ทีมวิจัยพลังงาน ผลิตถ่านไบโอชาร์ ใช้ปลูกพืชผัก-ไล่ศัตรูพืช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/591326

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 15 มี.ค. 2559 18:58

 

นักวิจัยพลังงาน คิดค้น ผลิตถ่านไบโอชาร์ได้จากการเผาไหม้ด้วยความร้อน เผย จากการตรวจสอบพบว่า มีส่วนผสมคาร์บอน โปแตสเซียมสูง สามารถใช้ปลูกพืชผัก ไล่ศัตรูพืช เกษตรกรไม่ต้องพึ่งปุ๋ย-เคมีภัณฑ์…

จากการที่สังคมทุกวันนี้มีความตื่นตัว ในเรื่องการลดใช้พลังงานกันมากขึ้น จึงทำให้พลังงานในกลุ่มชีวมวลจากวัสดุเหลือใช้ภาคการเกษตร เป็นแหล่งที่หลายคนให้ความสนใจนำมาใช้ โดยกระบวนการเผาไหม้ที่ใช้ออกซิเจนน้อยสุด เพื่อให้วัสดุเหลือทิ้งจากภาคเกษตรแปรเปลี่ยนเป็น ถ่านไบโอชาร์ กำลังได้รับความสนใจในขณะนี้

นางสาวพัชญทัฬห์ กิณเรศ นักวิจัยพลังงาน สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวว่า ถ่านไบโอชาร์ (Biochar) ได้จากการเผาไหม้ด้วยความร้อน (มวลชีวภาพ) เพื่อให้มีความสะดวกไม่ยุ่งยาก ชาวบ้านทำใช้เองได้ ช่วยให้ประหยัดเงินไม่ต้องพึ่งพาแก๊ส LPG หุงต้มอาหาร ทีมวิจัยจึงสร้างเตาเผาแบบง่ายๆ โดยใช้ถังเหล็กขนาด 40 ลิตร วัดกึ่งกลางนำมาเจาะด้านก้นถังเป็นวงกลมกว้าง 7 นิ้ว และฝาถังวัดกึ่งกลางเจาะขนาดเท่ากัน จากนั้นใช้แผ่นเหล็กนำมาม้วนให้เป็นวงกลมขนาดเท่ากับรูที่เจาะไว้ก้นและฝาถัง แล้วเจาะรูรังผึ้งทั่วทั้งแผ่น นำมาใส่ไว้เป็นแนวตั้งกับช่องวงกลมที่เจาะถังไว้ โดยความสูงต้องพอดีกับถังเคมี ส่วนอายุการใช้งานอยู่ได้ 6-8 เดือน ดังนั้น จึงไม่ต้องเชื่อมยึดกับก้นถังเคมี

สำหรับการใช้งาน นำแกลบดิบ กิ่งไม้ ใบไม้ อย่างใดอย่างหนึ่ง อัดให้แน่นช่องว่างรอบแกนกลาง ปิดฝาให้สนิท เพื่อให้ออกซิเจนภายในเตามีน้อยที่สุด ส่วนแกนกลาง ใส่เศษไม้ชิ้นเล็กๆ ทั้งแห้งสนิทหรือมีความชื้นไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นเชื้อเพลิงสำหรับหุงต้ม ด้านบนใช้อิฐหรือขาตั้งแก๊สวางไว้สำหรับตั้งภาชนะหุงต้ม ซึ่งการใส่เชื้อเพลิง อัดแน่นแกนกลาง 1 ครั้ง สามารถหุงข้าว และประกอบอาหารได้ 3-4 อย่าง หลังใช้งานเสร็จต้องปิดช่องแกนกลางให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศเข้า ทิ้งไว้ 12 ชม. เพื่อให้อุณหภูมิภายในเตาค่อยๆ คลายความร้อน กระทั่งไฟดับหมด วัสดุที่ใส่ลงไปรอบๆ แกนกลาง จะกลายเป็นแกลบ-ถ่านไม้ไบโอชาร์

ด้าน รศ.ดร.อรสา สุกสว่าง ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในทีมงานวิจัย บอกต่อว่า ถ่านไบโอชาร์ที่ได้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่นำกลับมาเป็นเชื้อเพลิงหุงต้มได้อีกครั้งแค่นั้น เพราะจากการนำไปตรวจสอบวิเคราะห์ พบว่ามีส่วนผสมคาร์บอนและธาตุโปแตสเซียมสูง สามารถนำมาใช้เป็นวัสดุปลูกผัก บำรุงต้นไม้ เพราะมีคุณสมบัติช่วยปรับปรุงดิน เก็บกักน้ำได้ดี ทำให้ดินมีความชุ่มชื้น กลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ใต้ดิน เมื่อดินอุดมสมบูรณ์จะทำให้พืชเดินรากหากินใต้ดินได้ง่าย การดูดซับอาหารดีขึ้น ส่งผลให้ลำต้นพืชสมบูรณ์แข็งแรง และในถ่านไบโอชาร์ยังมีสารละลายฟอสเฟต และซิลิกา ซึ่งใช้ป้องกันแมลงศัตรูพืชได้ ทำให้เกษตรกรไม่ต้องพึ่งพาปุ๋ย-เคมีภัณฑ์

ทั้งนี้ เพื่อให้งานวิจัยนำไปใช้ประโยชน์ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ตั้งเป้าไว้ ทีมงานวิจัยจึงได้นำผลงานดังกล่าวมาเผยแพร่ในงานมหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค 2559 ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี โดยคาดว่าผลงานดังกล่าวจะส่งเสริมลงสู่ประชาชนต่อไป.

