โรคใบด่างมันสำปะหลัง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/586767

โดย สะ-เล-เต 7 มี.ค. 2559 05:01

 

จู่ๆมีเอกสารข่าว พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เตือนภัยให้ระวังโรคใบด่างในมันสำปะหลังจากเชื้อไวรัสมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะ เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเจอในบ้านเรามาก่อน แต่ประเทศเพื่อนบ้านพบการระบาดแล้ว…ทำเอาตื่นเต้นไม่น้อย!!!

แต่หลังจากทวนความกับผู้รู้ถึงที่ไปที่มาของโรคนี้ พบว่าเป็นโรคระบาดในไร่มันสำปะหลังที่รุนแรงจริง ทำให้ผลผลิตเสียหายได้มากถึง 80% และมีการระบาดกันมากในทวีปแอฟริกา ส่วนบ้านเรานั้นยังไม่พบเจอ

แต่ที่ดันกลายเป็นข่าวให้ตื่นเต้น ต้นสายปลายเหตุมาจากการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เมื่อปลายเดือนที่แล้ว มีภาพมันสำปะหลังเป็นโรคใบด่าง เพราะถูกแมลงหวี่ขาวกัดกิน ที่พบใน จ.กาฬสินธุ์ และอุบลราชธานี เมื่อปี 2558 มาโชว์ในที่ประชุม เพื่อขอความร่วมมือนักส่งเสริมการเกษตรที่พบปะชาวบ้านเป็นประจำช่วยเป็นหูเป็นตาระวังโรคนี้ด้วย…เผื่อเกิดขึ้นมาจริงจะได้เตรียมตัวได้ทัน

เนื่องจากโรคแปลกใหม่ที่พบเจอเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่พบแมลงหวี่ขาวมากัดกินใบมันสำปะหลังจนใบด่างหงิกงอ นักวิชาการด้านโรคมันฯเลยกังวลว่า โรคเอเลี่ยนจากแดนไกลจะมาอาละวาดมันสำปะหลังในบ้านเราจึงตั้งทีมศึกษาเป็นการเฉพาะ

แต่เมื่อนำแมลงหวี่ขาวและต้นมันฯใบด่างที่ถูกกัดกินเข้าห้องแล็บ ปรากฏว่าหาได้เป็นโรคดังว่า ไม่ใช่เชื้อไวรัสทำลายหัวมันฯเหมือนอย่างในแอฟริกา…เป็นแต่เพียงแมลงหวี่ขาวพันธุ์บ้านเรานี่แหละ ดูดกัดกินตรงไหน ด่างตรงนั้น กัดกินมากๆ ใบจะหงิกงอ

แค่นั้นไม่พอ การศึกษายังรุกไปถึงประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เพราะมีรายงานข่าว เกิดโรคใบด่างเยอะมาก…ทีมงานวิจัยเข้าไปศึกษาจริงอย่างที่เขาว่า แต่สาเหตุไม่ใช่มาจากแมลงแต่อย่างใด เป็นโรคใบด่างเพราะดินมีธาตุอาหารไม่ครบ มันสำปะหลังขาดธาตุอาหารรอง

แต่กระนั้นทีมงานวิจัยเฝ้าระวังโรคมันฯไม่อาจนิ่งนอนใจ ยังคงเฝ้าจับจ้องมองกันต่อไป เพราะไม่อยากให้โรคอุบัติใหม่จากแมลงเอเลี่ยนต่างถิ่นมาสร้างประวัติศาสตร์ซ้ำรอย “เพลี้ยแป้งสีชมพู” จากแอฟริกา ที่มาทำลายไร่มันสำปะหลังเมื่อหลายปีก่อนเท่านั้นเอง.

สะ–เล–เต

เลี้ยงกุ้งอิงธรรมชาติ เอาชนะ..อีเอ็มเอส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/586868

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 7 มี.ค. 2559 05:01

 

ถังหมักรำ+จุลินทรีย์.

เลี้ยงกุ้งอิงธรรมชาติเป็นอีกวิธีที่เดชา บันลือเดช สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ใช้แก้ปัญหาโรคอีเอ็มเอส (โรคกุ้งตายด่วน) ได้เป็นอย่างดี

“การเลี้ยงกุ้งแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคยทำกันมาแล้วเมื่อ 30 ปีก่อน คือลอกเลียนแบบธรรมชาติ สร้างแพลงก์ตอนสัตว์และสัตว์หน้าดินให้มีเพียงพอ เพราะสิ่งมีชีวิตสองชนิดนี้ จะช่วยคุมน้ำให้มีค่าพีเอชคงที่ กุ้งจะไม่อ่อนแอง่าย ไม่ถูกอีเอ็มเอสเบียดเบียน และมันยังเป็นอาหารของลูกกุ้งไปจนอายุ 1 เดือนครึ่ง”

