นาน้ำน้อยตัวจริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573932

โดย สะ-เล-เต 8 ก.พ. 2559 05:01

 

โลกร้อน ภัยแล้ง น้ำน้อย อย่าว่าแต่นำไปใช้เพื่อการเกษตร น้ำสำหรับดื่มกิน ทำน้ำประปา อาจจะไม่พอ…ทำนาใช้น้ำมาก ดูจะตกเป็นจำเลยของสังคมไปโดยปริยาย

แม้ปัจจุบันจะมีเทคนิคการทำนาประหยัดน้ำ แบบที่เรียกว่า “เปียกสลับแห้ง แกล้งข้าว” เป็นทางเลือกให้เกษตรกรใช้น้ำอย่างประหยัดก็ตาม แต่ก็ลดการใช้น้ำได้ไม่เกิน 30% หรือลดการใช้น้ำทำนาจากไร่ละ 1,200-1,500 ลบ.ม. เหลือ 840-1,050 ลบ.ม.

แต่วันนี้ การทำนาเปียกสลับแห้งต้องบอกว่า ยังใช้น้ำมากเกินไป เพราะมีการทำนาน้ำน้อย น้อยจริงๆ ใช้น้ำแค่เพียงไร่ละ 500 ลบ.ม. พอๆกับพืชใช้น้ำน้อยอย่างข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วลิสง

ที่สำคัญให้ผลผลิต 6,000 กก./ไร่ ในขณะนาเปียกสลับแห้ง ได้อย่างมากแค่ 1,200 กก.

การทำนาแบบนี้มีชื่อเรียก SRI (system of rice intensification) แปลตรงตัวคือ การทำนาแบบประณีต

หลายคนอาจเข้าใจว่านี่เป็นเทคนิคใหม่ จริงๆแล้วเป็นเรื่องเก่า บ้านเราได้ยินกันมาไม่น้อยกว่า 20 ปี แต่คนไทยยุคนั้นไม่สนใจไยดี เพราะน้ำท่ามันยังอุดมสมบูรณ์ ผิดกับวันนี้

ผศ.ดร.จิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เล่าถึงที่มาที่ไปของการทำนาใช้น้ำน้อยจริงๆ เป็นเทคนิคมาจากภูมิปัญญาชาวนามาดากัสการ์ ที่คิดค้นขึ้นมาเมื่อ 60 ปีที่แล้ว จากนั้นได้ถูกนำมาเผยแพร่ใน 40 ประเทศทั่วโลก โดยนักวิชาการชาวอเมริกัน

ในเอเชียมีหลายประเทศที่ใช้วิธีการทำนาแบบนี้ ศรีลังกา ลาว กัมพูชา ส่วนบ้านเรารับรู้เรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่ไม่ยอมใช้ จนถูกลืมเลือนไป และเมื่อนำมาพูดอีกครั้ง เลยนึกว่าเป็นเรื่องใหม่

หลักสำคัญของการทำนาแบบนี้ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจใหม่ว่าข้าวไม่ใช่พืชชอบน้ำท่วมขัง จริงๆแล้วข้าวเป็นพืชตระกูลหญ้าที่สามารถทนน้ำท่วมขังได้มากกว่าหญ้าพันธุ์อื่นๆเท่านั้นเอง

ส่วนจะปลูกกันยังไง ให้น้ำกันแบบไหน ถึงใช้น้ำน้อยนิด แต่ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมหาศาล…ติดตามตอนต่อไป.

สะ–เล–เต

“เพชรสังฆาต” กับวิธีแก้กระดูกเสื่อม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573935

โดย นายเกษตร 8 ก.พ. 2559 05:01

 

ผู้สูงอายุ ไม่น้อยเพิ่ง เริ่มมีอาการปวดกระดูกตามข้อต่างๆของร่างกาย แต่ยังไม่รุนแรง อยากทราบว่ามีสมุนไพรอะไรบ้างที่มีสรรพคุณบรรเทาอาการดังกล่าวได้ ซึ่งก็เคยแนะนำไปแล้วคือให้เอาต้น “เพชรสังฆาต” กับหัวจุกมะพร้าวน้ำหอม แก่นต้นเถาวัลย์เปรียง และว่านหางจระเข้ไม่ปอกเปลือกแบบสด ทั้งหมดเท่ากันกะตามต้องการต้มกับน้ำ 2 ลิตร จนเดือดดื่มครั้งละ 3 ส่วน 4 แก้ว เช้า กลางวัน เย็น ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ถ้าดื่มแล้วอาการดีขึ้นต้มดื่มจนยาจืดและต้มดื่มต่อเนื่องจะหายได้ หลังจากนั้นต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไปพบแพทย์เฉพาะทางให้รักษาประจำ จะไม่เกิดอาการปวดขึ้นอีก

