ๋ย การให้น้ำ การกำจัดวัชพืช การสำรวจโรคและแมลงศัตรูมันสำปะหลัง การประเมินผลผลิตและวัดเปอร์เซ็นต์แป้ง และการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อการผลิตมันสำปะหลัง ขณะเดียวกันยังจัดทำแปลงเรียนรู้ในศูนย์วิจัยฯ โรงงานแป้งมัน และกลุ่มสหกรณ์ฯ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ดูงานการผลิตมันสำปะหลังที่เหมาะสมกับพื้นที่ และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติจริงในแปลง เพื่อเป็นแบบให้เกษตรกรข้างเคียงได้เรียนรู้ต่อไป

“จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันเกษตรกรภายใต้แนวทางประชารัฐในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีเกษตรกรและเจ้าหน้าที่โรงงานแป้งมันในจังหวัดกาฬสินธุ์กว่า 100 ราย เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง และเกิดเกษตรกรเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีแปลงเรียนรู้เทคโนโลยีหลัก 6 ด้าน ในศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ โรงงานแป้งมัน 3 แห่ง และพื้นที่ของกลุ่มเกษตรกรสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเขาพระนอนฯ ทั้งยังพบว่า ผลผลิตมันสำปะหลังจากแปลงเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวอายุ 10-11 เดือน อยู่ระหว่าง 4-5 ตัน/ไร่ ซึ่งสูงกว่าวิธีที่เกษตรกรปฏิบัติอยู่เดิมประมาณ 20%” นายสมชาย กล่าว

อธิบดีกรมวิชาการเกษตรบอกด้วยว่า แม้จะประสบสภาวะแห้งแล้งยาวนานในช่วงฤดูปลูก จึงคาดการณ์ได้ว่า ผลผลิตมันสำปะหลังที่เก็บเกี่ยวเมื่ออายุครบ 12 เดือน จะสูงกว่าวิธีปฏิบัติเดิมของเกษตรกรที่ได้ผลผลิตเฉลี่ย 3 ตัน/ไร่ เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% นอกจากนี้ ยังพบว่าเกษตรกรเครือข่าย บริษัท จิรัฐพัฒนาการเกษตรฯ ที่ผสมปุ๋ยใช้เอง สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ 230 บาท/ไร่ ขณะที่ผลผลิตจากแปลงเรียนรู้ในศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาฬสินธุ์ที่มีการให้น้ำและใช้เทคโนโลยีตามคำแนะนำ ซึ่งมีการเก็บเกี่ยวที่อายุ 9 เดือน ได้ผลผลิตสูงถึง 7.4 ตัน/ไร่ เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้เกษตรกรได้ผลผลิตมันสำปะหลังเพิ่มสูงขึ้น สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และสร้างความมั่นคงในอาชีพอีกด้วย

สำหรับงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมันสำปะหลังฯ ที่จัดขึ้นครั้งนี้ มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การเก็บเกี่ยวและประเมินผลผลิตและคุณภาพมันสำปะหลัง” การจัดเสวนาหัวข้อ “ปลูกมันอย่างไร…ให้ได้ 8 ตัน” ทั้งยังมีฐานเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลัง จำนวน 7 ฐาน ให้เกษตรกรและผู้สนใจได้ศึกษาเรียนรู้ คือ ดินและการจัดการดินที่เหมาะสม ปุ๋ยและการใส่ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ พันธุ์มันสำปะหลัง การให้น้ำหยด การจัดการศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว ประเมินผลผลิตและคุณภาพผลผลิต และการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อการผลิตมันสำปะหลัง นอกจากนั้น ยังจัดแสดงนิทรรศการลักษณะของปัจจัยการผลิตที่ถูกต้องได้มาตรฐาน โรงผลิตปุ๋ยหมักเติมอากาศ และการให้น้ำมันสำปะหลังด้วยระบบน้ำบาดาลจากโซลาร์เซลล์ รวมทั้งมีการออกร้านของบริษัท/โรงงานที่ผลิตเครื่องมือการเกษตรจากต้นแบบของกรมวิชาการเกษตร

