ตามรอย…พาราควอต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/578145

โดย สะ-เล-เต 17 ก.พ. 2559 05:01

 

แต่ละปีบ้านเรานำเข้าสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชไม่น้อย ปี 2557 นำเข้ามาทั้งในรูปผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปและสารออกฤทธิ์ 2.26 แสนตัน และสารเคมีที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด “สารกำจัดวัชพืช” นำเข้ามาคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 80%

ที่น่าประหลาดใจ ในบรรดาสารกำจัดวัชพืชที่นำเข้ามา ทำไม “พาราควอต” ซึ่งนำเข้ามาเป็นเบอร์ 2 รองจาก “ไกลโฟเสต” ถึงได้ถูกกลุ่มเอ็นจีโอ ผู้อ้างตัวรักษ์โลก พิทักษ์สิ่งแวดล้อม และถนอมชีวิตมนุษย์ ต่อต้านเรียกร้องในการยกเลิกการใช้พาราควอต ด้วยข้ออ้างเป็นสารเคมีอันตรายที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุด…ทั้งที่นำเข้ามาแค่ 1 ใน 3 ของไกลโฟเสต

พาราควอตอันตรายแค่ไหน…เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ วันก่อน สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย ได้จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง “บทบาทของพาราควอตต่อพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย” วันนี้ สะ-เล-เต จะขอนำเรื่องราวมาให้สังคมได้รู้จักพาราควอตในอีกมุม

จุดกำเนิดของพาราควอตได้จุติในปี 2501 โดยบริษัทอังกฤษ และถูกผลิตออกมาจำหน่ายให้ใช้กันครั้งแรกเมื่อปี 2505 ที่มาเลเซีย เพื่อกำจัดหญ้าในสวนยางพารา เพราะกำจัดวัชพืชได้แบบไม่ไปทำลายพืชหลัก

มีคุณสมบัติทำลายการสังเคราะห์แสงของใบไม้ ฉีดต่ำๆ พ่นถูกใบ วัชพืชจะตายภายใน 1 ชั่วโมง รวดเร็วทันใจเหมาะกับพื้นที่ฝนตกชุก ฟ้าเปิดไร้เมฆฝนไม่กี่ชั่วโมงก็กำจัดวัชพืชได้ โดยไม่มีฤทธิ์ทำลายระบบราก…ฉีดไปโดนโคนต้นยาง น้ำยาซึมลงดิน ต้นยางไม่เป็นอะไร

พืชทำเงินไม่ตาย วัชพืชทำลายเงินถูกกำจัด ด้วยมีผลดีเช่นนี้ พาราควอตเลยถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในวงกว้าง และบ้านเรามีการขึ้นทะเบียนให้ใช้สารตัวนี้มาตั้งแต่ปี 2506

แต่แล้วปี 2533 ปลาที่เกษตรกรเลี้ยงตายยกบ่อ มีเสียงตั้งข้อสงสัยพาราควอตที่ฉีดพ่นกำจัดวัชพืชรอบบ่อปลาน่าจะเป็นตัวการสำคัญ…
ผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกลับตรงข้าม พาราควอตไม่ใช่ปัญหา แต่มาจากอากาศหนาวผิดปกติจุลินทรีย์ในน้ำเติบโตเร็ว จนปลาไม่มีอากาศหายใจถึงได้น็อกตายยกบ่อ และปัญหานี้ไม่เกิดแค่ในบ้านเรา ประเทศเพื่อนบ้านเจอเหมือนกันหมด

ถึงความจริงจะกระจ่าง แต่อุดมการณ์ต้านพาราควอตไม่ยอมจบ…ติดตามตอนต่อไป.

สะ–เล–เต

“สตรอเบอรี่แคคตัส” สวยแปลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/578153

โดย นายเกษตร 17 ก.พ. 2559 05:01

 

ผู้อ่านไทยรัฐ จำนวนมากที่ชอบปลูกไม้ประดับจำพวกต้นกระบองเพชร อยากทราบว่าต้น “สตรอเบอรี่แคคตัส” เป็นอย่างไร ซึ่งก็เป็นต้นกระบองเพชรชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่นเฉพาะพันธุ์คือ ขนาดของต้นเล็ก แตกต้นเป็นกอกระจายหลายสิบต้นต่อกอ ลำต้นเป็นสีม่วงอมแดง เวลาแตกต้นเป็นกอจำนวนหลายๆต้นทำให้ดูคล้ายผลสตรอเบอรี่เป็นกระจุกสวยงามน่าชมมาก จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะว่า “สตรอเบอรี่แคคตัส” ดังกล่าว เป็นไม้นําเข้าจากต่างประเทศนานกว่า 2 ปีแล้ว ระบุไม่ได้ว่าเป็นพันธุ์ลูกผสมใหม่หรือพันธุ์แท้ กำลังนิยมแพร่หลายในปัจจุบัน