เพชรสังฆาต หรือ CISSUS QUADRANGULALIS LINN. อยู่ในวงศ์ VITACEAE เถาสดกินแก้ริดสีดวงทวาร วันละ 1 ข้อจนครบ 3 วัน โดยหั่นบางๆ ใช้เนื้อมะขามเปียกหรือกล้วยสุกหุ้มกลืนทั้งหมด เพราะเถาอาจจะทำให้คันคอได้

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” เหลือไม่มากนัก ไม่วางขายที่ไหน หมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร, กระเทียมโทนแคปซูล ผสมสมุนไพรหลายชนิด แก้หอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง, ยาลดเบาหวานแคปซูล ทำจากสมุนไพร 5 อย่าง กินได้กับคนเป็นเบาหวานทุกธาตุ, ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต มีส่วนผสมสมุนไพรหลายชนิด, ตรีผลาแคปซูล ไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ครีมโลดทนง รักษาสิว ฝ้า รูขุมขนตีบลง, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์เป็นผง ทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, น้ำมัน 12 ประดง ทาภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล น้ำมูกมีกลิ่นเหม็นและอื่นๆ โทร. 0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ 3อิน1 ลดค่าจ้างไร่ละ 100 เหลือ 5 บ.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/574010

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 ก.พ. 2559 05:01

 

“แม้บ้านเราจะมีการใช้เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์มานานหลายปี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องเครื่องที่ผลิตออกมาถูกออกแบบมาให้ใช้กับพืชเฉพาะอย่าง ใช้ได้กับเมล็ดพันธุ์ชนิดเดียว ที่สำคัญยังต้องใช้ประกอบกับรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ 80 แรงม้า ถึงจะลากไหว และใช้ได้กับพื้นที่เพาะปลูกที่มีการปรับสภาพให้ราบเรียบแล้วเท่านั้น เกษตรกรซื้อไปใช้ไม่คุ้มค่าการลงทุน”

นายอัคคพล เสนาณรงค์ ผอ.สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร ให้เหตุผลถึงที่มาของการคิดประดิษฐ์เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ที่ใช้ได้กับพืช 3 ชนิด ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และข้าวโพด ขุด-หยอด-กลบในเครื่องเดียว ที่สามารถใช้งานในพื้นที่มีความลาดเอียงและใช้ติดพ่วงท้ายรถแทรกเตอร์ขนาดกลาง 30-50 แรงม้า ที่เกษตรกรโดยทั่วไปมีใช้กันอยู่หลายพื้นที่ทั่วประเทศได้

จานคัดขนาดเมล็ดพันธุ์ ใช้เวลาเปลี่ยนแค่ 10 นาที

เป็นเครื่องหยอดแบบ 5 แถว ถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย อีกทั้งขึ้นที่สูง ลงที่ต่ำ ลาดเอียงไปทางซ้ายและขวาได้ในความลาดเอียงไม่เกิน 11 องศา โดยมีตัวเปิดร่องเป็นแบบจานกลม ที่ออกแบบให้เปิดร่องในสภาพแปลงนาได้สะดวก ทั้งปรับความลึกได้ตามความต้องการ มีระบบหยอดเมล็ดเป็นแบบแผ่นจานเอียง ช่วยควบคุมการกำหนดปริมาณเมล็ดพันธุ์ของพืชแต่ละชนิด

