พาราควอต…สีฟ้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/580371

โดย สะ-เล-เต 22 ก.พ. 2559 05:01

 

ถึงพาราควอตจะมีประโยชน์ต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก เพราะสามารถกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกได้ โดยพืชหลักพืชทำเงินไม่ได้รับผลกระทบ…ช่วยลดต้นทุนการกำจัดวัชพืชได้ดีในยุคค่าแรงแพง

แต่กระนั้น เมื่อมีข้อดีย่อมต้องมีข้อเสียควบคู่กันไปเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรดีไปหมดจด หรือมีข้อเสียไปซะทุกอย่าง…พาราควอตฆ่าหญ้าได้ แต่ถ้าเอาไปใช้ผิดประเภท เอาไปทำลายตัวเองหรือคนอื่นๆ พาราควอตฆ่าคนได้เช่นกัน

เนื่องจากเป็นสารไม่มีกลิ่น แถมยังมีสีคล้ำๆคล้ายเครื่องดื่มน้ำดำ…ในเมื่อพาราควอตหาซื้อได้ง่าย ถ้านำไปวางไม่ถูกที่ถูกทาง คนอาจจะเผลอไปหยิบมาดื่มกินได้

แม้จะเป็นปัญหาเล็กๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม ถ้าสายตาไม่ฝ้าฟางจนเกินไป เพื่อป้องกันปัญหานี้ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จึงได้ออกข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติเฉพาะพาราควอตให้มีสีฟ้าให้แตกต่างจากเครื่องดื่มทั่วไป, พร้อมให้เติมสารที่ทำให้มีกลิ่นฉุนและต้องมีสารกระตุ้นให้เกิดการอาเจียนฉับพลัน…เพื่อคนที่เผอเรอจะได้ดื่มไม่ลง และถ้าดื่มไปแล้วจะได้อาเจียนออกมาทันที

และในบ้านเราได้ออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในแนวทางเดียวกับ FAO มาตั้งแต่ปี 2541 ไปแล้ว

เกษตรกรจะสามารถสังเกตได้ง่ายๆ พาราควอตที่ถูกต้อง บริษัทผู้ผลิตมีความรับผิดชอบต่อสังคม… น้ำยาจะต้องมีสีฟ้าอมเขียว ดมแล้วจะมีกลิ่นฉุนมาก

แต่ถ้าไปพบเจอ พาราควอตที่ไร้กลิ่น และน้ำยายังคงมีสีดำเหมือนน้ำอัดลม อย่าไปซื้อมาใช้จะดีกว่า เพราะนอกจากคนในบ้านจะเสี่ยงอันตรายแล้ว ยังจะเป็นการส่งเสริมให้บริษัทที่ทำธุรกิจไม่เคารพกฎหมาย ไร้จิตสำนึก คิดจ้องแต่จะเอาเปรียบเกษตรกรไม่รู้จักจบจักสิ้น

และอีกอย่าง ซื้อพาราควอต หรือสารเคมีทางการเกษตรทั้งหลายมาไว้ที่บ้าน รู้จักเก็บเข้าตู้ให้เป็นที่เป็นทาง และปิดตู้ล็อกกุญแจไว้ได้ด้วยก็จะดี…ฝึกหัดให้เป็นนิสัย ไม่เพียงคนในบ้าน สัตว์เลี้ยงจะปลอดภัย สารเคมีที่ซื้อมาจะไม่ถูกแดดแผดเผาทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด.
สะ–เล–เต

กล้วยหอมสร้างเถ้าแก่ แค่รู้จัก..ตลาดนำการผลิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/580464

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 ก.พ. 2559 05:01

 

การตลาดเป็นจุดด้อยเดิมๆของเกษตรกรบ้านเรา ทำเท่าไรสุดท้ายพ่อค้าเอาไปกินเกือบหมด…แต่วันนี้เป็นเรื่องน่ายินดี มีเกษตรกรเริ่มหันมาทำตลาดเอง รวบรวมผลผลิต ส่งถึงผู้ค้าปลีกโดยตรง เกษตรกรได้ราคาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก่อเกิดกลไกคล้ายคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง ต่างกันที่คนรับซื้อไม่ใช่พี่บิ๊กรายใหญ่ แต่เป็นเกษตรกรด้วยกันเอง

“เราปลูกกล้วยหอมทองมากว่า 15 ปี แรกๆ ทำเหมือนเกษตรกรทั่วไป ส่งขายตลาดได้ราคาตามพ่อค้าคนกลางกำหนด ต่อมาเริ่มเช่าแผงขายเองที่ตลาดไท พร้อมกับขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง เมื่อออเดอร์มากขึ้น จึงเริ่มหันมาเป็นพ่อค้ารับซื้อกล้วยจากเพื่อนเกษตรกร ทำได้สักพัก ปี 2555 ลองไปเสนอการบินไทย ปรากฏว่าคุณภาพกล้วยที่เราทำผ่าน จากนั้นจึงไปเสนอผู้ซื้อรายอื่น ก็ผ่านอีก เพราะเราสามารถทำคุณภาพได้ตามที่ผู้ซื้อแต่ละเจ้าต้องการ”

เกรียงศักดิ์ วิเลปะนะ ประธานกรรมการบริษัทคิง ฟรุทส์ จำกัด เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอมทอง เล่าถึงที่มาของการเป็นเถ้าแก่กล้วยหอมทองที่ปลูกเอง 3,000 ไร่ กำลังผลิตกว่า 6,000 ตันต่อปี แต่ก็ยังไม่พอต่อความต้องการตลาด เพราะแต่ละวันต้องใช้กล้วยเกรด A เป็น 10 ตัน จึงต้องส่งเสริมให้เกษตรกรรายอื่นปลูกแล้วนำมาขาย จนมีพื้นที่เกษตรกรคู่สัญญาอีกกว่า 1,000 ไร่ ในทุกภาค และตอนนี้ยังเปิดรับเกษตรกรที่มีความพร้อมเพิ่มเติม เพื่อป้อนส่งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ห้างค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ สายการบินต่างๆ และซุปเปอร์มาร์เกตทั่วประเทศ