ส่วนวิธีการปรับปรุงบ่อเลี้ยงเดิมให้มาเป็นบ่ออิงธรรมชาติ ต้องทำอย่างไร เดชา แนะ ก่อนอื่นต้องปรับปรุงโครงสร้างฟาร์มใหม่หมด…จากเดิมที่เคยเลี้ยงกันแบบมีแค่บ่อเลี้ยงกับบ่อพักน้ำ ต้องทำบ่อเลี้ยงให้เล็กลงเหลือราว 2.5 ไร่ ที่เหลือนำมาแบ่งซอยเป็นบ่อบำบัด 3 บ่อ บ่อละ 1 ไร่ทุกบ่อ ให้น้ำลึกประมาณ 1.7 เมตร…บ่อแรกเป็นบ่อเกรอะเลี้ยงปลานวลจันทร์ 2,000 ตัว เพื่อบำบัดของเสียที่มาจากบ่อเลี้ยงกุ้ง…บ่อที่ 2 ข้างกัน เลี้ยงปลานิล 5,000-10,000 ตัว…บ่อที่ 3 ถัดมา เลี้ยงปลาทับทิม 5,000-10,000 ตัว

ส่วนบ่อพักน้ำมีอยู่เท่าไร…ไว้คงเดิม

บ่อเลี้ยง 2.5 ไร่ กลางบ่อขุดหลุมกว้าง 10 เมตร ลึก 3 เมตร เพื่อให้เศษอาหาร ขี้กุ้งไหลลงไปรวมกันในหลุม จากนั้นวางระบบท่อดูดตะกอนในหลุม เพื่อส่งไปบำบัดยังบ่อเกรอะ

ส่วนบ่อเกรอะ กลางบ่อขุดหลุมกว้าง 5 เมตร ลึก 1.5 เมตร แบบเดียวกับบ่อเลี้ยง เพื่อเก็บตะกอนจากบ่อเลี้ยงให้เป็นอาหารปลานวลจันทร์ ข้างบ่อทำร่องน้ำล้นไปบ่อปลานิลที่อยู่ข้างๆ…บ่อปลานิลก็ทำร่องน้ำล้นไปยังบ่อปลาทับทิม…และจากบ่อปลาทับทิมก็มีร่องน้ำล้นให้ไหลเข้าบ่อพักน้ำ…จากนั้นชักน้ำเข้าทุกบ่อ

ขั้นต่อไป ทำสีน้ำให้บ่อเลี้ยง ใช้กากชา 2 ถุง/ไร่ สาดลงบ่อเลี้ยงพร้อมจุลินทรีย์ปรับสภาพพื้นบ่อ 150 กรัม/ไร่ ทิ้งไว้ 4 วัน จากนั้นลงรำละเอียด 100 กก./ไร่…ระหว่างนี้ ให้ทำอาหารสร้างแพลงก์ตอนและสัตว์หน้าดิน

รำละเอียด 200 กก.หมักกับจุลินทรีย์ในถังให้อาหารตลอดเวลา ทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง จากนั้น แบ่งน้ำรำแบ่งออกเป็น 4 ถัง ทยอยนำไปสาดในบ่อเลี้ยงวันละ 1 ถัง

หลังจากนั้น 7-10 วัน เราจะค่อยๆเห็นสัตว์หน้าดินหลายประเภททั้งโรติเฟอร์ หนอนแดง ฯลฯ อยู่ในบ่อเลี้ยง อีก 12-15 วัน ถึงได้เวลาลงลูกกุ้ง 62,500 ตัว ไม่ต้องให้อาหารไปนานเดือนครึ่ง

และระหว่างนี้ให้เติมรำหมักจุลินทรีย์ 5 กก./ไร่ ทุกวัน เพื่อเลี้ยงสัตว์หน้าดิน และควบคุมแพลงก์ตอนพืชไม่ให้มีมากเกินไป รวมถึงควบคุมค่าพีเอชในน้ำให้เสถียร เพราะเป็นตัวการสำคัญที่ก่อโรคอีเอ็มเอส

การเลี้ยงแบบนี้ เดชา บอกว่า นอกจากขจัดโรคอีเอ็มเอสได้ 100% แล้ว ยังนำไปใช้เลี้ยงกุ้งขาวแบบอินทรีย์ได้อีกด้วย ไม่ใช่แต่เกษตรกรไทยเท่านั้นที่สนใจ วิธีการนี้ต่างชาติยังแห่มาศึกษาดูงานไม่ขาดสาย สอบถามได้ที่ 09-4483-9223.

