ไส้เดือนกลิ่นดอกโมก โรงงานปุ๋ย…ต้านมะเร็ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575972

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 ก.พ. 2559 05:01

 

ไส้เดือนถึงจะเป็นที่น่ารังเกียจของใครหลายคน นอกจากรูปร่างหน้าตาจะไม่ชวนพิสมัย เนื้อตัวยังมีกลิ่นคาวคลุ้ง…แต่ไม่น่าเชื่อว่าในโลกนี้ยังมีไส้เดือนกลิ่นหอมมิต่างดอกโมกสีขาว ช่อเล็กๆ ที่นิยมปลูกเป็นรั้วบ้าน

และไม่ใช่ไส้เดือนต่างถิ่นนำเข้าจากประเทศไหน…อยู่ในดินบ้านเรานี่แหละ

“ผมเริ่มศึกษาและทดลองเลี้ยงไส้เดือนสารพัดพันธุ์มาหลายสิบปี เพิ่งมาพบไส้เดือนสีน้ำเงิน มีชื่อสามัญว่า Blue worm มีลักษณะพิเศษ นอกจากมีกลิ่นหอมไม่เหมือนไส้เดือนพันธุ์อื่น ยังขยายพันธุ์ได้เร็วมาก หากเริ่มต้นด้วยพ่อแม่พันธุ์ 1,000 ตัว ภายใน 1 ปี จะเพิ่มเป็น 15,000 ล้านตัว ไม่รวมไข่อีกกว่า 20,000 ล้านฟอง”

รศ.ดร.สมชัย จันทร์สว่าง ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า ไส้เดือนสีน้ำเงินไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ เราสามารถพบได้ตามป่าสมบูรณ์ในประเทศเขตร้อนแถบเอเชีย ไล่ตั้งแต่อินเดียยันประเทศไทย

แต่ที่ถือเป็นการค้นพบครั้งแรกอันน่าพิศวง คือเป็นไส้เดือนชนิดเดียวที่มีกลิ่นดอกโมก

และเจ้ากลิ่นหอมที่ว่านี้มาจากน้ำสีเหลืองอ่อนกลางลำตัวของไส้เดือน (Coelomic fluid) เมื่อจับตัวมันเอามาไว้ในมือ มันจะขับกลิ่นนี้ออกมาจากตัวด้วยสัญชาตญาณ

น้ำสีเหลืองอ่อนมีกลิ่นหอมนี่แหละกำลังถูกนำไปใช้ต่อยอดงานวิจัยเพื่อนำไปใช้สกัดหาสารกำจัดเชื้อรา ที่ผลิตสารพิษอะฟลาทอกซิน อันเป็นสารก่อมะเร็ง…ไม่แน่ต่อไปการเลี้ยงไส้เดือนจะไม่ใช่แค่เลี้ยงเอาตัว เลี้ยงทำปุ๋ยแค่นั้น แต่รวมไปถึงเลี้ยงเพื่อทำยาต้านมะเร็งด้วย

นอกจากกลิ่นหอมอันเป็นประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว ไส้เดือนสีน้ำเงินยังมีความพิเศษด้วยมีขนาดตัวที่เล็ก ทำให้มูลมีขนาดเล็กละเอียด ย่อยสลายได้เร็ว พืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่ามูลไส้เดือนชนิดอื่น

ตู้ลิ้นชักแบบนี้ก็เลี้ยงได้.

ด้วยมีขีดความสามารถในการขยายพันธุ์ได้เร็วมาก ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงแนะนำส่ง เสริมให้นำไปใช้ประโยชน์ในการกำจัดขยะอินทรีย์ ผลิตปุ๋ยหมัก และนำไปผลิตเป็นวัตถุดิบในอาหารสัตว์น้ำ

เพราะเป็นไส้เดือนที่เลี้ยงง่ายในกะละมัง โดยไม่ต้องมีฝาปิด ไส้เดือนสีน้ำเงินจะไม่หนีไปไหน หรือจะเลี้ยงในบ่อ อ่าง ตู้ชั้น ที่หาได้ทั่วไปตามท้องตลาด อาหารที่ใช้เลี้ยงก็ไม่มีอะไรมาก เศษใบไม้ เศษอาหาร ของเหลือ มูลสัตว์ ใช้ได้หมด

สนใจเลี้ยงไส้เดือนสีน้ำเงิน สร้างอาชีพขายปุ๋ย ทำอาหารสัตว์น้ำ สอบถาม รศ.สมชัย ได้ที่ 08-1867-0907 สนนราคา กก.ละ 700 บาท จะได้พ่อแม่พันธุ์ประมาณ 3,300 ตัว เพียงแค่ 3 เดือน จะได้ไส้เดือนสีน้ำเงินเพิ่มเป็น 300,000 ตัว และได้ปุ๋ยราว 500 กก. นี่เฉพาะเพาะเลี้ยงทำเงินแค่รุ่นแรก.