สตรอเบอรี่แคคตัส มีชื่อเฉพาะคือ SULCOREBUTIA RAUSCHII ลำต้นเป็นรูปทรงกลมขนาดเล็ก ต้นสูงไม่เกิน 2-2.5 นิ้วฟุต ตามลำต้นมีหนามแหลมสั้นกระจายทั่ว แตกต้นเป็นกอเบียดกันหนาแน่นจำนวนมากกว่า 20-30 ต้น
ขึ้นไป ลำต้นเป็นสีแดงอมม่วง

ดอก ออกบริเวณปลายยอดของต้น กลีบดอกเป็นสีแดงอมม่วง เวลามีดอกพร้อมๆกันหลายๆ ต้น จะมีสีสันสวยงามน่าชมยิ่งนัก “ผล” กลมขนาดเล็ก มีเมล็ด ดอกออกได้เรื่อยๆ อยู่ที่ความสมบูรณ์ของต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และเสียบยอดกับตอต้นแก้วมังกร

การปลูก “สตรอเบอรี่แคคตัส” เป็นไม้ชอบแดดจัด 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ชอบนํ้ามากนักจะทำให้รากเน่าตาย หลังปลูกรดนํ้า 7–10 วันครั้ง ในช่วงฤดูฝนต้องยกหลบไม่ให้โดนฝน เพราะไม่ชอบฝน บำรุงปุ๋ยละลายช้าสูตรเสมอ 3-4 เดือนครั้ง จะทำให้ต้น “สตรอเบอรี่แคคตัส” แตกเป็นกอจำนวนมากและมีดอกสวยงาม

ปัจจุบัน “สตรอเบอรี่แคคตัส” กำลังเป็นที่นิยมปลูกอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นแคคตัสหรือต้นกระบองเพชรขนาดเล็กสามารถยกไปตั้งประดับบนโต๊ะทำงานหรือเคลื่อนย้ายได้ง่ายนั่นเอง

มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณตรงกันข้ามกับโครงการ 13 หรือโครงการ 15 แผง “คุณตะวัน” โทร.08-5682-4645 ผู้ขายมีวิธีปลูกแนะนำให้ด้วย ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

เตือนภัย..ไร่มันสำปะหลัง แล้งนี้..ระวังโรคพุ่มแจ้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/578168

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 17 ก.พ. 2559 05:01

 

พุ่มแจ้..แตกตาใบกลางลำต้น.

“บ้านเราไม่เคยมีการประกาศเตือนการระบาดของโรคนี้ เพราะพบการระบาดในพื้นที่เล็กๆเท่านั้น แต่ปีนี้ต้องเตือนเพราะพบการระบาดมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคตะวันออก และบางอำเภอของกำแพงเพชร นครราชสีมา ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ที่สำคัญเกษตรกรยังเข้าใจผิด คิดว่าใบมันสำปะหลังที่แห้งเหี่ยว หงิกงอ มีการแตกตาใหม่ตามลำต้น น่าจะเป็นผลมาจากภัยแล้ง จริงๆแล้วมันมาจากการติดเชื้อไฟโตพลาสมา การติดต่อของโรคนี้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากคนเป็นไข้เลือดออก”

ท่อนพันธุ์ติดเชื้อ.

ไข้เลือดออกมียุงลายเป็นพาหะนำโรคมาสู่คน ส่วนโรคพุ่มแจ้ ดร.จรรยา มณีโชติ หัวหน้าโครงการวิจัยการบริหารจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการในมันสำปะหลัง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บอกว่า …มีเพลี้ยจักจั่นเป็นพาหะนำโรคมาสู่ต้นมันสำปะหลัง

เพลี้ยจักจั่น.

เพลี้ยจักจั่นดูดกินต้นมันสำปะหลังที่มีโรคจะพกพาเชื้อถ่ายทอดไปยังต้นอื่นที่มันกัดกินได้เรื่อยๆ ผลที่ตามมาเชื้อจะเข้าไปอาศัยและขยายพันธุ์อยู่ในท่อลำเลียงอาหารของต้นมันฯ ทำให้ท่ออาหารอุดตัน กลายเป็นสีน้ำตาลและดำ ไม่สามารถส่งอาหารไปยังใบได้ ยอดใบเลยแห้งเหี่ยวหงิกงอ เพื่อความอยู่รอดต้นมันฯเลยหาทางออกด้วยการแตกตาใบเล็กๆออกมาเป็นพุ่มตามลำต้น เลยได้ชื่อว่า…พุ่มแจ้

เมื่อใบแห้งเหี่ยวสังเคราะห์แสงไม่ได้ หัวมันฯจะไม่โต ผลผลิตลดลงจากที่เคยได้ไร่ละ 5 ตันจะเหลือแค่ 1 ตัน…และถ้าเชื้อลุกลามลงไปถึงหัวใต้ดิน จะขายไม่ได้ราคา โรงงานไม่เอา เพราะเปอร์เซ็นต์แป้งเหลือน้อย

“ช่วงนี้หลายพื้นที่กำลังจะลงปลูกใหม่ จึงขอเตือนเรื่องการนำท่อนพันธุ์มาใช้ปลูก ต้องมั่นใจว่าปลอดโรค ต้องไม่ใช้ท่อนพันธุ์จากแหล่งที่มีโรคนี้ระบาด สังเกตได้จากท่อนพันธุ์มีการแตกตาด้านข้างเยอะมากแค่ไหน ปกติท่อนพันธุ์จะแตกตาเฉพาะที่ส่วนยอดข้างบนแค่ 2-3 ตาเท่านั้น ถ้ามีการแตกตามาก แตกตาถี่บริเวณกลางท่อนพันธุ์ให้สงสัยไว้ก่อน ติดเชื้อแน่ อย่านำมาปลูกเด็ดขาด”

วัชพืช สาบม่วง.

