“จำปาดะสีทอง” กับที่มาพันธุ์ดกปลูกคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588170

โดย นายเกษตร 10 มี.ค. 2559 05:01

 

จำปาดะสีทอง เกิดจากการพัฒนาพันธุ์ของจำปาดะดั้งเดิมอยู่หลายวิธีจนได้พันธุ์ใหม่ มีความโดดเด่นกว่าจำปาดะดั้งเดิมคือ ผลใหญ่ขึ้น ติดผลดกทั้งปี เป็นจำปาดะพันธุ์เบา ติดผลง่ายหลังปลูก 3 ปี เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้ม ที่สำคัญสามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ของประเทศไทย เป็นจำปาดะพันธุ์ใหม่ที่ได้ปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์แล้วทุกอย่างยังคงที่ จึงถูกตั้งชื่อว่า “จำปาดะสีทอง” ดังกล่าว

จำปาดะสีทอง หรือ ARTOCARPUSINTEGER MERR อยู่ในวงศ์ MORACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 7-10 เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ปลายแหลมโคนมน ดอกและผลออกตามลำต้นเหมือนขนุน “ผล” รูปกลมยาว ก้านผลรวมก้านเดียว ผิวผลเป็นตุ่มตื้นๆคล้ายผลขนุน ขนาดผลเล็กกว่าผลขนุน แต่จะใหญ่กว่าผลจำปาดะดั้งเดิม ผลสุกมีกลิ่นหอมแรง เนื้อในเป็นสีเหลืองเข้ม เวลาติดผลจะดกเป็นกระจุก 3—5 ผล ตามภาพประกอบคอลัมน์ เนื้อสุกค่อนข้างแฉะโดยธรรมชาติ รสชาติหวานหอม ติดผลดกสม่ำเสมอแบบต่อเนื่องตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง เสียบยอด และติดตา

ทางอาหาร เนื้อสุกรสชาติหวานหอมนิยมเอาไปชุบแป้งทอดเป็นขนม “จำปาดะ” มีกลิ่นหอมแรงรับประทานอร่อยมาก ซึ่งในปัจจุบันนิยมรับประทานทั่วไป โดยเฉพาะชาวมาเลเซียและอินโดนีเซียชื่นชอบยิ่งนัก เมล็ด ยังนำไปหมกขี้เถ้าใต้กองไฟทำเป็นเครื่องแกงมัสมั่น แกงไตปลา และแกงกระทะ ชาวมุสลิมทั่วโลกนิยมรับประทานอย่างกว้างขวาง

ใคร ต้องการต้นพันธุ์ของ “จำปาดะสีทอง” เป็นต้นแท้ที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบติดตา ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” บ้านเลขที่ 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08-8533-2299 มีรากแก้วดีทุกต้น ปลูกแล้วโตเร็วติดผลง่าย เติบโตได้ทุกพื้นที่ เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนและเก็บผลขายได้คุ้มค่ามาก ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

ซังข้าวโพด..ไม่ไร้ค่า สหกรณ์แม่สอดทำเงิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588200

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 มี.ค. 2559 05:01

 

นายบรรจง ชัยขุนพล ผู้อำนวยการนิคมสหกรณ์แม่สอด เผยว่า ด้วยทุกปีสหกรณ์จะมีการรับซื้อข้าวโพดจากสมาชิกเป็นจำนวนมาก จากเมื่อก่อนยังไม่มีเครื่องกะเทาะเมล็ดต้องจ้างรถชาวบ้าน หลังกะเทาะเมล็ดข้าวโพดแล้ว จะเหลือซังข้าวโพดสร้างปัญหาให้กับสหกรณ์เป็นอย่างมาก นอกจากจะกลายเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของนกหนู ยังเกิดเชื้อราส่งกลิ่นเน่าเหม็น ต้องขอร้องอ้อนวอนให้ชาวบ้านมาช่วยขนเอาไปทิ้ง จนบางครั้งสหกรณ์ต้องขนไปเทให้ชาวบ้านฟรีๆ เพื่อให้ไปทำปุ๋ยหมัก แต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากชาวบ้านเท่าไร เพราะย่อยสลายช้า ใช้เวลานานกว่าจะเป็นปุ๋ยหมัก