การปลูกกล้วยหอมทองให้ได้เกรด A มาก เกรียงศักดิ์ แนะหลักการ ต้องเข้าใจธรรมชาติของกล้วยชอบปุ๋ย ชอบน้ำ ต้องรดน้ำทุกวัน แต่ต้องระวังเรื่องน้ำท่วม ปลูกดินตื้นจะโตไว แต่ล้มง่ายต้องมีไม้ค้ำ เมื่อออกปลีให้ใช้ไม้ไผ่ค้ำทุกเครือ ออกปลีได้ 70-90 วัน จะให้ลูก ใช้ถุงหรือกระดาษคลุมลูกป้องกันสิ่งรบกวน ให้ผิวกล้วยสวย เมื่อตัดผลผลิตกล้วยจะอายุได้ราว 1 ปี ให้โค่นทิ้ง นำหน่อใหม่จากต้นเดิมลงปลูกแทน

ที่สำคัญต้องทำความเข้าใจในหลักการบริหารจัดการร่วมกัน เมื่อตกลงปลูกกล้วยร่วมกัน นักวิชาการบริษัทจะลงพื้นที่แนะนำ ติดตามผลทุกขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ แต่ละพื้นที่ข้อกำหนด เงื่อนไขราคารับซื้อจะต่างกัน ขึ้นอยู่กับเกรดคุณภาพที่ลูกค้าต้องการ…เพราะที่นี่ใช้หลักการตลาดนำการผลิต

การปลูกจะใช้ทุนราว 20,000 บาทต่อไร่ สำหรับค่าหน่อพันธุ์ ปัจจัยการผลิตต่างๆ หากปลูกแบบยกร่องจะได้ 300 ต้นต่อไร่ แต่ถ้าปลูกแบบพื้นราบได้ 400 ต้นต่อไร่ ภายใน 9 เดือนถึง 1 ปี ได้ผลตอบแทน 60,000-70,000 บาท…ลงทุนครั้งเดียว แค่หน่อกล้วยปลูกครั้งแรก รุ่นต่อไปใช้แค่หน่อที่แตกขึ้นมาใหม่ ปลูกได้ต่อ

แต่ทางเลือก ไม่ได้มีแค่กล้วยหอม ยังมีกล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า ที่ตลาดยังเปิดกว้าง 27 ก.พ.นี้ สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนาเชิงวิชาการ “กล้วย…พืชเศรษฐกิจเงินล้าน” สอบถามได้ที่ 08-6340-1713.

กรวัฒน์ วีนิล

“กะทกรก” ฆ่าตัวหิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/580372

โดย นายเกษตร 22 ก.พ. 2559 05:01

 

โรคหิด เป็นกันเยอะในยุคสมัยก่อน เป็นแล้วผิวหนังตามร่างกายดูน่าเกลียดมาก สังคมไม่ต้อนรับเนื่องจากเป็นโรคติดต่อกันได้ ในทางสมุนไพร ให้เอาใบสดของ “กะทกรก” ตามต้องการล้างน้ำให้สะอาด ตำจนละเอียดใส่น้ำลงไปเล็กน้อย แล้วเอาน้ำทาบริเวณที่เป็นหิดวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ประมาณ 1 อาทิตย์จะแห้งหายได้ เพราะตัวหิดจะตายเกลี้ยง

กะทกรก หรือ PASSIFLORA FOETIDAL. อยู่ในวงศ์ PASSIFLORACEAE เป็นไม้เลื้อยล้มลุก มีมือเกาะ คนส่วนใหญ่จะรู้จักดี เพราะมีขึ้นตามที่รกร้างทั่วไป ใบเป็น 3 แฉก ดอกเป็นสีเขียวอ่อน “ผล” รูปทรงกลมและพองลมสีเขียวอ่อน ผลสุกสีแดง มีเมล็ดจำนวนมากกินได้ รสเปรี้ยวปนหวาน ยอดอ่อนเป็นอาหาร ประโยชน์ทั้งต้นเป็นยาแก้เหน็บชา โดยให้เอาไปสับเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดพอสลบหรือสดก็ได้ ใช้ 1 กำมือต้มกับน้ำ 4 แก้ว เคี้ยวจนเหลือ 2 แก้ว กินเช้า เย็น อาการเหน็บชาจะหายได้

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” ไม่วางขายที่ไหนหมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกห้ามกิน ฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่า รักแร้หายคล้ำ, ข่อยสีฟันเป็นผง ไม่มีฟอง ใช้แล้วเหงือกฟันทนและขาว, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อยแก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์เป็นผง ทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ยาลดเบาหวานแคปซูล ทำจากสมุนไพรกว่า 5 ชนิด, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับ ดับกลิ่นเหม็นในสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบ ไส้เลื่อนในบุรุษ, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร โทร. 0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

สหกรณ์ไทย-เมียวดี ร่วมซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แก้ปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/579720

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 19 ก.พ. 2559 17:39

 

สหกรณ์ไทย จับมือ เมียวดี เปิดจุดอนุญาต ซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แก้ปัญหาขาดแคลน ทั้งยังช่วยป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย แก้ปัญหาเรื่องราคาที่สูงขึ้น ลดต้นทุนวัตถุดิบ…