โรคประจำ…ลองกอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/591653

โดย สะ-เล-เต 17 มี.ค. 2559 05:01

 

ถึงฤดูลองกองออกดอก…ได้เวลาหนอนกินใต้ผิวเปลือกออกอาละวาดทำลายผลผลิต เพราะเป็นศัตรูเจ้าประจำที่อยู่คู่ต้นลองกอง

ในยามปกติมักจะหลบซ่อนทำมาหากินอยู่ตามใต้ผิวเปลือกกิ่งก้านลำต้นลองกอง จนทำให้ต้นเป็นปุ่มปม แต่ครั้นพอถึงฤดูลองกองแตกตาดอกจะคลานกระดืบๆ ไปกัดกินเป็นอาหารโอชะ ทำให้ลองกองมีดอกติดผลน้อย…พบเจอหนอนกินใต้ผิวเปลือกระบาดหนักในสวน กรมวิชาการเกษตร แนะวิธีกำจัดได้ผลดีที่สุด ให้ใช้ ไส้เดือนฝอย (Steinernema carpocapsae) อัตรา 50 ล้านตัว (1 กระป๋อง) ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 2 ครั้ง ห่างกัน 15 วัน

จะให้ได้ผลดีต้องฉีดพ่นตามลำต้นและกิ่งก้านให้ชุ่ม และถ้าอากาศแห้งแล้ง ควรฉีดพ่นน้ำเปล่าไปตามลำต้นกิ่งก้านให้ความชุ่มชื้นเสียก่อนจะพ่นไส้เดือนฝอยลงไป เพื่อไส้เดือน ฝอยจะได้แหวกว่ายไปทำลายหนอนกินใต้ใบได้ง่าย

แต่ถ้าหาไส้เดือนฝอยไม่ได้ วิธีการอันดับรองลงไปให้ใช้ สารคลอร์ไพริฟอส 40% อีซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้โชกบนลำต้นและกิ่งก้านที่มีรอยทำลายของหนอนกินใต้ผิวเปลือก

อีกโรคที่จะมาเบียดเบียนในช่วงลองกองออกดอก “โรคราดำ” ที่มักพบคราบราดำติดตามช่อดอก ช่อผล ทำให้ดอกผิดปกติ เหี่ยวหลุดร่วง ไม่ติดผล ถ้าเป็นโรคในระยะผลอ่อน ผลจะเหี่ยวและหลุดร่วง

แต่ถ้าเกิดในช่วงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยว จะมีรอยราดำตามลูกผล ทำให้ผลผลิตไม่มีคุณภาพ ขายไม่ได้ราคา

เป็นโรคเกิดจากเพลี้ยหอยและเพลี้ยแป้ง มากัดกินแล้วถ่ายมูลทิ้งไว้ให้เป็นที่ระลึก วิธีกำจัดแบบง่ายๆ ถ้าไม่ระบาดมากนัก สังเกตตามโคนต้นกิ่งก้านที่เอื้อมถึง พบเพลี้ยให้ใช้มือบี้กำจัดทำลาย

แต่ระบาดมากจนหมดปัญญาจะให้กำจัดได้ด้วยมือ…ถ้าพบการระบาดเป็นผลงานของ เพลี้ยหอย ให้พ่นสารกำจัดแมลง มาลาไทออน 83% อีซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ก่อนเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 14 วัน

หากเป็นผลงานของ เพลี้ยแป้ง ให้พ่นสารกำจัดแมลง ไทอะมีทแซม 25% ดับเบิลยูจี อัตรา 2.5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร อีกทั้งไม่ควรพ่นสารในช่วงที่ดอกลองกองบานหรือเริ่มติดผลอ่อน และควรหยุดพ่นอย่างน้อย 7 วันก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต.