แต่มาปี 2555 ประเทศไทยเริ่มมีการนำซังข้าวโพดมาเป็นเชื้อเพลิงพลังงานชีวมวล เนื่องจากพบว่าการเอาซังข้าวโพดไปเผาทำเป็นถ่านอัดแท่ง จะให้ค่าปริมาณความร้อน 6,300 แคลอรีต่อกรัม และใช้เวลาในการเผาไหม้จนถึงเป็นเถ้า 90 นาที มีคุณสมบัติการให้ความร้อนสูงและนานกว่าถ่านจากไม้ ที่ให้ความร้อนแค่ 4,300 แคลอรีต่อกรัม และใช้เวลาในการเผาไหม้จนเป็นเถ้าเพียง 60 นาที เลยทำให้ซังข้าวโพดเป็นที่ต้องการของโรงไฟฟ้าชีวมวล, โรงงานเอทานอล, โรงงานย้อมผ้า

“ซังข้าวโพดที่เคยเป็นได้แค่ขยะ วัสดุเหลือใช้จากภาคเกษตร จึงกลายเป็นสิ่งที่โรงงานอุตสาหกรรมต้องการมาก มีการแย่งรับซื้อซังข้าวโพด ถึงขั้นต้องจองกันข้ามปีกันเลย มีคนมาติดต่อขอซื้อถึงหน้าสหกรณ์ ให้ราคาตามสภาวะของปริมาณผลผลิตของข้าวโพดออกสู่ตลาด ถ้าช่วงเดือน ม.ค.-ส.ค. ผลผลิต ข้าวโพดออกมามาก ราคาซังข้าวโพดจะอยู่ที่ตันละ 300-600 บาทต่อตัน แต่ถ้าเป็นช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. ข้าวโพดมีน้อย ซังข้าวโพดแห้งหาได้ยากราคา 1,500-2,000 บาท”

ผู้อำนวยการนิคมสหกรณ์แม่สอดกล่าวอีกว่า เมื่อซังข้าวโพดมีราคา สามารถทำเงินได้ สหกรณ์จึงเพิ่มราคารับซื้อข้าวโพดให้สมาชิกเพิ่มขึ้นด้วยการบวกราคาซังข้าวโพดให้กับเกษตรกรด้วย และยังเอาซังข้าวโพดมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการอบลดความชื้นไม่ให้เกิน 14% จากเดิมที่มีต้นทุนเป็นค่าไฟฟ้าในการอบตันละ 230 บาท แต่พอมาใช้ซังข้าวโพดต้นทุนค่าอบลดลงเหลือแค่ตันละ 120-160 บาท ทำให้ปีที่ผ่านมานิคมสหกรณ์แม่สอด สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 600,000 บาท และยังมีกำไรจากการขายซังข้าวโพดอีกปีละ 4,000 ตัน คิดเป็นเงินประมาณ 2-3 ล้านบาท สามารถนำมาเป็นกำไรปันผลให้กับสมาชิกได้ไม่น้อย.

ผักบุ้ง…ทุ่งกุลายิ้มได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/587598

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 มี.ค. 2559 05:01

 

อิสราเอลว่าแล้งยังปลูกพืชได้สารพัด นับประสาอะไรกับ “ทุ่งกุลาร้องไห้” ที่ชาวบ้านเชื่อมานาน ถึงหน้าแล้งปลูกอะไรไม่ได้เลย…นับแต่นี้ไปอาจต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ “ทุ่งกุลายิ้มได้”!!!

เมื่อ พระครูวินัยธรธีระพงษ์ ธีรปัญโญ เจ้าอาวาสวัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช บ.โพนตูม ต.ทุ่งทอง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด พระนักพัฒนา ได้เปลี่ยนแนวคิดเดิมๆของชาวบ้าน ด้วยการพลิกแผ่นดินแห้งแตกระแหง ให้กลายเป็นแผ่นดินเขียวชอุ่มไปด้วยผักบุ้ง….ผักปลูกง่าย ให้ผลผลิตเร็วๆ รวมทั้งผักสวนครัวอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงทดลอง

ด้วยความเป็นพระหนุ่มหัวทันสมัย ดีกรีปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ มีเจตนาจะลบความเชื่อเก่าและเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้าน หลังเกี่ยวข้าวจะได้ไม่ต้องอพยพไปหางานทำในเมืองใหญ่

อันดับแรกคิดปรับปรุงพัฒนาดินที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าปลูกอะไรไม่ได้ให้ปลูกอะไรๆก็ได้…ส่วน “น้ำ” อีกปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ไม่ต้องพูดถึง น้ำมีเหลือเฟือ เพราะทางวัดได้ขุดสระขนาดใหญ่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