กรวัฒน์ วีนิล

เคล็ดบำรุงข้าวไร่ละ 6 ตัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575405

โดย สะ-เล-เต 11 ก.พ. 2559 05:01

 

การทำนาสไตล์ชาวนามาดากัสการ์ ใช้น้ำไร่ละ 500 ลบ.ม. น้อยกว่าการทำนาที่เราเคยชินถึง 60% ได้ผลผลิตสูงถึงไร่ละ 6 ตัน…โดยไม่ต้องควักเงินซื้อปุ๋ยเคมี ทำได้อย่างไร?

เคล็ดลับในการเลี้ยงบำรุงต้นข้าว สุพจน์ ทองเสมียน เกษตรกรผู้ร่วมทดสอบปลูกข้าวแบบนี้ ที่ จ.สระแก้ว ใช้เพียงแค่ 3 สูตรอาหารที่คิดทำกันขึ้นมาเอง

จุลินทรีย์หน่อกล้วย…ใช้หน่อกล้วยสูง 1 ม.จำนวน 30 กก. สับละเอียด ใส่ถังพลาสติกทึบแสง กากน้ำตาล 10 กก. น้ำสะอาด 100 ลิตร คลุกเคล้าให้เข้ากันปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 2 วัน 2 คืน ห้ามให้อากาศเข้า หมักต่ออีก 7 วัน แต่ให้เปิดฝาคนทุกวัน ให้หน่อกล้วยจมน้ำอยู่เสมอ จะได้จุลินทรีย์หน่อกล้วย เก็บไว้ใช้ได้นาน 6 เดือน

ปุ๋ยยูเรียน้ำอินทรีย์…ใช้ถั่วเหลืองบดละเอียด 1 กก. สับปะรดสับละเอียด 2 กก. น้ำมะพร้าว หรือน้ำซาวข้าว 10 ลิตร กากน้ำตาล 3 กก. จุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตร ผสมให้เข้ากัน ใส่ถังหมัก 15 วัน เปิดคนทุกวัน ครบกำหนดกรองกากออกจะได้ยูเรียน้ำอินทรีย์…

ยูเรียสูตรนี้ 4 ลิตร มีสรรพคุณเท่ากับปุ๋ย 46-0-0 หนึ่งกระสอบ

ฮอร์โมนไข่…ใช้ไข่ไก่สด 5 กก. กากน้ำตาล 5 กก. ยาคูลท์ 1 ขวด แป้งข้าวหมาก 1 ก้อน ตีไข่ให้เข้ากัน ผสมกากน้ำตาล นำเปลือกไข่มาตำละเอียดผสมกับวัตถุดิบทั้งหมด หมักในถังพลาสติกปิดฝา คนทุกวัน ครบ 14 วัน ให้กรองเอากากออก

การใช้งาน…ช่วงเดือนแรกใช้น้ำส้มควันไม้ ยูเรียน้ำอินทรีย์ จุลินทรีย์หน่อกล้วย อย่างละ 30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง เพื่อบำรุงใบ…เข้าเดือนที่ 2 ทำเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนจากยูเรียน้ำอินทรีย์เป็นน้ำหมักมูลค้างคาวแทน ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง…เดือนที่ 3-4 ให้ฮอร์โมนไข่ 30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้งไปจนเก็บเกี่ยว เพื่อบำรุงต้นให้แตกกอดี เปิดตาดอก รวงยาว เมล็ดสมบูรณ์

ในช่วงการปลูกให้ระวังนก หนู ส่วนแมลงศัตรูพืชไม่ค่อยพบ เพราะมีการฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ป้องกันอยู่แล้ว ส่วนวัชพืช หากพบต้องรีบถอนทิ้ง สุพจน์ยืนยันทำเพียงเท่านี้จะได้ข้าวไร่ละ 6 ตันแน่

แต่ถ้าเป็นการปลูกครั้งแรก อาจต้องปรับปรุงดินให้มีอินทรียวัตถุมากหน่อย ผลผลิตอาจไม่ถึง 6 ตัน แต่ 2-3 ตัน นั้นได้แน่ๆ…และถ้าทำนาแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปีที่ 2-3 ข้าวไร่ละ 6 ตัน ไม่ไกลเกินเอื้อม.