กรวัฒน์ วีนิล

“มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” ดกทั้งปีผู้ปลูกชอบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585415

โดย นายเกษตร 4 มี.ค. 2559 05:01

 

มะนาวชนิดนี้ มีจุดเด่นเป็นพันธุ์ใหม่และเป็นพันธุ์เบา ปลูกแล้วต้นโตเร็ว ติดผลง่าย ผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อโรคแมลงหรือโรคแคงเกอร์ที่ชอบลงเกาะกินต้นมะนาวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จึงทำให้ผู้ปลูกสอบถามกันเยอะว่า จะหาซื้อต้นพันธุ์ไปปลูกได้จากแหล่งไหน เพราะไปซื้อที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ที่เปิดขายเฉพาะไม้ดอกไม้ผลเพียงอย่างเดียวทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แล้วไม่มี ทั้งนี้เนื่องมาจากผู้ขายต้นพันธุ์ไม่มีแผงขายในตลาดดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเร่ขายตามงานไม้ดอกไม้ผลที่จัดขึ้นทั่วไปเท่านั้น จึงตัดสินใจแนะนำและสนองความต้องการของผู้อ่านอีกครั้งคงไม่ว่ากัน

มะนาวแป้นสุขประเสริฐ เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมระหว่างมะนาวแป้นพิจิตร 1 กับมะนาวแป้นแม่ลูกดก จากนั้นก็เอาเมล็ดที่ได้จากผลของการผสมเกสรไปเพาะเป็นต้นกล้าจำนวนหลายต้นแล้วปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าสีของดอกเป็นสีขาวอมม่วงแตกต่างจากสีของดอกมะนาวทั่วไปที่เป็นสีขาวล้วน รูปทรงของผลกลมแป้น เปลือกผลบาง ผ่าบีบคั้นนํ้าให้นํ้าเยอะ รสเปรี้ยวจัดมีกลิ่นหอมแรง ไม่มีเมล็ด ต้นทนต่อโรคแมลงหรือโรคแคงเกอร์สูง ผู้เขี่ยเกสรผสมเชื่อว่าเป็นมะนาวพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” ดังกล่าว กำลังเป็นที่นิยมของผู้ปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

มะนาวแป้นสุขประเสริฐ มีลักษณะทางพฤษกศาสตร์เหมือนกับมะนาวแป้นทั่วไปทุกอย่าง ดอกเป็นสีขาวอมม่วง มีกลิ่นหอม “ผล” กลมแป้น เปลือกผลบาง ไม่มีเมล็ด ให้นํ้าเยอะ รสเปรี้ยวจัด มีกลิ่นหอมแรง เป็นพันธุ์เบาติดผลง่ายดกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการติดตากับตอส้มโอ

ใครต้องการ ต้นพันธุ์แท้ติดต่อ “สวนฑณศา-คุณไก่” 132/2 หมู่ 7 ต.โคกไม้ลาย อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โทร. 09-4956-5323, 08-7753-5849 และที่งานกาชาดหน้าศาลากลาง จ.ราชบุรี วันที่ 4 มี.ค.-13 มี.ค.59 ร้าน “สวนฑณศาพันธุ์ไม้” ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

ทำนาเปียกสลับแห้ง ความหวังใหม่ชาวนาอีสาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/585466

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 มี.ค. 2559 05:01

 

ถึงโคราชจะประสบภัยแล้ง ทางการไม่ให้ทำนาปรัง แต่ชาวนา ต.หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา ยังมีน้ำผ่านการบำบัดจากชุมชนเมืองในเขตเทศบาลเจือจานมาให้พอทำนาปรังได้บ้าง

และเป็นการทำนาครั้งแรก ที่กรมการข้าว โดยศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา ได้นำวิธีการทำนาเปียกสลับแห้งมาให้ชาวนาอีสานได้สัมผัสของจริงด้วยตัวเอง

แม้ทางการจะมุ่งหวังให้ชาวนาประหยัดน้ำเป็นหลัก…แต่สิ่งที่ชาวนาคาดหวัง กลับเป็นเรื่องลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตซะมากกว่า

“ทำมาได้ 2 เดือนแล้ว แม้ข้าวจะเก็บเกี่ยวไม่ได้ ยอมรับว่าช่วยประหยัดน้ำได้จริง เพราะปกติแล้วทำนามาถึงระยะนี้ อย่างน้อยๆต้องสูบน้ำเข้านา 4-5 ครั้ง เพื่อจะขังน้ำให้เต็มนา แต่พอมาทำนาเปียกสลับแห้ง 2 เดือนมานี่ สูบน้ำเข้านาหนเดียวเอง แค่นี้ช่วยประหยัดเงินค่าสูบน้ำได้เกือบพันแล้ว”

นายชม แก้วบุญพะเนา ประธานกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว บ้านท่ากระสัง ต.หัวทะเล เล่าถึงสิ่งที่ได้จากการทำนาเปียกสลับแห้งเป็นครั้งแรก…ไม่เพียงจะประหยัดน้ำ ต้นกล้าที่ปักดำไปแล้วยังเขียวขจี แตกกอใหญ่มากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งที่ยังไม่ได้ใส่ปุ๋ยอะไรเลย

ผิดกับการทำนาแบบเดิม ขังน้ำไว้ตลอดเวลา ใส่ปุ๋ยก็แล้ว ข้าวไม่ค่อยเขียว แตกกอเล็กนิดเดียว ถอนขึ้นมามีรากอุ้มดินเท่าอุ้งมือ แต่พอมาทำนาแบบนี้ ปล่อยให้น้ำแห้ง รากข้าวถูกบังคับให้ขยัน งอกรากใหม่ไปหาน้ำ หาอาหารในดินชั้นลึกลงไป ถอนกอข้าวขึ้น มีรากอุ้มดินเป็นกอบใหญ่ หนักจนถือแทบไม่ไหว…แม้วันนี้ต้นข้าวจะไม่ออกรวงให้เก็บเกี่ยว นายชม มั่นใจผลผลิตที่ได้ไม่น้อยกว่าเดิมแน่