การเตรียมดิน ดร.จรรยาแนะนำให้กำจัด “ต้นสาบม่วง” วัชพืชที่พบมากที่สุดในไร่มันสำปะหลังให้หมด จะใช้วิธีถาง ไถกลบ หรือใช้สารเคมีกำจัดแล้วแต่ความสะดวก…เพราะต้นสาบม่วงเป็นบ้านที่เพลี้ยจักจั่นชอบมาอยู่อาศัย รอเวลาไปกัดกินแพร่เชื้อโรคพุ่มแจ้ให้ต้นมันฯ

ลงปลูกไปแล้ว ให้คอยสังเกตการแตกกิ่งของท่อนพันธุ์ กิ่งที่แตกออกมามีข้อสั้นผิดปกติ ใบเหลืองหรือเปล่า ถ้ามีให้ถอนออก นำไปเผาทิ้งหรือฝังกลบทำลาย

เชื้อลามลงไปถึงหัวมันฯ.

ปลูกไปแล้ว 4 เดือน ต้นมันฯมีการแตกกิ่ง …กิ่งไหนมีการแตกตาพุ่มแจ้ให้หักทิ้ง แต่ให้หักใต้รอยแตกตาลงมา 30 ซม. เพื่อป้องไม่ให้เชื้อลามไปถึงหัวมันฯ และหมั่นเข้าแปลงตรวจอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนต้นอายุได้ 6-7 เดือน ถือว่าปลอดภัยไม่ต้องกังวลอีกแล้ว

แต่ถ้าต้องการเก็บต้นมันฯไว้เป็นท่อนพันธุ์ปลูกในฤดูถัดไป ต้องเดินตรวจหักกิ่งมีพุ่มแจ้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะขุดผลผลิตไปขาย.
ชาติชาย ศิริพัฒน์

“จำปีแดงใหม่” ดอกใหญ่ สีเข้มหอมทั้งปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/577628

โดย นายเกษตร 16 ก.พ. 2559 05:01

 

ไม้ต้นนี้ พบมีวางขายมีภาพถ่ายดอกจริงและป้ายชื่อเขียนติดไว้ว่า “จำปีแดงใหม่” ผู้ขายบอกว่าเป็นคนละต้นกับจำปีแดงที่ “นายเกษตร” เคยแนะนำในคอลัมน์ ซึ่งผู้ขายได้แจกแจงข้อแตกต่างให้ฟังว่า สีสันของดอก “จำปีแดงใหม่” จะเป็นสีแดงเข้มอมม่วงดูสวยงามกว่า ขนาดของใบใหญ่กว่า และที่สำคัญ “จำปีแดงใหม่”ยังเป็นไม้พุ่มไม่ใช่ไม้ยืนต้น ปลูกลงดินกลางแจ้งต้นสูงไม่เกิน 4 เมตร ปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งประดับในที่มีแสงแดดส่องถึงทั้งวัน ต้นสูงไม่เกิน 2 เมตร สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ทั้งที่สูงที่ราบตํ่าของประเทศไทย

จำปีแดงใหม่ อยู่ในวงศ์แม็กโนเลียทั่วไป เป็นไม้พุ่มสูงไม่เกิน 4 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับหนาแน่นช่วงปลายกิ่ง ใบเป็นรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลมโคนใบสอบ เนื้อใบหนา ใบมีขนาดใหญ่ ขอบใบเรียบเป็นคลื่น ใบดกน่าชมมาก
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกมีขนาดใหญ่ มีกลีบดอก 8-12 กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น เนื้อกลีบดอกหนาเป็นสีแดงเข้มอมสีม่วงตลอดทั้งกลีบดอก ดอกตูมเป็นรูปกระสวย มีเกสรตัวเมีย 10-13 อัน ดอกมีกลิ่นหอมแรง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะมีสีสันเจิดจ้าสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ประทับใจมาก ซึ่งผู้ขายยืนยันว่าดอกออกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด เป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศนานกว่า 3 ปีแล้ว เหมาะจะปลูกประดับทั้งแบบลงดินกลางแจ้งและปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตามที่กล่าวข้างต้น เป็นไม้ไม่ชอบนํ้ามากนัก ดังนั้นหลังปลูกจึงควรรดนํ้าวันละครั้ง หรือวันเว้นวัน บำรุงปุ๋ยมูลสัตว์โรยรอบโคนต้นเดือนละครั้งสลับกับใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ครึ่งเดือนครั้ง จะทำให้ต้น “จำปีแดงใหม่” แข็งแรงและมีดอกสวยงามส่งกลิ่นหอมไม่ขาดต้น

