คืนกล้วยไม้สู่ป่าถวายแม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 10 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/685626

ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 12 สิงหาคม สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอน (เกษตรที่สูง) กรมส่งเสริมการเกษตร จัดกิจกรรมรณรงค์คืนกล้วยไม้ป่าสู่ธรรมชาติ

ด้วยจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎรทุกหมู่เหล่าทั้งคนไทยพื้นราบทั่วไป และชาวไทยภูเขา ให้มีความอยู่ดีกินดี มีอาหารบริโภคอย่างเพียงพอในครัวเรือน มีอาชีพที่มั่นคง สามารถอาศัยอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน โดยพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่บุกรุกตัดไม้ทำลายป่า แต่ใช้ประโยชน์จากป่าในการดำรงชีวิต เช่น เป็นแหล่งอาหาร พืชสมุนไพร เป็นแหล่งต้นน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ได้พระราชทานโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนมากมาย ได้แก่ โครงการธนาคารอาหารชุมชน (Food Bank), โครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน, โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่, โครงการฟาร์มตัวอย่าง, โครงการสถานีพัฒนาเกษตรที่สูง, โครงการคืนกล้วยไม้สู่ธรรมชาติ, โครงการศูนย์ ศิลปาชีพ ได้ส่งผลให้ราษฎรในจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีความอยู่ดี กินดีมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดแม่ฮ่องสอน (เกษตรที่สูง) จึงจัดกิจกรรมรณรงค์ “คืนกล้วยไม้ป่าสู่ธรรมชาติ” เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจและรณรงค์ให้คนไทยอนุรักษ์กล้วยไม้ป่าไม่ให้สูญหาย จึงขอเชิญชวนเกษตรกร นักเรียน นักศึกษา ประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมระหว่าง 10-12 ส.ค.นี้ ณ ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองตามพระราชดำริ จ.แม่ฮ่องสอน

นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า โครงการนี้เป็นโครงการสำคัญ ซึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้มีพระราชเสาวนีย์ เกี่ยวกับกล้วยไม้ป่าของเมืองไทย “กล้วยไม้ไทย มีความงามมากและมีกลิ่นหอมมาก ซึ่งนับว่าหาดูได้ยากและใกล้สูญพันธุ์ไปทุกขณะ ขอให้ช่วยกันหาทางรวบรวมและอนุรักษ์ไว้ พร้อมกับการขยายพันธุ์ให้มีปริมาณมากพอที่จะคืนสู่ธรรมชาติ”

และยังได้มีพระราชดำรัสให้ทุกหน่วยงานได้ร่วมกันช่วยดูแลปกปัก รักษากล้วยไม้ไทยอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อให้กล้วยไม้ไทยที่สวยงาม และหายาก ได้คงอยู่เป็นมรดกทางธรรมชาติอันล้ำค่าของประเทศสืบไป.

สะ–เล–เต

 

ปลาปักเป้ามรณะ น้ำจืดมี 4 สายพันธุ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/684821

ปลาปักเป้าจุดดำ

จากปัญหาชาวบ้านนำปลาปักเป้าน้ำจืดมาบริโภค เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต กรมประมงได้ออกสำรวจปลาปักเป้าในน่านน้ำไทย พบมีทั้งหมด 42 ชนิด แบ่งเป็นปลาปักเป้าน้ำจืด 9 ชนิด และอีก 33 ชนิด เป็นปลาปักเป้าน้ำเค็ม และน้ำกร่อย

น.ส.จูอะดี พงศ์มณีรัตน์ รองอธิบดีกรมประมง เผยรายงานการตรวจพบพิษจากปลาปักเป้า โดย สถาบันวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมสัตว์น้ำจืด ว่า ปลาปักเป้าน้ำจืด 9 ชนิด มีชนิดที่เป็นพิษ 4 สายพันธุ์ ปลาปักเป้าดำ, ปักเป้าสุวัตถิ, ปักเป้าจุดแดง และ ปักเป้าจุดดำ ผลการตรวจหาพิษพบในทุกส่วนของตัวปลาทั้งในเนื้อเยื่อ หนัง อวัยวะภายใน เช่น ตับ และไข่ปลาปักเป้าดำ จะมีรูปร่างกลมป้อม หัวท้าย เรียว ปากเล็ก ตาโต ด้านหลังและท้องมีผิวสากเป็น หนามเล็กละเอียด ใต้ท้องจะนิ่มและสามารถขยายตัวได้มาก ครีบหลังกับครีบก้นเล็ก ลำตัวสีเขียวอมเทาคล้ำ หรือสีน้ำตาลเข้ม มีดวงหรือลายสีดำคละทั่วตัว ตาแดง และครีบสีจาง