เริ่มหา ความรู้ทางอินเตอร์เน็ต ระดมพระเณรช่วยกันพลิกฟื้นดินทุ่งกุลาฯ พร้อมส่งดินไปตรวจยังกรมพัฒนาที่ดิน และกรมวิชาการเกษตร ได้คำตอบ คุณภาพดินอยู่ในสภาพขาดธาตุอาหารไปทุกสิ่ง เลยต้องนำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก มาปรับหน้าดินใหม่

จากนั้นให้พระเณรลงมือปลูกผักบุ้งจีนให้ชาวบ้านได้เห็นเป็นตัวอย่าง…อะไรที่ว่าปลูกไม่ได้ ปลูกได้เห็นๆ จนเป็นที่โจษขานของชาวบ้าน พร้อมกับความคิดที่เริ่มรู้จักเปลี่ยน…แต่ปัญหาคือ ชาวบ้านอยากทำ แต่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง เช่าทำเฉพาะช่วงหน้านา

ทางวัดจึงต้องเอาที่ดินวัด 13 ไร่ มาจัดสรรให้ชาวบ้าน 30 ครัวเรือน ปลูกผักบุ้งขาย ส่วนเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ใช้บริการกรมวิชาการเกษตร ส่วนเรื่องตลาดเจ้าอาวาสสนองแนวคิดประชารัฐ ประสานขายส่งเทสโก้ โลตัส ด้วยเป็นผักบุ้งอินทรีย์ จึงไม่มีปัญหา ให้ราคา กก.ละ 14 บาท

ปลูกผักบุ้ง 20-25 วัน พักดิน 7 วัน บนที่ดินเฉลี่ยรายละงานครึ่ง…หักต้นทุนแล้ว ชาวบ้านได้กำไรเดือนละ 5,000 บาท แถมยังปลูกทำเงินได้ทั้งปี ปีละ 60,000 บาท

ปลูกข้าวทั้งปี ปีละ 2 ครั้ง ใช้พื้นที่ 1 ไร่ มากกว่าปลูกผักบุ้งเท่าตัว จะได้กำไรเท่านี้ไหมหนอ.

สะ–เล–เต

“ฝ้ายแดง” กับสรรพคุณน่ารู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/587604

โดย นายเกษตร 9 มี.ค. 2559 05:01

 

ฝ้ายแดง มีถิ่นกำเนิดแถบเอเชียเขตร้อนกับกึ่งร้อนทั่วไปและในประเทศแอฟริกา ประเทศไทยนิยมปลูกตามบ้านตามวัดมาแต่โบราณ เพื่อชมความสวยงามของสีดอก และเพื่อใช้ประโยชน์เป็นสมุนไพรเท่านั้น โดยตำรายาแผนไทยระบุว่า รากและเปลือกของรากตากแห้งบดเป็นผงชงกับนํ้าเดือดดื่มเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ บีบมดลูกขับนํ้าคาวปลาในสตรี นอกจากนั้นใบสดแก่หรืออ่อนตามแต่จะหาได้ผสมตำรับยา เช่น ยาเขียว เป็นยาแก้ไข้ลดความร้อนของร่างกายได้ เมล็ดสดหรือตากแห้งบดเป็นผงกินรักษาโรคหนองในดีมาก แต่มีข้อห้ามคือ สตรีมีครรภ์ห้ามกินอย่างเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้แท้งลูกได้

ฝ้ายแดง หรือ GOSSYPIUM ARBOREUM LINN. ชื่อสามัญ CEYLON COTTON, CHINESE COTTON, TREE COTTON อยู่ในวงศ์ MALVACEAE เป็นไม้พุ่ม สูง 2.5-3.5 เมตร ลำต้นเป็นสีนํ้าตาลแดง ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปไข่หรือค่อนข้างกลม ขอบใบหยักลึก 3-7 แฉก ปลายแหลมหรือมน โคนเว้า ก้านใบและเส้นใบเป็นสีแดงคลํ้า ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบ ใกล้ปลายยอดมีใบประดับ 3 ใบ เป็นรูปสามเหลี่ยมซ้อนกัน กลีบเลี้ยง 5 แฉก เชื่อมกันเป็นรูปถ้วย กลีบดอก 5 กลีบ เป็นสีแดงเข้มหรือสีเหลืองอ่อน ใจกลางดอกเป็นสีม่วงแดง มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก ก้านเกสรเชื่อมกันเป็นหลอดล้อมรอบเกสรตัวเมีย ปลายเกสรตัวเมียแยกเป็น 5 แฉก “ผล” กลม หัวท้ายแหลมเป็นสีเขียวและสีดำ ผลแก่จะแตกอ้า มีเมล็ดจำนวนมาก ปลายเมล็ดจะมีปุยสีขาวคล้ายนุ่นติดอยู่ ดอกออกช่วงเดือนพฤษภาคม ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 21 แผง “คุณพร้อมพันธุ์” ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ตามที่กล่าวข้างต้นคุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