สะ–เล–เต

“ตะลิงปลิง” กับวิธีรักษาโรคคางทูม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575406

โดย นายเกษตร 11 ก.พ. 2559 05:01

 

ในยุคสมัยก่อน คนเป็นโรคคางทูมกันเยอะ เป็นแล้วบริเวณลำคอใต้คางจะนูนขึ้นมองเห็นอย่างชัดเจน ซึ่งในยุคนั้น คนที่มีอาการของโรคดังกล่าวจะเดินทางไปพบแพทย์เฉพาะทางลำบากมาก เนื่องจากบ้านอยู่ห่างไกลโรงหมอหรือสุขศาลา ส่วนใหญ่จึงอาศัยหมอพื้นบ้านให้เจียดสมุนไพรรักษาให้ โดยเอาใบสดของ “ตะลิงปลิง” ประมาณ 1 กำมือล้างนํ้าให้สะอาด ตำหรือโขลกพอละเอียดใส่นํ้าลงไปเล็กน้อย จากนั้นเอาทั้งนํ้าและเนื้อพอกบริเวณที่เป็นคางทูม 2 เวลา เช้าเย็น พร้อมเปลี่ยนตัวยาไปเรื่อยๆทุกวัน ประมาณ 1 อาทิตย์จะหายได้ ปัจจุบันโรคคางทูมแทบไม่พบอีกแล้ว แนะนำให้เป็นความรู้

ตะลิงปลิง หรือ AVERRHOA BILIMBI LINN. ชื่อสามัญ BILIMBI, CUCUMBER TREE อยู่ในวงศ์ AVERRHOACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 12 เมตร ใบประกอบ ออกสลับ มีใบย่อย 25-35 ใบ เป็นรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบและมีขนนุ่มทั้งใบ ดอก ออกเป็นช่อตามโคนต้นและกิ่งแก่ มีกลีบดอก 5 กลีบ เป็นสีแดงอมม่วง ใจกลางดอกเป็นสีนวล ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 ซม. มีเกสรตัวผู้ 10 อัน สั้นยาวอย่างละ 5 อัน “ผล” รูปกลมรีกว้างประมาณ 2 ซม. ยาวประมาณ 4 ซม. ผลแบ่งเป็นพูตื้นๆ 5 พู เนื้อผลฉ่ำนํ้า รสเปรี้ยวจัด ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่หรือสุกจะเป็นสีเขียวอมเหลือง ภายในมีเมล็ด มีดอกและติดผลเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีถิ่นกำเนิดจากประเทศมาเลเซีย อเมริกาเขตร้อน ในประเทศไทยมีปลูกมาแต่โบราณแล้ว จนกลายเป็นไม้ไทยไปโดยปริยาย มีชื่อเรียกอีกคือปลีมิง (มาเลเซีย-นราธิวาส) และ หลิงปลิง (ภาคใต้)

ทางอาหาร ผลสดปรุงอาหารที่ต้องการให้มีรสเปรี้ยว แปรรูปเป็นผลไม้แห้ง แช่อิ่ม ส่วนประโยชน์ทางสมุนไพร ใบสดรักษาโรคผิวหนัง ขับเสมหะครับ.

นายเกษตร

ปศุสัตว์สอนทำชีส เพิ่มค่านม 2.3 เท่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575416

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 ก.พ. 2559 05:01

 

กรมปศุสัตว์เปิดอบรมชาวบ้านนำอุปกรณ์เครื่องครัวในบ้านมาแปรรูปน้ำนมโคเป็นมอสซาเรลล่าชีส สไตล์สกอตแลนด์ ช่วยเพิ่มมูลค่าน้ำนมวัว 10 กก. จาก 190 บาท เป็น 450 บาท

ดร.อำพล วริทธิธรรม ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เผยว่า เนื่องจากในอดีตบ้านเรามีปัญหาเรื่องนมล้น เกษตรกรขายไม่ได้ราคา ทางองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จึงให้การสนับสนุนทุนพัฒนาดูแลฟาร์มโคนมรายเล็กในประเทศไทย, เมียนมา และบังกลาเทศ เข้าร่วมฝึกอบรมทำชีสจากนมวัว สูตรเดียวกับชาวสกอตแลนด์ผลิตกัน

“กว่าคนไทยจะทำมอสซาเรลล่าชีสได้สำเร็จ เราต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกถึง 50 ปี สาเหตุที่การพัฒนาเป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะคนไทยในยุคนั้นไม่นิยมบริโภคชีส คนที่ถูกส่งไปอบรมจึงกลัวว่าอบรมเรียนรู้ไปแล้ว จะทำขายใครที่ไหน จะมีตลาดให้ขายไหม แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน วัฒนธรรมการบริโภคแบบตะวันตกเข้ามามีบทบาทในสังคมไทยมากขึ้น อาหารหลายเมนูต้องมีชีสเป็นส่วน ประกอบ และเกิดกระแสนิยมบริโภคชีสตามมา เราจึงใช้จังหวะนี้รื้อฟื้นการฝึกอบรมการผลิตชีสจากนมโคขึ้นมาอีกครั้ง และวันนี้เกษตรกรให้ความสนใจมาก นอกจากจะช่วยยืดอายุการเก็บรักษาน้ำนม ยังทำให้เกษตรกรมีอาชีพเสริม ขายน้ำนมโคได้แพงขึ้น”

ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมปศุสัตว์เผยถึงขั้นตอนการทำมอสซาเรลล่าชีสจากนมวัว ทำได้ง่าย ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่ในครัวได้อยู่แล้ว ทั้งหม้อต้ม ตะแกรงรอง ทัพพี ไม้พาย ลงทุนไม่มากแต่ทำชีสได้ เริ่มจากนำน้ำนมดิบ 10 กก.ใส่น้ำส้มสายชูทีละน้อย พร้อมกับคนน้ำนมไปเรื่อยๆ กระทั่งเริ่มเห็นนมเกิดการแยกชั้นจากนั้นเติมเอนไซม์แลนเนต (เอนไซม์ที่เกิดในกระเพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) ประมาณ 0.3% หรือปลายช้อนชา เพื่อทำให้นมจับตัวเป็นก้อน ใช้มีดตัดแบ่งก้อนนมให้เป็นลูกเต๋า เพื่อระบายหางนมภายในออกมา จากนั้นทำการกรอง และนำชั้นนมก้อนไปนวด จะได้มอสซาเรลล่าชีสน้ำหนัก 1 กก. ที่มีกลิ่นหอมละมุนของนมวัว ไม่เหมือนชีสทั่วๆไป เก็บใส่ถุงดูดลมออกให้หมด แล้วนำไปเก็บที่อุณหภูมิ 4 องศา สามารถเก็บได้นาน 2 ปี และจำหน่ายในราคา กก.ละ 450 บาท ในขณะที่น้ำนมดิบ 10 กก.ขายได้เพียง 190 บาท ช่วยเพิ่มมูลค่าให้สูงกว่าขายเป็นน้ำนมดิบถึง 2.3 เท่าตัว

เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมสนใจอบรมวิธีผลิตมอสซาเรลล่าชีสเพื่อเพิ่มรายได้ ติดต่อได้ที่ 0-5321-3162.

นาน้ำน้อย…ไร่ละ 6 ตัน!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/574843

โดย สะ-เล-เต 10 ก.พ. 2559 05:01

 

“การทำนาแบบที่เราเคยชิน ปล่อยน้ำท่วมขังต้นข้าวนาน ผลที่ตามมาทำให้ผนังเซลล์โคนต้นที่จมน้ำตลอดเวลาจึงอ่อนแอ การแตกกอพลอยน้อยลง แสงแดด ออกซิเจน ก็เช่นกันถูกบล็อกไม่ให้ถึงโคน ทำให้เกิดหอยเชอรี่ ปู เพลี้ย แมลงศัตรูพืชตามมา แต่การทำนาใช้น้ำน้อย ให้น้ำแบบปลูกผักจะไม่มีปัญหาเหล่านี้ ต้นข้าวแข็งแรง ผลผลิตเพิ่ม ประหยัดต้นทุนปราบศัตรูพืช ประหยัดน้ำ แถมอัตราการปล่อยก๊าซมีเทนตัวการทำโลกร้อนยังต่ำอีกด้วย เพราะไม่เกิดการหมักเหมือนการทำนาทั่วไป”

เป็นข้อดีของการทำนาน้ำน้อยที่ สุพจน์ ทองเสมียน หนึ่งในเกษตรกรร่วมโครงการทดสอบปลูกข้าวน้ำน้อยแบบชาวนามาดากัสการ์ บอกเล่าถึงความสำเร็จในการทดลองปลูกที่ จ.สระแก้ว ได้ผลผลิตเป็นข้าวเปลือกมากถึง 6 ตันต่อไร่ โดยใช้น้ำเพียงไร่ละ 500 ลบ.ม. และลงทุนแค่ไม่เกิน 5,000 บาท/ไร่

การทำนาน้ำน้อยแบบนี้ สุพจน์ มองว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด…เริ่มจากการเตรียมดิน ไถกลบพืชที่ขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าตอซัง ฟาง หญ้า ปอเทือง พืชตระกูลถั่ว ถ้าไม่มีใช้ใบไม้ ปุ๋ยอินทรีย์มาหว่านทั่วแปลง ในอัตราไร่ละ 5-10 กระสอบ จากนั้นราดด้วยจุลินทรีย์หน่อกล้วย 5-10 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร ไถกลบทิ้งไว้ 20-30 วัน ขั้นตอนนี้ถ้าดินไม่ดีต้องทำหลายรอบ

จากนั้นไถคราด ทำคันนา เดินท่อระบบเทปน้ำพุ่ง ซึ่งจะเหมาะมากกับนานอกเขตชลประทาน นำกล้าอายุ 15 วัน จากแปลงเพาะลงปลูกห่างกัน 40×40 ซม. (อาจใช้เชือกขึงทำแนวเพื่อความสะดวก)…ถ้าเป็นข้าวพันธุ์ที่แตกกอเยอะ ให้ปลูกหลุมละต้น แต่ถ้าเป็นพันธุ์แตกกอน้อย ให้ปลูกหลุมละ 2-3 ต้น