ด้านหลัง

ด้านหน้า

การทดสอบหยอดเมล็ดถั่วเขียวในแปลงเกษตรกร จ.ราชบุรี พบว่ามีความสามารถในการ ทำงาน 6.01 ไร่/ชม. มีอัตราการหยอดเมล็ดพันธุ์ 5.76 กก./ไร่ และเมื่อทดสอบหยอดถั่วเหลืองในแปลงของเกษตรกร จ.กาญจนบุรี พบว่ามีความสามารถในการทำงาน 5.87 ไร่/ชม. ใช้ปริมาณเมล็ด 12.87 กก./ไร่ ส่วนการทดสอบหยอดข้าวโพดฝักอ่อนในแปลงเกษตรกร จ.สิงห์บุรี พบว่า สามารถทำงาน 3.47 ไร่/ชม. ใช้ปริมาณเมล็ด 5.28 กก./ไร่ โดยการหยอดเมล็ดพืชทั้ง 3 ชนิด เสียเวลาเพียงแค่ 10 นาที ในการเปลี่ยนแผ่นจานควบคุมการหยอดเมล็ดเท่านั้นตัวกลบ…เป็นจุดเด่นอีกอย่างของเครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์ชิ้นนี้ เพราะออกแบบให้สามารถกลบดินทับเมล็ดพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมล็ดพืชสามารถงอกขึ้นได้ถึง 80% โดยไม่ถูกนก หนู หรือสัตว์อื่นๆนำเมล็ดไปกิน

ด้านบน

ด้านข้าง

อีกทั้งวัสดุทุกชิ้นที่ใช้ออกแบบผลิตได้ในบ้านเรา มีอายุการใช้งานมากกว่า 7 ปี หากชำรุดหรือพัง มีอะไหล่ซ่อมแซมได้ทุกชิ้น ไม่ต้องรอนำเข้าจากต่างประเทศ… เมื่อคิดคำนวณต้นทุนราคาเครื่องรวมกับอายุใช้งาน 7 ปี ทำให้เครื่องหยอดเมล็ดพันธุ์นี้ ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้ดี จากที่ต้องจ่ายค่าแรงหยอดเมล็ดพืชไร่ละ 100 บาท ทำให้เหลือเพียงแค่ไร่ละ 5 บาทเท่านั้น

และปัจจุบันมีบริษัทเอกชนที่ร่วมวิจัยกับกรมวิชาการเกษตร ได้นำเครื่องต้นแบบไปผลิตในเชิงพาณิชย์แล้ว ราคาเครื่องละ 50,000 บาท สอบถามสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรมได้ที่ 0-2579-2757, 08-9212-4183.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

“สะเดา” กับสรรพคุณน่ารู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/572589

โดย นายเกษตร 5 ก.พ. 2559 05:01

 

คนรุ่นใหม่ อยากทราบว่า “สะเดา” มีสรรพคุณทางสมุนไพรอะไรบ้าง ซึ่งในตำรายาแผนไทยระบุว่า ใบอ่อน แก้โรคผิวหนังนํ้าเหลืองเสียพุพอง ใบแก่ ช่วยย่อยอาหาร ดอก แก้กำเดาไหล แก้ริดสีดวงในลำคอที่เป็นเม็ดคันเหมือนกับมีตัวไต่อยู่ บำรุงธาตุ ผล แก้โรคหัวใจเต้นผิดปกติ กระพี้ แก้นํ้าดี พิการที่เป็นสาเหตุให้มีอาการคลั่งและเพ้อ รากต้มดื่ม แก้เสมหะเกาะแน่นในทรวงอกและเสมหะจุกในลำคอ เปลือกของราก แก้ไข้ทำให้อาเจียน ต้มนํ้าอาบแก้โรคผิวหนัง ก้านใบแก้ไข้ เมล็ดกลั่นนํ้ามันปรุงทำเครื่องสำอาง ใช้จุดตะเกียง ใบสดและเมล็ดสดมีสารกำจัดแมลงชื่อ AZADIRACHTIN ฆ่าเห็บหมัดไรได้ดีมาก

สะเดา หรือ AZADIRACHTA INDICA JUSS.VAR. SIAMENSIS VAL. ชื่อสามัญ SIAMESE NEEM TREE อยู่ในวงศ์ MELIACEAE เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูง 8-15 เมตร ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 7-9 คู่ ปลายใบแหลม โคนเบี้ยว ยอดอ่อนที่แตกใหม่ๆ เป็นสีนํ้าตาลแดง ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกขนาดเล็กจำนวนมาก มีกลีบดอก 5 กลีบ เป็นสีขาว มีเกสรตัวผู้ 10 อัน “ผล” กลมรี มีเนื้อฉ่ำนํ้า ผลแก่เป็นสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 1-1.5 ซม. ใน 1 ผล จะมีเมล็ดเพียง 1 เมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ดอกออกช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ทุกปี พบขึ้นตามที่แห้งแล้ง เป็นไม้เบิกนํ้าตามธรรมชาติทุกภาคของประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ มีชื่ออีกคือ สะเดาบ้าน (ภาคกลาง) สะเลียม (ภาคเหนือ) เดา, จะเดา (ภาคใต้) และ จะตัง (ส่วย)

มีต้นขาย ทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาแต่ละแผงไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ขนาดของต้น ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายสายพันธุ์ให้เลือกซื้อไปปลูกด้วย เช่น สะเดามัน สะเดาดำ หรือสะเดายอดทั้งปีครับ.

