ชาวสวนทุเรียน รุมต้านเหมืองแร่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584077

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 1 มี.ค. 2559 08:01

 

บรรดาชาวสวนทุเรียนมาเลเซีย ในรัฐกวนตัน ได้เตรียมการชุมนุมเรียกร้องให้มีการควบคุมการทำเหมือง เพราะทำลายที่ดินที่ใช้ในการเพาะปลูกและทำให้น้ำในดินเน่าเสีย เป็นเหตุให้ต้นทุเรียนพากันเสียหาย

พวกเขาได้นัดหมายที่จะเดินขบวนจากรัฐไปยังสภาผู้แทนราษฎร ที่อยู่ไกลกันมากถึง 250 กิโลเมตร ภายในเวลา 2 อาทิตย์ ประท้วงการทำเหมืองแร่อะลูมิเนียม

ที่ดินในรัฐนี้หลายแห่งได้ถูกแปลงให้เป็นเหมืองขุดแร่ เพื่อส่งแร่ซึ่งมีอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญไปขายให้กับจีน พวกชาวสวนทุเรียนที่มีกลิ่นฉุนแรงได้กล่าวหาการทำเหมืองว่า ทำให้เสียเนื้อที่เพาะปลูกและทำให้แหล่งน้ำแถบใกล้เมืองกวนตัน เมืองหลวงของรัฐได้รับความเสียหาย.

ชูสหกรณ์แก้ปัญหาไร้ที่ทำกิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583908

โดย สะ-เล-เต 1 มี.ค. 2559 05:01

 

ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายจัดที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้ที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย โดยภาครัฐให้การสนับสนุนจัดหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้เกษตรกรผู้ยากไร้ พร้อมระบบสาธารณูปโภค ส่งเสริมการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ เพื่อสร้างความสมดุล โดยยกเว้นค่าเช่าที่ดินให้กับสหกรณ์ 3 ปี และจะเริ่มนำร่องที่สหกรณ์ปฏิรูปที่ดินระบำ อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี

สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะเป็นผู้จัดหาพื้นที่ 3,200 ไร่ กรมชลประทานทำการส่งน้ำผ่านระบบท่อจากเขื่อนทับเสลามาเพื่อใช้ในพื้นที่ กรมพัฒนาที่ดินขุดบ่อสำหรับเก็บน้ำใช้ในพื้นที่หน้าแล้ง โดยมีกรมส่ง เสริมสหกรณ์เข้ามาทำหน้าที่ในการจัดทำแผน การส่งเสริมอาชีพและการตลาด

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ยืนยันการทำงานทุกอย่างจะแล้วเสร็จ พ.ค.นี้ จากนั้นอีก 1-2 ปี เกษตรกรจะสามารถอยู่ดีกินดี และทำอาชีพเกษตรแบบพอเพียง ไม่เป็นหนี้เป็นสิน

“เพราะเราได้วางแผนส่งเสริมอาชีพไว้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นให้ปลูกหญ้าเนเปียร์ด้วยระบบน้ำหยด เพื่อเป็นอาหารโคป้อนสหกรณ์นิคมลานสัก ที่มีการส่งเสริมให้สมาชิกเลี้ยงโคเนื้อด้วย จากการคำนวณต้นทุนการปลูกอยู่ที่ไร่ละ 6,000 บาท แต่จะช่วยให้มีรายได้ไร่ละ 64,000 บาท แค่สมาชิกแบ่งพื้นที่จัดสรรมาปลูกแค่ 2 ไร่ จะมีรายได้ทันทีปีละ 120,000 บาท และหากสมาชิกสนใจปลูกถั่วแระญี่ปุ่น ซึ่งตลาดมีความต้องการมาก ทางสหกรณ์นิคมลานสัก จำกัด จะเข้ามาส่งเสริมและส่งขายให้สหกรณ์นิคมลานสักด้วย เพื่อให้สหกรณ์เล็กๆ สามารถยืนอยู่ได้ เป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตามหลักการสหกรณ์”

นอกจากนั้น ยังมีการประสานงานกับภาคเอกชนให้เข้ามาศึกษาพื้นที่เพื่อส่งเสริมสมาชิกปลูกกล้วยหอม เพื่อสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้กับสมาชิกของสหกรณ์ปฏิรูปที่ดินระบำด้วย ซึ่งขณะนี้มีเอกชนรายใหญ่หลายรายสนใจจะใช้พื้นที่ปลูกกล้วยหอมแล้ว

และหากการดำเนินงานของสหกรณ์ปฏิรูปที่ดินระบำประสบความสำเร็จตามที่ได้วางแผนไว้ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะนำมาเป็นโมเดลต้นแบบ เพิ่มสหกรณ์ปฏิรูปที่ดินอีก 3 แห่ง ในกาฬสินธุ์, ชุมพร และนครราชสีมา.
สะ–เล–เต