พื้นที่ 1 ไร่ จะลงกล้าได้ทั้งหมด 6,400 หลุม และพึงระลึกเสมอว่า…ต้นกล้า 1 หลุม แตกกอ 200 ต้น เราจะได้ข้าวเพิ่ม 200 รวง

การรดน้ำ ไม่จำเป็นต้องให้น้ำท่วมขังตามความเชื่อเดิมๆ แต่ให้พอชุ่มเหมือนปลูกผัก และการปลูกข้าวที่ได้ผลผลิตไร่ละ 6 ตัน สุพจน์ เปิดน้ำรดต้นข้าวแค่วันละ 10 นาที เฉพาะในช่วงที่ดินดูแห้ง หากฝนตกไม่ต้องรดน้ำ นอกจากจะประหยัดน้ำ ยังบริหารจัดการง่าย ไม่เปรอะเปื้อนดินโคลนเวลาเดินเข้านา

มาถึงตรงนี้ คงต้องมาติดตามกันต่อ เขาบริหารจัดการ ดูแลรักษาระหว่างการปลูกยังไง มีเทคนิคอะไรดีๆ ที่ชาวนาจะเอาไปประยุกต์ใช้
กับการทำนาของตัวเองได้.

สะ–เล–เต

“กะหลํ่าประดับ” งามเมื่อเหมันต์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/574848

โดย นายเกษตร 10 ก.พ. 2559 05:01

 

ผู้อ่านไทยรัฐ จำนวนมาก โดยเฉพาะที่เป็นคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่อยากทราบว่า “กะหลํ่าประดับ” เป็นอย่างไรและเป็นไม้ไทยหรือไม่ ซึ่ง “กะหลํ่าประดับ” มีถิ่นกำเนิดจากประเทศในแถบยุโรปตะวันตก แล้วกระจายพันธุ์ปลูกไปทั่วโลก ในประเทศไทยถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์นานมากแล้ว จนทำให้หลายๆคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นไม้ของไทยไปโดยปริยาย ส่วนใหญ่นิยมปลูกตามสวนหย่อมหรือสวน สาธารณะทางภาคเหนือ เนื่องจาก “กะหลํ่าประดับ” เป็นไม้ชอบอากาศเย็นหรืออากาศหนาวจึงจะงอกงามแบบเฉพาะกาลในช่วงฤดูเหมันต์เท่านั้น

กะหลํ่าประดับ หรือ BRASSICA OLERACEA LINN. VAR. ACEPHALA DC. ชื่อสามัญ ORNAMENTAL-LEAVED KALE อยู่ในวงศ์ CRUCIFERAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นเดี่ยว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับรอบลำต้น เนื้อใบหนา ใบล่างสุดมักจะมีรูปร่างกลมหรือเป็นรูปไข่กลับ ซึ่งสายพันธุ์ที่นิยมปลูกประดับในบ้านเราจะมีด้วยกันหลายสี เช่น สีขาว สีชมพู และสีม่วง เป็นต้น ใบขอบจักและเป็นคลื่น หรือเป็นแฉกฝอยๆ ใบเรียงซ้อนกันหนาแน่นหลายชั้น ทำให้เวลาปลูกประดับจำนวนหลายๆต้น หรือปลูกเป็นกลุ่มๆจำนวนมาก จะดูสวยงามแปลกตามาก ดอก เป็นสีเหลืองอมขาวหรือสีเหลืองอมสีครีม มีกลีบเลี้ยง 4 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 6 อัน “ผล” รูปกลมยาว ภายในมีเมล็ด ซึ่งในบันทึกระบุว่าปลูกในประเทศไทยมักจะไม่ออกดอก แต่ปัจจุบันพบว่า “กะหลํ่าประดับ” สามารถมีดอกได้ในประเทศ ไทยเหมือนกันตามภาพประกอบคอลัมน์ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ในช่วงก่อนสิ้นปีระหว่างเดือนธันวาคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมกราคม จะมีผู้นำเอาต้น “กะหลํ่าประดับ” ทุกสีวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ หลายแผงหลายเจ้า ส่วนใหญ่ราคาอยู่ที่ความสดและสีของใบ เหมาะจะปลูกประดับเพื่อชมความสวยงามแปลกตาในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูเหมันต์ครับ.