“นายเกษตร”

เลี้ยงไก่งวง กำไรปีละห้าแสน ความหวังใหม่ลูกข้าวเหนียว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/572609

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 5 ก.พ. 2559 05:01

 

“บ้านเราเริ่มมีการเลี้ยงไก่งวงมาตั้งแต่ในยุคสงครามเวียดนาม ทหารสหรัฐฯนำพันธุ์เข้ามา แต่ก็ยังเป็นการเลี้ยงแบบธรรมชาติ ทำให้ไก่งวงพันธุ์อเมริกันบรอนซ์ ขนสีดำ กับพันธุ์เบลท์สวิลล์ สมอลไวท์ ขนสีขาวทั้งตัว มีการผสมข้ามพันธุ์ไปมา และผสมกันเองระหว่างพ่อแม่ลูก ทำให้ได้ไก่งวงลูกผสมกลายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กลง ตัวเต็มวัยมีขนาดแค่ 3-5 กก. ในขณะที่พันธุ์แท้ดั้งเดิมหนัก 9-15 กก. ที่สำคัญเมื่อไก่งวงลูกผสมเกิดไปผสมพันธุ์กับพ่อพันธุ์แท้ ไก่ตัวเมียแบกรับน้ำหนักพ่อพันธุ์ตัวใหญ่ไม่ไหว เกิดบาดเจ็บบอบช้ำหลังแตก บางตัวถึงกับตาย”

นายชัชวาล ประเสริฐ ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการปศุสัตว์ที่ 4 เล่าที่มาของการปรับปรุงพันธุ์ไก่งวง ที่ได้เริ่มขึ้นในปี 2539 เพื่อฟื้นไก่งวงพันธุ์แท้มาให้เกษตรกรในภาคอีสานตอนบนได้เลี้ยงเป็นอาชีพเสริมรายได้…แต่ไปๆ มาๆ วันนี้กลายเป็นอาชีพหลัก สร้างรายได้มากกว่าทำนาและเลี้ยงวัว

“เราได้พันธุ์แท้มาให้เกษตรกรเลี้ยงในปี 2546 แรกๆมีคนสนใจเลี้ยงแค่ 5 ฟาร์ม เพราะกลัวว่า เลี้ยงแล้วไม่รู้จะไปขายใคร คนไทยไม่ค่อยนิยม ที่ไหนได้ มีพ่อค้าจากลาว เวียดนาม มาหาถึงหน้าฟาร์ม ขอซื้อทุกอย่าง ตั้งแต่ไข่ให้ฟองละ 50 บาท ลูกไก่อายุ 3 วัน ตัวละ 60-80 บาท อายุ 1 เดือน ให้ตัวละ 150-200 บาท ไก่โตกิโลละ 120-150 บาท คิดง่ายๆ ตัวละ 900-1,000 บาท เลี้ยงไก่เนื้อจะได้มั้ยเท่านี้”

จากไม่รู้ว่าจะขายให้ใคร…กลายเป็นไม่มีไก่งวงพอขายชาวบ้านขอเลี้ยงไก่งวงมากขึ้น…พันธุ์มีไม่พอ ศูนย์วิจัยฯไร้กำลังจะผลิตได้ทัน เลยสร้างเครือข่ายส่งเสริมการเลี้ยง โดยศูนย์ วิจัยฯจะให้พันธุ์ไก่งวงตัวผู้ 1 ตัว ตัวเมีย 5 ตัว นำกลับไปเลี้ยงฟรี… หลังไก่งวงให้ลูก ต้องส่งลูกไก่ 6 ตัว คืนให้ศูนย์ฯ เพื่อจะได้นำไปแจกจ่ายให้คนอื่นได้เลี้ยงต่อไป