วันที่ 19 ก.พ.59 มีรายงานว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้มอบหมายให้ สหกรณ์นิคมแม่สอด จำกัด พร้อมด้วย สหกรณ์นิคมแม่ระมาด สหกรณ์การเกษตรแม่ระมาด จำกัด และสหกรณ์การเกษตรพบพระ จำกัด เชื่อมโยงธุรกิจค้าชายแดนร่วมกับสหกรณ์ในเขตจังหวัดเมียวดีประเทศเมียนมา เปิดจุดอนุญาตการนำเข้าข้าวโพด เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบทำอาหารเลี้ยงโคเนื้อ โคนม ไก่ไข่ ซึ่งต้องใช้ปีละ 600,000 ตันต่อปี ทั้งยังเป็นการแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรอย่างผิดกฎหมายตามแนวชายแดน ซึ่งเร่ิมตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.ถึง 31 ส.ค.2559

ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาขาดแคลนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

ผลผลิตที่ได้จากเกษตรกร

ด้าน นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยว่า ในช่วงนี้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไทยหมดฤดูการผลิต ดังนั้นการรับซื้อข้าวโพดจากพม่า จึงไม่ส่งผลกระทบอย่างแน่อน ซึ่งการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทุกลอต ต้องมีหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin Form D) ว่ามาจากฝั่งพม่า ควบคู่กับหนังสือรับรองมาตรฐานสากลว่าสินค้าที่นำเข้าปลอดศัตรูพืช (Phytosanitary certificate : PC) เพื่อใช้ในการส่งออก และเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยจากไข่ แมลงศัตรูพืชแอบแฝง เจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตร จะสุ่มตรวจอีกรอบ ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของกรมศุลกากร ระเบียบของกระทรวงพาณิชย์ พ.ร.บ.พันธุ์พืช อาหารสัตว์ และความมั่นคง ตามที่กำหนดไว้

“การรวบรวมจะให้สหกรณ์จังหวัด ซึ่งมีสถานที่จัดเก็บข้าวโพดได้มาตรฐาน เป็นผู้รวบรวม แล้วส่งต่อให้สหกรณ์ในเครือข่ายพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเอาไปผลิตอาหารสัตว์ การรับซื้อวิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องราคาที่สูงขึ้น และช่วยให้เกษตรกรรายย่อยลดต้นทุนด้านวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี เกษตรกรได้นำข้าวโพดเอาไปทำอาหารสัตว์ในราคายุติธรรม ถูกกว่าที่ซื้อจากเอกชนแน่นอน”

วัตถุดิบใช้ทำอาหารเลี้ยงโคเนื้อ โคนม ไก่ไข่

ส่วนสหกรณ์บางแห่งมีพื้นที่เก็บไม่ได้มาตรฐาน จะใช้งบปี 2560 นำไปสนับสนุนปรับปรุงสถานที่จัดเก็บผลผลิต และอุปกรณ์การตลาดที่ยังขาดแคลน

เปิดจุดอนุญาตการนำเข้าข้าวโพด

แก้ไขปัญหาลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม สำหรับการรับซื้อข้าวโพดปี 58 ซึ่งเร่ิมตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.-15 ก.พ. มีการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 5,000 ตัน จากที่ตั้งเป้าไว้ที่ 10,900 ตัน เมื่อเทียบกับในช่วงปี 2557 ซึ่งนำเข้าได้เพียง 1,600 ตัน แม้การนำเข้ามีปริมาณมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ยังน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ สาเหตุเพราะระบบการบริหารจัดการเอกสารชายแดนฝั่งพม่าด้าน อ.พบพระ มีความล่าช้า.

“มะละกอศรีสุภา”ปลูกเก็บผลขายหลังเกษียณคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/579101

โดย นายเกษตร 19 ก.พ. 2559 05:01

 

ผู้อ่านไทยรัฐ วัยเกษียณจำนวนมากมีที่ว่างเล็กน้อยอยากปลูกไม้ผลเพื่อเก็บผลขายในยามว่าง แต่ไม่รู้จะปลูกอะไรที่สามารถปลูกแล้วต้นโตเร็วให้ผลผลิตสูง จึงขอแนะนำว่า “มะละกอศรีสุภา” น่าจะเหมาะกับความต้องการเป็น

อย่างมาก เนื่องจากเป็นไม้โตเร็วให้ผลผลิตต่อต้นดกเป็นร้อยผล ใช้เวลาปลูกไม่นาน สามารถเก็บผลดิบและผลสุกขายได้ ราคาดีอีกด้วย

มะละกอศรีสุภา อยู่ในวงศ์ CARICACEAE เป็นพันธุ์ใหม่ เกิดจากการเขี่ยเกสรผสมระหว่างมะละกอฮอลแลนด์กับมะละกอแขกนวล จากนั้นก็นำเอาเมล็ดจากผลสุกจำนวนมากไปเพาะเป็นต้นกล้าแล้วแยกปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าขนาดของต้นไม่สูงใหญ่นัก ติดผลดกเต็มต้น (ตามภาพประกอบคอลัมน์) รูปทรงของผลสวยงามแตกต่างจากรูปทรงของผลพันธุ์พ่อและพันธุ์แม่อย่างชัดเจน เชื่อว่าเป็นมะละกอพันธุ์ใหม่ จึงขยายพันธุ์ปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่เป็นเวลานาน ทุกอย่างยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงหรือได้กลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว เลยตั้งชื่อว่า “มะละกอศรีสุภา” พร้อมเก็บเมล็ดแก่นำไปตากแห้งบรรจุถุงและนำต้นจริงออกวางขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ ดอกเป็นสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอม “ผล” รูปทรงกระบอกยาวและใหญ่กว่าผลของมะละกอฮอลแลนด์ แต่จะสั้นกว่าผลมะละกอแขกนวล ติดผลแต่ละครั้งหรือแต่ละชุดจะดกไม่น้อยกว่าร้อยผลต่อต้น เนื้อผลหนา กลวงในเล็กน้อย ผลโตเต็มที่ นํ้าหนักเฉลี่ยระหว่าง 2-3 กิโลกรัมต่อผล ผลดิบเป็นสีเขียว เนื้อกรอบฉ่ำนํ้าไม่แห้ง ปอกเปลือกสับเป็นฝอยทำส้มตำดีมาก ผลแก่ฝานเป็นแว่นๆแกงส้มใส่กุ้งสดอร่อยมาก เนื้อสุกมีความหวานสูง เนื้อไม่เละแม้สุกงอม มีเมล็ดน้อย ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ใคร ต้องการเมล็ดพันธุ์และต้นแท้ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08-8533-2299 สามารถส่งทางไปรษณีย์ได้ ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลขายตามที่กล่าวข้างต้นคุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