“มะม่วงอกร่องทอง” ราคาดีดกหวานหอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583909

โดย นายเกษตร 1 มี.ค. 2559 05:01

 

มะม่วงอกร่องทอง แตกต่างกับมะม่วงอกร่องเขียวคือ ผลสุกของ “มะม่วงอกร่องทอง” จะเป็นสีเหลืองตลอดทั้งผลสวยงามน่าชมมาก รสชาติหวานหอมเหมือนกับมะม่วงอกร่องเขียวทุกอย่าง จึงเป็นที่มาของชื่อว่า “มะม่วงอกร่องทอง” ดังกล่าว ส่วนสีของผลสุกมะม่วงอกร่องเขียวจะเป็นสีเขียวปนสีเหลืองเล็กน้อย ขนาดของผล “มะม่วงอกร่องทอง” จะใหญ่กว่าผลของมะม่วงอกร่องเขียวอย่างชัดเจน เนื้อสุกมีเสี้ยนน้อยกว่า เนื้อเหนียวไม่เละแม้สุกงอม รสชาติหวานหอมเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อสุกมะม่วงอกร่องเช่นเดียวกันทุกอย่าง

มะม่วงอกร่องทอง เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่รอบกิ่งก้านบริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนานถึงรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนมน ขนาดของใบจะเรียวเล็กกว่าใบมะม่วงสายพันธุ์อื่น ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกเป็นสีขาวนวล มีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรีเหมือนกับผลของมะม่วงอกร่องทั่วไปทุกอย่าง แต่ขนาดของผลจะใหญ่กว่าผลของมะม่วงอกร่องเขียวอย่างชัดเจนตามที่กล่าวข้างต้น ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกจะเป็นสีเหลืองตลอดทั้งผล แตกต่างจากสีของมะม่วงอกร่องเขียวที่จะเป็นสีเขียวปนเหลืองเล็กน้อย เนื้อสุกเป็นสีเหลือง เหนียวไม่เละแม้สุกงอม มีเสี้ยนน้อยกว่ามะม่วงอกร่องเขียว เมล็ดลีบบาง รสชาติหวานหอมรับประทานกับข้าวเหนียวมูนอร่อยมาก ติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนหรือปลูกจำนวนหลายๆต้นเพื่อเก็บผลขายได้กิโลกรัมหลายบาทคุ้มค่ามาก

ปัจจุบัน “มะม่วงอกร่องทอง” มีกิ่งตอนรุ่นใหม่วางขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ เป็นต้นแท้บริเวณโครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร” ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

มก.โชว์พันธุ์ถั่วเขียว มีรายได้มากกว่าทำนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583943

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 1 มี.ค. 2559 05:01

 

วิกฤติภัยแล้ง ไม่มีน้ำพอให้ทำนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ยืนยัน ปลูกถั่วเขียวหลังนา นอกจากจะใช้น้ำน้อยยังสร้างรายได้สูงกว่าทำนา

นายเพิ่ม สุรักษา ผอ.สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) วิทยาเขตกำแพงแสน บอกถึงการส่งเสริมให้ชาวนามาปลูกถั่วเขียวหลังทำนาในวิกฤติน้ำแล้ง เพราะสามารถเจริญเติบโตได้ดีทั้งในสภาพอากาศที่ร้อนแห้งแล้ง และทาง มก.ได้ทำวิจัยพบว่าการปลูกถั่วเขียวที่ประสบความสำเร็จจะช่วยให้รายได้ดีกว่าทำนา จะต้องเริ่มหลังจากเกี่ยวข้าวแล้ว พักนาไว้ 7 วัน จากนั้นไถกลบตอซัง 2 ครั้ง ปั่นดินให้ละเอียด

หว่านเมล็ดถั่วเขียว ในอัตรา 5-8 กก.ต่อไร่ ก่อนจะคราดกลบเมล็ด รดน้ำเพียงครั้งแรกครั้งเดียวให้ดินชุ่มเท่านั้นเอง จากนั้นปล่อยถั่วเขียวงอก
ขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องใส่ปุ๋ยใส่ยา แค่ดูว่าดินแห้งแค่ไหน ถ้าแห้งมากให้รดน้ำเดือนละครั้ง ฤดูหนึ่งรดน้ำแค่ 2 ครั้ง เพราะเป็นพืชอายุสั้นแค่
60 วัน เก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ถั่วเขียวใช้น้ำน้อยกว่าข้าว 70% ให้ผลผลิตเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 150 กก.ต่อไร่ ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ กก.ละ 40 บาท ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ประมาณ 6,000 บาท หักต้นทุน 1,500 บาท จะเหลือกำไรไร่ละ 4,500 บาท โดยใช้เวลาปลูก 60 วัน