ชาวไร่อ้อยทุกข์ 2 เด้ง แล้งน้ำ-หนอนด้วงโผล่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/587685

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 มี.ค. 2559 05:01

 

ความแห้งแล้งทวีความรุนแรง ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา ไม่ผลิดอกออกยอดแตกใบอ่อน แมลงศัตรูพืชอดอยาก ไม่มีอาหารกินต้องเผยตัวออกจากที่หลบซ่อน

“หนอนด้วงหนวดยาว” แม้จะกบดานใช้ชีวิตอยู่ใต้ดินนาน 1-2 ปี ซอกซอนแทะหาอาหาร กัดกินน้ำหล่อเลี้ยงรากต้นไม้ มาวันนี้ความแห้งแล้งได้ทำให้รากอ้อย อาหารชั้นเลิศเริ่มไม่หวาน ฝูงหนอนด้วงหนวดยาวอพยพออกจากใต้ดิน

คืบคลานกัดกินอ้อยตั้งแต่ราก กอ กระทั่งต้นอ้อย สร้างความเดือดร้อนให้ชาวไร่อ้อยเขต 7 ในพื้นที่ อ.โพธาราม, อ.จอมบึง จ.ราชบุรี และ อ.ท่าม่วง, อ.ด่านมะขามเตี้ย และอีกหลายอำเภอใน จ.กาญจนบุรี เป็นพื้นที่ 30,000 ไร่…การกำจัด เกษตรกรส่วนใหญ่มักใช้วิธีเปิดไฟล่อให้ด้วงและแมลงศัตรูชนิดอื่นมาเล่นไฟ แล้วจับทำลาย

แต่เป็นวิธีที่ นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร บอกว่า ผิด…ทำไปไม่ได้ผล เพราะตัวเต็มวัยของด้วงหนวดยาวที่มาเล่นไฟ ส่วนใหญ่ได้มุดเข้าไปวางไข่ในดินเรียบร้อยแล้ว แต่ละครั้งตัวเมียสามารถวางไข่ได้ 400 ฟอง ภายในระยะ 17 วันจะฟักตัวจากไข่กลายเป็นตัวหนอน และมีชีวิตอยู่ใต้ดิน 1-2 ปี

“สภาพดินลักษณะดินร่วนปนทรายด้วงหนวดยาวจะเข้าทำลายสูงกว่าแปลงที่เป็นดินเหนียว และแปลงปลูกอ้อยที่มีการให้น้ำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอ้อยตอ หลังจากตัดอ้อยส่งโรงงานแล้ว เกษตรกรมักจะเร่งให้น้ำใส่ปุ๋ยเพื่อให้อ้อยแตกกอโตไว แต่ถ้าในพื้นที่มีหนอนด้วงหนวดยาวอาศัยอยู่ใต้ดิน การให้น้ำอ้อยจะยิ่งเร่งให้ฝูงหนอนด้วงใต้ดินขึ้นมาหากินกัดแทะดูดน้ำหล่อเลี้ยงอ้อยได้เร็วขึ้น”

อธิบดีกรมวิชาการเกษตรแนะวิธีที่ถูกต้อง ใช้วิธีกลไถพรวนก่อนปลูก แล้วเก็บหนอนตามรอยไถ โดยเฉพาะในช่วง มี.ค.-เม.ย. หนอนด้วงหนวดยาวจะมีขนาดใหญ่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

อีกวิธีป้องกันกำจัดด้วยศัตรูธรรมชาติ ใช้เชื้อราเขียวเมตาไรเซียม โรยบนท่อนพันธุ์สำหรับแปลงอ้อยใหม่พร้อมปลูก…ส่วนแปลงตออ้อย ให้เปิดร่องอ้อยโรยเชื้อราเขียวเมตาไรเซียมให้ชิดกออ้อยแล้วกลบดิน

เชื้อราเขียวเมตาไรเซียมดังกล่าว จะมีผลทำให้หนอนค่อยๆเบื่ออาหารและแห้งตาย

แต่ถ้าหาเชื้อราเขียวไม่ได้ ให้ใช้ สารฟิโพรนิลชนิดน้ำ ผสมอัตรา 80 มิลลิลิตร/น้ำ 20 ลิตร หรือ 320 มิลลิลิตร/ไร่ ฉีดพ่นบนท่อนพันธุ์พร้อมปลูก สำหรับอ้อยเปิดหน้าดินใหม่ (อ้อยปีแรก)…แต่ถ้าเป็นอ้อยแปลงเก่า (อ้อยตอ) ใช้วิธีเปิดร่องอ้อยแล้วฉีดสารชิดกอแล้วกลบหน้าดิน

มีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี 0-3455-2035 หรือสถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร 0-2579-3930-1.