เมื่อชาวนาหย่าศึกชิงน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590453

โดย สะ-เล-เต 15 มี.ค. 2559 05:01

 

ปีนี้หลายพื้นที่ต้องงดทำนาปรัง แต่เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำคลองท่าลาด อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ทำได้ตามปกติ

ด้วยมีน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองสียัด และอ่างเก็บน้ำคลองระบมไหลมาบรรจบลงฝายท่าลาด ที่กรมชลประทานสร้างไว้เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่นา 160,125 ไร่ ผ่านทางคลองส่งน้ำยาว 44 กม. และมีระบบคลองซอยอีก 10 สาย ช่วยกระจายน้ำให้ทั่วถึง

ถึงน้ำท่าจะสมบูรณ์ ทำนาปรังได้ทุกปี…แต่ศึกแย่งน้ำยังคงมี

นาต้นคลองซอยได้น้ำอุดม นาปลายซอยน้ำมาไม่ถึง ทั้งๆที่น้ำที่กรมชลประทานจัดสรร คำนวณแล้วเพียงพอทำนาตลอดคลอง…ที่ผ่านมาได้มีการเข้าไปพบปะ พูดคุย แก้ปัญหาหลายครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จ

จน กองส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กรมชลประทาน ต้องเข้ามาใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของเกษตรกร…เปิดเวทีสาธารณะแก้ปัญหาการใช้น้ำอย่างเท่าเทียม ด้วยการแบ่งความรับผิดชอบ กำหนดหน้าที่ของแต่ละคน สำรวจพื้นที่ตั้งแต่ต้นคลองจนถึงปลายคลอง นำมาวิเคราะห์หาสาเหตุ หาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

ได้ข้อสรุป สาเหตุที่น้ำไปไม่ถึงปลายคลอง…เกษตรกรมั่นใจ กรม ชลประทานขุดคลองไม่ดี ปลายคลองเหิน ตั้งอยู่ในระดับสูงน้ำผ่านไปไม่ได้ เพราะมองด้วยสายตา ปลายคลองสูงจริงๆ

จัดรายการท้าพิสูจน์ให้เห็นกันจะจะ…ปิด ท่อรับน้ำเข้านาทั้งหมด ปรากฏน้ำไหลไปถึงปลายคลองภายใน 4 ชั่วโมง…แต่เมื่อ เปิด ท่อรับน้ำทั้งหมด น้ำที่เต็มคลอง แห้งภายใน 30 นาที

ได้ข้อสรุป น้ำไปไม่ถึงปลายคลอง เกิดจากท่อผีที่บางคนแอบทำขึ้นเพื่อดึงน้ำเข้านาตัวเองตลอดเวลา…ชลประทานส่งน้ำมาให้เมื่อไร น้ำหายไปทางท่อผีหมดสิ้น ปลายคลองเลยไม่มีน้ำ

นัดประชุมเจ้าของท่อผีทั้งหมด กำหนดกฎกติกา ท่อผีต้องมีประตูปิด-เปิด และกำหนดเวรรับน้ำแบ่งเป็น 3 โซน หมุนเวียนกันไป พร้อมตั้งคณะกรรมการดูแลต้น-กลาง-ปลายคลองซอย ตั้งกติกาในการดูแลรักษาคลองเป็นสัญญาใจ ไม่ถึงเวรรับน้ำจะไม่แหกกฎแอบเปิดประตูผีรับน้ำ

ผลปรากฏนาปรังปีนี้ (ธ.ค.58–ก.พ.59) ปัญหาแย่งน้ำเงียบหาย แถมโควตาจัดสรรน้ำที่กรมชลประทานให้ใช้ 34 ล้าน ลบ.ม. ใช้จริงแค่ 27.2 ล้าน ลบ.ม. ช่วยประหยัดน้ำได้ร้อยละ 20.
สะ–เล–เต

“ส้มโอขาวนํ้าผึ้ง” หวานหอมผลขายคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590465

โดย นายเกษตร 15 มี.ค. 2559 05:01

 

ส้มโอขาวนํ้าผึ้ง เป็นสายพันธุ์ ไม่มีเมล็ดโดยธรรมชาติ นิยมปลูกเฉพาะถิ่นแถบจังหวัดภาคกลางไม่กี่จังหวัดเท่านั้น จึงทำให้มีผลวางขายไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค มีความโดดเด่น คือ รสชาติหวานหอมคล้ายกลิ่นนํ้าผึ้ง กรอบอร่อยมาก กลายเป็นส้มโอ