สะ–เล–เต

“แปะก๊วย” กับสรรพคุณน่ารู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/591656

โดย นายเกษตร 17 มี.ค. 2559 05:01

 

ผู้อ่านไทยรัฐ จำนวนมากที่เป็นขาประจำคอลัมน์อยากทราบว่า “แปะก๊วย” กินแล้วดีอย่างไร ซึ่งก็เคยแนะนำในคอลัมน์ไปนานแล้วว่า สตรีหลังคลอด จะมีอาการปัสสาวะบ่อย เนื่องจากมดลูกจะหย่อน เป็นแล้วบางครั้งไอหรือจามจะกลั้นไม่อยู่ ปัสสาวะไหลหรือเล็ดได้ ทำให้รู้สึกรำคาญมาก สามารถแก้ได้คือ ให้เอา “แปะก๊วย” 7 เม็ด หรือ 10 เม็ด เผื่อเสีย เอาทั้งเปลือกคั่วไฟให้เปลือกเกรียมเกือบดำ จากนั้นกะเทาะเปลือกออกเอาเนื้อในที่ยังคงมีเยื่อหุ้มอยู่กินก่อนอาหารทุกวัน วันละครั้งจนครบ 10 วัน ทำกินต่ออีกแบบเดิม แต่ครั้งนี้ให้เอาเยื่อหุ้มออกกินจนครบ 10 วันเช่นกัน และ ที่สำคัญก่อนนอนจะต้องขมิบช่องคลอดช่วยด้วย ครั้งละไม่น้อยกว่า 100 ครั้ง อาการปัสสาวะบ่อยจะหายได้ ยังทำให้มดลูกกระชับดีด้วย

แปะก๊วย หรือ GINKGO BILOBA เป็นไม้ยืนต้น สูง 15-20 เมตร ใบคล้ายใบขึ้นฉ่าย ดอกเป็นสีขาวนวล “ผล” รูปกลมรีคล้ายลูกรักบี้ เนื้อในผลเป็นสีเหลือง มีดอกและผลปีละ 2 ครั้ง มีผลแห้งขายทั่วไป ส่วนต้นมีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 21 แผง “คุณพร้อมพันธุ์” ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป

สรรพคุณเฉพาะ ใบของ “แปะก๊วย” ช่วยให้โลหิตหัวใจสมองไหลเวียนดี บำรุงร่างกาย แก้อาการหูอื้อ ปวดศีรษะ นอนหลับไม่สนิท ความจำ เสื่อมขี้หลงขี้ลืมยังไม่ถึงขั้นเป็นอัลไซเมอร์ ชะลอความแก่ เสริมภูมิต้านทานในร่างกาย โดยให้เอาใบแห้งหรือสดต้มกับนํ้า ครั้งละ 3-12 กรัม ดื่มวันละ 2 เวลา เช้ดาเย็นก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ครั้งละ 1 แก้ว ถ้าเป็นแบบบรรจุห่อสำเร็จ 1 ซอง ต้มได้ 5 ครั้ง สัดส่วน 1 ครั้งต่อนํ้า 3 แก้ว ดื่มประจำจะดีมาก ผลทั้งเปลือก 10 ผล ต้มนํ้าผสมนํ้าตาลทรายแดงเล็กน้อย ดื่มแก้โรคฉี่บ่อยและไตไม่ปกติได้ ดังนั้น ต้น “แปะก๊วย” จึงเหมาะจะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์เป็นทั้งอาหารและประโยชน์ทางยาตามที่กล่าวข้างต้นได้คุ้มค่าครับ.