ปัจจุบัน “จำปีแดงใหม่” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 11 แผง “คุณหมู” โทร.08-1861-6644 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

เชื้อรารุกมะพร้าว+ปาล์ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/577632

โดย สะ-เล-เต 16 ก.พ. 2559 05:01

 

ช่วงฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน มีทั้งร้อน หนาว ฝนในวันเดียวกัน กรมวิชาการเกษตรฝากเตือนพี่น้องชาวสวนมะพร้าว ช่วงนี้ให้ระวังโรคผลร่วง…โดยเฉพาะช่วงมีแดดสลับฝน

จะมีเชื้อราเข้าไปทำลายขั้วผล เกิดแผลสีน้ำตาลแห้ง ลุกลามไปเรื่อยๆ ทำให้ผลเน่าร่วงหล่น ส่วนในผลที่ยังไม่มีเนื้อมะพร้าว เชื้อราจะรุกเข้าทำลายเปลือก กะลาอ่อน สุดท้ายเนื้อเน่าเสียหาย ที่สำคัญโรคนี้มักจะพบในมะพร้าวให้ผลรอเก็บเกี่ยว ไม่ระวังป้องกันให้ดีน้ำตาร่วงแน่

ฉะนั้น ช่วงนี้ให้เอาใจใส่ หมั่นดูลูกมะพร้าว ก้าน ใบ เมื่อพบโรคอย่าไปเสียดาย ให้ตัดทิ้ง เผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที เช่นเดียวกับลูกมะพร้าวที่ร่วงจากต้น ถ้าอาการรุนแรงมาก ดูแล้วรอดยาก ก็ตัดทำลายต้นทิ้ง นำออกจากแปลงปลูกได้เลย และฉีดพ่นสารป้องกันโรคด้วยฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 80-100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารเมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50-60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

ข้อควรจำ พยายามตัดแต่งคอมะพร้าวให้สะอาด โปร่ง โล่ง แสงส่องเข้าถึง

ส่วนปาล์มน้ำมัน ให้ระวังต้นวัยอ่อน อายุ 3-5 เดือน มักมีโรคใบไหม้ระบาด เริ่มจากมีจุดสีเหลืองเล็กๆกระจายทั่วใบ จากนั้นค่อยๆขยายขนาดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หากรุนแรงแผลจะขยายรวมตัวกัน ทำให้ใบไหม้แห้ง ม้วนงอ เปราะฉีกขาดง่าย ต้นกล้าชะงักการเติบโต ตายในที่สุด หากพบให้นำออกจากแปลงไปเผาทำลายทันที

หนทางป้องกันที่ดีที่สุด เกษตรกรต้องหมั่นใส่ปุ๋ยบำรุงต้นกล้าให้สมบูรณ์แข็งแรงจะได้มีแรงต่อสู้กับโรคได้ หากพบใบเกิดอาการของโรค แม้จะเล็กน้อยให้ตัดส่วนนั้นเผาทำลาย

และเมื่อทำทุกทางแล้วโรคยังระบาดอยู่อีก ให้พ่นสารแมนโคเซบ 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออะซอกซี่สโตรบิน+ไดฟีโนโคนาโซล 20% +12.5% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไทแรม 80% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือแคปแทน 50% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน

แต่มีข้อแม้ ห้ามพ่นสารชนิดเดียวต่อเนื่องนานเกินไป ให้สลับใช้ชนิดสาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา และงดการให้น้ำด้วยระบบพ่นฝอย เพราะจะทำให้เชื้อราฟุ้งกระจายระบาดในวงกว้าง ควรเปลี่ยนใช้ระบบน้ำหยด หรือใช้คนรดน้ำแทนจะดีกว่า.

สะ–เล–เต

โรง​หมัก​ปุ๋ย​เติม​อากาศ ย่อ​ส่วน 5 แสน​เหลือ 5 พัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/577663

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 16 ก.พ. 2559 05:01

 

ปุ๋ย​หมัก​มี​กระบวนการ​ผลิต​หลาย​รูป​แบบ แต่​ระบบ​การ​เติม​อากาศ​โดย​ใช้​พัดลม​เป็น​อีก​รูป​แบบ​หนึ่ง​ที่​น่า​สนใจ ต้นทุน​ต่ำ สามารถ​ผลิต​ปุ๋ย​หมัก 1.5 ตันได้​ทุก​เดือน โดย​ไม่​ต้อง​เสีย​แรงงาน​ใน​การก​ลับ​กอง​ปุ๋ย​หมัก

เป็น​โรง​หมัก​ปุ๋ย​เติม​อากาศ​ที่​ถูก​พัฒนา​ขึ้น​โดย นาย​ภัชญภณ หมื่น​แจ้ง ผอ.​กลุ่ม​วิจัย​ปฐพี​วิทยา กรม​วิชาการ​เกษตร ร่วม​กับ ศูนย์วิจัย​และ​พัฒนาการ​เกษตร​มหาสารคาม สร้าง​ขึ้น​มา​ใน​รูป​แบบ​ง่ายๆที่​เกษตรกร​สามารถ​ทำได้​เอง เป็น​โรง​เรือน​ขนาด​กว้าง 1.1 ม. ยาว 1.4 ม.​ และ​สูง 1.0 ม.