ในขณะที่การปลูกข้าวใช้เวลา 120 วัน ภาคกลางได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 700 กก. ขายได้ กก.ละ 7 บาท ต้นทุนอยู่ที่ไร่ละ 2,700 บาท (นาหว่าน) สรุปแล้วเหลือกำไรไร่ละ 2,200 บาท

ปลูกถั่วเขียวได้กำไรมากกกว่าเท่าตัว ใช้เวลาน้อยเท่าตัว

ศ.ดร.พีระศักดิ์ ศรีนิเวศน์ ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตรกำแพงแสน แนะนำถึงสายพันธุ์ถั่วเขียวที่ควรปลูกว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์กำแพงแสน 1 ปลูก 60-65 วัน ผลผลิต 208 กก.ต่อไร่ ต้านทานโรคใบจุดสีน้ำตาล มีเมล็ดขนาดใหญ่ เป็นพันธุ์ที่เหมาะจะนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการแปรรูปแป้ง วุ้นเส้น ไส้ขนม ส่วนอีกพันธุ์ กำแพงแสน 2 ใช้เวลาปลูก 60 วัน ให้ผลผลิต 193 กก.ต่อไร่ เมล็ดมีขนาดเล็ก เหมาะสำหรับใช้นำไปทำเป็นถั่วงอกจำหน่ายได้ดี เพราะมีขนาดเล็กรสชาติอร่อย

ถั่วเขียวหลังนาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับชาวนาไทยที่เปิดใจยอมรับและกล้าปรับเปลี่ยน เพราะไม่ใช่พืชชนิดใหม่ของบ้านเรา เพียงแต่ชาวนาอาจจะไม่รู้สึกคุ้นเคยเพราะไม่ได้ปลูกกันมานานแล้ว ฉะนั้นจำเป็นต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจวิธีการผลิตที่ถูกต้อง เกษตรกรสนใจในเทคนิควิธีการผลิตถั่วเขียว ติดต่อได้ที่ 0-3428-1652.

โขง-เลย-ชี-มูล…กระดื๊บๆ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583496

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 ก.พ. 2559 05:01

 

โครงการผันน้ำโขงจากปากแม่น้ำเลย อ.เชียงคาน จ.เลย ผ่านอุโมงค์ส่งน้ำให้ไหลไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก (ไม่เสียค่าสูบน้ำ) เพื่อลดความแห้งแล้งให้แผ่นดินอีสานคืบหน้าไปอีกขั้น

สัปดาห์ที่ผ่านมา กรมชลประทานเชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศด้านอุโมงค์ส่งน้ำ ให้มาช่วยกันระดมสมองเรื่อง “การออกแบบอุโมงค์ส่งน้ำที่มีความยาวมาก” เพราะบ้านเรายังไม่เคยมีการทำอุโมงค์ส่งน้ำที่มีความยาวมากขนาดนี้มาก่อน

ที่ทำๆกันมา อุโมงค์ส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยไผ่ไปยังอ่างฯลำพะยังตอนบน ยาวแค่ 760 ม. อุโมงค์ส่งน้ำจากอ่างฯแม่งัดสมบูรณ์ชลไปยังอ่างฯ แม่กวงอุดมธารา นั่นก็ยาวแค่ 23 กม.

ในขณะที่โครงการเติมน้ำให้แผ่นดินอีสาน มีอุโมงค์ส่งน้ำ 2 เส้นทาง …1.แนวผันน้ำโขงอีสาน ใช้อุโมงค์ส่งน้ำยาวถึง 54 กม. จากเลยไปลงหนองบัวลำภู เพื่อป้อนน้ำให้ภาคอีสานตอนบน…2.แนวผันน้ำชีมูล ใช้อุโมงค์ยาว 85 กม. จากเลยไปขอนแก่น ลงเขื่อนอุบลรัตน์ เพื่อจ่ายให้แม่น้ำชีและมูล หล่อเลี้ยงภาคอีสานตอนใต้

ส่วนความเป็นไปได้ของโครงการ ดร.สมเกียรติ ประจำวงศ์ ผอ.สำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน มองไปที่แนวผันน้ำชีมูล เพราะเป็นพื้นที่แห้งแล้งรุนแรงมากกว่า โดยเฉพาะเขื่อนอุบลรัตน์ประสบปัญหาขาดน้ำทุกปี จำเป็นต้องเร่งทำขึ้นมาก่อน

แต่เนื่องจากราคาค่าก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ กม.ละ 600 ล้านบาท ถ้าไม่คิดคำนวณให้ดี เกิดมีปัญหาน้ำไม่ไหลได้เหมือนที่คิด งบประมาณจะสูญเปล่า…แม้อุโมงค์ที่จะสร้างขึ้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 10 เมตร ถ้าคิดง่ายๆ แบบชาวบ้าน อุโมงค์ออกใหญ่โตขนาดนั้น ยังไงน้ำต้องไหลได้แน่ๆ