“นายเกษตร”

ข้าวโพดหวานสีแดง สายพันธุ์แรกของโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/591668

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 17 มี.ค. 2559 05:01

 

วงการปรับปรุงพันธุ์พืชของไทยก้าวหน้าไปอีกขั้น สามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดหวานพิเศษให้มีสีแดงได้เป็นครั้งแรกของโลก เป็นผลงานของ ดร.ทวีศักดิ์ ภู่หลำ อดีตอาจารย์ภาควิชาพืชไร่ คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ที่ผันตัวเองเป็นเจ้าของบริษัท สวีทซีดส์ จำกัด มากว่า 20 ปี ได้ทำการ วิจัยข้าวโพดจนค้นพบยีนสร้างสีแดง เข้มสวยในข้าวโพดข้าวเหนียว และมีลักษณะการสืบทอดทางพันธุกรรมที่มีเอกลักษณ์พิเศษ ส่งผลให้เกิดไอเดียที่จะทดลองนำมาทำเป็นข้าวโพดหวานพิเศษสีแดง เพื่อเพิ่มตัวเลือกที่มีคุณค่าทางอาหาร และสุขภาพให้แก่ผู้บริโภค เพราะในโลกนี้พันธุ์ข้าวโพดหวานพิเศษ (super sweet corn) มีแค่เพียง 2 สี ขาวกับเหลืองเท่านั้นเอง

“สารสีแดงที่อยู่ในข้าวโพดข้าวเหนียว จัดเป็นกลุ่มแอนโทไซยานิน (anthocyanin) เป็นรงควัตถุ เป็นสารที่ดูดแสง (visible light) ชนิดเดียวกันกับที่พบในองุ่น ดอกอัญชัน และพืชที่มีสีม่วงกับสีแดงชนิดอื่น และมีผลงานวิจัยออกมามากมายระบุว่า สารแอนโทไซยานิน (anthocyanin) จะมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) สูง ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพผู้บริโภค” ดร.ทวีศักดิ์ พูดถึงข้อดีของสารสีแดงที่พบในข้าวโพดจากนั้นทีมงานวิจัยจึงได้เริ่มจากการแยกยีนสร้างสารสีแดงออกมาจากข้าวโพดข้าวเหนียว และนำไปผสมกับข้าวโพดหวานพิเศษด้วยวิธีการปรับปรุงพันธุ์โดยธรรมชาติ (conventional breeding) ไม่มีการตัดต่อยีนใดๆทั้งสิ้นแล้วจึงคัดเลือกสายพันธุ์พ่อแม่นำไปสร้างลูกผสมใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลา 3 ปีกว่า เพื่อคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์ให้กลายเป็นพ่อแม่พันธุ์ที่มีความหวานกรอบ กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ และยังมีสีแดงเข้มสวยงามเหมือนสีทับทิม

และทำการคัดเลือกพันธุ์มาเรื่อย จนกระทั่งปี 2558 ถึงได้พันธุ์ที่นิ่งแล้ว เป็นข้าวโพดหวานสีแดงสายพันธุ์แรกของโลก เพราะได้ทำหนังสือไปสอบถามผู้เชี่ยวชาญของมหาวิทยาลัยมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ทั่วโลก ปรากฏว่า ยังไม่เคยพบข้าวโพดหวานสีแดงแบบนี้มาก่อน ดร.ทวีศักดิ์ จึงได้ตั้งชื่อข้าวโพดหวานพันธุ์นี้ว่า Siam Ruby Queen หรือราชินีทับทิมสยาม

สำหรับผลผลิตเพื่อการค้าให้คนทั่วไปลิ้มลอง จะสามารถวางจำหน่าย ในตลาดได้เป็นครั้งแรก ภายเดือน ก.ค.ปีนี้ จากแปลงปลูก 50 ไร่ ต.พุคำจาน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-1825-0403.

ทุ่งสัมฤทธิ์…คนดีไม่มีวันตาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/591013

โดย สะ-เล-เต 16 มี.ค. 2559 05:01

 

ไปเรียนรู้ดูนาแปลงใหญ่ ทุ่งสัมฤทธิ์ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา อดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงเพลง “คนดีไม่มีวันตาย” ของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ขอกดไลค์ให้ ธีระพงษ์ พุทธรักษา ผอ.ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา ผู้ฝากผลงานให้กับแผ่นดินนี้ ทั้งที่จะเกษียณในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า…หลายคนคงนึกค่อนขอด นาแปลงใหญ่ เกษตรแปลงใหญ่ที่ไหนๆ ทำตามนโยบายรัฐบาลทั้งนั้น ทำไมถึงต้องออกหน้ามาชงเชียร์เฉพาะที่นี่ด้วย