โครงสร้าง เสา ​และ​คาน​ทำ​ด้วย​ไม้​ยู​คาฯ หลังคา​มุง​ด้วย​สังกะสี ผนัง​กรุ​ด้วย​กระเบื้อง​แผ่น​เรียบ พื้น​โรง​เรือน​ปู​ด้วย​แผ่น​พื้น​สำเร็จ ตรง​กลาง​เว้น​ช่อง​วาง​ตะแกรง​ระบบ​เติม​อากาศ​จาก​ปั๊ม​ลม​ขนาด 0.5 แรงม้า ที่มา​ทาง​ท่อ​พี​วี​ซี​ขนาด 4 นิ้ว ทั้งหมด​นี้​มี​ต้นทุน​แค่ 5,800 บาท สามารถ​หมัก​ปุ๋ย​ได้ 1.5 ตัน​ต่อ​ครั้ง

ปุ๋ย​หมัก​ที่​ใช้ได้​ผล​ดี เป็น​สูตร​ใช้​มูล​ไก่ 200 กก. มูลสัตว์​อื่นๆ 200 กก. ขุย​มะพร้าว หรือเศษ​ใบไม้ 100 กก. (สัดส่วน 2:2:1 โดย​น้ำหนัก) จาก​นั้น​เติม​น้ำ​ให้​เปียก​ชุ่ม​จน​สามารถ​ปั้น​เป็น​ก้อน​ได้ แต่​เมื่อ​ใช้​หัวแม่มือ​กด​จะ​แตก​ได้​ง่าย จาก​นั้นจึง​นำ​ไป​ใส่​ใน​ซอง​หมัก​ใน​โรง​เรือน​ที่​สร้าง​ไว้​จน​เต็ม​เสมอ​ขอบ​ซอง​หมัก อย่า​ย่ำ​ลง​ไปบน​กอง​เพื่อ​อินทรีย์​จะ​ได้​มี​ช่อง​ว่าง​เหมาะสม​ให้​อากาศ​สามารถ​กระจาย​ได้​อย่าง​ทั่วถึง

การ​เปิด-ปิด​ระบบ​เติม​อากาศ​ให้​ทำ​วัน​ละ 6 ครั้ง ครั้งละ 1 ชม. และ​เติม​น้ำ​ทุกๆ 7 วัน โดย​การ​พ่น​น้ำ​ด้าน​บน​กอง​ให้​ชุ่ม หรือ​อาจ​ติด​หัว​สปริงเกอร์พ่นน้ำ เพื่อ​ป้องกัน​ผิว​หน้า​กอง​ปุ๋ย​หมัก​แห้ง ครบ 30 วัน ให้​นำ​ปุ๋ย​ออก​มา​วางกระจาย เป็นกอง​เล็กๆ ขนาด​กว้าง 1.5 ม. สูง 50 ซม. ความ​ยาว​ขึ้น​อยู่​กับ​ขนาด​ของ​พื้นที่ เพื่อ​รอ​ให้​ปุ๋ย​หมัก​ย่อย​สลาย​สมบูรณ์​อีก 30-45 วัน จึง​นำ​ไป​ใช้ได้

ผล​การ​วิเคราะห์​ปุ๋ย​หมัก​แบบ​เติม​อากาศ​ด้วย​วิธี​นี้ นาย​ภัชญภณ เผย​ว่า มี​ค่า​กรด-ด่าง 6.5-8.32 ความชื้น 5.9-20% ไนโตรเจน 1.3-4.67% ฟอสเฟต 1.2-5.5% โพแตส 1.1-3.56% และ​โซเดียม 0-0.30% ปริมาณ​โลหะ​หนัก​ต่ำ​กว่า​มาตรฐาน โดย​มี​ต้นทุน​ค่า​ไฟฟ้า​ใน​การ​เติม​อากาศ​ของ​ปั๊ม​ลม​อยู่​ที่​เดือน​ละ 200-300 บาท

สนใจ​วิธีการ​สร้าง​โรง​เรือน​หมัก​ปุ๋ย​เติม​อากาศ สอบ​ถาม​ได้ที่ ศวพ.​มหาสารคาม 08-9712-0595, 08-1116-4338 นอกจาก​จะ​มี​โรง​หมัก​ปุ๋ย​ขนาด​เล็ก ต้นทุน 5,800 บาท​แล้วยัง​มี​ขนาด​กลาง​ผลิต​ปุ๋ย​หมัก​ได้​ครั้ง​ละ 30 ตัน ค่า​ก่อสร้าง 200,000 บาท และ​ขนาด​ใหญ่ 100 ตัน ต้นทุน 500,000 บาทด้วย.