โคขุน ‘หนองแหน’ กว่าจะถึงวันนี้..ชวนพวก 10 ปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/579125

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 19 ก.พ. 2559 05:01

 

“จบสัตวบาลไปทำงานสหกรณ์โพนยางคำ เพื่อหาประสบการณ์ เห็นสมาชิกของสหกรณ์ขายวัวมีรายได้ดี บางคนรับเช็คหลักล้านบาท เลยมีความคิดอยากทำอาชีพเลี้ยงโคขุนบ้าง แต่ในหมู่บ้านโคขุนพันธุ์ดีๆไม่มี จะมีแต่พันธุ์พื้นบ้าน ตัวผอมกระหร่องกระแหร่ง เลี้ยงให้ดีอย่างไรก็ไม่มีเนื้อหนัง”

นายสุพี วงศ์พิทักษ์ ประธานกลุ่มโคขุนหนองแหน อ.กุดชุม จ.ยโสธร เล่าว่า หลังลาออกจากงานเพราะได้รับคัดเลือกให้อยู่ในพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน (สปก.) จึงสมัครเป็นปศุสัตว์อาสา เพื่อเรียนรู้วิธีผสมเทียมโคลูกผสมพันธุ์ชาโลเลส์ กับบราห์มัน ลูกโคที่ออกมาเลี้ยงดูอย่างดี มาตรฐานเดียวกับสหกรณ์โพนยางคำ จึงขายลูกโคหย่านมได้ราคา 10,000-16,000 บาทต่อตัว ต่างจากลูกโคพันธุ์พื้นบ้านที่ได้ราคาแค่ 5,000-8,000 บาท

เพื่อนบ้านรู้ข่าว สนใจอยากเลี้ยงบ้าง แต่ยังหวั่นๆเรื่องตลาดรับซื้อ กลัวเป็นการปั่นราคา จึงพาไปดูงานสหกรณ์โพนยางคำแหล่งรับซื้อลูกโคขุน… มีเพื่อนบ้านไปดูงาน 9 ราย แต่ไม่มีใครสนใจร่วมเลี้ยง เลยต้องเลี้ยงโคขุนให้เห็นพร้อมกับพาไปดูงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ต้องใช้ความอดทนโน้มน้าวใจชาวบ้านอยู่นาน เพราะต้องการให้เพื่อนบ้านร่วมเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงโคขุน เพราะการเลี้ยงโคขุนคนเดียวไม่มีทางไปรอด จำนวนโคมีน้อย ตลาดจะไม่สนใจเข้ามารับซื้อ ต้องรวมกลุ่มเท่านั้น เพื่อจะได้มีอำนาจต่อรองในเรื่องราคา และตลาดจะอยู่กับชาวบ้านได้ตลอด”

ต้องใช้ความพยายามนาน 10 ปี กว่าชาวบ้านจะเชื่อใจ และเพื่อตัดปัญหาพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบคิดดอกค่าอาหารข้นแพง จึงให้สมาชิกลงหุ้นรายละ 2,000 บาท ไว้ซื้ออาหารเลี้ยงโค…เมื่อกลุ่มแรกมีรายได้ดี ทำให้ชาวบ้านสนใจหันมาเลี้ยงโคขุนมากขึ้น กระทั่งทุกวันนี้มีสมาชิก 215 ราย และยังมีกลุ่มเครือข่ายจังหวัดใกล้เคียง 25 กลุ่ม (สมาชิก 950 คน) มีโคแม่พันธุ์ 1,300 ตัว ลูกโคขุน 600 ตัว และโคขุนคุณภาพ 800 ตัว

เลี้ยงโคขุนแต่ไม่หาวิธีลดต้นทุน ชาวบ้านอยู่ไม่ได้ เพราะอาหารข้นมีแต่ปรับขึ้นราคา จึงขอความช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี วิจัยทำอาหารโคขุนลดต้นทุน สำหรับเลี้ยงโคขุนอายุ 1 ปี 6 เดือน

โคขนาดน้ำหนัก 400 กก. ใช้มันสับ 8 กก., อาหารข้น 2 กก., ฟาง 3 กก., กากเบียร์ 4 กก. คลุกให้เข้ากันเลี้ยงโคขุน 1 ตัวต่อวัน และเพื่อให้เนื้อโคมีไขมันแทรก ก่อนขาย 3 เดือน ต้องเพิ่มกากน้ำตาล 1 กก.ต่อตัวต่อวัน ลงไปในสูตรอาหารด้วย