ยอดนิยมที่ตลาดผลไม้ทั่วไปมีความต้องการสูงมากในปัจจุบัน

ส้มโอขาวนํ้าผึ้ง หรือ PAMELO, SHAD-DOCK-CITRUS MAXIMA (BURMF.) MEER (C.GRANDIS (LINN.) OSBECK.) อยู่ในวงศ์ RUTACEAE เป็นไม้ยืนต้นสูง 5-10 เมตร กิ่งก้านมักมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว ออกเรียงสลับ ใบย่อยเป็นรูปรีหรือรูปไข่กลับ ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อมีดอกย่อยหลายดอก กลีบดอกเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมเย็นแบบสะอาดๆ “ผล” รูปทรงกลมหรือรูปไข่กว้าง เปลือกผลสีเขียวแกมเหลือง ไม่มีเมล็ดตามที่กล่าวข้างต้น เนื้อหรือถุงนํ้าเป็นสีเหลืองอ่อน เนื้อไม่แฉะ รสชาติหวานหอมคล้ายกลิ่นของนํ้าผึ้ง กรอบรับประทานอร่อยมาก จึงถูกตั้งชื่อตามกลิ่นหอมของเนื้อว่า “ส้มโอขาวนํ้าผึ้ง” ดังกล่าว ที่สำคัญแต่ละกลีบของถุงนํ้าหรือเนื้อจะมีขนาดใหญ่และให้นํ้าหนักดีกว่ากลีบเนื้อของส้มโอทั่วไปอย่างชัดเจน จึงทำให้ผู้รับประทานชื่นชอบอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้ ติดผลปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ทาบกิ่งและเสียบยอด

มีต้นขาย เป็นต้นที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอด และเป็นต้นแท้ ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร” โทร. 08-6605-4945 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือน หรือปลูกหลายๆ ต้นเพื่อเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ได้คุ้มค่ามาก เนื่องจากตลาดผลไม้ต้องการสูงและมีราคาเฉพาะเนื้อกิโลกรัมไม่ตํ่ากว่า 100-150 บาทขึ้นครับ.

“นายเกษตร”

ทะเลหนุนท่าจีนเค็มปี๋ สวนกล้วยไม้เจ๊งระนาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590511

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 มี.ค. 2559 05:01

 

นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยภายหลังการประชุมเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร กรมชลประทาน และอบจ.สมุทรสาคร เพื่อหารือแนวทางดำเนินการแก้ปัญหาสวนกล้วยไม้แหล่งใหญ่ที่สุดของประเทศ ในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและน้ำทะเลหนุนสูงจนไม่สามารถนำน้ำมาใช้รดกล้วยไม้ได้ จากการสำรวจพบพื้นที่สวนกล้วยไม้ที่มีอยู่ทั้งหมด 4,770 ไร่ ได้รับผลกระทบไปแล้ว 4,096 ไร่

ส่วนพืชหลักอย่างอื่นๆ มะนาว 8,783 ไร่ ได้รับผลกระทบ 1,824 ไร่ มะม่วง 12,763 ไร่ เสียหายไป 3,590 ไร่ สวนลำไย 1,599 ไร่ ได้รับผลกระทบ 297 ไร่

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า จากตัวเลขดังกล่าวสวนกล้วยไม้ได้รับความเสียหายมากที่สุด นำไปสู่การขาดรายได้ของเกษตรกร เพราะกล้วยไม้เป็นพืชส่งออกที่สำคัญของประเทศ ฉะนั้นทุกฝ่ายจะต้องเฝ้าระวังตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือน พ.ค. หรือ ก.ค. หากสถานการณ์ภัยแล้งยืดยาวออกไป ไม่มีฝนตกลงมาเหมือนปีที่ผ่านมา ฉะนั้นขอให้เจ้าหน้าที่ทุกนายอย่าได้นิ่งนอนใจจะต้องลงพื้นที่ไปดูแลเกษตรกรจนกว่าจะพ้นห้วงวิกฤติ

ส่วนกรณีเกษตรอำเภอบ้านแพ้ว และกระทุ่มแบนได้ทำเรื่องขออนุมัติโครงการเดินท่อส่งน้ำ และขอสนับสนุนงบประมาณเจาะบ่อบาดาล ขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้อนุมัติงบประมาณให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เกษตรอำเภอต้องไปประสานกับผู้นำชุมชน ผู้นำท้องถิ่น หาแรงงานในชุมชนพื้นที่ มาดำเนินการกันเอง เพื่อจะได้เป็นการสร้างรายได้ชดเชยให้กับเกษตรกรที่ขาดรายได้เพราะภัยแล้ง ตามนโยบายของรัฐบาล ห้ามจ้างบริษัทเอกชน หากอำเภอไหนฝ่าฝืนจะถูกมาตรฐานการลงโทษขั้นเด็ดขาด