แต่คนที่ทำงานด้านนี้มายาวนาน อย่าง ดร.สมเกียรติ ให้ความเห็น ถ้าเป็นระยะทางสั้นๆแค่ไม่กี่ กม.ไม่มีปัญหา…แต่นี่ยาวเกือบ 100 กม. ไม่ต่างอะไรกับเอาน้ำใส่หลอดกาแฟ ที่เลี้ยวลดคดไปมาตามภูมิประเทศ น้ำอาจจะไม่ไหลออกมามากเหมือนที่คิดก็เป็นได้ เพราะไม่ใช้เครื่องสูบน้ำช่วย ฉะนั้นจะทำอะไรต้องรอบคอบ ฟังผู้รู้ที่มีประสบการณ์จริงมาช่วยติติง และแก้ไขข้อบกพร่อง ก่อนจะลงมือทำจริง…จะได้มั่นใจทำไปแล้ว ได้น้ำคุ้มจริง

ก็ได้แต่หวัง…อย่าได้คิดนาน วิเคราะห์เพลิน เพราะภัยแล้งจี้ก้นถี่กระชั้นทุกปี จนชาวบ้านไม่มีจะกินแล้วนะท่าน.

สะ–เล–เต

“ผักคราดหัวแหวน” กับวิธีแก้ปวดฟัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583498

โดย นายเกษตร 29 ก.พ. 2559 05:01

 

การปวดฟัน ที่เกิดจากฟันเป็นรูเพราะถูกแมงกินฟัน เป็นแล้วทรมานมาก กินอะไรไม่ได้ มันปวดร้าวไปหมดถึงน้ำตาร่วงเลยทีเดียว ในทางสมุนไพรช่วยได้คือให้เอาต้นสดของ “ผักคราด หัวแหวน” 2 ต้นไม่รวมรากตำให้ละเอียด ใส่เกลือป่นลงไป 1 ช้อนชา ใช้ผ้าขาวบางห่อบีบคั้นเอาน้ำแล้วใช้สำลีพันปลายไม้จิ้มฟันจุ่มกับน้ำดังกล่าวให้เปียก นำไปอุดรูฟันที่ปวดจะหายปวดทันที ทำวันละ 2–3 ครั้ง อาการปวดจะดีขึ้นและอาจหายได้

ผักคราดหัวแหวน หรือ PARA CRESS SPILANTHES ACMELLA MURR อยู่ในวงศ์ COMPOSITAI ต้นสดตำผสมเหล้าขาวหรือผสมกับน้ำสมสายชูเล็กน้อย อมแก้ฝีในลำคอ ใช้อุดรูฟันที่ถูกแมงกินฟัน แก้ปวดฟันได้ ช่อดอก ก้านช่อดอกมีสาร SPILANTHOL มีฤทธิ์เป็นยาชาเฉพาะที่ สารสกัดจากต้นสดด้วยแอลกอฮอล์เทียบกับยาชา LIDOCAINE ได้ผลเร็วกว่า แต่ระยะออกฤทธิ์สั้นกว่า

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” พิมพ์จำนวนจำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือ สอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอก ฆ่าเชื้อ สมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล และน้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น, ครีมโลดทนง รักษาสิว ฝ้า รูขุมขนตีบลง, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่า รักแร้หายดำคล้ำ, แชมพูสูตร 5 ชนิด บำรุงรากผม ขจัดรังแคแก้คันศีรษะ, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้า ช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจ, ยาลดเบาหวานแคปซูล ทำจากสมุนไพรหลายอย่าง, ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับ ดับกลิ่นเหม็นแก้คาวปลาสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบ ไส้เลื่อนในบุรุษ และอื่นๆ โทร. 0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

อะควาโพนิค..สู้แล้ง เลี้ยงปลาแถมผักประหยัดน้ำ 83%

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583569

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 ก.พ. 2559 05:01

 

น้ำน้อยทำมาหากินลำบาก ยิ่งยึดอาชีพเลี้ยงปลาด้วยแล้วแทบไม่ต้องพูดถึง ยากจะเป็นไปได้…แต่วันนี้มิต้องวิตกกังวลอีกแล้ว ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงราย กรมประมง พบวิธีการเลี้ยงปลาน้ำจืดประหยัดน้ำสุดๆ แถมยังได้ผักไฮโดรโปนิกส์ไว้กินไว้ขาย โดยไม่ต้องควักเงินซื้อปุ๋ยอีกด้วย