“นายเกษตร”

ไซโตไคน์จากเลือดวัว ลดเหี่ยว-แผลเป็น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/574891

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 10 ก.พ. 2559 05:01

 

จากนี้ไป “เลือดวัว” ไม่ได้มีประโยชน์แค่นำมาใส่ก๋วยเตี๋ยวเรือ ลาบ ก้อย หลู้ ยังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ลดแผลเป็นตึงรั้ง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น และนักวิจัยไทยสามารถทำได้แล้วเป็นเจ้าแรกในภูมิภาคเอเชีย

“ตอนเราเด็กเกิดอุบัติเหตุมีบาดแผล ถ้าไม่รุนแรง แผลไม่ใหญ่มาก หลังจากแผลแห้งหายเป็นปกติ จะมีรอยแผลเป็นน้อยมาก ไม่เหมือนมีแผลตอนเป็นหนุ่มสาว ผู้สูงวัย จะมีรอยแผลให้เห็นชัดเจน”

เหตุที่เป็นเช่นนั้น ศ.ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ ภาควิชาเภสัชกรรมปฏิบัติ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น สารไซโตไคน์ในเกล็ดเลือดจะมีปริมาณน้อยลง ส่งผลเมื่อมีแผลมักจะเกิดรอยแผลเป็นทิ้งไว้เป็นที่ระลึก และการที่เกล็ดเลือดเรามีสารไซโตไคน์น้อยลง ยังมีผลทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ฝ้า กระ มากกว่าวัยเด็ก

จนทำให้คนหนุ่มสาวยุคนี้ กลัวความเหี่ยวมากกว่าเจ็บตัวหันไปหาคลินิกศัลยกรรม แวมไพร์ บิวตี้…ยอมทนเจ็บตัวถึง 2 ครั้ง ยอมให้หมอเอาเลือดของตัวเองไปสกัดเอาสารไซโตไคน์ ที่ต้องใช้เวลานานนับสัปดาห์ และต้องเจ็บตัวจากการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการเหี่ยวย่นให้ตัวเอง

ด้วยเหตุผลนี้ ศ.พรอนงค์ จึงนำเลือดไก่, เป็ด, ห่าน, แพะ, แกะ, หมู, ปลา และวัว มาศึกษาโครงสร้างดูว่าเลือดสัตว์ชนิดไหนมีสารไซโตไคน์มากที่สุด

ด้วยการนำเลือดขณะสัตว์มีชีวิต 50-100 มล. พร้อมใส่สารป้องกันเลือดแข็งตัว (EDTA) 1% ส่งเข้าห้องปฏิบัติการภายใน 12 ชม. มาปั่นแยกเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดนำไปสกัดเอาสารไซโตไคน์ แล้วนำมาทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง ซึ่งเป็นเซลล์ผิวหนังคนเรา

ผลการศึกษาพบว่าสารไซโตไคน์ที่ได้จากเลือดวัว มีคุณสมบัติสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโต ซ่อมแซมเซลล์ของมนุษย์ได้ดีที่สุด…ดีกว่าเลือดสัตว์ชนิดอื่น

เพื่อให้สะดวกต่อการนำมาใช้ในชีวิตจริง จึงนำสาร ไซโตไคน์ ไปตั้งสูตรผสมในเครื่องสำอาง ในรูปของเจลพร้อมใช้ (HemaYouth) นำไปใช้ทดสอบในกลุ่มอาสาสมัคร 40 ราย ทดลองทาใบหน้า…1 เดือนผ่านไป ริ้วรอยของกลุ่มอาสาสมัครลดน้อยลง สีผิวขาวใสกระจ่างมากขึ้น

ส่วนการนำ ไซโตไคน์ ผสมในวัสดุปิดแผลสด ใช้ทดสอบกับในผู้ป่วยโรงพยาบาลจุฬาฯ เปรียบเทียบกับแผ่นปิดแผลทั่วไป…ระยะเวลา 21-30 วัน แผ่นปิดแผลผสมสารไซโตไคน์ช่วยกระตุ้นเร่งให้แผลหายเร็ว ลดการกดรั้งตึงแผล บาดแผลเกิดการสร้างเนื้อ แผลตื้นได้เร็วกว่าผู้ป่วยที่ใช้แผ่นปิดแผลทั่วไป

ในผู้ป่วยที่เกิดบาดแผลไม่รุนแรง เมื่อแผลหาย แผลเป็นไม่นูน ไม่เกิดรอยดำ.

เพ็ญพิชญา เตียว

ทำนาให้น้ำแบบผัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/574317

โดย สะ-เล-เต 9 ก.พ. 2559 05:01

 

มาว่ากันต่อถึงการทำนาแบบ SRI (system of rice intensification) หรือ การทำนาแบบประณีต ใช้น้ำแค่ 500 ลบ.ม. ต่อไร่ พอๆกับปลูกพืชใช้น้ำน้อยแต่ให้ผลผลิตสูงไร่ละ 6 ตัน…อันเป็นเทคนิคที่ประเทศไทยรับรู้มากว่า 20 ปี แต่ไม่ยอมทำอะไร

จากอดีตเราถูกสอนให้เข้าใจผิดว่า ข้าวเป็นพืชที่ชอบน้ำท่วมขัง…จริงๆ แล้ว ข้าวเป็นพืชตระกูลหญ้าที่สามารถทนน้ำท่วมขังได้มากกว่าหญ้าพันธุ์อื่นๆ เท่านั้นเอง