สำหรับสหกรณ์ผู้ประกอบการกล้วยไม้ไทย จำกัด ต.หนองนกไข่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ประสบปัญหาน้ำเค็มรุกจนไม่สามารถสูบน้ำจากแม่น้ำท่าจีนมาใช้ในสวนกล้วยไม้ของกลุ่มสมาชิกได้ นายโอฬาร ชี้แจงทางกรมส่งเสริมการเกษตรได้ประสานงานกับกรมชลประทานให้ระบายน้ำด้านบนของแม่น้ำท่าจีน และผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาให้เข้ามาช่วยกันผลักดันน้ำทะเลตามระยะเวลาการหนุนของน้ำทะเล และขอให้เกษตรกรชาวสวนกล้วยไม้ ระมัดระวังใช้เครื่องมือตรวจสอบคุณภาพน้ำ หากมีความเค็มเกินพิกัดให้หยุดสูบน้ำพร้อมปิดประตูกั้นน้ำทะเลเข้ามา และหากช่วงนี้น้ำมีไม่เพียงพอให้แจ้ง อบจ.สมุทรสาคร นำรถบรรทุกน้ำเข้ามาช่วยเหลือไปพลางก่อน.

“ดีปลี” กับวิธีแก้โรคภูมิแพ้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590102

โดย นายเกษตร 14 มี.ค. 2559 05:01

 

สมุนไพรแก้โรคภูมิแพ้ มีหลายอย่าง แต่ “ดีปลี” ที่แนะนำในวันนี้ ใช้ได้ผลดีระดับหนึ่งกับคนทุกธาตุ โดยให้เอาดอก “ดีปลี”
30 กรัม หัวตะไคร้แกง ยาว 2 นิ้วฟุต 30 กรัม ขิง แก่หรืออ่อนก็ได้ 30 กรัม ทั้งหมดแบบแห้ง และใบต้นหนุมานประสานกาย จำนวน 40 ใบย่อยแบบสด นำทั้งหมดต้มรวมกันในน้ำมากหน่อยจนเดือดดื่มก่อนอาหารครึ่งแก้วเช้าเย็น ดื่มไปเรื่อยๆ อาการโรคภูมิแพ้ หลอดลมอักเสบ มีเสมหะเยอะจะดีขึ้นให้ต้มดื่มจนกว่าจะหาย

ดีปลี หรือ LONG PEPPER, PIPER RETROFLACTUM VAHL. อยู่ในวงศ์ PIPERA-CEAE สรรพคุณเฉพาะ ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุกตากแห้งใช้เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ แก้ท้องเสีย ขับรกหลังคลอด โดยให้ใช้ผล 10-15 ผล ต้มน้ำดื่มเป็นยา ช่วยแก้ไอด้วย ผลแห้งครึ่งผลฝนกับน้ำมะนาวเกลือป่นเล็กน้อยกวาดคอ หรือจิบบ่อยๆ มีฤทธิ์ขับลม แก้ไอได้ดีมาก

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” พิมพ์จำนวนจำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาแก้ริดสีดวงจมูก น้ำมูกไหล มีกลิ่นเหม็น, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน ชันนะตุ แพ้เหงื่อ, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่า รักแร้หายดำ คล้ำ, น้ำมันงาบริสุทธิ์ ทาผิวหมักผม, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับ แก้คาวปลา กลิ่นเหม็นในสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบ ไส้เลื่อนในบุรุษ, กระเทียมโทนแคปซูล สูตรแก้หอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง, ยาลดเบาหวานแคปซูล, ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้า ช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง โทร.0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

บ่อน็อกดาวน์…สู้แล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590103

โดย สะ-เล-เต 14 มี.ค. 2559 05:01

 

แล้งปีนี้สาหัสกว่าที่คิด…ขุดบ่อบาดาลใช่จะพบน้ำได้ทุกที่ ขุดบ่อรอฝน ไม่รู้ฝนจะมาเมื่อไร

ด้วยเหตุนี้ แนวคิดสร้าง “บ่อน้ำน็อกดาวน์” จึงอุบัติขึ้น โดย ศักดิ์ สมบุญโต ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เทงบ 500,000 บาท นำร่องช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังแปลงใหญ่ 50 ราย ในเนื้อที่ 1,101 ไร่ ของ ต.หนองไผ่ อ.ด่านมะขามเตี้ย

ถ้าจะถามว่าทำไมต้องใช้กับมันสำปะหลังก่อนพืชอื่น…คำตอบมันสำปะหลังรดน้ำ 15 วันต่อครั้ง ไม่ต้องให้น้ำบ่อยเหมือนพืชชนิดอื่น ใช้บ่อเสร็จ คนอื่นสามารถยกไปประกอบใช้กับไร่ตัวเองได้ ขอแค่เดินระบบท่อน้ำรอไว้ ฉะนั้น สำหรับมันสำปะหลัง มีบ่อน็อกดาวน์เคลื่อนที่บ่อเดียวก็เหลือเฟือ