จากเดิมให้อาหารข้นกับฟางต้นทุนอยู่ที่ 2,000-3,000 บาทต่อตัวต่อเดือน ลดลงมาเหลือ 1,470 บาท…สูตรอาหารนี้ สุพี คิดคำนวณออกมา ทำให้ลูกโคอายุปีครึ่งราคาหมื่นกว่าบาท ขุนเลี้ยง 1 ปี ขายได้ตัวละ 80,000 บาท หักต้นทุนมีกำไรเหลือตัวละ 20,000 บาท…ปีๆหนึ่ง สมาชิกแต่ละรายขุนเลี้ยงโคได้ไม่น้อยกว่า 5 ตัว กำไรปีละแสน

นอกจากช่วยให้มีอาชีพมั่นคง วันนี้ยังสามารถสร้างแบรนด์ “โคขุนหนองแหน” ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดได้แล้ว.
เพ็ญพิชญา เตียว

กระจับ-แห้วระทม รับลมหนาวน้ำแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/578549

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 ก.พ. 2559 05:01

 

ความไม่สมดุลของน้ำ และการบริหารจัดการน้ำในเมืองไทยเป็นปัญหาเรื้อรังยาวนาน ที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างได้ผล

ล่าสุด มีรายงานว่า ที่เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนใหญ่สุดของประเทศ เหลือน้ำใช้แค่เพียง 10.42% ของความจุเขื่อน

ถือเป็นปริมาณที่น้อยสุดในรอบ 51 ปี นับตั้งแต่มีการสร้างเขื่อนแห่งนี้ โดยคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องไปอีก เพราะต้องระบายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ วันละ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร

ปริมาณน้ำที่เหลือแค่เพียง 1,006 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือราวร้อยละ 10.42 ของความจุเขื่อนที่จุได้ทั้งสิ้น 13,462 ล้านลูกบาศก์เมตร ยามนี้แทบจะไม่มีน้ำใหม่ไหลเข้าเขื่อนเลย หากทางเขื่อนยังต้องระบายน้ำอย่างต่อเนื่องอีกหลายเดือน จนถึงช่วงฤดูฝน ก็จะเหลือน้ำไม่ถึง 500 ล้านลูกบาศก์เมตร

แม้ขณะนี้จะมีปริมาณฝนตกในบางพื้นที่ แต่ปริมาณน้ำที่จัดเก็บตามเขื่อนต่างๆยังมีไม่มากพอ ทางการจึงขอร้องให้ชาวนาเว้นการทำนา เพราะมีความเสี่ยงเรื่องภัยแล้งสูง แต่แนะนำให้หันไปปลูกพืชเกษตรอย่างอื่นที่ใช้น้ำน้อยแทน

แต่ชาวนาจำนวนมากเห็นว่าการทำนาเป็นอาชีพที่พวกเขาถนัด และทำมาทั้งชีวิต จะให้หันไปทำอย่างอื่นที่ไม่ถนัด ก็เกิดคำถามตามมาว่า จะได้ผลผลิตและราคาคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงอีกรูปแบบ ที่พวกเขาต้องเผชิญเช่นกัน

นอกจากรัฐบาลจะวางแผนให้ครอบคลุมและชัดเจน ว่า พื้นที่เสี่ยงขาดน้ำทางการเกษตรใดบ้าง ควรหันไปปลูกพืชชนิดใด และมีตลาดรองรับอย่างไร หรืออีกนัยเป็นการรับประกันระดับหนึ่งว่า ถ้าเปลี่ยนจากทำนาไปปลูกพืชชนิดอื่นแล้ว ผลผลิตที่ออกมาขายได้แน่ ไม่ขาดทุน จึงจะสร้างความเชื่อมั่นและแก้ปัญหาได้ตรงจุด

ดังนั้น ถ้ามองให้ทะลุปัญหา สถานการณ์ยามนี้ ใช่รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีน้ำให้ทำการเกษตร ไฉนเกษตรกรไทยหลายคนยังคงดื้อตาใส ฝืนทำกันอีก ก็เพราะคำตอบแจ้งชัดอยู่ในตัว การขอความร่วมมือโดยไม่มี ทางออกให้ ย่อมไม่ทำให้พวกเขาปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกได้ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาจำต้องยอมเสี่ยงเพื่อหาเลี้ยงชีพ ดีกว่ารอคอยอย่างไร้ความหวัง

จ.ส.อ.อนันต์ ดอกกุหลาบ อาสาเกษตรและสมาชิกสภาเทศบาลตำบลวังยาง อ.ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี บอกว่า ยามนี้ไม่เพียงชาวนาในหลายพื้นที่ เดือดร้อนไม่มีน้ำใช้ทำนา หากสถานการณ์น้ำแล้งยังเป็นเช่นนี้ต่อไปในระยะยาว ไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ของเกษตรกรที่ปลูก “แห้ว” จะได้รับผลกระทบไปด้วยหรือไม่

เขาบอกว่า โชคดีตรงที่แห้วเป็นพืชอยู่ใต้ดิน ถ้ายังไม่พร้อมจะเก็บเกี่ยวผลผลิต ก็ยังสามารถเก็บรอเอาไว้อย่างนั้นได้นานเป็นปี แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเก็บไว้ในสภาพที่มีน้ำหล่อเลี้ยงด้วย

ถ้าน้ำแล้งจัด จนดินแยกแตกระแหง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ชาวนาแห้วอาจต้องงมผลผลิตขึ้นมาขาย แต่เมื่อไม่สามารถงมผลผลิตขึ้นมาได้ เพราะผืนดินแข็งโป๊ก อาจทำให้ต้องหวนกลับไปใช้วิธีการแบบเก่า เหมือนเมื่อครั้งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้วอีก

“เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ที่ศรีประจันต์เคยแล้งจัดอยู่ครั้ง แต่ก็ยังไม่แล้งมากเท่าปีนี้ ผมยังจำได้ว่าคนปลูกแห้วไม่สามารถงมแห้วจากใต้ดินขึ้นมาได้ ต้องใช้จอบขุดขึ้นมา ซึ่งทำให้ผลผลิตเสียหายมาก”