เมื่อเข้าใจธรรมชาติในหลักการนี้ ผศ.ดร.จิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต อธิบายให้ฟังถึงการทำนาแบบนี้ จึงมีความต่างจากการทำนาแบบที่เราเคยคุ้นชินกันมาในหลายเรื่อง

เรื่องแรก เมื่อข้าวมันคือหญ้า การปรับปรุงดินก็ต้องทำให้เหมือนพืชอื่นๆ ทำดินให้ร่วนซุย โดยใช้ใบไม้แห้ง มูลสัตว์ เป็นหลัก

ต้นกล้าก็เช่นกัน จะเอามาปลูกต้องใช้ ต้นกล้าอายุ 15 วัน ไม่เหมือนที่ทำกันมา ใช้ต้นกล้าอายุ 30 วัน…เหตุที่เป็นเช่นนั้น ต้นกล้า 15 วัน ถอนลงแปลงปลูก รากจะไม่ขาด เหมือนใช้ต้นกล้า 30 วัน

ปลูกแบบประณีต เหมือนปลูกผัก แต่ละหลุมไม่ต้องใส่ให้มากต้น (ขึ้นกับพันธุ์ข้าว พันธุ์ไหนแตกกอเยอะ ปลูกหลุมละต้น พันธุ์ไหนแตกกอน้อยปลูกหลุมละหลายต้น) ปลูกเป็นแนวห่างกัน 40-50 ซม. เพื่อให้ข้าวแตกกอได้ง่าย ไม่แย่งอาหารกันเอง และยังช่วยให้การบริหารจัดการแปลงสะดวก กำจัดวัชพืชได้ง่าย…ไม่เหมือนการดำนาของเราที่ใช้ระยะห่าง 20-25 ซม.

ส่วนเรื่อง “น้ำ” พระเอกของเรื่อง ไม่ได้ใช้วิธีไขน้ำมาขังในนา แต่ให้น้ำผ่านระบบท่อรดน้ำตามแนวปลูก ห้ามให้น้ำขังเด็ดขาด ไม่ต้องให้ทุกวัน แต่ให้ดินชุ่มเสมอเหมือนปลูกผัก สังเกตดินเริ่มแห้งเมื่อไรถึงจะให้น้ำ ด้วยการนำท่อพีวีซีปักในดิน แล้วคอยดูว่ามีน้ำขังอยู่ในท่อพีวีซีหรือเปล่า ถ้ายังมีน้ำก็ไม่ต้องให้

นี่แหละ หัวใจของการทำนาน้ำน้อย ไร่ละ 500 ลบ.ม. ส่วนการดูแลทำกันยังไงถึงได้ผลผลิตสูงไร่ละ 6 ตัน…มีให้ติดตามกันต่อพรุ่งนี้.

สะ–เล–เต

“มะขามเนื้อแดงฝักตรง”เปรี้ยวจัดราคาดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/574323

โดย นายเกษตร 9 ก.พ. 2559 05:01

 

มะขามเนื้อแดงมีหลายสายพันธุ์ ทั้งฝักใหญ่อ้วนและฝักโค้งงอ ส่วน “มะขามเนื้อแดงฝักตรง” เป็นพันธุ์โบราณ นิยมปลูกกันมาช้านาน ในแถบ จ.ชัยนาท เพื่อใช้ประโยชน์ทั่วไปเหมือนกับมะขามเนื้อธรรมดาทุกอย่าง มีลักษณะประจำพันธุ์คือ เนื้อในจะเป็นสีแดงตั้งแต่เริ่มติดผลเป็นฝักอ่อนเล็กๆ จนกระทั่งฝักสุก สามารถเก็บผลสุกแกะเอาเฉพาะเนื้อทำเป็นมะขามเปียกปั้นเป็นก้อนๆ หรือชั่งกิโลขายได้ราคากิโลกรัมหลายบาท รสชาติเปรี้ยวจัดสีสันสวยงาม เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแพร่หลาย