เห็นตัวเลขงบฯ 500,000 บาท ไม่ต้องตกใจ แพงเว่อร์ไป…ไม่ใช่มีแค่โครงเหล็กบ่อกักเก็บน้ำแบบถอดประกอบได้ สูง 1.2 เมตร กว้างด้านละ 6 เมตร และผ้าใบเก็บกักน้ำได้ 40,000 ลิตรเท่านั้น

แต่ยังมีรถบรรทุกน้ำแบบลากจูง บรรจุน้ำได้ 10,000 ลิตร เครื่องสูบน้ำ เครื่องกรองน้ำ ชุดส่งต่อระบบน้ำหยด ที่ออกแบบมาเพื่อไร่มันสำปะหลังโดยเฉพาะอีกด้วย

ถือว่าคุ้ม เพราะใช้งานได้ในระยะยาว แถมเคลื่อนย้ายไปไหนได้ทุกที่ เพียงแค่ใช้รถแทรกเตอร์ต่อพ่วงลากจูงรถบรรทุกน้ำไปสูบน้ำจากแหล่งน้ำ บรรทุกกลับมายังไร่ ถ่ายน้ำลงบ่อน็อกดาวน์ เชื่อมต่อระบบกรองส่งต่อไปยังชุดระบบน้ำหยด ป้อนน้ำเข้าสู่ไร่…ส่วนจะใส่ปุ๋ยสูตรอะไรลงไปในบ่อ นั่นเป็นความปรารถนาของใครของมัน

ด้วยงบฯจำนวนนี้ ชาวไร่มันสำปะหลัง 50 ราย ที่เคยรอแต่เทวดาช่วยไม่ต้องคอยฟ้าคอยฝนอีกต่อไป…เมื่อดินได้น้ำ ผลผลิตดีขึ้น เกษตรกรได้เงินเพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นตามมา

บ่อเคลื่อนที่ตั้งตรงไหนก็ได้ จะดีกว่าเอารถน้ำเทียวไปแจกตามบ้านมั้ย…องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบต.ไหนสนใจจะเอาอย่าง ผู้ว่าฯศักดิ์ อนุญาตให้ก๊อปได้ ไม่ได้สงวนสิทธิ์จดสิทธิบัตรแต่ประการใด พร้อมยกมือเชียร์ให้ช่วยกันทำ เอาไปช่วยชาวบ้านจ้า.

สะ–เล–เต

วิสาหกิจยางพาราสายบุรี..ใจถึง ให้ราคาประกันรับซื้อสูงกว่าตลาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590141

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 มี.ค. 2559 05:01

 

ในขณะที่ชาวสวนยางเดือดร้อนกันไปทั่วประเทศ เพราะปัญหาราคาต่ำเตี้ยเรี่ยติดดิน

แต่ชาวสวนยางในสังกัดวิสาหกิจชุมชนสายบุรี จ.ปัตตานี กลับไร้ปัญหา น้ำยางสดในท้องตลาดที่ซื้อขายกันในราคา กก.ละ 33 บาท ที่นี่กลับกล้าหาญให้ราคาประกันรับซื้อแพงกว่า 5 บาท

นั่นเป็นเพราะการรู้จักนำน้ำยางสดมาแปรรูปเป็นสินค้าหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกระถางปลูกต้นไม้, บ่อปลา, ถุงมือเคลือบน้ำยาง, หมอนยางพารา, ที่นอนยางพารา ฯลฯ ด้วยมีผู้เชี่ยวชาญด้านยางพารา ของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตปัตตานี มาให้คำชี้แนะ

แปรรูปเป็นสินค้าขายได้มูลค่าสูงขึ้น…เลยกล้าที่จะให้ราคาน้ำยางแก่สมาชิกได้แพงกว่าท้องตลาด

“เดิมทีพวกเรารู้จักแต่กรีดยาง ขายเป็นยางก้อนถ้วยให้พ่อค้า แต่พอทางนักวิชาการจาก ม.อ.ปัตตานี มาสอนให้เราเอาน้ำยางสดมาพ่นและทาเคลือบไปบนผ้าดิบ เพื่อทำเป็นกระถางปลูกต้นไม้ ใช้แทนวงบ่อปูนซีเมนต์ ปรากฏว่าคนทั่วไปชอบเพราะน้ำหนักเบา ขนย้ายได้ง่าย แถมราคาถูกกว่า เลยมีออเดอร์เข้ามาเดือนละหลายพัน
ชิ้นจนผลิตไม่ทัน ต้องขยายเครือข่ายให้ชาวสวนยางในกลุ่มอื่นๆช่วยกันทำ”

เมื่อเห็นช่องทางการค้าผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพาราที่กรีดกันเองไปได้ดี นายสุไลมาน ดือราโอะ หัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนสายบุรี จึงได้ขยายแผนการผลิตจากกระถางปลูกต้นไม้ไปเป็นบ่อเลี้ยงปลาเคลื่อนที่ ตามมาด้วยถุงมือเคลือบยาง หมอนและที่นอนยางพารา ที่มีวิสาหกิจชุมชนอื่นซึ่งอยู่ในพื้นที่มาร่วมกันทำ เพื่อให้วิสาหกิจมีสินค้าที่หลากหลาย สามารถทำการตลาดได้กว้างกว่ามีสินค้าแค่ไม่กี่อย่าง

