ความไม่สมดุลของน้ำ และการบริหารจัดการน้ำในเมืองไทยเป็นปัญหาเรื้อรังยาวนาน ที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างได้ผล
ล่าสุด มีรายงานว่า ที่เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนใหญ่สุดของประเทศ เหลือน้ำใช้แค่เพียง 10.42% ของความจุเขื่อน
ถือเป็นปริมาณที่น้อยสุดในรอบ 51 ปี นับตั้งแต่มีการสร้างเขื่อนแห่งนี้ โดยคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องไปอีก เพราะต้องระบายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ วันละ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร
ปริมาณน้ำที่เหลือแค่เพียง 1,006 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือราวร้อยละ 10.42 ของความจุเขื่อนที่จุได้ทั้งสิ้น 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร ยามนี้แทบจะไม่มีน้ำใหม่ไหลเข้าเขื่อนเลย หากทางเขื่อนยังต้องระบายน้ำอย่างต่อเนื่องอีกหลายเดือน จนถึงช่วงฤดูฝน ก็จะเหลือน้ำไม่ถึง 500 ล้านลูกบาศก์เมตร
แม้ขณะนี้จะมีปริมาณฝนตกในบางพื้นที่ แต่ปริมาณน้ำที่จัดเก็บตามเขื่อนต่างๆยังมีไม่มากพอ ทางการจึงขอร้องให้ชาวนาเว้นการทำนา เพราะมีความเสี่ยงเรื่องภัยแล้งสูง แต่แนะนำให้หันไปปลูกพืชเกษตรอย่างอื่นที่ใช้น้ำน้อยแทน
แต่ชาวนาจำนวนมากเห็นว่าการทำนาเป็นอาชีพที่พวกเขาถนัด และทำมาทั้งชีวิต จะให้หันไปทำอย่างอื่นที่ไม่ถนัด ก็เกิดคำถามตามมาว่า จะได้ผลผลิตและราคาคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอีกรูปแบบ ที่พวกเขาต้องเผชิญเช่นกัน
นอกจากรัฐบาลจะวางแผนให้ครอบคลุมและชัดเจน ว่า พื้นที่เสี่ยงขาดน้ำทางการเกษตรใดบ้าง ควรหันไปปลูกพืชชนิดใด และมีตลาดรองรับอย่างไร หรืออีกนัยเป็นการรับประกันระดับหนึ่งว่า ถ้าเปลี่ยนจากทำนาไปปลูกพืชชนิดอื่นแล้ว ผลผลิตที่ออกมาขายได้แน่ ไม่ขาดทุน จึงจะสร้างความเชื่อมั่นและแก้ปัญหาได้ตรงจุด
ดังนั้น ถ้ามองให้ทะลุปัญหา สถานการณ์ยามนี้ ใช่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีน้ำให้ทำการเกษตร ไฉนเกษตรกรไทยหลายคนยังคงดื้อตาใส ฝืนทำกันอีก ก็เพราะคำตอบแจ้งชัดอยู่ในตัว การขอความร่วมมือโดยไม่มี ทางออกให้ ย่อมไม่ทำให้พวกเขาปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกได้ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาจำต้องยอมเสี่ยงเพื่อหาเลี้ยงชีพ ดีกว่ารอคอยอย่างไร้ความหวัง
จ.ส.อ.อนันต์ ดอกกุหลาบ อาสาเกษตรและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลวังยาง อ.ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี บอกว่า ยามนี้ไม่เพียงชาวนาในหลายพื้นที่ เดือดร้อนไม่มีน้ำใช้ทำนา หากสถานการณ์น้ำแล้งยังเป็นเช่นนี้ต่อไปในระยะยาว ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ของเกษตรกรที่ปลูก “แห้ว” จะได้รับผลกระทบไปด้วยหรือไม่
เขาบอกว่า โชคดีตรงที่แห้วเป็นพืชอยู่ใต้ดิน ถ้ายังไม่พร้อมจะเก็บเกี่ยวผลผลิต ก็ยังสามารถเก็บรอเอาไว้อย่างนั้นได้นานเป็นปี แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเก็บไว้ในสภาพที่มีน้ำหล่อเลี้ยงด้วย
ถ้าน้ำแล้งจัด จนดินแยกแตกระแหง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ชาวนาแห้วอาจต้องงมผลผลิตขึ้นมาขาย แต่เมื่อไม่สามารถงมผลผลิตขึ้นมาได้ เพราะผืนดินแข็งโป๊ก อาจทำให้ต้องหวนกลับไปใช้วิธีการแบบเก่า เหมือนเมื่อครั้งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วอีก
“เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ที่ศรีประจันต์เคยแล้งจัดอยู่ครั้ง แต่ก็ยังไม่แล้งมากเท่าปีนี้ ผมยังจำได้ว่าคนปลูกแห้วไม่สามารถงมแห้วจากใต้ดินขึ้นมาได้ ต้องใช้จอบขุดขึ้นมา ซึ่งทำให้ผลผลิตเสียหายมาก”
จ่านันต์บอกว่า ทุกวันนี้เกษตรกรนาแห้วที่ศรีประจันต์ ต่างแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการขุดบ่อนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ปลูกแห้ว บางจุดขุดลึกลงไปเพียง 30 เมตรก็เจอตาน้ำ แต่บางจุดต้องขุดลึกลงไปถึง 60 เมตร โดยค่าขุดบ่อบาดาล มีค่าใช้จ่ายตกบ่อละไม่ต่ำกว่า 20,000-30,000 บาท