มะขามเนื้อแดงฝักตรง อยู่ในวงศ์ CAESALPINICEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะขามทั่วไปทุกอย่างคือ เป็นไม้ยืนต้น สูง 10-15 เมตร ใบเป็นใบประกอบออกเป็นคู่ตามก้านใบ 10-18 คู่ ใบรูปขอบขนาน ปลายและโคนมน ใบอ่อนและใบแก่รสเปรี้ยวปนฝาดกินได้ นิยมทำต้มส้มใส่ปลานํ้าจืดหรือใส่ไก่ปรุงรสรับประทานอร่อยมาก ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยหลายดอก ดอกเป็นสีเหลือง มีประสีแดงกลางดอก ดอกมีรสเปรี้ยวรับประทานได้ “ผล” รูปกลมแบนเล็กน้อยยาวเกือบตรง ไม่โค้งงอเหมือนมะขามเนื้อแดงสายพันธุ์อื่น เปลือกผลค่อนข้างหนา สีนํ้าตาลเทา เนื้อในเป็นสีแดงตั้งแต่ติดผลเป็นฝักอ่อนจนกระทั่งฝักสุก จึงถูกตั้งชื่อว่า “มะขามเนื้อแดงฝักตรง” ดังกล่าว ติดผลเป็นพวงและติดผลดกทั้งต้นตามฤดูกาล มีเมล็ด รสชาติเปรี้ยวจัดตั้งแต่ยังเป็นฝักอ่อนจนฝักสุก ออกดอกช่วงฤดูฝน ติดผลจนฝักแก่ในช่วงฤดูหนาว ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 17 แผง “นายดาบสมพร” โทร. 08-6605-4945 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ในครัวเรือน หรือปลูกเก็บผลสุกแกะเนื้อทำมะขามเปียกขายคุ้มค่ามาก ประโยชน์ทางสมุนไพร ใบแก่ปรุงเป็นยาแก้ไอ แก้โรคบิด ขับเสมหะในลำไส้ เนื้อดิบหรือสุกกินแก้ท้องผูก เป็นยาระบายแก้ไอขับเสมหะ เมล็ดแก่คั่วบดให้เด็กกินขับพยาธิไส้เดือนได้ครับ.

“นายเกษตร”

เร่งเติมเขื่อนป่าสักฯ ผลักดันน้ำเค็ม กทม.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/574373

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 ก.พ. 2559 05:01

 

กรมฝนหลวงฯเปิดปฏิบัติการคนล่าเมฆ เร่งทำฝนเทียม ปั๊มน้ำเข้าเขื่อนป่าสักฯ รับวิกฤติดันน้ำเค็มแก้น้ำประปากร่อยให้คนเมืองกรุง

นายเลอศักดิ์ ริ้วตระกูลไพบูลย์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เผยถึงสถานการณ์น้ำในขณะนี้ใกล้ถึงจุดวิกฤติ แม้การใช้น้ำในช่วงระหว่าง พ.ย.58-เม.ย.59 จะค่อนข้างเป็นไปตามแผน แต่มีชาวนาบางส่วนยังคงทำนาปรัง ทำให้น้ำต้นทุน 2,500 ล้าน ลบ.ม. ที่ต้องสำรองเก็บไว้ใช้สำหรับทำนาปีในต้นฤดูฝนช่วง พ.ค.-ก.ค. มีแนวโน้มอาจจะต้องถูกนำมาใช้เพิ่มขึ้น หากยังไม่มีฝนตกลงมาช่วย น้ำในเขื่อนหลักก็อาจไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค รวมถึงการรักษาระบบนิเวศและผลักดันน้ำเค็ม

ขณะเดียวกันในช่วงเวลาตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค. จำเป็นต้องใช้น้ำต้นทุนเพื่อผลักดันน้ำเค็ม ในการผลิตน้ำประปาของกรุงเทพฯ ให้เพียงพอวันละ 5 ล้าน ลบ.ม. ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลกระทบจากน้ำกร่อยที่จะตามมา เพราะ ฉะนั้น กรมฝนหลวงฯจึงต้องเตรียมความพร้อมทำฝนหลวง เพื่อเติมน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อให้คนกรุงเทพฯ มีน้ำประปาอุปโภคบริโภค

“แม้จะมีการปล่อยน้ำจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์รวมวันละ 15 ล้าน ลบ.ม. เพื่อผลักดันน้ำเค็ม และใช้ในการเกษตร แต่กว่าน้ำจะเดินทางมาต้องใช้เวลานานเพราะค่อนข้างห่างกรุงเทพฯ จึงจำเป็นต้องเติมน้ำเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ที่ใกล้กับกรุงเทพฯมากกว่า และเมื่อมกราคมที่ผ่านมา กรมฝนหลวงได้ออกปฏิบัติการเติมน้ำให้กับเขื่อนป่าสักฯไปแล้วกว่า 11 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ขณะนี้มีน้ำในเขื่อนแล้วประมาณกว่า 400 ล้าน ลบ.ม. จากความจุ 900 ล้าน ลบ.ม.”

อย่างไรก็ดี ขณะนี้สภาพอากาศยังไม่เอื้อต่อการทำฝนเทียม แต่คาดว่าหลังจากวันที่ 15 ก.พ.นี้ สภาพอากาศจะกลับมาเอื้อต่อการทำฝนหลวงอีกครั้ง เพราะ ฉะนั้น กรมจึงได้ตั้งชุดปฏิบัติการฝนหลวงเคลื่อนที่เร็วขึ้น 4 ชุด เพื่อให้สามารถปฏิบัติการได้ทันที หากสภาพอากาศเอื้ออำนวย โดยในช่วงนี้กรมฝนหลวงจะพุ่งเป้าไปที่การเติมน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เป็นหลัก.