“การนำยางกรีดเองมาแปรรูปเอง วันนี้บอกได้เลยว่า น้ำยางที่เรามีแทบไม่พอใช้มาผลิต เฉพาะออเดอร์กระถางปลูกต้นไม้กับบ่อเลี้ยงปลา เดือนหนึ่งต้องใช้น้ำยางถึง 8 ตัน ทำรายได้ให้กับวิสาหกิจเดือนละเฉียดล้าน เราไม่เพียงจะรับซื้อน้ำยางจากสมาชิกในราคาที่แพงกว่าตลาด กำไรที่ได้จากการขายสินค้าแปรรูป เรายังนำมาแบ่งให้สมาชิก 60% ส่วนอีก 40% เก็บไว้เป็นทุนหมุนเวียนภายในกลุ่ม”

และตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ตั้งหน้าตั้งตานำน้ำยางมาแปรรูป…ชาวสวนยางที่นี่แทบจะลืมเลือนยางก้อนถ้วยราคา กก.ละ 20 บาทไปหมดสิ้น หันมาผลิตน้ำยางสดที่ได้ราคาดีกว่าป้อนวิสาหกิจชุมชนสายบุรีอย่างเดียว

“นับแต่พวกเราได้เข้ามาร่วมกันนำน้ำยางแปรรูปเป็นสินค้า ทำให้ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น ครอบครัวก็มีความสุข ไม่เหน็ดเหนื่อย ทนทุกข์เหมือนในอดีต ที่กรีดยางมาแล้วจะขายให้พ่อค้าในพื้นที่ก็ไม่ได้ ครั้นจะขึ้นรถเอาไปขายพ่อค้าต่างถิ่นก็เสี่ยงถูกกดราคาอีก เสียค่าน้ำมันเปล่า แต่พอมีวิสาหกิจชุมชน เรากรีดเอง ขายเอง รับซื้อเอง แปรรูปกันเอง ชีวิตเปลี่ยนไปทันที ไม่ต้องลำบากทนพ่อค้าเอาเปรียบ แถมยังได้ราคาดีกว่า กก.ละ 5 บาท และมีแบ่งกำไรให้อีกต่างหาก” ความรู้สึกจากใจ นางซัลมา ซะมาแอ หนึ่งในสมาชิกวิสาหกิจชุมชนสายบุรี

พี่น้องชาวสวนยางกลุ่มไหนที่ยังคิดหาทางออกให้กลุ่มตัวเองไม่ได้ สนใจผลิตภัณฑ์ ต้องการศึกษาวิธีการบริหารจัดการ ติดต่อได้ที่ 09-8017-3767.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

“สะบ้ามอญ” สรรพคุณดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588671

โดย นายเกษตร 11 มี.ค. 2559 05:01

 

ในยุคสมัยก่อน ผู้เฒ่าผู้แก่มีวิธีรักษาเส้นผมให้แข็งแรงและดกดำเป็นเงางามอยู่เสมอด้วยธรรมชาติ คือ เอาใบกิ่งก้านที่ยังไม่แก่ของ “สะบ้ามอญ” มากน้อยตามต้องการใช้ในแต่ละครั้ง ทุบพอชํ้าแล้วผึ่งลมให้หมาดนำไปตีกับนํ้าในกะละมังจะเกิดฟองลื่นเหมือนฟองสบู่ จากนั้นเอานํ้าดังกล่าวชโลมเส้นผมให้ทั่ว ขยี้เกาเหมือนการสระผมจนพอใจแล้วล้างนํ้าออก จะทำกี่ครั้งได้ตามใจชอบ เมื่อใช้ผ้าเช็ดเส้นผมจะพบว่ามีกลิ่นหอมเป็นธรรมชาติ เส้นผมแข็งแรงดกดำเป็นเงางามไม่แตกปลายและไม่เป็นรังแคทำให้คันหนังศีรษะ ลำต้นกิ่งก้านยังใช้เป็นยาขับพยาธิผิวหนังโดยใช้ภายนอกได้อีก เมล็ดสุมไฟจนเป็นเถ้ากินแก้พิษไข้ดีระดับหนึ่ง

สะบ้ามอญ หรือ ENTADA SCANDENS, CENTH. อยู่ในวงศ์ MIMOSEAE เป็นไม้เถาเลื้อย ลำต้นแบนและมักบิดเป็นเกลียว ดอกเป็นช่อกระจุกสีขาวอมเหลือง “ผล” เป็นฝักยาว มีเมล็ด 5-7 เมล็ด เปลือกหุ้มเมล็ดสีแดงเข้ม รูปทรงคล้ายสะบ้าหัวเข่า ในเทศกาลสงกรานต์ชาวมอญนิยมเอาเมล็ดไปทอยเรียกว่าเล่น “สะบ้า” จึงถูกเรียกชื่อว่า “สะบ้ามอญ” พบขึ้นตามป่าราบทุกภาคของประเทศไทย