เหตุผลหนึ่ง ปกติข้าราชการใกล้เกษียณ มักจะใช้ชีวิตชิวๆ ลด-ละ-เลิก งานในหน้าที่ แต่ ผอ.ธีระพงษ์ ไม่ยอมชิวกลับเดินหน้าทำงานใหญ่ ที่กระทรวงเกษตรฯทำไม่เคยสำเร็จ แม้จะได้คิดทำมานับสิบๆปีแล้วก็ตาม

เหตุผลที่สอง นโยบายแปลงใหญ่ ทุ่งสัมฤทธิ์ มีขึ้นหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปเยี่ยมเกษตรกร อ.พิมาย เมื่อ 2 ก.พ.58…ขณะนั้น นโยบายแปลงใหญ่เป็นยังไง ต้องทำกันแบบไหน ทุกอย่างยังคงมั่วๆ ไม่มีอะไรให้เห็นเป็นตัวอย่างที่จับต้องได้ เรียกได้ว่ายังอยู่ในขั้นมโน ข้าราชการระดับล่างเก้ๆ กังๆ คิดทำอะไรไม่ถูก

แต่ ผอ.ธีระพงษ์ กลับตีโจทย์มโนโยบายได้แตกและได้ผลสัมฤทธิ์เกินคาด ทั้งที่ใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือน ก่อนถึงฤดูนาปี 58/59 ผลงานที่ออกมาต้องอุทานด้วยความงวยงง…ทำไปได้อย่างไร

ช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรได้ 34% ผลผลิตเพิ่มขึ้น 31% ที่สำคัญทำให้ชาวนาทุ่งสัมฤทธิ์มีกำไรสุทธิเพิ่มจากไร่ละ 850.27 บาท เป็น 3,992.69 บาท กำไรเพิ่มขึ้น 369% เพราะทำแปลงใหญ่แบบครบวงจร ปลูกเอง สีข้าวขายเอง…ไม่ใช่ปลูกขายให้โรงสีเหมือนแต่ก่อน

การตีโจทย์แตก ผอ.ธีระพงษ์ เริ่มตั้งแต่นำพื้นที่เหมาะสมในการปลูกข้าวมาทำแปลงใหญ่ นำเทคนิคการทำนาที่เหมาะสมกับพื้นที่ ทำนาหยอดแห้งแทนนาหว่าน นำดินไปตรวจวิเคราะห์เพื่อใส่ปุ๋ยได้ถูกต้อง พร้อมกับนำเครื่องจักรกลมาใช้ เลยได้ทั้งลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต

นอกจากนั้นยังใช้กุศโลบายดึงผู้รู้ปราชญ์ชาวนาในพื้นที่มาร่วมกันทำนาแปลงใหญ่ ด้วยการแต่งตั้งชาวนามืออาชีพ, ชาวนามือทอง, ชาวนาอารักขาข้าว, ชาวนาไอที, ชาวนาแปรรูป, ชาวนาเครื่องจักรกล และชาวนายุวชน มาเป็นพลังในการขับเคลื่อนและชักจูงเพื่อนชาวนาให้มาร่วมกันสร้างมาตรฐานใหม่ในการทำนา

ให้ชาวนารู้จักร่วมกันคิดเอง ทำเอง…จะได้ยั่งยืนกว่าให้ราชการไปคิดทำให้.