จ่านันต์บอกว่า ทุกวันนี้เกษตรกรนาแห้วที่ศรีประจันต์ ต่างแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการขุดบ่อนำน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ปลูกแห้ว บางจุดขุดลึกลงไปเพียง 30 เมตรก็เจอตาน้ำ แต่บางจุดต้องขุดลึกลงไปถึง 60 เมตร โดยค่าขุดบ่อบาดาล มีค่าใช้จ่ายตกบ่อละไม่ต่ำกว่า 20,000-30,000 บาท

ในแง่ของการหาน้ำมาทำนาแห้ว ยามนี้เกษตรกรถือว่าพอเอาตัวรอดได้อีกสักประมาณ 2-3 เดือน จากนั้นน้ำบาดาลใต้ดินจะแห้งขอดไม่สามารถใช้ได้อีก ดังนั้น สิ่งที่ชาวนาแห้วต้องการเหนืออื่นใดยามนี้ก็คือ ตลาดหรือโอกาสในการระบายสินค้า

อนันต์บอกว่า เกษตรกรนาแห้วกว่า 3 พันไร่ ที่ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี ขอฝากขอบคุณไปยังนายกรัฐมนตรีอย่างสูง ที่ก่อนหน้านี้ได้หาทางผลักดันให้แห้วกลายเป็นพืชประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ในรูปของจีไอหรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของจังหวัด และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้นำผลผลิตแห้วต้ม และแห้วแปรรูปไปขายที่ตลาดนัดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ทำให้มีออเดอร์สั่งซื้อ หรือช่วยระบายผลผลิตไปได้ระดับหนึ่ง

แต่เขาบอกว่า อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือเช่นนี้ไปอย่างต่อเนื่อง

“ปริมาณผลผลิตแห้วที่รัฐบาลช่วยหาทางระบายให้เป็นเพียง 1 ใน 4 ส่วน ยังเหลือผลผลิตตกค้างอยู่ใต้ดินอีก 3 ส่วน ทาง ธ.ก.ส.เองก็เห็นใจผ่อนผันให้ผู้ปลูกแห้วส่งแค่ดอกเบี้ย เวลานี้ปัญหาใหญ่ของแห้วจึงอยู่ที่ตลาดรองรับที่ไม่เพียงพอต่อผลผลิต ถ้ารัฐบาลจะกรุณาต่อเนื่อง ช่วยหาช่องให้มีที่ขาย พวกเราก็รอดตาย”

นอกจากแห้ว ยังมี “กระจับ” ดูเหมือนจะเป็นผลิตผลทางการเกษตรที่ออกอาการใกล้เดี้ยงจากภัยแล้งและตลาดรับซื้อ…หนักหน่วงกว่าสถานการณ์ของ “แห้ว” หลายเท่านัก

ประสาร เพชรมอญ สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ และประธานสหกรณ์การเกษตรศรีประจันต์ จำกัด บอกว่า สถานการณ์ของกระจับก็คล้ายคลึงกับแห้ว ตรงที่ขาดน้ำไม่ได้ และหาตลาดรับซื้อได้ยาก

“แห้วยังฝังหัวอยู่ในดินเลน ดินโคลนได้ แต่กระจับต้องลอยน้ำอยู่ในบึง ในบ่อ หรือหนองน้ำกลางทุ่งจึงจะรอด แถมแห้วยังได้เปรียบกว่าตรงที่ดูแลรักษาง่าย ถ้ายังไม่เก็บเกี่ยว สามารถทิ้งไว้ใต้ดินรอเวลาได้ แต่กระจับนอกจากดูแลยากกว่า เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ต้องเก็บให้หมดภายใน 5 วัน เพราะถ้าทิ้งต้นหรือละขั้วแก่พร้อมกัน 5-6 ฝัก ถ้าไม่เก็บจะร่วงลงน้ำหมด เท่ากับบังคับให้ต้องเก็บผลผลิตพร้อมกันทีละเยอะๆ”

ประสารบอกว่า พื้นที่ปลูกกระจับที่ อ.ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 100 กว่าไร่ เหตุที่คนนิยมปลูกน้อย เป็นเพราะที่ดินบริเวณนั้นลุ่มมากจนไม่เหมาะจะปลูกทั้งข้าวและแห้ว จึงต้องปลูกกระจับ

“เกษตรกรปลูกกระจับ เป็นกลุ่มที่น่าเห็นใจมาก นอกจากไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก ผลผลิตที่ออกมาก็ยังราคาไม่แน่นอน และขายไม่ได้ราคา ยกตัวอย่างเมื่อปลายปีที่แล้ว ราคาพอไปได้ อยู่ที่ตันละ 12,000 บาท แต่ตอนนี้ร่วงลงมาเหลือแค่ตันละ 8,000 บาท แถมกระจับยังเป็นพืชที่ขาดน้ำไม่ได้เลย คนปลูกต้องขุดบ่อบาดาลปล่อยน้ำมาหล่อเลี้ยงตลอดเวลา”

เขาบอกว่า ผลผลิตแห้ว ถ้าเลือกเจาะตลาดกับผู้ที่มีกำลังซื้อ ยังพอสามารถขยายได้ทั้งภายในและต่างประเทศ เพราะเป็นเมนูยอดนิยม ในอาหารจำพวก สลัด ซึ่งมีตลาดกว้าง สามารถขายได้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ อย่างญี่ปุ่น อเมริกา และเกาหลี ซึ่งนิยมกินแห้วกับสลัดผัก

ตรงข้ามกับกระจับ นอกจากจะปลูกและดูแลรักษายากกว่าแห้ว นำไปแปรรูปก็ยาก ต้องนำไปต้ม หรือเชื่อมเท่านั้น ชาวต่างชาติก็ยังกินกันไม่ค่อยเป็น ทำให้ส่งออกไม่ได้ แถมตลาดรับซื้อในประเทศก็ยังจำกัดกว่าแห้ว

“ลำพังสถานการณ์น้ำแล้งปีนี้ คนปลูกกระจับต้องดิ้นรนหาทางช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งนับว่าหนักพออยู่แล้ว เป็นไปได้อยากให้รัฐบาลหาทางช่วยเหลือเกษตรกรกลุ่มนี้ ที่กำลังจะสูญพันธุ์ หรือลมหายใจริบหรี่เต็มที โดยพ่วงความช่วยเหลือไปพร้อมกับคนปลูกแห้ว” ประสารวิงวอน.

พาราควอตผิดหรือคนผิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/578578

โดย สะ-เล-เต 18 ก.พ. 2559 05:01

 

อย่างที่บอกไปเมื่อวันวาน…พาราควอต มีข้อเด่นสามารถกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกได้ โดยพืชหลัก พืชทำเงินไม่ได้รับผลกระทบ ถึงจะซึมลงดิน พืชเศรษฐกิจยังอยู่ได้ เพราะไม่มีฤทธิ์ทำลายรากพืช ทำลายเฉพาะใบหรือกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชเท่านั้น

จึงเป็นที่นิยมของเกษตรกร ช่วยลดต้นทุนกำจัดวัชพืชได้มากกว่าวิธีอื่น แต่ไม่วายยังมีคนบางกลุ่มบางองค์กรยังคงเดินหน้าต่อต้านพาราควอต …ด้วยเหตุผลเป็นอันตรายต่อมนุษย์แต่อันตรายแบบไหน วิธีไหน!!??

รายงานขององค์การอนามัยโลก ระบุระดับการตกค้างในพืช อาหาร และน้ำดื่ม ที่เกิดจากการใช้พาราควอตทางการเกษตรตามคำแนะนำ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของเด็กและประชาชนทั่วไป

องค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา ระบุระดับความเป็นพิษทางการหายใจ จากการศึกษากับสัตว์ทดลอง ขนาดของละอองสารที่เกิดจากการฉีดพ่นพาราควอตทางการเกษตร (ขนาด 400-800 ไมครอน) มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ความเป็นพิษในระยะยาวไม่พบว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ไม่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ ไม่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ และไม่มีผลต่อระบบประสาท

ส่วนบ้านเรา การสัมมนาเรื่อง “บทบาทของพาราควอตต่อพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย” จัดโดยสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย ศ.นพ.วินัย วนานุกูล ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี นำข้อมูลปี 2553-57 มาแจกแจง…ผู้ป่วยที่มารักษาด้วยภาวะพิษจากสารเคมีปราบศัตรูพืช 28,488 คน มาจากสารกำจัดแมลง 47.4%…มาจากสารกำจัดวัชพืช 31.7% หรือ 9,023 คน

สารกำจัดวัชพืชที่ทำให้คนเสียชีวิตมากที่สุด…พาราควอต ตามมาด้วย ไกลโฟเสต

และสาเหตุที่ให้คนได้รับพิษจากพาราควอต…ตั้งใจกิน หวังฆ่าตัวตาย 78.4%…จากอุบัติเหตุ 17.3%…จากการทำงาน 3.3%

เมื่อเป็นเช่นนี้เกษตรกรเลยเกิดคำถาม พาราควอตมีไว้ฆ่าหญ้า คนเอามาใช้ฆ่าตัวตาย เอ็นจีโอต้องการแบน…ปืน รถยนต์ ที่ทำให้คนไม่อยากตาย ไม่รู้อีโหน่อีเหน่โดนลูกหลงตายทุกวัน ตายมากกว่าพาราควอต ทำไมถึงไม่รณรงค์ให้แบน ห้ามมี ห้ามใช้กันบ้าง…

สะ–เล–เต

“มะขามเปรี้ยวฝักโค้ง” ใหญ่ยาวเนื้อเยอะคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/578582

โดย นายเกษตร 18 ก.พ. 2559 05:01

 

กระแส การปลูกมะขามรสเปรี้ยวยังคงเฟื่องฟูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมะขามเปรี้ยวที่มีผลหรือฝักใหญ่ยาวจะได้รับเลือกไปปลูกเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากจะให้เนื้อเยอะเมื่อนำผลสุกไปแกะเอาเนื้อแปรรูปทำเป็นมะขามเปียกได้จำนวนมากและได้ราคาดี ซึ่ง “มะขามเปรี้ยวฝักโค้ง” เป็นสุดยอดของมะขามเปรี้ยวที่มีดอกและติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาลจนเป็นสายพันธุ์ มะขามเปรี้ยวยอดนิยมของผู้ปลูกเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

มะขามเปรี้ยวฝักโค้ง หรือ TAMARINDUS INDICA LINN. ชื่อสามัญ TAMARIND, INDIAN DATE อยู่ในวงศ์ LEGUMINOSAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 8-15 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่น เนื้อไม้เหนียว ใบเป็นใบประกอบออกเรียงสลับ มีใบย่อย 10-20 คู่ รูปขอบขนานค่อนข้างยาว ดอกเป็นสีเหลืองแกมส้ม ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน มีเกสรตัวผู้สมบูรณ์ 3 อัน “ผล” เป็นฝักใหญ่และยาวโค้งไม่เป็นฝักตรงเหมือนสายพันธุ์อื่น เปลือกผลหนา แข็ง เปราะ สีน้ำตาลหรือน้ำตาลอมเทา เนื้อดิบและสุกมีรสเปรี้ยวจัด เนื้อหนาแน่นละเอียด แต่ละฝักจะมีเมล็ดตั้งแต่ 15–17 เมล็ด มีดอกและติดผลช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม เป็นต้นไป ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และทาบกิ่ง มีกิ่งตอนขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร” โทร. 08– 6605–4945 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูก เพื่อเก็บผลใช้ประโยชน์ในครัวเรือน หรือมีที่ว่างมากๆ ปลูกหลายๆต้นเก็บผลดิบและผลสุกแกะเอาเนื้อแปรรูปทำเป็นมะขามเปียกขายได้ราคาดีและคุ้มค่ามาก