นายประเสริฐ แสงสุข ชาวนาบ้านข่อยงาม ต.หัวทะเล ที่เริ่มหัดทำนาเปียกสลับแห้งในดินที่แย่กว่า เพราะดินเก็บน้ำได้ไม่นาน…ยังคาดหวังไปในแนวทางเดียว ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นแน่ ไม่น้อยกว่าไร่ละ 1,100 กก.

“ปกติทำนาตรงนี้ต้องสูบน้ำเข้านาวันเว้นวัน ต้นทุนทำนา ครึ่งหนึ่งเป็นค่าสูบน้ำเข้านา แต่พอมาทำนาเปียกสลับแห้ง ใช้วิธีเอาท่อไปฝังไว้ในนา เพื่อดูระดับน้ำใต้ดินไม่ให้แห้งเกินไป สูบน้ำเข้ามาได้ 10 วันแล้ว ยังไม่ต้องสูบอีกเลย ข้าวแตกกอดี จากเดิมปักดำไปแล้วจะแตกกอแค่ 4-5 ต้น แต่นี่แตกเป็นสิบเลย”

อีกเหตุผลที่ ประเสริฐ เชื่อว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้น…การปล่อยให้น้ำแห้งดินแตกระแหงแล้วค่อยหว่านปุ๋ย นอกจากจะเดินหว่านปุ๋ยได้สบาย หว่านได้ทั่วถึงเพราะดินแห้ง เม็ดปุ๋ยที่ตกไปในร่องแตกระแหง ทำให้ปุ๋ยลงไปถึงรากต้นข้าวได้ทันที ไม่เหมือนเมื่อก่อนหว่านปุ๋ยต้องมีน้ำ หว่านไปปุ๋ยหายไปกับน้ำหมด

“พอมาทำนาเปียกสลับแห้ง ถึงได้รู้ ที่ผ่านมาเราทำนาแบบผิดๆ เหมือนเลี้ยงลูก ปลูกไปแล้ว เห็นดินแห้ง ใจไม่ดี กลัวข้าวจะตาย เหมือนกลัวลูกจะอด เลยให้น้ำให้ปุ๋ย เลี้ยงบำรุง จนในที่สุดต้นข้าวขี้เกียจ ลูกขี้เกียจ ทำมาหากินช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราเลยลำบาก แต่ถ้าเลี้ยงให้ถูก ให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองได้ เราก็ไม่ลำบาก” เป็นข้อคิดที่ ประเสริฐ รำพึงให้ฟัง.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

หอยหวาน…งวงบวม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584873

โดย สะ-เล-เต 3 มี.ค. 2559 05:01

 

ทั้งๆที่หอยใกล้ขายได้เงินเข้ากระเป๋า แต่แล้วจู่ๆหอยหวานที่เลี้ยงมีอาการป่วย กินอาหารได้น้อยลง ไม่ยอมกินซากปลาข้างเหลืองที่วางไว้ก้นบ่อ…กินอาหารเสร็จไม่ยอมมุดลงทรายในบ่อ และไม่ยอมเก็บงวงเข้าไปเก็บไว้ในเปลือก

เป็นปัญหาที่ ปทิตตา บุญพันธุ์ เจ้าของศูนย์เรียนรู้ฟาร์มหอยหวานซันเซท ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ต้องหาสาเหตุกันอยู่นาน กระทั่งได้รู้ว่าหอยหวานเป็นโรคงวงบวม

สาเหตุเกิดจากให้อาหารมากเกิน หอยกินไม่หมด ส่งผลให้น้ำในบ่อไม่สะอาด เป็นที่เพาะพันธุ์ของเชื้อโรค หอยเลยติดโรคจากบ่อหนึ่งไปสู่อีกบ่อ แต่ละวันหอยตายจำนวนมากขึ้น เสียหายเกือบล้านบาท

ต้องขวนขวายหาความรู้มาแก้ปัญหา ไปขอคำปรึกษากับประมงจังหวัด คำตอบที่ได้ไม่แน่ชัด เนื่องจากมีงานวิจัยในเรื่องนี้ไม่มากนัก เลยต้องค้นคว้าหาข้อมูลในโลกไซเบอร์ รู้อะไรมา ทดลองทำตามอยู่นาน

ในที่สุด ปทิตตา พบทางออกในการแก้ปัญหาด้วยการใช้น้ำหมักชีวภาพ แบบเดียวกับการแก้ปัญหาเลี้ยงปลากะพง ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบเนื่องจากน้ำในบ่อเลี้ยงไม่สะอาดนั่นเอง