“ปกติการเลี้ยงปลาดุก ปลานิล ปลาหมอ จำนวน 200 ตัว ในบ่อซีเมนต์ขนาด 2 ตร.ม. กว้าง 1 ม. ยาว 2 ม. ใส่น้ำลึก 1 ม. ต้องใช้น้ำ 2,000 ลิตร ทุกๆ 7 วันจะต้องมีการถ่ายน้ำทิ้งและเติมน้ำเข้าใหม่ไปครึ่งหนึ่ง ฉะนั้นตลอดระยะเวลาการเลี้ยง 3 เดือน เราจะต้องใช้น้ำไม่น้อยกว่า 13,000 ลิตร แต่ถ้าเปลี่ยนมาเลี้ยงแบบอะควาโพนิค ตลอด 3 เดือนจะใช้น้ำแค่ 2,100 ลิตรเท่านั้น เพราะมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำแค่เดือนละ 1 ครั้ง ครั้งละ 50 ลิตร เฉพาะตอนล้างถังกรองเท่านั้น ช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่าการเลี้ยงแบบทั่วไปถึง 83%”

นายสุภาพ แก้วละเอียด ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงราย เปรียบเทียบให้เห็นภาพการเลี้ยงปลาด้วยวิธีอะควาโพนิค (Aquaponics) ช่วยประหยัดน้ำได้มากขนาดไหน…แถมกรรมวิธีการเลี้ยงไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย เพียงนำระบบการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์มาใช้ร่วมกับการเลี้ยงปลาในบ่อปูนซีเมนต์เท่านั้นเอง

นำกระถางพลาสติกสำหรับปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ ไปวางเรียงรายบนบ่อปลา จัดการเดินระบบท่อน้ำให้น้ำไหลลงกระถางปลูกผัก และเจาะรูกระถางอีกด้านเพื่อให้น้ำไหลลงบ่อปลาได้ ติดตั้งปั๊มน้ำขนาดเล็กลงไปจุ่มแช่ในบ่อเลี้ยงปลา สูบน้ำเสียจากบ่อเข้าสู่ถังกรอง ขนาด 50 ลิตร ที่วางในตำแหน่งสูงกว่าระบบท่อน้ำปลูกผัก

ถังกรองจะทำเป็น 2 ถัง หรือถังเดียวแบ่งเป็น 2 ส่วนก็ได้…ส่วนแรกเป็นส่วนกรอง ประกอบด้วยแผ่นใยสังเคราะห์ 1 แผ่นวางทับอยู่ด้านบน ด้านล่างมีไบโอบอล 200 ลูก…ส่วนที่สอง ที่พักน้ำกรองแล้ว

จากนั้นเจาะถังพักน้ำที่กรองแล้ว ต่อท่อเชื่อมกับระบบส่งน้ำเข้ากระถางปลูกผัก เพียงเท่านี้จะได้ระบบอะควาโพนิคที่สามารถเลี้ยงปลาได้แบบประหยัดน้ำสุดๆ และได้ผักไฮโดรโปนิกส์เป็นของแถม

“การเลี้ยงปลาแบบนี้น้ำจะไหลหมุนเวียน มีการบำบัดตลอดเวลา สารพัดของเสียที่ปลาขับออกมาปนกับน้ำจะถูกสูบขึ้นมาบำบัดและกลายเป็นธาตุอาหารให้กับผัก ทำให้เกิดระบบธรรมชาติเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ผักทำหน้าที่เป็นโรงงานบำบัดน้ำเสียให้กับปลา และปลานั้นจ่ายผลตอบแทนกับผักโดยการขับถ่ายของเสียให้เป็นอาหารกับพืช”

ไบโอบอล

นายสุภาพ บอกว่า จากการศึกษาวิจัยที่ทำมานอกจากจะทำให้พืชผักงอกงามได้ดี โดยเฉพาะพวกผักกินใบ วิธีนี้ยังช่วยให้ปลามีสุขภาพแข็งแรงดีกว่าการเลี้ยงแบบเดิมๆ เพราะนอกจากจะมีพืชช่วยบำบัดของเสียในน้ำได้แล้ว น้ำที่ไหลหมุนวนยังช่วยเพิ่มออกซิเจนลงไปในน้ำตลอดเวลาด้วย

ในขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นแค่วันละ 2-3 บาท แต่ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่า สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงราย 0-5315-4500.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

กรมส่งเสริมสหกรณ์ขานรับนโยบาย ประกาศปี 59 สร้างธรรมาภิบาล-ป้องทุจริต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583334

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 27 ก.พ. 2559 18:16

 

กรมส่งเสริมสหกรณ์ขานรับนโยบายนายกฯ รุกขับเคลื่อนแผนพัฒนาความเข้มแข็งสหกรณ์ระยะเร่งด่วนหวังดันขบวนการสหกรณ์เป็นที่พึ่งประชาชนและสมาชิกสหกรณ์ พร้อมประกาศให้ปี 59 เป็นปีแห่งการสร้างธรรมาภิบาล วางเป้าปี 60 เพิ่มสหกรณ์ชั้น 1 จำนวน 4,629 แห่ง…