เพ็ญพิชญา เตียว

รับลูกประชารัฐ ขนหัตถกรรมอวดโฉมสุวรรณภูมิ กระตุ้นต่อมซื้อนักท่องเที่ยว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/587960

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 8 มี.ค. 2559 21:06

 

SACICT เผยยอดจำหน่ายหัตถกรรมไทยจากจุดจำหน่ายที่สนามบินสุวรรณภูมิ เติบโตต่อเนื่อง 72.4% เร่งเครื่องสร้างความเข้มแข็งชุมชนหัตถกรรม สอดคล้องความต้องการจากตลาดนักท่องเที่ยว ขานรับนโยบายประชารัฐ

ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) (SACICT) เผยยอดจำหน่ายสินค้าหัตถกรรมไทยจากสมาชิกฯ จากจุดจำหน่ายที่สนามบินสุวรรณภุมิ ของปี 58 ยอดโต 79% เปรียบเทียบปี 57 และในเดือนมกราคมปีนี้ (59) ยังเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 72.4% เมื่อเทียบกับมกราคมของปีที่แล้ว แสดงถึงโอกาสทางการค้าและความนิยมงานหัตถกรรม ซึ่งผันตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางมาไทยมากขึ้นด้วย

นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ กล่าวว่า ได้รับรายงานสรุปการจำหน่ายสินค้าหัตถกรรมไทยภายในร้าน SACICT ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ว่าปี 2558 นั้นมียอดขายโตขึ้น 79% โดยเปรียบเทียบจากปี 2557 นอกจากนี้ ในขณะที่เดือนมกราคมปีนี้ (2559) ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 72.4% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมปีที่แล้ว ซึ่งในจุดนี้แสดงให้เห็นถึงความนิยมสินค้างานหัตถกรรม งานฝีมือจากชุมชนหัตถกรรมไทย จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังไทย มีแนวโน้มและโอกาสสูงขึ้น

โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ กลุ่มหัตถกรรมแปรรูปประเภทเครื่องแต่งกาย เช่น ผ้าพันคอผ้าไหม ผ้าฝ้าย กระเป๋าทำมือใบเล็กใหญ่ ส่วนสินค้าที่รองลงมา ได้แก่ หัตถกรรมประเภทของใช้ ของแต่งบ้าน เช่น เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร กรอบรูป ตุ๊กตารูปสัตว์ตั้งโชว์ ปลอกหมอนอิง และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีการจำหน่ายได้ดีไม่แพ้กันคือ ประเภทของที่ระลึก ของฝาก อย่างเช่น พวงกุญแจ ที่ติดตู้เย็น อุปกรณ์เครื่องเขียนน่ารักๆ ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจเลือกซื้องานหัตถกรรมไทยเป็นพิเศษ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อเมริกา เกาหลีใต้ และฝรั่งเศส ตามลำดับ

“SACICT จะเร่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มครูศิลป์–ทายาทหัตถศิลป์ หรือชุมชนหัตถกรรมทุกภูมิภาค นำแนวโน้มงานหัตถกรรม (Trend) จากการวิเคราะห์วิจัยเข้าไปเพิ่มทักษะการผลิตชิ้นงานหัตถกรรมที่คงเอกลักษณ์ไทยให้สอดรับการใช้งาน เหมาะสมกับตลาดเป้าหมาย การอบรมบ่มเพาะสมาชิกของศูนย์ฯ ให้แข็งแรง สร้างชิ้นงานพร้อมเข้าสู่ตลาดการค้าในระดับอาเซียน สอดรับการเปิดประชาคมฯ ผ่านงานโครงการพัฒนาทักษะฝีมือช่างและพัฒนาสมาชิก โดยได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรที่มีความเข้มแข็งด้านนั้นโดยเฉพาะ”

นางอัมพวัน กล่าวอีกว่า ไม่เพียงเป็นความสำเร็จในเรื่องของการเร่งสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับกลุ่มชุมชน ผู้ผลิตงานหัตถกรรมของไทยยังมีรายได้กลับเข้าสู่กลุ่มงาน ครอบครัว ได้มากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการร่วมรณรงค์ให้ลูกหลานไทยเชื่อมั่นในอาชีพงานหัตถกรรม งานฝีมือ อันเป็นพื้นฐานของสายเลือดบรรพชน เลือกประกอบเป็นอาชีพได้อย่างจริงจัง ซึ่งนั่นจะเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า องค์ความรู้เชิงช่าง ภูมิปัญญาพื้นบ้านในงานหัตถกรรมไทยจะยังคงอยู่เป็นมรดกของชาติสืบต่อไป.