ทุกวันนี้ในพื้นที่ปศุสัตว์เขต 4 มีฟาร์มไก่งวง 100 ฟาร์ม…บางฟาร์มเลี้ยงแม่ไก่งวง 300 ตัว แค่ขายไข่ ขายลูก ไม่ได้เลี้ยงขุนให้เติบใหญ่ ยังทำรายได้ถึงปีละ 1,500,000 บาท

“เลี้ยงไก่งวง ระยะเสี่ยงที่สุดคือวัยแรกเกิด ถ้าอนุบาลไม่ดี แค่ยุงกัดตัวเดียว ลูกไก่เป็นฝีดาษตายได้ วิธีแก้ต้องกกให้ความอุ่นลูกไก่นาน 14-21 วัน ยามเช้าใช้แสงแดดช่วย ส่วนกลางคืนให้อยู่ในลังกระดาษ เพื่อลูกไก่แต่ละตัวได้ให้ความอุ่นแก่กัน คอกเลี้ยงต้องสะอาด อากาศถ่ายเทได้ดี แค่นี้ลูกไก่แข็งแรง มีภูมิสู้ยุงได้”

ส่วนขนาดโรงเรือน นายอภิรักษ์ มาดนอก เกษตรกรเลี้ยงไก่งวง จ.ร้อยเอ็ด บอกว่า กำหนดแน่นอนไม่ได้ เพราะไก่งวงโตเร็ว ดีที่สุดคือต้องเลี้ยงให้อิ่ม คอกเลี้ยงมีความปอดภัย ไม่เลี้ยงแน่นเกินไป เพราะไก่งวงเป็นไก่ป่า นิสัยชอบเดินจิกกินหญ้าสีเขียว ดังนั้นอาหารที่ใช้เลี้ยงจึงไม่มีอะไรมาก ผักตบชวา (ตัดรากออก) หญ้าเนเปียร์สับหยาบเอาไปใช้เลี้ยงได้ และถ้าต้องการให้ไก่งวงเติบโตเร็ว มีน้ำหนัก เราสามารถทำอาหารเลี้ยงได้เอง

เพียงแค่นำผักตบหรือหญ้าเนเปียร์สับ 8 ขีด+หัวอาหารไก่ไข่ 1 ขีด+รำหรือปลายข้าว 1 ขีด+ข้าวเปลือก 1 ขีด นำมาผสมให้เข้ากัน

“ไก่งวง 1,000 ตัว ใช้พื้นที่ 4 ไร่ เลี้ยงแค่ 9-12 เดือน หักต้นทุนค่าพันธุ์ไก่ ค่าอาหาร ค่าโรงเรือนกำไรปีละห้าแสนมีให้เห็น กำไรมากกว่าเลี้ยงวัว ไม่ต้องทนรอนาน 3-5 ปี”.
เพ็ญพิชญา เตียว

ปีนี้ทุเรียนออกผลน้อย อากาศวิปริตเกิดเชื้อรา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/572075

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 ก.พ. 2559 05:15

 

ด้วยสภาพอากาศแปรปรวนส่งผลกระทบต่อการปลูกไม้ผลของเกษตรกร นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เกษตรได้ออกสำรวจผลผลิตทุเรียนที่ปลูกในพื้นจ.ระยอง พบว่าปีนี้ทุเรียนออกดอกติดผลแค่เพียง 65% ทั้งที่ปกติเดือน ธ.ค.-ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ทุเรียนออกดอกมากที่สุดจะติดผลประมาณ 80% สาเหตุเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม ลมหนาวที่เกิดแบบผิดธรรมชาติอย่างกะทันหันในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ได้แต่หวังว่าการติดดอกอีกครั้งที่จะมีในช่วง ก.พ.-มี.ค. อาจจะทำให้ทุเรียนมีผลผลิตเพิ่มขึ้นได้ แต่ผลผลิตคงจะไม่มาก เนื่องปีนี้แห้งแล้งมาก ไม่มีน้ำมารดต้นทุเรียนให้เลี้ยงบำรุงผลอ่อนได้อย่างเต็มที่

ด้าน นายทรงธรรม ชำนาญ หน.กลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต เกษตรจังหวัดระยอง เผยผลการออกสำรวจทุเรียนในพื้นที่ พบว่าปีนี้นอกจากผลผลิตจะมีน้อยลง ผลทุเรียนแต่ละสวนยังเกิดโรคเชื้อราไฟทอปธอร่า ระบาดมากขึ้นกว่าเดิม สาเหตุมาจากฝนตก และอากาศแปรปรวนเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว เดี๋ยวชื้น เอื้ออำนวยให้เชื้อราแพร่กระจายได้ดี จึงรณรงค์ให้เกษตรกรเฝ้าระวังมากขึ้น คาดว่าปีนี้คงจะมีทุเรียนออกมาจำหน่ายรุ่นแรกปลาย มี.ค. ไปถึง มิ.ย. และคงจะมีราคาแพงกว่าปีที่ผ่านมา.