ด้วยการใช้กล้วยสุก 20 กก., เปลือกสับปะรด 20 กก., ลูกยอ 20 กก., ฟ้าทะลายโจร 20 กก., กากน้ำตาล 20 ลิตร, น้ำเปล่า 180 ลิตร, ผงหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม.1 (จุลินทรีย์ประสิทธิภาพสูงสำหรับบำบัดสารอินทรีย์ที่ตกค้างสะสมในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ) 1 ซองขนาด 100 กรัม…นำทั้งหมดมาหมักใส่ถังปิดฝาให้มิดชิดทิ้งไว้ 1 เดือน

การใช้งานให้นำน้ำที่หมักเสร็จแล้ว 1 ส่วน ผสมกับน้ำสะอาด 10 ส่วน ไปราดในบ่อเลี้ยงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง…น้ำหมักผสมน้ำแล้ว 1 ลิตร ต่อปริมาณน้ำที่ใช้เลี้ยงหอย 4,800 ลิตร

หรือน้ำหมักผสมเสร็จแล้วใส่ขวดขนาด 1.5 ลิตร สามารถนำไปใช้กับบ่อเลี้ยงหอยขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร ก้นบ่อใส่ทรายสูง 2 นิ้ว และใส่น้ำลึก 60 ซม. จะสามารถนำไปใช้รักษาอาการโรคงวงบวมให้กับหอยหวานได้ 2 บ่อ

เกษตรกรสนใจจะนำวิธีการนี้ไปใช้กับการเลี้ยงหอยหวาน หรือสัตว์น้ำอย่างอื่น สอบถาม ปทิตตา ได้ที่ 08-6906-6907.

สะ–เล–เต

“ตำลึงตัวผู้” หัวสดดียอดกินท้องเสีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584874

โดย นายเกษตร 3 มี.ค. 2559 05:01

 

ตำลึงตัวผู้ เป็นไม้ที่พบขึ้นแพร่หลายตามที่ราบบนดอยสูงทางภาคเหนือของประเทศไทย ชาวเขาและคนในท้องถิ่นรู้จัก “ตำลึงตัวผู้” เป็นอย่างดี เนื่องจากหัวสดมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรชั้นดี โดยให้เอาไปฝานเป็นแว่นบางๆ หรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตำจนละเอียดแล้วใช้เนื้อไปปิดบริเวณแผลสดและบริเวณที่เกิดอาการปวดจากการฟกบวม ทำให้แผลสดแห้งหายได้เร็วขึ้น และอาการปวดเพราะฟกบวมจะยุบหายได้ ซึ่งในยุคนั้นนิยมกันอย่างกว้างขวาง เพราะได้ผลดีระดับหนึ่ง ส่วนใบ หรือยอดอ่อนของ “ตำลึงตัวผู้” สามารถกินเป็นอาหารได้เหมือนกับตำลึงตัวเมียที่มีวางขายทั่วไปตามตลาดสดทุกอย่าง แต่ไม่นิยมรับประทาน เนื่องจากใบและยอดอ่อนของ “ตำลึงตัวผู้” กินแล้วจะทำให้เกิดอาการท้องระบายอย่างรุนแรงหรือท้องเสียนั่นเอง เลยทำให้ “ตำลึงตัวผู้” ในปัจจุบันนิยมปลูกเป็นไม้ประดับประเภทโชว์ความสวยงามของหัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ปลูกไม้แคระหรือบอนไซจะชื่นชอบมาก

ตำลึงตัวผู้ หรือ SOLENA AMPLEXICAULIS (LAM.) GANDHI. อยู่ในวงศ์ CUCURBITACEAE เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง มีหัวหรือเหง้าขนาดใหญ่ใต้ดิน ตามภาพประกอบคอลัมน์ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรูปค่อนข้างกลมเป็น 5 เหลี่ยม หรือเว้าลึกเป็น 3-5 แฉก โคนเว้าเป็นรูปหัวใจเหมือนกับใบของตำลึงตัวเมีย มีมือเกาะออกตามข้อเช่นกัน ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ 2-3 ดอก ตามซอกใบ ลักษณะดอกเป็นดอกแยกเพศ โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ สีขาวสดใส “ผล” รูปทรงกลมยาวหรือรูปทรงกระบอก ผลอ่อนสีเขียว เมื่อผลสุกเป็นสีแดงหรือแดงอมม่วง ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 24 แผง “คุณหล้า-คุณโอม” ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

หม่อนไหมเติมรายได้ผู้สูงวัย หนุนปลูกหม่อนเป็นอาหารสัตว์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584946

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 3 มี.ค. 2559 05:01

 

นับวันสังคมไทยประชากรผู้สูงอายุมีมากขึ้น ประชากรวัยแรงงานลดน้อยลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการใช้แรงงานภาคเกษตรต่ำ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ ในช่วงฤดูแล้ง กรมหม่อนไหมสนับสนุนเกษตรสูงวัยตั้งแต่ 55 ปี ปลูกหม่อนเสริมรายได้

นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม เผยว่า ด้วยทุกปีช่วงฤดูแล้งพื้นที่อื่นๆมักจะมีปัญหาขาดแคลนใบหม่อนนำไปเลี้ยงหนอนไหม แต่บ้านคึมมะอุ ต.หนองหว้า อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา ไม่มีปัญหาดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ชาวบ้านได้รวมตัวเรียกร้องขอทางราชการให้ขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ ควบคู่กับการเจาะบ่อบาดาล เพื่อให้มีน้ำเพียงพอ และเกิดการรวมตัวปลูกหม่อนแปลงใหญ่ ทำให้ทุกปีช่วงแล้ง ที่นี่จึงมีใบหม่อนคุณภาพสำหรับไว้เลี้ยงหนอนไหมในครัวเรือน ยังมีเหลือเก็บส่งขายให้กลุ่มผู้เลี้ยงหนอนไหมพื้นที่จังหวัดใกล้เคียงขายราคา 12 บาทต่อ กก. พื้นที่ 1 ไร่ ชาวบ้านจะมีรายได้ จากการเก็บใบหม่อนขายครัวเรือนละ 5,000-7,000 บาทต่อเดือน

“และเพื่อพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับผู้สูงอายุ อายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ด้อยโอกาสและผู้พิการให้มีความสุขในการทำอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทางกรมหม่อนไหมยังได้ส่งเสริมให้ใช้เครื่องทุ่นแรง ส่งเสริมให้นำใบหม่อนมาทำอาหารเพื่อสุขภาพ และบริโภคดักแด้ที่มีโปรตีนและมีสารอาหารที่มีคุณค่าสูงต่อร่างกาย”

ส่วนฤดูฝนเป็นช่วงที่ใบหม่อนออกมากเกินความต้องการใช้เลี้ยงหนอนไหม อธิบดีกรมหม่อนไหมกล่าวว่า จากข้อมูลทางโภชนาการ ใบหม่อนมีโปรตีน 22.60 เปอร์เซ็นต์, คาร์โบไฮเดรต 42.25 เปอร์เซ็นต์ และไขมัน 4.57 เปอร์เซ็นต์ นอกจากเหมาะสมต่อการนำมาเลี้ยงหนอนไหมให้เจริญเติบโตสร้างเส้นไหมที่ได้คุณภาพ คุณสมบัติดังกล่าวยังสามารถนำไปใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นได้ด้วย เช่น ปลานิล ปลาดุก ซึ่งเป็นปลากินพืช และเลี้ยงหมู แพะ และไก่ จะช่วยให้สัตว์โตไว มีอัตราแลกเนื้อสูง ซึ่งขณะนี้กรมหม่อนไหมได้ร่วมกับกรมประมง กรมปศุสัตว์ ศึกษาทดลองใช้ใบหม่อนเลี้ยงสัตว์ คาดว่าในอนาคต นอกจากจะเป็นการเพิ่มช่องสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรผู้ปลูกใบหม่อนให้มีความมั่นคงในอาชีพ ยังสามารถช่วยลดทุนการผลิตให้กับเกษตรกรผู้ทำอาชีพเลี้ยงปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ด้วย.

ส้มโอ…ระวัง 4 แมลงตัวร้าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584383

โดย สะ-เล-เต 2 มี.ค. 2559 05:01

 

อากาศเย็นแห้งแล้ง ส้มโอไม่ต่างจากพืชชนิดอื่น มักแพ้อากาศเช่นนี้ และเมื่อต้นอ่อนแอ แมลงจะกลายเป็นภัยคุกคาม พร้อมนำความสูญเสียส่งตรงถึงมือเกษตรกรได้ทุกเมื่อ

แต่ใช่ว่าภัยคุกคามนี้จะสามารถเล่นงานเกษตรกรได้ตลอด กรมวิชาการเกษตรชี้ทางสว่างเตือนเกษตรกรชาวสวนส้มโอ เฝ้าระวังการระบาดของแมลงศัตรูพืช ช่วงส้มโอแตกใบอ่อนและออกดอกอยู่ในขณะนี้

หมั่นสังเกต หนอนชอนใบ มักพบหนอนชอนเข้าไปทำลายกัดกินระหว่างชั้นผิวใบอ่อน ทำให้เกิดรอยโพรงสีขาว ทำให้ส้มโอสังเคราะห์แสงได้น้อยลง เอื้อต่อโรคแคงเกอร์เข้าทำลายซ้ำได้

หากพบให้รีบตัดใบอ่อนที่ถูกทำลายมาเผาไฟทิ้ง พ่นด้วยสารปิโตรเลียมสเปรย์ออยล์ 83.9% อีซี 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร/สารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร/สารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล 8 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร/สารไทอะมีโทแซม 25% ดับเบิลยูจี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

แมลงค่อมทอง ศัตรูตัวฉกาจอีกชนิด มักเข้ากัดกินใบอ่อน ยอดอ่อน จนเหลือแต่ก้านใบ หากพบให้เขย่าต้นหรือกิ่ง เก็บตัวแมลงไปทำลายทิ้ง ป้องกันกำจัดโดยพ่นสารคาร์บาริล 85% ดับเบิลยูพี 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