ฤดูโรคถั่วเขียว+กาแฟ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/587118

โดย สะ-เล-เต 8 มี.ค. 2559 05:01

 

ปลายหนาวต้นร้อน ช่วงฤดูเปลี่ยนแปลง อากาศแปรปรวน กลางวันร้อน กลางคืนหนาว เอื้อต่อการระบาดของโรคแมลง กรมวิชาการเกษตร เตือนเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียวให้เฝ้าระวังการระบาดของแมลง 2 ชนิด คือ เพลี้ยอ่อน และหนอนเจาะฝักถั่วมารูคา ที่มักเข้าทำลายในระยะถั่วเขียวติดฝัก

เพลี้ยอ่อน ทั้งตัวอ่อน ตัวเต็มวัย ชอบดูดน้ำเลี้ยงจากยอด ใบอ่อน ช่อดอก ฝักอ่อน ทำให้ต้นแคระแกร็น ยอดย่น หงิกงอ ดอกร่วง ฝักอ่อนบิดเบี้ยว เมล็ดลีบ ผลผลิตลดลงกว่า 30%…หากพบให้พ่นสารฆ่าแมลงไตรอะโซฟอส 40% อีซี 40 มล.ต่อน้ำ 20 ล./สารคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี 50 มล.ต่อน้ำ 20 ล./สารแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% อีซี 10 มล. ต่อน้ำ 20 ล. พ่น 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7-10 วัน

หนอนเจาะฝักถั่วมารูคา เป็นหนอนที่ชอบกัดกินดอกเดี่ยวๆ หรือชักใยดึงดอกมาติดกันเป็นกลุ่ม กัดกินภายในกลุ่มดอกจนหมด จากนั้นย้ายเข้าเจาะทำลายฝัก และกัดกินเมล็ดในฝัก…หากพบพ่นด้วยสารฆ่าแมลงไตรอะโซฟอส 40% อีซี 50 มล.ต่อน้ำ 20 ล. หรือสารแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% อีซี 20 มล.ต่อน้ำ 20 ล. หากดอกหรือฝักถูกทำลาย 20% ให้พ่นช่วงต้นถั่วอายุ 42 วัน แต่หากถูกทำลาย 10% ให้พ่นในช่วงต้นถั่วอายุ 49 วันขึ้นไป

กาแฟอาราบิก้าเป็นพืชอีกชนิดที่ฤดูกาลนี้มักพบ 3 โรครุมเร้า

โรคราสนิม พบได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ เริ่มจากใบเป็นจุดเล็กสีเหลือง และค่อยขยายใหญ่ขึ้นเป็นสีส้มคล้ายสีสนิม มักพบผงสปอร์สีส้มบนแผล ใบร่วงหลุดในที่สุด ทำให้ผลผลิตกาแฟลดลง…หากพบให้เก็บกวาดใบที่เป็นโรคเผาทำลายนอกแปลง และควรปลูกพันธุ์ที่ต้านทานโรค อาทิ พันธุ์คาติมอร์ CIFC 7963 ในฤดูปลูกถัดไป พร้อมพ่นสารไตรอะดิมีฟอน 25% ดับเบิลยูพี 12 กรัมต่อน้ำ 20 ล./ สารออกซีคาร์บอกซิน 19% อีซี 12 มล.ต่อน้ำ 20 ล.พ่นในฤดูฝน 3-4 ครั้งต่อปี พ่นครั้งแรกช่วง มิ.ย. ครั้งต่อไปควรห่างกัน 5 สัปดาห์

โรคแอนแทรคโนส พบได้ทั้งใบ กิ่ง ผล เมื่อเกิดโรคส่วนนั้นๆ จะมีจุดสีน้ำตาล แล้วลามไปเรื่อยๆ จนทำลายส่วนที่พบโรค เกษตรกรควรตัดส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก ตัดแต่งกิ่ง ทรงพุ่ม ให้โล่ง โปร่ง แสงแดดลอดผ่านได้ พร้อมกับให้ปุ๋ยบำรุงต้นเพิ่มความแข็งแรง

มอดเจาะผลกาแฟ จะเข้าทำลายช่วงผลดิบจนเสียหาย หากพบให้รีบเก็บผลผลิตให้หมดต้น ถ้ารุนแรงให้ใช้สารไตรอะโซฟอส 40% อีซี 40 มล.ต่อน้ำ 20 ล. หรือสารคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี 80-95 มล.ต่อน้ำ 20 ล.