ปลาปักเป้าสุวัตถิ หรือ ปักเป้าควาย ได้รับการตั้งชื่อพันธุ์เพื่อเป็นเกียรติแด่ ศ.โชติ สุวัตถิ อดีตคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ค้นพบครั้งแรกในแม่น้ำโขง จ.หนองคาย มีจุดเด่น ปากเรียวยาวงอนขึ้น ด้านบน มีลายคล้ายลูกศรบริเวณด้านบนระหว่างตาทั้งสองข้าง ลำตัวมีสีส้มแดงและมีจุดดำกระจายอยู่ทั่ว จัดเป็นปลาปักเป้าน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ปลาปักเป้าจุดดำ หรือ ปลาปักเป้าเขียวจุด มีรูปร่างกลมป้อม หัวท้ายเรียว ปากเล็ก ตาโต ด้านหลังและด้านท้องมีผิวสากเป็นหนามเล็กละเอียด ด้านท้องนิ่มขยายตัวได้มาก ครีบหลังเล็ก เช่นเดียวกับครีบก้น พื้นลำตัวเป็นสีเหลืองสด ท้องสีขาว มีจุดกลมสีดำกระจายอยู่ทั่วตัว

ส่วน ปลาปักเป้าจุดแดง หรือ ปักเป้าจุดส้ม มีลักษณะคล้ายปักเป้าจุดดำ แต่มีจุดแดง หรือจุดส้ม กระจายอยู่ทั่วตัว
“พิษของปลาปักเป้าน้ำจืดเมื่อได้รับพิษเข้าสู่ร่างกายแล้ว ทำให้รู้สึกชาที่ริมฝีปาก ลิ้น ปลายนิ้วมือ คลื่นไส้วิงเวียน แขนขาไม่มีแรง ยืนและเดินไม่ได้ หายใจลำบาก หมดสติ จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ปัจจุบันยังไม่มีตัวยาใดแก้พิษได้ จึงฝากเตือนประชาชน ไม่ควรนำปลาปักเป้าทุกชนิดมารับประทานโดยเด็ดขาด” รองอธิบดีกรมประมงกล่าว.

 

“หญ้าหวาน” กับสรรพคุณน่ารู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 9 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/684482

ว่ากันว่า “หญ้าหวาน” มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจากประเทศจีนแล้วกระจายพันธุ์ปลูกตามเขตร้อนทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย มีชื่อวิทยาศาสตร์ เฉพาะว่า STEVIA-STEVIA REBAUDINA BERTONI อยู่ในวงศ์ COM-POSITAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ต้นสูงประมาณ 30-90 ซม. แตกกิ่งก้านสาขาต่ำเป็นพุ่มโปร่ง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปใบหอกกลับหรือรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบกว้างและแหลม โคนใบป้านหรือสอบ ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ใบมีความเป็นพิเศษคือมีรสหวานเป็นธรรมชาติ จึงถูกตั้งชื่อว่า “หญ้าหวาน” ดังกล่าว

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายยอด และที่ปลายยอดแต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวน 1-3 ดอก ลักษณะดอกมีกลีบเลี้ยงเป็นรูปกรวยสีเขียว ปลายแยกเป็นแฉกหลายแฉก ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ ปลายกลีบแหลม เป็นสีขาวสดใส ใจกลางดอกมีเกสรเป็นสีขาวบิดงอโผล่พ้นกลีบดอก เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามแปลกตามาก “ผล” เป็นผลแห้งไม่แตกอ้า ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและปักชำต้น

สรรพคุณทางสมุนไพร ใบสดพบว่ามีสารหวานชื่อ STE-VIOSIDE ซึ่งจะมีความหวานกว่าน้ำตาลทรายถึง 250-300 เท่า แต่สาร STEVIOSIDE จะไม่ให้พลังงานทำให้ไม่อ้วน จึงเหมาะมากสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคไขมันในเส้นเลือดสูง และจากการทดลองในสัตว์ไม่พบพิษเฉียบพลันอีกด้วย จึงเป็นพืชที่มีคุณค่าน่าปลูกเป็นอย่างยิ่งปัจจุบัน “หญ้าหวาน” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 21 แผง “คุณพร้อมพันธุ์” โทร.08-1854-9640 แต่มีไม่มากนัก ราคาสอบถามกันเองหรืออยู่ที่ขนาดของต้น ทราบว่ามีผู้นำเอาใบของ “หญ้าหวาน” ไปแปรรูปขายทั่วไปได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายครับ.

“นายเกษตร”

 

ศักดิ์ศรีชาวนาญี่ปุ่น…มาจากไหน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 9 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/684493

มาฟังเรื่องเล่าชาวนาญี่ปุ่น โดย อ.ทซึโทมุ มิยาโกชิ ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญพิเศษ (ข้าว) บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด…ต่อจากเมื่อวาน

รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือชาวนาเป็นอย่างดี เพราะกลัวปัญหาความมั่นคงด้านอาหารที่มาจากประเทศมีแต่ชาวนาสูงวัย คนรุ่นใหม่ไม่ทำเกษตร รัฐเลยสนับสนุนให้ทำนาแปลงใหญ่…ปัญหาหนึ่งที่ตามมาไม่ต่างจากบ้านเรา ผลผลิตล้นตลาด