“มะนาวนิ้วคาเวียร์” เนื้อและสีผลมีหลายสี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/572046

โดย นายเกษตร 4 ก.พ. 2559 05:01

 

หลายคน สงสัยว่า “มะนาวนิ้วคาเวียร์” มีกี่ชนิด ซึ่งความจริงแล้ว “มะนาวนิ้วคาเวียร์” มีมากกว่า 20 สายพันธุ์ แต่ละพันธุ์จะแตกต่างกันที่สีของเปลือกผลและสีของเนื้อในผล เช่น พันธุ์ที่เปลือกผลเป็นสีแดง เนื้อในจะเป็นสีแดงด้วย ขณะที่สายพันธุ์เปลือกผลเป็นสีเขียวอมดำ เนื้อในกลับเป็นสีขาวใส และชนิดเปลือกผลเป็นสีเขียวหรือสีเหลือง เนื้อในกลับเป็นสีแดงอมชมพูหรือสีเหลืองและสีม่วง เป็นต้น ส่วนรสชาติเปรี้ยวมีกลิ่นหอมเหมือนกันหมดทุกอย่าง

มะนาวนิ้วคาเวียร์ เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย พบขึ้นตามป่าที่เป็นทะเลทรายมีชื่อว่า AUSTRALIAN FINGER LIME และ CAVIER LIME เป็นไม้พุ่มต้น สูงไม่เกิน 3 เมตร ใบขนาดเล็กออกเรียงสลับเป็นรูปรีกว้าง ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบเหมือนดอกมะนาวทั่วไป กลีบดอกเป็นสีขาว “ผล” รูปกลมยาวประมาณ 8-16 ซม. ดูเหมือนนิ้วมือมนุษย์ จึงถูกเรียกชื่อว่า มะนาวนิ้วมือ ส่วนเนื้อในผลเป็นเม็ดกลมๆใสจำนวนมากคล้ายไข่ปลาคาเวียร์ เลยถูกเรียกอีกชื่อว่า มะนาวคาเวียร์ และเรียกชื่อรวมว่า “มะนาวนิ้วคาเวียร์” ภายในเม็ดจะมีนํ้าใสๆสีสันตามแต่ละสายพันธุ์ที่กล่าวข้างต้น ตัวเม็ดดังกล่าวจะไม่ติดกับเปลือกผล เมื่อผ่าผลสามารถใช้ช้อนตักเอาเม็ดเคี้ยวในปากแตกดังเป๊าะแป๊ะได้เลย รสไม่เปรี้ยวมากนัก มีกลิ่นหอมอร่อยมาก ต่างประเทศนิยมเอาไปปรุงกับอาหารคาวหวานหลากหลายชนิด ในประเทศไทยบ้านเรามีผลวางขายตามห้างสรรพสินค้า ราคากิโลกรัมไม่ตํ่ากว่า 200 บาทขึ้นไป มีดอกและติดผลทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการเสียบยอด

ใคร ต้องการกิ่งตอนของแท้ ที่เสียบยอดกับตอส้มโอทำให้ปลูกแล้วโตเร็วมีเกือบทุกสี ติดต่อ “สวนณัฐมะนาวนิ้ว” โทร.09-5593-2468, 08-6383-3061 หรือไปซื้อได้ที่งานเกษตรแฟร์ จัดขึ้นที่ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. บริเวณโซนบี 87-88, บี 195-196, บี 261-262 และบี 327-328 ระหว่างวันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

เลี้ยงปลาฝ่าอากาศแปรปรวน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/572048

โดย สะ-เล-เต 4 ก.พ. 2559 05:01

 

ปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น ต้องปรับอุณหภูมิร่างกายเท่ากับสภาพแวดล้อม อุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเลี้ยงปลานิล ปลาทับทิม ปลา ยอดนิยมของเกษตรกรไทยอยู่ที่ประมาณ 26-30 ํC