สะ–เล–เต

“มะนาวแป้นดกพิเศษ” กับที่มาพันธุ์ปลูกคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/587119

โดย นายเกษตร 8 มี.ค. 2559 05:01

 

มะนาวแป้นดกพิเศษ

ปัจจุบัน ผู้ปลูกไม้ผลส่วนใหญ่ ต้องการทราบประวัติความเป็นมาของสายพันธุ์ไม้ผลแต่ละต้น ก่อนตัดสินใจซื้อไปปลูก ซึ่ง “มะนาวแป้นดกพิเศษ” ก็เช่นเดียวกัน เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมระหว่าง มะนาวแป้นพิจิตร 1 ที่มีความทนต่อโรคแมลงหรือโรคแคงเกอร์ได้สูง และมีขนาดของผลใหญ่ ติดผลดกไม่ขาดต้นเกือบตลอดปี เป็นธรรมชาติของสายพันธุ์ กับมะนาวแป้นรำไพ ที่มีน้ำรสเปรี้ยวจัด น้ำมีกลิ่นหอมแรงเฉพาะตัว จากนั้นก็นำ เอาเมล็ดที่ได้จากผลที่เขี่ยเกสรผสมไปเพาะเป็นต้นกล้าจำนวนมากแล้วแยกต้นปลูกจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่า แต่ละต้นจะมีขนาดผลใหญ่กว่าพันธุ์พ่อและพันธุ์แม่อย่างชัดเจน บางต้นติดผลดกมากเป็นพวง 3-5 ผล เปลือกผลบาง ผ่าบีบหรือคั้นน้ำให้น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัด มีเมล็ดน้อย 3-5 เมล็ดต่อผล ที่สำคัญ แต่ละต้นมีความทนทานต่อโรคแมลงหรือโรคแคง– เกอร์ได้ดีมาก ติดผลดกสม่ำเสมอเหมือนกับมะนาวพันธุ์พ่อและพันธุ์แม่ทุกอย่าง ผู้เขี่ยเกสรผสมเคยคัดเอาต้นดีที่สุดไปปลูกเลี้ยงทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่เป็นเวลานานและหลายวิธี ทุกอย่างยังคงที่ เป็นมะนาวกลายพันธุ์ถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นดกพิเศษ” ดังกล่าว

มะนาวแป้นดกพิเศษ เป็นไม้พุ่ม สูง 2-4 เมตร กิ่งก้านมีหนามแหลม โดยเฉพาะกิ่งอ่อน ใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยเพียงใบเดียว ใบเป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนมน ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาวสดใส ดอกมีกลิ่นหอมแบบสะอาดๆ ตามแบบฉบับของดอกมะนาวทั่วไป “ผล” รูปกลมแป้นหรือกลมรีเล็กน้อย ติดผลดกเป็นพวง เปลือกผลบาง ผ่าบีบคั้นเอาน้ำได้ง่ายและให้น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัดมีกลิ่นหอมตามที่กล่าวข้างต้นเหมือนน้ำมะนาวแป้นทั่วไป 1 ผล มีเมล็ด 3-5 เมล็ด ติดผลดกอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

มีต้นแท้ด้วยระบบเสียบยอดขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ โครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร” โทร.08–6605–4945 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

เลี้ยงกล้วยไม้รับแล้ง โมเดลให้น้ำ 3 เด้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/587204

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 มี.ค. 2559 05:01

 

การจัดวางกล้วยไม้ 3 ชั้น เพื่อประหยัดน้ำ.

กล้วยไม้เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศอีกชนิดหนึ่งที่ต้องการใช้น้ำมาก ในภาวะแล้งสุดสาหัสเยี่ยงนี้ จะทำอย่างไรถึงจะประหยัดน้ำได้ ฟาร์มแอร์ออร์คิดส์ซุปเปอร์มาร์เกตกล้วยไม้ อ.บางเลน จ.นครปฐม พบแนวทางจัดการฟาร์มใหม่ ให้น้ำครั้งเดียว แต่ได้ประโยชน์ 3 ชั้น