สะ–เล–เต

“บัวรัตติกาล” บานกลางคืนสีสวย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/591022

โดย นายเกษตร 16 มี.ค. 2559 05:01

 

บัวชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานแล้ว จัดเป็นบัวสายชนิดหนึ่งที่ดอกจะบานสะพรั่งตอนกลางคืนตั้งแต่พลบคํ่าเรื่อยไปจนถึงรุ่งเช้าประมาณสิบโมงเช้าดอกจะหุบลง จึงถูกตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “บัวรัตติกาล” หรืออีกชื่อหนึ่ง “บัวราตรี” ซึ่งก็เป็นตัวเดียวกันกับบัวเรดแฟร์ ที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้ว เวลามีดอกบานยามคํ่าคืนถูกแสงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวงหรือ

แสงไฟสาดส่องกระทบสีสันของกลีบดอกจะดูสวยงามยิ่งนัก

บัวรัตติกาล หรือ บัวเรดแฟร์ อยู่ในวงศ์ MYMPHAEACEAE เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นใต้ดินคล้ายหัวเผือก ใบเดี่ยวออกสลับลอยเหนือผิวนํ้าเรียงเป็นวงกว้าง แผ่นใบค่อนข้างกลม โคนเว้าลึก ขอบจัก ผิวใบเป็นสีแดงอมม่วงเกือบดำ มีขนนุ่ม ก้านใบหรือเรียกว่าสายบัวเป็นสีแดงเข้ม เมื่อหักจะมีใยสีขาวยาวยืดเรียกว่า “ใยบัว” ที่คนมักจะเอาไปเปรียบเทียบเป็นคำพังเพยว่า “ตัดบัวแล้วยังเหลือเยื่อใย” ซึ่งก็หมายถึง “ตัดไม่ขาด” นั่นเอง

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ บานเหนือนํ้าเล็กน้อย มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ด้านหลังกลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว ด้านในเป็นสีเดียวกับกลีบดอก ซึ่งกลีบดอกจะมีจำนวนมากเรียงซ้อนกันหลายชั้น เป็นสีแดงเข้มหรือสีแดงอมม่วงตามภาพประกอบคอลัมน์ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกบัวสายสายพันธุ์ไทยทั่วไป ดอกจะบานเฉพาะตอนกลางคืนและจะหุบตอนเช้าประมาณสิบโมงเช้าตามที่กล่าวข้างต้น ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ

ปัจจุบัน “บัวรัตติกาล” หรือบัวเรดแฟร์ และ “บัวราตรี” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2 แผง “คุณเกด” ราคาสอบถามกันเอง นิยมปลูกลงกระถางบัวตั้งประดับในที่แจ้ง บำรุงปุ๋ยสูตร 16-16-16 ห่อด้วยกระดาษชำระ 5-7 เม็ด กดลงใต้ดินในกระถางเดือนละครั้งจะทำให้ “บัวรัตติกาล” มีดอกสวยงามยามราตรีครับ.

“นายเกษตร”

ระบบสวนครัวน้ำหยด ลงทุน 3 พันไม่หวั่นแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/591085

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 มี.ค. 2559 05:01

 

โลกร้อน ภัยแล้ง น้ำมีน้อยหายาก หนทางที่จะให้เกษตรกรทำกิน ปลูกพืชไร่ พืชสวน ที่พอจะเป็นไปได้ ทำได้ สิ้นเปลืองน้ำไม่มาก “ระบบน้ำหยด” น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

เอ่ยกันแค่นี้ หลายคนอาจส่ายหัวมองเป็นเรื่องไกลเกินตัวสำหรับเกษตรกรรายย่อย เพราะต้นทุนราคาระบบน้ำหยดเกินเอื้อมสำหรับคนจน…แต่วันนี้ระบบน้ำหยดไม่ได้แพงเหมือนอย่างที่คิด มีเงินแค่ 3,000 สามารถมีระบบน้ำหยด ปลูกพืชผัก ทำมาหาเลี้ยงได้ทั้งปี

“ระบบสวนครัวน้ำหยดราคาประหยัดที่เราคิดขึ้นมานี้ เกิดจากแนวคิดให้เกษตรกรในพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน ใช้น้ำอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด ได้ทดลองใช้เป็นครั้งแรกที่ จ.มหาสารคาม ตั้งแต่ปี 2553 ปรากฏว่าได้ผลดีมาก ที่สำคัญสามารถประยุกต์ใช้กับการปลูกพืชผักในแปลงทุกขนาด ทุกพื้นที่ ใช้น้ำน้อย ประหยัดต้นทุน บำรุงรักษาง่าย อุปกรณ์หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป ด้วยเงินลงทุนแค่ไม่ถึง 3,000 บาท”