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 59 นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวถึง นโยบายนายกรัฐมนตรีที่ต้องการพัฒนาสหกรณ์ให้เข้มแข็ง เพื่อเพิ่มศักยภาพในบทบาทหน้าที่ในการช่วยเหลือเกษตรกร มาตรการหนึ่งที่จะช่วยให้สหกรณ์ในทุกประเภทสหกรณ์มีการพัฒนาตัวเองไปสู่ระดับมาตรฐาน คือ การจัดระดับสหกรณ์และประเมินสถานภาพสหกรณ์ เพื่อจัดทำแผนพัฒนาสหกรณ์ตามสถานภาพ ซึ่งขณะนี้กรมส่งเสริมสหกรณ์อยู่ระหว่างเร่งจัดทำแผนพัฒนาความเข้มแข็งสหกรณ์ระหว่างปี 2559–2560 ขึ้นมา เพื่อขับเคลื่อนขบวนการสหกรณ์ไทยให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นรองรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ที่สำคัญคือการผลักดันให้กลไกลของสหกรณ์เป็นที่พึ่งของสมาชิกอย่างแท้จริง รวมทั้งเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนไปถึงเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดความเข้มแข็งยั่งยืน

ทั้งนี้กรมฯ ได้วางแผนพัฒนาความเข้มแข็งสหกรณไว้ 5 มาตรการหลัก คือ 1.การสร้างความเข้มแข็งของสมาชิกให้เป็นฐานรากที่มั่นคงของสหกรณ์ 2.เพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจแบบสหกรณ์ 3.พัฒนาการบริหารจัดการและเสริมสร้างธรรมาภิบาล 4.มาตรการในการกำกับ และตรวจสอบ และ 5.มาตรการสนับสนุน เช่น การพัฒนาบุคลากร การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาระบบฐานข้อมูล

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังได้วางเป้าหมายการยกระดับความเข้มแข็งของสหกรณ์ เมื่อสิ้นสุดปี 2560 ไว้ดังนี้ สหกรณ์ชั้นที่ 1 ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2,252 แห่ง คิดเป็น 27% จะต้องพัฒนาในปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น 3,083 แห่ง หรือคิดเป็น 41% และจำนวน 4,629 แห่ง คิดเป็น 65% ในปี 2560 สหกรณ์ชั้นที่ 2 ปัจจุบันมีอยู่ 4,201 แห่ง 50% จะต้องลดลงเหลือ 3,428 แห่ง หรือคิดเป็น 46% ในปี 59 และเหลือ 2,173 แห่ง คิดเป็น 30% ส่วนปี 60 สหกรณ์ชั้นที่ 3 ปัจจุบันมีอยู่ 788 แห่ง หรือ 10% จะต้องลดลงเหลือ 631 แห่ง หรือ 8% ในปี 59 และเหลือ 340 แห่ง หรือ 5% ในปี 60 และชั้นที่ 4 ที่มีอยู่  1,088 แห่ง คิดเป็น 13% จะลดเหลือเพียง 291 แห่ง หรือ 4% และต้องชำระบัญชีเสร็จสิ้นทั้งหมดภายในปี 2560

“การตรวจสอบ จะให้สหกรณ์รายงานธุรกรรมทางการเงินทุกเดือน รวมถึงตั้งทีมตรวจสอบระดับจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบสหกรณ์ทุกแห่งอย่างเข้มงวด และมีทีมตรวจการสหกรณ์เฉพาะกิจจากส่วนกลางเข้าไปตรวจสอบกรณีที่สหกรณ์ดำเนินการส่อไปในทางทุจริต โดยประสานความร่วมมือกับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)”

นอกจากมาตรการดังกล่าว ยังได้มีมาตรการสนับสนุน อย่างการพัฒนาบุคลากรที่อยู่ในขบวนการสหกรณ์ให้มีองค์ความรู้และความเข้าใจอย่างท่องแท้ในหน้าที่ของตนเอง โดยการตั้งสถาบันพัฒนากรรมการสหกรณ์ โรงเรียนผู้ตรวจการสหกรณ์ โรงเรียนผู้ตรวจสอบบัญชี รวมถึงมีเครือข่ายสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรนำของขบวนการสหกรณ์ ได้แก่ สันนิบาตสหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ สถาบันการศึกษา สถาบันทางการเงิน หอการค้า สภาอุตสาหกรรม ซึ่งเครือข่ายเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยยกระดับความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ถ้าสามารถขับเคลื่อนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ สหกรณ์จะเป็นระบบที่เข้มแข็งและสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศได้ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างแน่นอน

อย่างก็ตามกรมยังตั้งเป้า จัดตั้งธนาคารสหกรณ์ เพื่อรองรับเงินในระบบของสหกรณ์ทั้ง 7 ประเภท โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกสหกรณ์มีสิทธิ์เข้ามาถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะนำเงินดังกล่าวมาใช้พัฒนาระบบเศรษฐกิจในประเทศ เพียงแต่ขณะนี้ยังติดปัญหาด้าน พ.ร.บ.กฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายที่นายกรัฐมนตรีกำหนดไว้ คาดว่าแนวโน้มสามารถจัดตั้งธนาคารดังกล่าวให้แล้วเสร็จไม่เกินปี 2560 ได้อย่างแน่นอน.