นายพันธพัฒน์ คุ้มวิเชียร ผจก.แอร์ออร์คิดส์ฯ เผยถึงที่มาของการจัดการฟาร์มกล้วยไม้แบบใหม่นี้ว่า มาจากการนำกล้วยไม้ไปวางขายหน้าร้านซึ่งเป็นพื้นที่เล็กๆ แคบๆ การจัดวางกล้วยไม้ต้องหาวิธีแขวนและวางให้ได้มากที่สุด ระหว่างที่ยังขายไม่ได้ต้องมีการให้น้ำ ปรากฏว่า เมื่อฉีดพ่นกระถางที่อยู่ด้านบน น้ำส่วนเกินหล่นมาโดนกระถางด้านล่างอีก 2 ชั้น เพราะได้จัดวางแขวนกล้วยไม้ขายไว้ 3 ชั้น

การจัดวางกล้วยไม้ชั้นเดียวแบบเดิมๆ.

“จากความบังเอิญที่เพิ่งจะมานึกสังเกตเอาตอนเกิดภัยแล้งพอดี เราเลยได้ความคิดนี้มาคิดจัดการฟาร์มกล้วยไม้ใหม่เป็น 3 ชั้น เพราะกล้วยไม้ที่ปลูกเลี้ยงกัน โดยธรรมชาติจะอยู่ในความสูงที่แตกต่าง 3 ระดับอยู่แล้ว”

ผจก.แอร์ออร์คิดส์ฯ เผยว่า กล้วยไม้ที่ชอบในที่สูงจะเป็นพวกสกุลช้าง, ต้นหนวดฤาษี, เดฟหัวใจ, โฮยา จะนำมาแขวนให้สูงจากพื้นประมาณ 3 ม. ชั้นถัดมาเป็นชั้นวางสูงพืช 1.5 ม. เหมาะวางกล้วยไม้ในกลุ่มตัดดอกอย่างพวกหวาย ส่วนชั้นล่างสุด เหมาะสำหรับไม้กระถางที่ต้องการแสงแดดน้อย เช่น เฟิร์นข้าหลวง, เฟิร์นใบมะขาม, เฟิร์นฮาวาย, อะโกลนีมา เป็นต้น

การจัดฟาร์มอย่างนี้ นายพันธพัฒน์บอกว่า การรดน้ำที่ต้องใช้เวลานาน เพราะต้องรดกันถึง 3 แปลง กลายมาเหลือแค่แปลงเดียว รดครั้งเดียวทุกต้นได้น้ำเหมือนกัน ได้ทั้งลดต้นทุนค่าแรง ค่าไฟฟ้าสูบน้ำได้ และลดการใช้ได้ถึง 30-40%.

“ถั่วแดง” บำรุงหัวใจกระดูก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/586766

โดย นายเกษตร 7 มี.ค. 2559 05:01

 

สูตรดังกล่าว ให้เอา “ถั่วแดง” ที่มีวางขายทั่วไป หนัก 2 ขีด ล้างน้ำให้สะอาด ต้มกับน้ำครึ่งลิตรจนเดือด เนื้อถั่วสุกและเปื่อย ใส่ “โอวทึ้ง” ลงไปเล็กน้อยพอมีรสหวาน หรือหา “โอวทึ้ง” ไม่ได้ใช้น้ำตาลทรายแดงแทนก็ได้ จากนั้นกินทั้งน้ำและเนื้อจนหมด วันละครั้ง ต้มกินต่อเนื่องเรื่อยๆได้ไม่มีอันตรายอะไร จะช่วยบำรุงเลือดทำให้หัวใจแข็งแรง และที่สำคัญหัวใจจะไม่โตอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันโรคหัวใจโตมีคนเป็นกันเยอะ

ถั่วแดง หรือ PHASECOLUS VULGARS L. อยู่ในวงศ์ FABACEAE สรรพคุณทั่วไป ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดสมองปริแตกได้ ช่วยขับพิษในร่างกาย บำรุงลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการบวมน้ำ บรรเทาอาการปวดบวมหรือปวดตามข้อต่อต่างๆ มีแคลเซียมสูง กินประจำบำรุงกระดูกและฟัน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและอื่นๆอีกเยอะ

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” สี่สีทั้งเล่ม พิมพ์จำนวนจำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณฝ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, แห้วหมูแคปซูล ผสมสมุนไพรหลายอย่าง ลดความดันโลหิต, กระเทียมโทนแคปซูล แก้หอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกไหล มีกลิ่นเหม็น, น้ำมันงาบริสุทธิ์ ทาผิวหมักผม, ข่อยขัดรักแร้ดับกลิ่นเต่า รักแร้หายคล้ำ, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้า ช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, โลชั่นบำรุงผิว และอื่นๆ โทร. 0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”