อีกตัวที่ต้องระวังคือ เพลี้ยไฟ มักชอบดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน ดอก ผลอ่อน จนใบหงิกงอ ดอกแห้งไม่ติดผล ต้นเกิดรอยแผลเป็นสีเทาเงิน แคระแกร็น บิดเบี้ยว เกษตรกรควรหมั่นสำรวจยอดและผลอ่อน ตัดแต่งส่วนที่ถูกทำลายรุนแรงทิ้ง

แต่หากพบผลส้มโอเสียหายเกิน 10% หรือยอดเสียหายมากกว่า50% ให้พ่นสารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร/สารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร/สารอะเซททามิพริด 20% เอสพี 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

เพลี้ยไฟว่าร้ายแล้ว เพลี้ยไก่แจ้ส้ม ร้ายกว่า มักพบมากในช่วงเดือน ม.ค.ถึง เม.ย. ทั้งตัวอ่อน ตัวเต็มวัยชอบดูดกินน้ำเลี้ยงยอดอ่อน ยอดจะหงิกงอ แห้งตายในที่สุด แถมยังเป็นพาหะโรคกรีนนิ่ง นำเชื้อแบคทีเรียทำให้ต้นโทรม ผลผลิตน้อย ยืนต้นตาย ให้เกษตรกรหมั่นสำรวจส้มโอในระยะแตกตาและยอดอ่อน หากพบเข้าทำลายรุนแรง ให้พ่นด้วยสารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี 1 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร/สารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล 8 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร/สารแลมบ์ดาไซฮาโลทริน 2.5% อีซี 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร.
สะ–เล–เต

“แซนด์ดอลล่าร์แคคตัส” ดอกสวยทนแดดน้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584389

โดย นายเกษตร 2 มี.ค. 2559 05:01

 

ในประเทศไทย รู้จักกระบองเพชรชนิดนี้ในชื่อ SAND DOLLAR CACTUS และมักจะเรียกกันสั้นๆว่า “แซนด์” เฉยๆ ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานแล้ว ซึ่งในตอนแรกที่นำเข้าใหม่ๆ ราคาจะแพงมาก ปัจจุบันราคาตํ่าลงตามกาลเวลาและทราบว่ามีการพัฒนา “แซนด์” ให้มีรูปทรงของต้นและสีสันของต้นสวยงามขึ้นหลากหลายรูปแบบจนทำให้ “แซนด์” ครองใจผู้ปลูกกระบองเพชรเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

แซนด์ดอลล่าร์แคคตัส หรือ ASTERIAS ASTROPHYTUM ชื่อสามัญ SAND DOLLAR CACTUS, SILVER CACTUS, SEAUREHIN อยู่ในวงศ์ NOTOCACTEAE หรือ “ทรายดอลล่าร์กระบองเพชร” และ “เม่นทะเลกระบองเพชร” มีถิ่นกำเนิดจากรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา และบางพื้นที่ของประเทศเม็กซิโก ขึ้นเป็นต้นเดี่ยว รูปทรงต้นกลมแป้น เส้นผ่าศูนย์กลางต้นโตเต็มที่ประมาณ 20 ซม. ลำต้นเป็นสัน 5-12 สัน ผิวต้นเกลี้ยงมีเกล็ดสีขาวกระจายทั่ว ตุ่มหนามเรียงตัวอยู่บนสันอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีหนาม มีขนสั้นสีขาวหรือสีนํ้าตาลเทา ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ บริเวณยอดของต้น เป็นรูปกรวยหรือรูปแตร กลีบดอกเป็นสีเหลืองสด โคนกลีบดอกเป็นสีแดงอมส้มหรือสีแดงเข้ม เวลามีดอกบานพร้อมกันหลายๆดอกจะดูสวยงามมาก “ผล” รูปทรงกลม ผิวเรียบ เมื่อผลแก่หรือสุกเป็นสีแดงปนเทา ภายในมีหลายเมล็ด ดอกออกเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง “คุณตะวัน” ตรงกันข้ามระหว่างโครงการ 13-15 โทร.08-5682-4645 ราคาสอบถามกันเอง การปลูก “แซนด์ดอลล่าร์แคคตัส” เป็นกระบอง เพชรสายพันธุ์ที่มีความทนทานต่อแสงแดดได้น้อยมาก ดังนั้นจึงต้องพรางแสงแดดให้ รดนํ้าเล็กน้อย 7-10 วันครั้ง บำรุงปุ๋ยละลายช้าทุก 3 เดือน หลังปลูก 1 ปี จะมีดอกได้เรื่อยๆแบบไม่ขาดต้นดูงดงามมากครับ.