หนอนในหอย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/577231

โดย สะ-เล-เต 15 ก.พ. 2559 05:01

 

ทำเอาผู้บริโภคผวาไปตามๆกัน กับคลิปที่มีการส่งต่อทางไลน์ในสมาร์ทโฟน เจอ “พยาธิในปูส้มตำ” แต่ความจริงเป็นปลิงเข็มในปูน้ำจืด ตามมาด้วยคลิป “พยาธิในหอยแมลงภู่” แต่เมื่อพิจารณาให้ดีมันคือส่วนอวัยวะภายในของหอยเอง

ล่าสุด คลิปกินหอยนางรมสดเจอหนอนแดงๆ เหมือนพยาธิเต้นกระดืบๆอยู่ใต้เนื้อหอย…มันคืออะไรกันแน่ ผอ.มนทกานติ ท้ามติ้น
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งเพชรบุรี (ศพช.เพชรบุรี) อธิบาย การสังเกตจากภาพไม่ใช่หอยนางรมที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทยแน่ เพราะรูปร่างเปลือกและเนื้อหอยไม่เหมือนหอยสายพันธุ์ที่มีในบ้านเรา

ส่วนสัตว์ที่เต้นกระดืบๆ ไม่ชัดเจนว่าพยาธิหรือหนอน แต่ถ้าให้วิเคราะห์น่าจะเป็น “หนอนทะเล” ที่มักจะพบติดมากับหอยนางรมที่สดมากๆ และทำความสะอาดไม่ดีก่อนนำให้ลูกค้า

เพราะโดยธรรมชาติของหอยนางรมมักจะมีสัตว์หลายชนิดมาขออยู่อาศัยด้วย มาสร้างบ้านเป็นท่อแคลเซียมเล็กๆบนเปลือก หรือไม่ก็มาอยู่อาศัยตามรอยแตก รอยขรุขระบนเปลือกหอยนางรม และหนอนพวกนี้มีหลายชนิด หลายขนาด เวลาที่ชาวประมงหาหอยสดๆมาขาย ถ้าล้างไม่สะอาด ไม่ทั่วถึง หนอนจะยังคงอยู่บนเปลือก อาจจะเลื้อยย้ายเข้าไปซ่อนอยู่ในหอย

แต่หนอนพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นปรสิตกับหอยนางรมหรือกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของหอย และของคนกินหอย สามารถเขี่ยทิ้งไปได้ และร่างกายมนุษย์ยังมีระบบน้ำย่อยที่ทำลายสัตว์พวกนี้ได้อยู่แล้ว คงไม่สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ถึงขั้นเสียชีวิตได้

และการนำหอยมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภคกินกันสดๆได้อย่างปลอดภัย ผอ.มนทกานติ แนะนำให้ใช้ระบบ depuration หรือล้างหอยด้วยการพักในน้ำจืดที่สะอาดโดยการไหลผ่าน เพื่อให้หอยคายสิ่งสกปรก และลดปริมาณแบคทีเรียลงก่อนนำไปจำหน่าย เป็นระบบที่นิยมและได้รับการยอมรับกันมากในยุโรป

สำหรับบ้านเรา โครงการเลี้ยงหอยแครงแปลงใหญ่ของ ศพช.เพชรบุรี ได้นำระบบ depuration มาใช้ทำความสะอาดเพื่อเพิ่มมูลค่าหอยแครงด้วยเช่นกัน.

สะ–เล–เต

โลกร้อน..เมฆเปลี่ยน งานหนัก..กรมฝนหลวงฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/577332

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 ก.พ. 2559 05:01

 

วันนี้ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักหล่อเลี้ยงเจ้าพระยาเหลือน้ำใช้การได้ 3,200 ล้านคิว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มั่นใจสามารถบริหารจัดการให้เพียงพอต่อการทำประปา รักษาระบบนิเวศ ผลักไล่น้ำเค็ม และตุนเก็บไว้ใช้ต้นหน้าฝน…แต่เพียงพอแบบกระเหม็ดกระแหม่ มีเศษน้ำเหลือให้ใช้ฉุกเฉินได้อีก 300 ล้านคิว

แต่อย่าเพิ่งนอนใจ นี่ยังไม่เผื่อกรณีกรมชลประทานต้องจำยอมปล่อยน้ำให้นาปรังอีก 2 ล้านไร่…นาปรังปีที่แล้ว 6 ล้านไร่ บอกว่าไม่จ่ายน้ำ แต่สุดท้ายต้องให้ไป 4,000 ล้านคิว

ปีนี้ถ้ายังเกรงใจกันอีก ก็ต้องปล่อย 1,000 ล้านคิว…แล้วจะเอาที่ไหนมาให้ใช้กัน

ภาวะเช่นนี้ ดูเหมือนประเทศไทยยังมี “ฝนเทียม” เป็นอีกความหวังให้ลุ้นสู้…แต่จะหวังกันได้แค่ไหน ในเมื่อธรรมชาติของโลกใบนี้เปลี่ยนไป