ในแง่ของการหาน้ำมาทำนาแห้ว ยามนี้เกษตรกรถือว่าพอเอาตัวรอดได้อีกสักประมาณ 2-3 เดือน จากนั้นน้ำบาดาลใต้ดินจะแห้งขอดไม่สามารถใช้ได้อีก ดังนั้น สิ่งที่ชาวนาแห้วต้องการเหนืออื่นใดยามนี้ก็คือ ตลาดหรือโอกาสในการระบายสินค้า
อนันต์บอกว่า เกษตรกรนาแห้วกว่า 3 พันไร่ ที่ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี ขอฝากขอบคุณไปยังนายกรัฐมนตรีอย่างสูง ที่ก่อนหน้านี้ได้หาทางผลักดันให้แห้วกลายเป็นพืชประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ในรูปของจีไอหรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของจังหวัด และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้นำผลผลิตแห้วต้ม และแห้วแปรรูปไปขายที่ตลาดนัดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ทำให้มีออเดอร์สั่งซื้อ หรือช่วยระบายผลผลิตไปได้ระดับหนึ่ง
แต่เขาบอกว่า อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเช่นนี้ไปอย่างต่อเนื่อง
“ปริมาณผลผลิตแห้วที่รัฐบาลช่วยหาทางระบายให้เป็นเพียง 1 ใน 4 ส่วน ยังเหลือผลผลิตตกค้างอยู่ใต้ดินอีก 3 ส่วน ทาง ธ.ก.ส.เองก็เห็นใจผ่อนผันให้ผู้ปลูกแห้วส่งแค่ดอกเบี้ย เวลานี้ปัญหาใหญ่ของแห้วจึงอยู่ที่ตลาดรองรับที่ไม่เพียงพอต่อผลผลิต ถ้ารัฐบาลจะกรุณาต่อเนื่อง ช่วยหาช่องให้มีที่ขาย พวกเราก็รอดตาย”
นอกจากแห้ว ยังมี “กระจับ” ดูเหมือนจะเป็นผลิตผลทางการเกษตรที่ออกอาการใกล้เดี้ยงจากภัยแล้งและตลาดรับซื้อ…หนักหน่วงกว่าสถานการณ์ของ “แห้ว” หลายเท่านัก
ประสาร เพชรมอญ สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ และประธานสหกรณ์การเกษตรศรีประจันต์ จำกัด บอกว่า สถานการณ์ของกระจับก็คล้ายคลึงกับแห้ว ตรงที่ขาดน้ำไม่ได้ และหาตลาดรับซื้อได้ยาก
“แห้วยังฝังหัวอยู่ในดินเลน ดินโคลนได้ แต่กระจับต้องลอยน้ำอยู่ในบึง ในบ่อ หรือหนองน้ำกลางทุ่งจึงจะรอด แถมแห้วยังได้เปรียบกว่าตรงที่ดูแลรักษาง่าย ถ้ายังไม่เก็บเกี่ยว สามารถทิ้งไว้ใต้ดินรอเวลาได้ แต่กระจับนอกจากดูแลยากกว่า เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ต้องเก็บให้หมดภายใน 5 วัน เพราะถ้าทิ้งต้นหรือละขั้วแก่พร้อมกัน 5-6 ฝัก ถ้าไม่เก็บจะร่วงลงน้ำหมด เท่ากับบังคับให้ต้องเก็บผลผลิตพร้อมกันทีละเยอะๆ”
ประสารบอกว่า พื้นที่ปลูกกระจับที่ อ.ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 100 กว่าไร่ เหตุที่คนนิยมปลูกน้อย เป็นเพราะที่ดินบริเวณนั้นลุ่มมากจนไม่เหมาะจะปลูกทั้งข้าวและแห้ว จึงต้องปลูกกระจับ
“เกษตรกรปลูกกระจับ เป็นกลุ่มที่น่าเห็นใจมาก นอกจากไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก ผลผลิตที่ออกมาก็ยังราคาไม่แน่นอน และขายไม่ได้ราคา ยกตัวอย่างเมื่อปลายปีที่แล้ว ราคาพอไปได้ อยู่ที่ตันละ 12,000 บาท แต่ตอนนี้ร่วงลงมาเหลือแค่ตันละ 8,000 บาท แถมกระจับยังเป็นพืชที่ขาดน้ำไม่ได้เลย คนปลูกต้องขุดบ่อบาดาลปล่อยน้ำมาหล่อเลี้ยงตลอดเวลา”
เขาบอกว่า ผลผลิตแห้ว ถ้าเลือกเจาะตลาดกับผู้ที่มีกำลังซื้อ ยังพอสามารถขยายได้ทั้งภายในและต่างประเทศ เพราะเป็นเมนูยอดนิยม ในอาหารจำพวก สลัด ซึ่งมีตลาดกว้าง สามารถขายได้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ อย่างญี่ปุ่น อเมริกา และเกาหลี ซึ่งนิยมกินแห้วกับสลัดผัก
ตรงข้ามกับกระจับ นอกจากจะปลูกและดูแลรักษายากกว่าแห้ว นำไปแปรรูปก็ยาก ต้องนำไปต้ม หรือเชื่อมเท่านั้น ชาวต่างชาติก็ยังกินกันไม่ค่อยเป็น ทำให้ส่งออกไม่ได้ แถมตลาดรับซื้อในประเทศก็ยังจำกัดกว่าแห้ว
“ลำพังสถานการณ์น้ำแล้งปีนี้ คนปลูกกระจับต้องดิ้นรนหาทางช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งนับว่าหนักพออยู่แล้ว เป็นไปได้อยากให้รัฐบาลหาทางช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มนี้ ที่กำลังจะสูญพันธุ์ หรือลมหายใจริบหรี่เต็มที โดยพ่วงความช่วยเหลือไปพร้อมกับคนปลูกแห้ว” ประสารวิงวอน.