“ชมพู่สตรอเบอรี่” ผลสวยหวานอร่อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/582182

โดย นายเกษตร 26 ก.พ. 2559 05:01

 

ชมพู่ชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์นำเข้า จากประเทศไต้หวันเมื่อปี 2557 และได้ทดลองปลูกในหลายพื้นที่ของประเทศไทยทั้งที่สูงและพื้นที่ราบตํ่าอยู่เป็นเวลานาน ปรากฏว่าในทุกพื้นที่ ปลูกมีอายุได้ประมาณ 1 ปีกว่าๆ ต้นยังไม่สูงนัก สามารถมีดอกและติดผลให้เห็นแล้ว ถือว่าเป็นชมพู่พันธุ์เบามีดอกและติดผลได้ง่ายและไวมากเมื่อเปรียบเทียบกับชมพู่สายพันธุ์อื่นๆที่มีปลูกในประเทศไทย ส่วนลักษณะผล เป็นรูปทรงระฆัง ผลมีขนาดใหญ่ติดผลดกเป็นพวง 5-7 ผล ผลแก่จัดเป็นสีแดงสดใสตลอดทั้งผลและทุกๆผลดูสวยงามยิ่ง นํ้าหนักผลโตเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง 200 กรัมต่อผล เนื้อผลหนา กรวงน้อยเกือบตัน เมล็ดขนาดเล็ก 2-3 เมล็ดต่อผล รสชาติเนื้อหวานละเอียดกรอบอร่อยมาก ที่สำคัญผลที่ติดอยู่บนต้นจะไม่เน่าหรือเสียร่วงได้ง่าย ติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาล ผู้นำเข้าจึงตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ชมพู่สตรอเบอรี่” ดังกล่าว

ชมพู่สตรอเบอรี่ อยู่ในวงศ์ MYRTACEAE มีลักษณะทั่วไปเหมือนกับต้นชมพู่มะเหมี่ยวทุกอย่าง เพียงแต่ขนาดของต้นจะไม่สูงใหญ่นัก 5-7 เมตรเท่านั้น ใบออกเรียงสลับขนาดใหญ่คล้ายใบชมพู่มะเหมี่ยว ดอก ออกตามกิ่งก้าน เป็นสีแดง มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก “ผล” เป็นรูประฆัง ติดผลดกเป็นพวง ผลแก่จัดเป็นสีแดงตามภาพประกอบคอลัมน์ มีดอกและติดผลตามฤดูกาลช่วงระหว่างเดือนตุลาคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด การป้องกันโรคแมลงให้ห่อผลขณะผลโตเท่าหัวแม่มือผู้ใหญ่ จากนั้น 30-45 วัน ผลจะแก่สามารถเก็บผลกินหรือขายได้

ใคร ต้องการต้นพันธุ์ของแท้ ติดต่อ “คุณวิรัช ทับทองหลาง” 130 หมู่ 6 ต.ท้อแท้ อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก โทร.08-9706-1931, 08-4989-1998 หรือไปซื้อที่งานเกษตรแห่งชาติมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ล็อก เอ 183-เอ 186 ร้าน “สวนวิรัชไม้ผล” ระหว่างวันที่ 27 ก.พ.-6 มี.ค.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

ผักมิกซ์..อินทรีย์ พลังธรรมชาติกำจัดศัตรูพืช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/582198

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 26 ก.พ. 2559 05:01

 

“เอาเมล็ดพันธุ์ผัก 9 ชนิด มะเขือพวง, มะเขือเปราะ, กะเพรา, โหระพา, คะน้า, ผักชี, ผักโขม, ผักกาดขาว และผักสลัด มาผสมรวมกัน หรือ Mix together (มิกซ์) แล้วหว่านลงแปลงพร้อมกันเลย ให้น้ำเพียงวันละครั้ง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตไปขาย หรือจะนำมากินในครัวเรือนได้ตลอดปี”

เป็นอีกศาสตร์การเกษตรอีกรูปแบบที่ สุธรรม จันทร์อ่อน เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ปี 2553 ต.ทุ่งขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้ลงมือทำมานานหลายปี เพื่อหาสูตรสำเร็จในการปลูกผักแบบประหยัดน้ำ และไม่ต้องใช้สารกำจัดแมลงศัตรูพืชให้เปลืองต้นทุน