“นายเกษตร”

วิสาหกิจชุมชนสนามจันทร์ คิดใหม่ไม่เหมือนใคร…กำไรฉลุย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584420

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 2 มี.ค. 2559 05:01

 

เจอะเจอซองขนมขบเคี้ยว เห็ด 3 อย่างอบกรอบ เห็ดนางนวลสีชมพู เห็ดนางฟ้าภูฏาน เห็ดนางรม ปะยี่ห้อ “ดี๊ดี” หน้าตาซองแพ็กเกจจิ้ง ออกแบบดูดีสมชื่อยี่ห้อ ฉีกซองออกกิน รสชาติลืมไม่ลง…เลยมโนไปเอง คงเป็นผลงานของบริษัทผลิตรายใหญ่เป็นแน่แท้

ที่ไหนได้รายละเอียดหลังซอง…ผลิตโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสนามจันทร์ จ.นครปฐม

เกิดจากการรวมกลุ่มของเกษตรกร 5 คน เบื่อในอาชีพเพาะเห็ดส่งขายตามตลาด จะได้ราคาดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับพ่อค้าเป็นผู้กำหนด คนเพาะเห็ดไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิต ไม่สามารถวางแผนรายได้ที่แน่นอนให้ตัวเองได้ จึงคิดนำผลผลิตการเกษตรมาแปรรูป…แต่ทำคนเดียวทุนไม่มากพอ จึงชวนกันมารวมกลุ่มลงขัน

“แรกๆคิดการใหญ่ทำแบบนายทุน รับซื้อวัตถุดิบมาแปรรูป ทำชาเขียวใบหม่อน แต่สายป่านไม่ยาวพอ สู้แบรนด์ใหญ่ไม่ได้ จึงเปลี่ยนใหม่มาแปรรูปผักผลไม้ ที่หาได้ในท้องถิ่น เพื่อลดต้นทุน และแปรรูปสินค้าที่ไม่มีเจ้าอื่นทำกัน เริ่มจากกระเจี๊ยบเขียวอบแห้ง บร็อกโคลี่อบกรอบ สับปะรดกรอบ และเห็ด 3 อย่างอบแห้ง ผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่กำลังติดตลาด โดยกลุ่มของเราเพาะขึ้นมาเอง”

สะอาด จึงสมานญาติ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสนามจันทร์ เล่าถึงความสำเร็จในการรวมกลุ่ม เมื่อปี 2546 จากเงินลงขัน 1 ล้านบาท ก่อร่างสร้างตัวจนวันนี้มีสมาชิกกว่า 60 ชีวิต มีแบรนด์ของตัวเองที่ได้มาตรฐานสากล…เริ่มจากค้าขายในท้องถิ่น ขยายไปต่างถิ่น สู่การส่งออก มีสินค้าแปรรูปกว่า 10 ชนิด จนขึ้นชั้นสู่การรับจ้างผลิตให้เจ้าอื่นเอาไปปะยี่ห้อกันเอง ทำให้ปัจจุบันมีเงินหมุนเวียนเดือนละไม่ต่ำกว่า 4-5 แสน

ช่วยให้สมาชิก แม่บ้าน ลูกหลาน มีอาชีพรายได้มั่นคง สามารถวางแผนชะตาชีวิตของตัวเองได้ ไม่มีพ่อค้าคนกลางมากำหนดกฎเกณฑ์เหมือนแต่ก่อน…ที่สำคัญสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากน้ำพัก น้ำแรง มันสมอง สองมือของสมาชิกที่ร่วมแรงกันทำ ตั้งแต่การผลิต การตลาด เงินทุน แม้กระทั่งเครื่องอบแห้งสุญญากาศก็ยังคิดทำเอง

อะไรคือหัวใจหลักที่ทำให้วิสาหกิจชุมชนเล็กๆแห่งนี้ ประสบความสำเร็จได้อย่างอัศจรรย์

“สิ่งที่ทำให้สินค้าของเราสามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดการแข่งกันได้ ก่อนอื่น เราต้องรู้ตัวเอง เลือกธุรกิจที่เหมาะกับกลุ่ม ไม่แข่งกับเจ้าใหญ่ ต้องหาสินค้าแปลกใหม่ที่ตลาดยังไม่มี รู้จักนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย และขาดไม่ได้คือ การร่วมแรงร่วมใจ เอาจริงเอาจังของแกนนำและสมาชิก ภายใต้ผลประโยชน์ร่วมกัน ทำงานแบบเอกชน แบ่งหน้าที่ชัดเจนตามความถนัด ทั้งกลุ่มเกษตรกรผลิตวัตถุดิบ แปรรูป การตลาด”

สะอาด เน้นย้ำการตลาดสำคัญมาก ต้องใช้ทั้งทุนและเวลา ถ้ามีโอกาสต้องออกงานให้บ่อย ดูเทรนด์สินค้า ความเหมาะสม ไม่ทำอะไรที่เกินตัว เมื่อมีสินค้าต้องหาตัวแทนขาย หาพันธมิตร มีแพ็กเกจจิ้งสวยงาม ดึงดูดใจลูกค้า เข้าถึงสื่อโซเชียล มีเว็บไซต์ของตัวเอง ที่สำคัญต้องมีความสามัคคีในองค์กร และห้ามท้อโดยเด็ดขาด.

กรวัฒน์ วีนิล