ประโยชน์ เปลือกต้นต้มน้ำหรือต้มกับน้ำปูนใสดื่มแก้ท้องเดิน เนื้อไม้เหนียวทำเขียงทนทานใช้ได้นาน ใบต้มน้ำดื่มช่วยย่อยและขับปัสสาวะ ใบผลและดอกเป็นอาหาร เนื้อในฝักเป็นยาระบายอ่อนๆ แก้ไอ ขับเสมหะ เมล็ดคั่วสุกเอาเปลือกหุ้มเมล็ดทิ้งกินเฉพาะเนื้อ ขับพยาธิไส้เดือนดีมาก ซึ่งมะขามทั่วไปมีถิ่นกำเนิดเอเชียและแอฟริกาเขตร้อนครับ.

“นายเกษตร”

ม.อ.สร้างบ่อน้ำยางพารา นทพ.นำขยายทั่วประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/578624

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 ก.พ. 2559 05:01

 

ทหารเตรียมสร้างสระเก็บน้ำแก้ภัยแล้งด้วยยางพารา ส่งทหารฝึกตามแบบโครงการวิจัย เทคโนโลยีเคลือบบ่อเก็บน้ำด้วยน้ำยางธรรมชาติ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) นำยางคอมปาวด์กับน้ำยางสดมาเคลือบผ้าใบป้องกันน้ำซึมได้ผลสำเร็จเป็นอย่างดี

พล.ต.ชิติสรรค์ สุขเกษตร ผอ.สำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (นทพ.) เผยว่า ขณะนี้ นทพ.ได้นำกำลังพลไปฝึกการนำผ้าใบปูในสระน้ำและฝึกผสมน้ำยางคอมปาวด์พ่นทับไปบนผืนผ้าใบแล้วนำผ้าใบมาปูทับอีกชั้นก่อนจะทาทับด้วยน้ำยางสด ในสระน้ำสาธิตที่ทำขึ้นมี 2 แห่ง ใน นทพ.1 ปทุมธานี อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งได้ปรับพื้นที่ให้มีสภาพเป็นหิน เป็นกรวด ที่กักเก็บน้ำไว้ไม่ได้ มีสภาพคล้ายพื้นที่ของภาคอีสานที่มีความแห้ง ดินเก็บน้ำไม่อยู่ เพราะเมื่อทหารของเราสามารถเรียนรู้ขั้นปฏิบัติได้เป็นที่เรียบร้อย ทางกองบัญชาการกองทัพไทย โดย พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผบ.สส. มีนโยบายให้ นทพ.นำไปสร้างขยายผลให้พื้นที่ทั่วประเทศต่อไป

“บ่อน้ำที่ได้ทดลองทำออกมา ปรากฏว่ามีประสิทธิภาพกักเก็บน้ำได้ดี มีความคงทนและประหยัดต้นทุน โดยประมาณการใช้น้ำยางข้น 1 ตันต่อพื้นที่บ่อ 1,000 ตร.ม. มีต้นทุนค่าวัสดุอยู่ที่ 50 บาทต่อ ตร.ม. สามารถใช้เก็บน้ำได้มากกว่า 10 ปี ถึงจะซ่อมแซมหนึ่งครั้ง ในขณะที่ผ้าใบ LDPE ซึ่งนำมาใช้ปูพื้นสระน้ำที่มีขายทั่วไปในท้องตลาดนั้น ราคา ตร.ม.ละ 50 บาทเท่ากัน แต่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 8 ปี และยังไม่รวมค่าแรงติดตั้ง แต่ถ้าหันมาสร้างสระน้ำปูผ้าเคลือบยางพารา นทพ.ทำเองไม่ต้องจ่ายค่าแรง นอกจากจะช่วยประหยัดงบประมาณให้ประเทศชาติ ยังได้ช่วยแก้ปัญหายางพาราตกต่ำให้กับเกษตรกรอีกด้วย และขณะนี้ทาง นทพ.ได้มีการติดต่อขอซื้อน้ำยางพาราผ่านการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ให้จัดซื้อจากเกษตรกรชาวสวนยางในพื้นที่ใกล้เคียง หน่วยทหารพัฒนาการเคลื่อนที่ (นพค.) ซึ่งมีอยู่ 30 แห่งทั่วประเทศโดยตรงเพื่อจะได้นำยางพาราในส่วนนี้มาทำสระนํ้าแก้ปัญหาภัยแล้งให้กับประชาชน” ผอ.นทพ.1 กล่าว

โดยสระที่สร้างขึ้นนี้จะมีขนาดกว้าง 25 ม. ยาว 76 ม. ลึก 3 ม. มีอัตราลาดชัน 1:1.5 สามารถกักเก็บน้ำได้ 4,399 ลบ.ม. โดยมีขนาดพื้นที่ในการเคลือบผิวทั้งหมด 2,189 ตร.ม. ใช้น้ำยางคอมปาวด์ 7,880 กก. น้ำยางพาราสด 5,405 กก. สรุปรวมน้ำยางพาราที่จะใช้ประมาณ 3.6 ลิตร ต่อ ตร.ม.