เพราะต้องการให้พืชแต่ละชนิดที่หว่านปลูกแบบมั่วๆจะได้เกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ทดลองมาแล้วหลายรูปแบบ มาลงตัวที่ใช้เมล็ดพันธุ์ 9 ชนิด นอกจากจะมีผักหลายพันธุ์ให้เก็บขายได้ทั้งปี และเป็นความหลากหลายที่พอดีในการต่อสู้ป้องกันแมลง…นำเมล็ดพันธุ์ทั้ง 9 ชนิด มาผสมในกะละมังแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันดี ในอัตราส่วนเมล็ดพันธุ์ผสมแล้ว 1 ขีดต่อพื้นที่ปลูก 1 ตร.ม. เมล็ดพันธุ์ผักแต่ละชนิดจะลดหรือเพิ่มผิดไปจากนี้ได้ แต่ให้คำนวณจากความ ต้องการของตัวเองว่า ต้องการจะได้ผักชนิดไหนมีมากน้อยแค่ไหน

ที่สำคัญก่อนจะปลูก จะต้องสังเกตดินที่จะปลูกเหมาะกับผักชนิดไหนเป็นหลัก

“การเตรียมดินเหมือนปลูกผักทั่วไป แต่ดินที่เหมาะควรเป็นดินร่วน น้ำไม่ท่วมขัง จากนั้นใส่ปุ๋ยคอก แล้วจึงหว่านเมล็ดผักที่มิกซ์แล้ว คลุมด้วยฟาง รดน้ำวันละครั้ง หากวางระบบสปิงเกอร์ได้จะดี ช่วยให้การควบคุมปริมาณน้ำง่าย ให้น้ำวันละ 20 นาที แต่ช่วงเวลาให้น้ำควรดูฤดูด้วย ฤดูฝนให้น้ำช่วงเช้าเพราะแดดแรง ตอนบ่ายฝนมักจะตก ส่วนฤดูหนาวถึงฤดูแล้ง ให้น้ำตอนบ่าย เพราะตอนเช้ามีน้ำค้างอากาศชื้น ไม่จำเป็นต้องรดน้ำในตอนเช้า”

ใส่ปุ๋ยคอกเดือนละครั้ง ไม่เกิน 25-30 วัน จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้…ผักรุ่นแรกที่ออกมาได้ขายได้กิน จะเป็นคะน้า, ผักชี, ผักโขม, ผักกาดขาว และผักสลัด ใช้เวลาเก็บได้อีกประมาณ 15 วัน จะหมดไป…เว้นระยะไปอีก 5 วัน ผักรุ่นกลางจะเติบโตให้เก็บขาย กะเพรา, โหระพา เก็บได้นาน 4 เดือน

ย่างเข้าเดือนที่ 5 มะเขือเปราะเริ่มให้ผลผลิต…เดือนที่ 6 มะเขือพวงจะออกดอกแตกผลให้เก็บไปอีกกว่า 4 เดือน ครบปีพอดี…รื้อต้นเก่า หมุนเวียนเริ่มมิกซ์เมล็ดพันธุ์มาหว่านใหม่ได้ โดยไม่เตรียมแปลง

ข้อดีของการปลูกผักแบบนี้ สุธรรม บอกว่า ช่วยลดต้นทุนในการกำจัดแมลงศัตรูพืชได้ดี เพราะแมลงศัตรูพืชแต่ละชนิดจะรังเกียจกลิ่นผักไม่เหมือนกัน บางชนิดไม่ชอบกลิ่นผักชี อีกชนิดก็ไม่ชอบกลิ่นกะเพราและโหระพา ผักที่ปลูกแบบมั่วๆเลยช่วยไล่แมลงศัตรูพืชให้กันและกันได้ โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี…จะให้ได้ผลดีมากขึ้น ควรปลูกไม้ดอกรอบแปลง เพื่อ ผึ้ง ตัวต่อ แมลงที่กินแมลงเป็นอาหาร จะได้บินมาดอมดมดอกไม้ เมื่อเจอแมลงศัตรูพืชผัก ผึ้งและต่อจะช่วยกำจัดให้เราได้แบบไม่ต้องจ่ายค่าแรงและค่ายา

และผลการทดลองทำในพื้นที่ 2 งาน มานาน 4-5 ปี…พืชผัก 9 ชนิด ช่วยทำเงินได้ไม่มากแค่ปีละ 2 หมื่นเท่านั้นเอง แต่มั่นใจได้ผักอินทรีย์ไว้ขายไว้กินแบบปลอดภัย 100%

ไชยรัตน์ ส้มฉุน