“แม้การทำฝนหลวงจะมีพัฒนาการนำเรดาร์ตรวจอากาศมาใช้ในการทำฝนเทียมได้แม่นยำมากขึ้น แต่ในช่วง 4-5 ปี นับแต่ภาวะโลกร้อนแสดงอาการ ชัดเจน การทำฝนหลวงไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน”

ร.ต.อ.ณพวัฒน์ คำนวนสอน

ร.ต.อ.ณพวัฒน์ คำนวนสอน นักบินดีกรีครูการบิน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร บอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่เพียงเมฆที่ก่อตัวจะมีขนาดเล็กลง ทำให้ปริมาณน้ำฝนที่ได้น้อยลงแล้ว การยกตัวของเมฆฝนยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าเดิม

“เมื่อก่อนการทำฝนหลวงในฤดูแล้ง ช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ฐานเมฆฝนจะอยู่สูง 6,000-7,000 ฟิต และเราต้องบินขึ้นไปที่ 8,000-10,000 ฟิต เพื่อโปรยสารทำฝนเทียมบนไหล่เมฆ แต่มาตอนหลังโลกร้อน อากาศร้อนได้ยกฐานเมฆให้ขึ้นไปอยู่ที่ 10,000 ฟิตขึ้นไป จะโปรยสารบนไหล่เมฆได้ ต้องบินขึ้นไปที่ 12,000-13,000 ฟิต เราทำไม่ได้ มันอันตราย เพราะเครื่องบินเกือบทั้งหมดของเรา

ไม่มีระบบปรับความดันอากาศ ความสูงเกินกว่า 10,000 ฟิต อากาศมีไม่พอให้หายใจได้ คนจะเกิดอาการพร่องออกซิเจน เครื่องที่พอบินได้มีอยู่ 3 เครื่อง แต่มีนักบินแค่คนเดียว เพราะหาคนมาทำงานบินหาเมฆได้ยาก ที่อื่นๆเขามีแต่บินหนีเมฆกันทั้งนั้น”
โลกร้อนยกเมฆสูง ผลที่ตามมา ทำฝนหลวงไปแล้ว ได้ฝน แต่ไม่ได้น้ำ…ฝนตกแค่บนฟ้า

บนดินไร้น้ำฝน เหตุที่เป็นเช่นนั้น ร.ต.อ.ณพวัฒน์ อธิบาย เมฆที่ยกตัวสูงขึ้นไปมาก โปรยสารแล้วได้เม็ดน้ำฝนไม่ใหญ่พอ เม็ดฝนที่หล่นมากลางฟ้าจะเสียดสีกับอากาศ

เกิดความร้อนคล้ายกับเราดูหนัง ดาวเทียมตกจากอวกาศแล้วลุกเป็นไฟนั่นแหละ เม็ดฝนก็เหมือนกัน ถ้าตกมาจากที่สูงมากๆ จะเสียดสีร้อนระเหยจนไม่เหลือมาเป็นน้ำให้เราได้เห็นนั่นเอง

ถ้าจะให้ฝนตกมาถึงพื้น การทำฝนหลวงต้องใช้เทคนิคเพิ่ม บินขึ้นไปโปรยสารหลอกล่อให้เมฆลอยตัวลงมาต่ำในระดับตกมาแล้วยังมีน้ำเหลือถึงพื้น ไม่อย่างนั้นจะเสียของ สูญน้ำไปฟรีๆ

นอกจากนั้น โลกร้อน อากาศแปรปรวน ลมพัดแรงเอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนกัน…

ถึงเรดาร์ตรวจอากาศจะเจอเมฆ ความชื้นสัมพัทธ์เหมาะจะทำฝนหลวงได้ แต่พอบินขึ้นไปอากาศเกิดแปรปรวน เมฆที่มีรูปทรงองค์เอวน่าจะให้ฝนมาก เจอลมพัดแรงทำเมฆหัวแตก มิเพียงได้ฝนน้อย ยังจะถูกลมพัดให้ไปตกที่อื่นเข้าให้อีก

เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ ที่ครูการบินฝนหลวงเล่าสู่ให้ฟัง เพื่อเตือนสติคนไทย ได้รู้…น้ำมีค่า นับวันหาได้ยากยิ่งนัก อย่าหลงเพลินใช้เปลือง เพราะวันนี้โลกใบนี้ไม่เหมือนเดิม.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

“หอมแดง” กับวิธีแก้หอบหืด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/577232

โดย นายเกษตร 15 ก.พ. 2559 05:01

 