เมื่อมาเจอสภาพอากาศแปรปรวน อุณหภูมิลดต่ำลงในช่วงเช้าและค่ำ สลับกับร้อนในช่วงกลางวันอย่างในตอนนี้ อุณหภูมิที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา มีผลทำให้ระบบเมตาบอลิซึ่มของปลาผิดปกติ ปลาจะชะงักการเจริญเติบโต สุขภาพแย่ลง เซื่องซึม กินอาหารน้อย ยิ่งอีกไม่กี่วันต้องเจอปัญหาภัยแล้ง พื้นที่เลี้ยงมีปริมาณน้ำลด ยิ่งทำให้ปลากระชังที่เลี้ยงในแม่น้ำสายต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ภาวะวิปริตเช่นนี้ อดิศร์ กฤษณวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ แนะนำให้เกษตรกรวางแผนเลี้ยงให้รอบคอบ ไม่ปล่อยปลาหนาแน่นเกินไป ก่อนปล่อยปลาลงกระชังให้อนุบาลลูกปลาก่อนปล่อย 1 เดือน เพื่อให้ลูกปลาโตมีภูมิต้านทานเพิ่ม หรือซื้อหาลูกพันธุ์ที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาปล่อยแทน
ให้เฝ้าสังเกตอาการปลากินอาหารน้อยลง เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน จึงควรให้อาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง เพิ่มเป็นวันละ 5-6 มื้อ เพื่อให้อาหารเท่าที่ปลากินหมด และห้ามให้อาหารช่วงเช้า เพราะอากาศเย็นปลากินอาหารได้น้อย

ที่ขาดไม่ได้ช่วงอากาศหนาวจัด ควรผสมวิตามินซีเพื่อกระตุ้นภูมิต้านทานโรคลงไปในอาหารปลา ให้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ถ้าเป็นไปได้ควรตรวจสอบสุขภาพปลาโดยสุ่มตรวจพาราไซต์ทุกสัปดาห์

คุณภาพน้ำเป็นอีกสิ่งที่ควรหมั่นตรวจเป็นประจำ ค่าของแอมโมเนียไม่ควรเกิน 0.5 ppm ออกซิเจนต้องไม่น้อยกว่า 4 ppm จะให้ดีควรติดตั้งเครื่องให้อากาศ โดยเฉพาะช่วงอากาศร้อน ควรเปิดตลอดเวลา ให้น้ำ
คลุกเคล้ากับอากาศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ส่วนการเลี้ยงในบ่อดิน แนะนำให้นำระบบ “โปรไบโอติก” ใช้แบคทีเรียเป็นมิตรกับปลาและสิ่งแวดล้อม ช่วยปรับสมดุลสิ่งแวดล้อมในบ่อ ห้ามใช้ยา สารปฏิชีวนะใดๆ และเมื่อหากลมหนาวมาเยือน ให้ทำแนวบังลมในทิศทางที่ลมหนาวพัดมา เพื่อช่วยลดความเย็นในบ่อ…ปลาจะได้ไม่ทุกข์หนัก จนไม่กินอาหาร

ตอนนี้ยังพอมีน้ำให้เลี้ยงได้ เลี้ยงให้ดีจะได้มีเงินเก็บ เพราะต่อไปน้ำจะสาหัสกว่านี้ สิบอกไฮ่.

สะ–เล–เต

เฝ้าระวังมันสำปะหลัง..ราก-หัวเน่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/572070

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 ก.พ. 2559 05:01

 

ปัญหารากเน่า หัวเน่ามันสำปะหลังได้ส่งผลกระทบในพื้นที่ภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ระบายน้ำไม่ดี และใช้ท่อนพันธุ์จากพื้นที่มีการระบาดใน จ.ลพบุรี สระบุรี นครราชสีมา และบุรีรัมย์

ประสงค์ ประไพตระกูล ผอ.กองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย กรมส่งเสริมการเกษตร ฝากเตือนเกษตรกร ระยะนี้ให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ก่อนการปลูก เก็บเศษเหง้า ซากมันสำปะหลังเผาทำลายทิ้ง ทำความสะอาดเครื่องจักรกลการเกษตร ควรไถตากดินอย่างน้อย 2 สัปดาห์ แช่ท่อนพันธุ์ด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อราเมทาแลกซิล อัตรา 20-40 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาหว่านในช่วงการเตรียมดินก่อนปลูก