สะบ้ามีอีก 3 ชนิด แต่ละชนิดเป็นไม้เถาเลื้อยเหมือนกัน แตกต่างเพียงเมล็ดและฝักคือ “สะบ้าลาย” มีเมล็ด 2-3 เมล็ด ไม่นิยมใช้เป็นสมุนไพร ชนิดที่ 2 คือ “สะบ้าดำ” มี 7-8 เมล็ด ขนาดของเมล็ดและฝักเล็กกว่า “สะบ้ามอญ” นิยมเอาเมล็ดเป็นยาทาแก้กลากเกลื้อน หิดเหา ผื่นคัน โรคผิวหนังต่างๆ และสุดท้ายได้แก่ “สะบ้าเลือด” เปลือกเมล็ดจะแข็งมาก นิยมเอาไปหุงเป็นนํ้ามันทาแก้กลากเกลื้อนดีมาก

ปัจจุบันต้น “สะบ้ามอญ” หายากแล้ว ใครต้องการต้นไปปลูกต้องเดินสอบถามตามแผงขายไม้ไทยโบราณ ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ให้ผู้ขายช่วยจัดหาให้ ส่วนเมล็ดของ “สะบ้ามอญ” ตามภาพประกอบคอลัมน์ มีขายที่บริเวณโครงการ 24 แผง “คุณหล้า-คุณโอม” สามารถนำเมล็ดไปเพาะเป็นต้นได้ ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

ไรแดงคือแมง..ไม่ใช่แมลง ชาวไร่มันฯ..อย่าใช้ยาผิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588698

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 มี.ค. 2559 05:01

 

ไรแดง.

แล้งสาหัสไม่เพียงแต่คนจะทำมาหากินลำบาก แมลงศัตรูพืชไม่ต่างกัน…อาหารในธรรมชาติเหี่ยวแห้งไม่มีให้ดูดกิน พื้นที่ไหนปลูกพืชทำเกษตรกรรม ที่นั่นคือโรงอาหารของแมลงศัตรูพืช

โดยเฉพาะมันสำปะหลังพืชทนแล้งที่นิยมปลูกในช่วงนี้ให้ระวัง…ไรแดง

พื้นที่ปลูกไล่เรียงมาตั้งแต่กำแพงเพชร, นครสวรรค์, สระบุรี, นครราชสีมา, สระแก้ว, ปราจีนบุรี, ระยอง เจอกันทั้งสิ้น

ด้วงเต่าสตีธอรัส แมลงตัวห้ำกำลังหม่ำไข่ไรแดง.

“ไรแดงจะระบาดในฤดูแล้งเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะชอบอากาศแห้ง ไม่ชอบน้ำ เจอฝนเข้าไป ไรแดงตัวเล็กๆจะจมน้ำเม็ดฝนตายได้ง่ายๆ ประกอบกับฤดูแล้งลมพัดแรง ยิ่งช่วยให้ไรแดงถูกลมพัดปลิวไปลามระบาดในพื้นที่อื่นๆเป็นวงกว้างได้เร็วและมาก ยิ่งปีนี้แล้งหนักแล้งจัด เลยระบาดหนักกว่าปีก่อนๆ”

แต่กระนั้น ดร.จรรยา มณีโชติ หัวหน้าโครงการวิจัยการบริหารจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการในมันสำปะหลัง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บอกว่า การระบาดในปีนี้ สาเหตุไม่ได้มาจากภัยแล้งอย่างเดียว…ยังมาจากความไม่รู้ ไม่เข้าใจของเกษตรกร

เข้าใจผิดคิดว่า…ไรแดงเป็นแมลง

หนอนด้วงเต่าช่วยกำจัดตัวไรแดง.

ไรแดงไม่ใช่แมลง…ไรแดงเป็นแมงมี 8 ขา เหมือนแมงมุม

“แมลงนั้นมี 6 ขา เกษตรกรเห็นต้นมันฯ เกิดอาการใบเหลืองแห้งเหี่ยว มักจะเข้าใจผิดว่าเป็นผลงานเพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ ไปซื้อยาฆ่าแมลงมากำจัด มันไม่ได้ผล เพราะไม่มีฤทธิ์กำจัดแมง แถมยาฆ่าแมลงที่ฉีดพ่นไป ยังทำลายด้วงเต่าสตีธอรัส ซึ่งเป็นแมลงตัวห้ำกินไรแดงเป็นอาหารด้วย เลยทำให้ปีนี้ระบาดมากผิดปกติ”

ทั้งที่การสังเกตนั้นไม่ยาก มันสำปะหลังถูกไรแดงทำลาย จะมีหยากไย่คล้ายใยแมงมุมชักใยอยู่ตามก้านใบ ในหยากไย่จะมีไรแดงตัวเล็กๆ ทั้งไข่ ตัววัยอ่อน เต็มวัย เต็มไปหมด ถ้าใช้แว่นขยายส่องจะเห็นว่ามี 8 ขา