หอมแดง เป็นอีกสูตรหนึ่งที่เอาไปรวมกับอย่างอื่นแล้ว สามารถแก้โรคหอบหืดได้ระดับหนึ่ง โดยให้เอา “หอมแดง” สด 1 ขีด กับขิงสด 1 ขีด และกระเทียมสด 1 ขีด ปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด ใส่น้ำ 1 แก้ว ปั่นจนละเอียดกรองเอาเฉพาะน้ำผสมน้ำผึ้งลงไป 1 ช้อนโต๊ะ บีบน้ำมะนาวลงไปด้วย 3 ผล คนให้เข้ากัน กินครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละครั้งก่อนนอน ทำกิน 1 อาทิตย์ จะรู้สึกว่าอาการดีขึ้น สามารถทำกินเรื่อยๆได้จะหายในที่สุด

หอมแดง หรือ ALLIUM ASCALONICUM LINN. อยู่ในวงศ์ ALLIACEAE ให้แคลเซียม ฟอสฟอรัส ที่เหมาะกับการดูซึมของร่างกาย มีสาร จำพวก “ฟลาโวนอยด์” โดยเฉพาะ “เควอซิทิน” เป็นเกราะกันมะเร็งให้คนได้ กลิ่นฉุนของ “หอมแดง” มีสารจำพวกกำมะถัน เข้าตาทำให้รู้สึกแสบตาแสบจมูก “หอมแดง” ทุบดมทำให้จมูกโล่งดี หัวสดตำผสมเหล้าขาวพอกจุดถูกแมลงกัดต่อยหายปวดบวมได้

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” พิมพ์จำนวนจำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร กระเทียมโทนแคปซูล ผสมสมุนไพรอื่นแก้หอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง, แห้วหมูแคปซูล ลดความดันโลหิต, แชมพูสูตร 5 ชนิด ขจัดรังแค บำรุงรากผม, สเปรย์ฉีดบำรุงรากผม, น้ำมันงาบริสุทธิ์ ทาผิว หมักผม, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ครีมโลดทนง รักษาสิว ฝ้า รูขุมขนตีบลง, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล ทำจากสมุนไพรหลายอย่าง แก้น้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็นด้วย,ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน,คอลลาเจนบริสุทธิ์เป็นผง ทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ยาบำรุงไตแคปซูลไม่ใช่รักษาไต และอื่นๆ โทร. 0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

“จุหลัน” สวยหอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575907

โดย นายเกษตร 12 ก.พ. 2559 05:01

 

กล้วยไม้ชนิดนี้ พบขึ้นตามธรรมชาติในป่าดิบเขาทางภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย มีเขตกระจายพันธุ์ทั่วไปในประเทศอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่ง “จุหลัน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ คือ CYMBIDIUM ENSIFOLIUM (L.) SW. ชื่อพ้อง EPIDENDRUM ENSIEFOLIUM L. มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นกล้วยไม้ดินที่มีการเจริญทางด้านข้าง ได้แก่ กล้วยไม้มีเหง้า ส่วนทอดเลื้อยหรือไหล เมื่อต้นเจริญเต็มที่แล้วสามารถแตกต้นใหม่หรือหน่อใหม่จากโคนกอหรือตามลำข้อได้ มีด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์

ลำต้น หรือลำลูกกล้วยของ “จุหลัน” เป็นรูปกระเปาะค่อนข้างกลม สูงได้ประมาณ 1.5-3 ซม. ใบเป็นรูปเข็มขัด ออกเรียงสลับปลายใบตัดหรือแหลม โคนใบเป็นกาบหุ้มลำต้น ใบกว้าง 2.5-3 ซม. ยาว 30-60 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา สีเขียวเป็นมัน

ดอก ออกเป็นช่อตั้งขึ้นจากโคนกอ ช่อยาวประมาณ 20-30 ซม. แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 10-15 ดอก ลักษณะดอก มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกเป็นสีเขียวอมเหลือง มีขีดตามยาวเป็นสีนํ้าตาลแดง 5-7 เส้น กลีบปากเป็นสีเหลืองอ่อน มีแต้มและประสีแดง ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 3-4 ซม. ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ใช้จมูกดมจะได้กลิ่นดังกล่าว ดอกออกช่วงระหว่างเดือนตุลาคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมกราคมของปีถัดไป ขยายพันธุ์ด้วยการแยกต้น

ปัจจุบัน “จุหลัน” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 24 แผง “คุณหล้า-คุณโอม” ราคาสอบถามกันเอง นิยมปลูกลงกระถางกล้วยไม้ทำทางระบายนํ้าก้นกระถางให้ดีอย่าให้มีนํ้าท่วมขัง ใช้เครื่องปลูกอิฐมอญทุบรองก้นกระถาง จากนั้นนำต้นลงปลูกแล้วปิดทับส่วนที่เหลือด้วยกาบมะพร้าวแห้งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ มีวางขายทั่วไปให้แน่นนำกระถางไปตั้งในที่แจ้งมีลมพัดโกรกดีทั้งวัน รดนํ้าวันละครั้งพร้อมบำรุงปุ๋ยสิบวันครั้งจะทำให้ต้นแข็งแรงมีดอกสวยงามตามฤดูกาลครับ.

“นายเกษตร”