และช่วงฝนชุกควรตรวจแปลงทุกวัน หากพบการระบาดให้ขุดถอนต้นเผาทำลาย จากนั้นหว่านปูนขาวโดยรอบในรัศมี 1 เมตร หรือโรยเชื้อราไตรโคเดอร์มา บริเวณรอบโคนต้นที่ขุดออก กรณีระบาดรุนแรงมากให้ใช้สารเคมีฟอสอีทิล อะลูมิเนียม อัตรา 50 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ราดต้นละ 300 ซีซี หรือพ่นอัตรา 150 กรัมต่อไร่

หลังการระบาดและก่อนปลูกใหม่ แปลงที่เคยระบาดควรเลื่อนฤดูปลูกเป็นปลายฝนเพื่อให้ผลผลิตออกในฤดูแล้ง หรือปลูกพืชหมุนเวียนด้วยธัญพืชก่อนปลูกมันสำปะหลัง ขอคำแนะนำโดยละเอียดได้ที่ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน สำนักเกษตรอำเภอ สำนักงานเกษตรจังหวัด และศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช.

“มะนาวแป้นดกพิเศษกำแพงเพชร” ใหญ่ดกขายคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/571512

โดย นายเกษตร 3 ก.พ. 2559 05:01

 

มะนาวชนิดนี้ เกิดจากการเอาเมล็ดของมะนาวแป้นรำไพจำนวนกว่าร้อยเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้าแล้วคัดเอาเฉพาะต้นดีที่สุดไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่า ผลมีขนาดใหญ่กว่าผลของมะนาวแป้นรำไพพันธุ์ดั้งเดิมอย่างชัดเจน ติดผลดกเต็มต้นเป็นพวง 3-5 ผล เมื่อเก็บเอาผลลงมาผ่าบีบหรือคั้นนํ้าได้นํ้าเยอะ มีเมล็ดน้อยกว่ามะนาวแป้นรำไพ รสชาติเปรี้ยวจัดและมีกลิ่นหอมเหมือนกับนํ้ามะนาวแป้นรำไพทุกอย่าง เชื่อว่าเป็นมะนาวพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด จึงขยายพันธุ์ตอนกิ่งหลายรูปแบบปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่เป็นเวลานานและหลายครั้งทุกอย่างยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ได้กลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นดกพิเศษกำแพงเพชร” ดังกล่าว

มะนาวแป้นดกพิเศษกำแพงเพชร เป็นไม้พุ่ม ต้นสูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบขนนกชนิดมีใบย่อยใบเดียว ออกเรียงสลับเป็นรูปไข่ ปลายแหลม โคนมน ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่ง กลีบดอกเป็นสีขาวร่วงง่าย ดอกมีกลิ่นหอมแบบสะอาดๆ หรือหอมเย็น

ผล รูปกลมเกลี้ยง ฉ่ำนํ้า ติดผลดกเป็นพวง 3-5 ผล ผลมีขนาดใหญ่ นํ้าหนักเฉลี่ยระหว่าง 10-12 ผล ต่อ 1 กิโลกรัม ภายในผลมีเมล็ดน้อย เปลือกผลบางกว่าเปลือกผลของมะนาวแป้นรำไพ ทำให้ผ่าบีบหรือคั้นเอานํ้าใช้ประโยชน์ได้ง่ายและให้นํ้าเยอะ รสเปรี้ยวจัดมีกลิ่นหอมเฉพาะพันธุ์ ติดผลดกตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด เหมาะจะปลูกเก็บผลใช้ประโยชน์ในครัวเรือนหรือเก็บผลขายได้คุ้มค่ามาก

ใคร ต้องการกิ่งพันธุ์ของแท้ ติดต่อ “คุณวิเชียร บุญเกิด” เกษตรกรดีเด่นด้านพืชสวน 161/2 หมู่ 1 ต.อ่างทอง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร โทร. 08-5244-1699 มีวิธีปลูกและวิธีบังคับให้ “มะนาวแป้นดกพิเศษกำแพงเพชร” และมะนาวพันธุ์อื่นๆมีดอกและติดผลนอกฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้งมะนาวมีราคาแพงแจกฟรีด้วย ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”