สำหรับวิธีกำจัดให้ได้ผล ดร.จรรยา บอกว่า สารกำจัดไรแดงมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ ฉีดพ่นไปแล้ว สารสัมผัสตัวไรแดงจะตายเลย กับแบบฉีดพ่นไปแล้ว สารจะถูกดูดซึมเข้าไปในต้นมันฯ ไรแดงดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบมันสำปะหลังถึงจะตาย…เห็นผลช้ากว่าแบบแรก

สารฉีดพ่นไปแล้วไรแดงตายเลย มี 2 ตัว คือ ทีบูเฟนไพเรด (tebufenpyrad) 3-5 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ไพริดาเบน (pyridaben) 15-20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร…แต่สาร 2 ตัวนี้มีข้อเสีย ต้องฉีดพ่น 2 ครั้ง พ่นครั้งแรกจำจัดได้เฉพาะตัวไรแดง ไม่สามารถกำจัดไข่ไรแดงได้ ฉะนั้นต้องเว้นระยะไปอีก 10 วัน ให้ไข่ฟักออกเป็นตัวก่อน ถึงพ่นไปกำจัดซ้ำได้

ส่วนสารประเภทดูดซึม สไปโรมีซีเฟน (spiromesifen) 6 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร…มีข้อดี ฉีดแค่ครั้งเดียว สามารถปกป้องมันสำปะหลังจากไรแดงได้นาน 2 เดือน แต่มีข้อเสียราคาแพงกว่าเท่านั้นเอง.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

กฟก.สัญญา มิ.ย.ซื้อหนี้ 3 พันล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588162

โดย สะ-เล-เต 10 มี.ค. 2559 05:01

 

สัปดาห์ที่แล้วม็อบเกษตรกรจากภาคเหนือและภาคกลางนับพันคน ได้มาปักหลักชุมนุมกดดันรัฐบาล กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ให้เร่งอนุมัติเงิน 3,000 ล้านบาท ซื้อหนี้ให้กับเกษตรกรที่กำลัง จะถูกบังคับคดี…โดยผู้ชุมนุมให้เหตุผลเงินก้อนนี้ได้ผ่านความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรีมาตั้งนาน แต่ทาง กฟก.ไม่ยอมรีบเร่งดำเนินการ

เรื่องนี้ นายวัชระพันธุ์ จันทรขจร เลขาธิการ กฟก. ชี้แจงเงิน 3,000 ล้านบาท ที่มีแกนนำนำมาอ้างนั้น จริงๆแล้วยังไม่ผ่านการอนุมัติของ ครม. เป็นแต่เพียงตัวเลขที่รัฐบาลให้ กฟก.ทำการสำรวจหนี้เร่งด่วน ของเกษตรกรที่กำลังจะถูกสถาบันการเงินยึดที่ดินทำกิน เพราะศาลได้ตัดสินแล้ว และอยู่ในขั้นบังคับคดีนำไปขายทอดตลาด

การสำรวจหนี้เร่งด่วนกลุ่มนี้มีอยู่ 19,494 ราย คิดเป็นวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท

แต่เนื่องจากการจะเข้าไปซื้อหนี้เหล่านี้ได้ ต้องทำตามระเบียบ ตามกฎหมายของ กฟก. ที่จะต้องให้คณะกรรมการชุดต่างๆอนุมัติเพื่อความโปร่งใส แต่เนื่องจากที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดต่างๆ หมดวาระลงไปพอดี จึงต้องรอให้มีการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการให้เสร็จสิ้นเสียก่อนถึงจะทำได้

การแต่งตั้งคณะกรรมการทุกชุดเพิ่งจะเรียบร้อยเมื่อ ก.พ. ที่ผ่านมา นี่เอง และได้มีการเดินหน้าทำการซื้อหนี้ให้เกษตรกรทันที ในวันนี้ (10 มี.ค.) จะมีการนัดหารือระหว่างเกษตรกรกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ โดยมี กฟก.เป็นตัวกลาง เพื่อให้เกษตรกรที่ไม่พอใจในการซื้อหนี้ 50% ของเงินต้น จะได้เจรจาลดหนี้ให้เหลือ 30%

จากนั้น 17 มี.ค. เรื่องจะถูกส่งไปยังบอร์ดจัดการหนี้ และส่งเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร (บอร์ดใหญ่) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อรับทราบ ก่อนจะเสนอให้กับคณะรัฐมนตรี และส่งกลับมาให้ กฟก.เพื่อบริหารจัดการต่อไป…ขั้นตอนทั้งหมดนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงปลายเดือน พ.ค.-ต้นเดือน มิ.ย. กฟก.น่าจะเริ่มนำเงิน 3,000 ล้านบาทมาใช้บริหารจัดการหนี้ได้เต็มที่

และในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว เกษตรกรไม่ต้องกังวลจะถูกยึดที่ทำกิน เพราะทางสมาคมธนาคารจะช่วยชะลอการบังคับหนี้ของสถาบันเจ้าหนี้ให้ได้ในกรอบ 90 วัน.

สะ–เล–เต