ธราวุฒิ ไก่แก้ว วิศวกรการเกษตรชำนาญการ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) อธิบายถึงข้อดีระบบสวนครัวน้ำหยด ทดลองแล้วในแปลงปลูกขนาดไม่เกิน 200 ตร.ม. กว้าง 10 ม.×ยาว 20 ม. ปลูกพืชระยะห่างระหว่างแถว 50 ซม.

ผลคือพืชได้น้ำสม่ำเสมอ เพราะเป็นระบบให้น้ำเฉพาะราก ประหยัดแรงงาน เวลา การเปิดให้น้ำแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที ทำให้ใช้น้ำน้อยแค่ 50 ลบ.ม. ต่อฤดูกาลผลิต (100 วัน) แถมประหยัดสุดๆ ค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จ มีค่าน้ำ ค่าไฟสูบน้ำแค่ 200 บาท ต่อฤดูกาลผลิตเท่านั้นเอง

กรรมวิธีติดตั้งและทำระบบไม่ยากเย็น คนไม่มีทักษะทางช่าง ทำได้สบายๆ…เริ่มจากการวัดพื้นที่ตามความเหมาะสม เตรียมอุปกรณ์ ถังน้ำ 200 ลิตร ท่อพีวีซี วาล์วน้ำ ข้อต่อต่างๆ เทปน้ำหยด และอุปกรณ์ต่อพ่วง

เจาะรูก้นถังน้ำ 200 ลิตร ประมาณ 5 ซม. ติดตั้งทางน้ำออก นำข้อต่อพีวีซีเกลียวนอกพันด้วยเทปพันเกลียว ขันเข้ารูให้แน่น ล็อกข้อต่อพีวีซีเกลียวนอก…ต่อมาติดตั้งวาล์วพีวีซี ติดตั้งชุดกรองน้ำเกษตร ให้หัวลูกศรที่ตัวกรองหันไปทิศทางเดียวกับการไหลของน้ำ ติดตั้งท่อพีวีซีตามความกว้างของหัวแปลง ตั้งถังบนที่สูงให้สูงกว่าแปลงปลูก 1-2 เมตร จากนั้นเจาะท่อพีวีซีในตำแหน่งที่ต้องการวางสายเทปน้ำหยด ใส่ลูกยางกันรั่วในรูที่เจาะ

ติดตั้งข้อต่อเทปน้ำหยด เปิดน้ำไล่เศษตะกอน ก่อนครอบฝาพีวีซีปิดปลายทั้งสองข้าง เสียบเทปน้ำหยดเข้ากับข้อต่อ ล็อกเทปให้แน่น ให้รูน้ำหยดหงายขึ้น เปิดวาล์วทดสอบระบบ สุดท้ายพันปลายสายเทปน้ำหยดให้แน่น เพียงเท่านี้เกษตรกรจะได้ระบบสวนครัวน้ำหยดราคาประหยัด

สำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูกมาก และมีเงินทุนมาก สามารถนำประยุกต์ใช้ให้พอเหมาะกับพื้นที่ได้ไม่ยาก แค่เพิ่มอุปกรณ์ต่างๆเข้าไปตามสัดส่วนเท่านั้น

ส่วนใครที่อยากอินเทรนด์ประหยัดพลังงาน หรืออยู่ในพื้นที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง ทีมวิจัย ส.ป.ก. ยังได้พัฒนาระบบมอเตอร์สูบน้ำ พลังงานโซลาร์เซลล์ มาให้เป็นอีกตัวเลือกด้วย แต่ต้องลงทุนอุปกรณ์เพิ่มอีกราว 7,000 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-4904-4506.

กรวัฒน์ วีนิล