เลยต้องใช้วิธีจูงใจให้ชาวนาบางส่วนเปลี่ยนจากผลิตข้าวเพื่อการบริโภค มาเป็นให้นำข้าวมาเป็นวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ ทดแทนการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์…โดยรัฐจะสนับสนุนเงินให้ไร่ละ 76,000 เยน หรือประมาณ 26,200 บาท และเมื่อหมดฤดูทำนา เข้าสู่ฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นจัดไม่สามารถปลูกพืชหลังทำนาได้ รัฐยังจะสนับสนุนค่าสร้างโรงเรือนสำหรับปลูกผักหรือไม้ดอกในระบบปิดด้วย แต่พิจารณาตามความเหมาะสม

หากชาวนาสนใจจะเปลี่ยนชีวิตไปเป็นชาวสวน ปลูกผัก ผลไม้แทนข้าว รัฐจะสนับสนุนเงิน 32,500-41,800 เยน หรือประมาณ 11,200-14,400 บาท

อย่างที่บอกไปเมื่อวาน ชาวนาญี่ปุ่นจะรวมกลุ่มกันทำเกษตรแปลงใหญ่แบบครบวงจร คือ ทำตั้งแต่การปลูก แปรรูป และขายเอง จนพัฒนา ถึงขั้นสามารถรวมตัวตั้งเป็นสหกรณ์และบริษัท ผลที่ตามมา…พื้นที่เกษตรเดิมที่ชาวญี่ปุ่นมีเฉลี่ยคนละ 12 ไร่ แต่พอรวมแปลงใหญ่จะมีพื้นที่เฉลี่ยกลุ่มละ 193 ไร่

การทำนาแบบต่างคนต่างทำมีรายได้เฉลี่ยปีละ 100,000 บาทต่อไร่… รวมแปลงมีรายได้เฉลี่ย 4.1 ล้านบาทต่อไร่ (เฉพาะปลูกข้าว) เนื่องจากผลผลิตเพิ่ม ต้นทุนต่ำลง

ท้ายที่สุด เมื่อการรวมกลุ่มมีความเข้มแข็ง แปรรูปเป็น มีช่องทาง จำหน่าย จนกลายเป็นบริษัททำธุรกิจได้เอง มีความน่าเชื่อถือ สิ่งที่ตามมาบรรดาซุปเปอร์มาร์เกต บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรต่างๆจะวิ่งเข้าหา ไม่เพียงต้องการสินค้าไปขายในห้างตัวเองเท่านั้น ยังควักเงินขอร่วมลงทุนผลิตสินค้าเกษตรด้วย…เรียกว่า เป็นเพื่อนพันธมิตรร่วมธุรกิจเดียวกัน

ศักดิ์ศรีชาวนา พ่อค้า นายทุน เท่าเทียม…แล้วไทยล่ะ ฝันนี้จะได้ตื่นขึ้นวันไหน.

สะ–เล–เต

 

แปลงใหญ่แบบญี่ปุ่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 8 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/683877

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังโหมประโคมทำนาแปลงใหญ่… อ.ทซึโทมุ มิยาโกชิ ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญพิเศษ (ข้าว) บริษัทสยาม คูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าให้ฟัง ญี่ปุ่นมีแปลงใหญ่เหมือนกัน

แต่ทำกันมาหลายสิบปี ต่างกับไทยเพิ่งจะเริ่มลงมือทำ และวัตถุประสงค์การทำนาแปลงใหญ่ก็ต่างกัน…เราคิดทำเพื่อลดทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ญี่ปุ่นทำเพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาด รวมถึงแก้ปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่คนทำนามีแต่คนอายุเฉลี่ยเกิน 60 ปี ไม่มีเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นเกษตรกร

ชาวนาบางคนมีที่ดิน แต่ไม่ต้องการทำเกษตรเลยปล่อยให้คนอื่นเช่า บางรายที่มีที่ดินอยากทำนาแต่ไม่มีเงินซื้อเครื่องจักรกลเลยต้องจ้างกลุ่มธุรกิจการเกษตรมาทำนา…ชาวนาเหล่านี้เลยมารวมกลุ่มกันทำแปลงใหญ่ โดยภาครัฐให้การสนับสนุน

ได้รับงบฯสนับสนุนจากรัฐ ทั้งส่วนกลาง ส่วนจังหวัด…30-50% นำไปลงทุนด้านเครื่องจักร โรงเรือน และอื่นๆ ส่วนที่เหลือรัฐเปิดช่องให้เข้าถึงแหล่งทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

รัฐบาลญี่ปุ่นดูแลเกษตรกรอย่างดี เพราะต้องรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางอาหาร สนับสนุนการจัดตั้งหน่วยงานกลางประจำจังหวัด เพื่อจัดพื้นทีี่ทำการเกษตรให้กับเกษตรกรที่รวมกลุ่ม

การสนับสนุนมีด้วยกันหลายระดับ ทั้งแบบทำเดี่ยวๆ ไม่รวมกลุ่ม และรวมกลุ่ม…ชาวนาทุกคนที่มีพื้นที่ไม่เกิน 3 ไร่ จะได้เงินสนับสนุนการทำนา ครัวเรือนละ 300,000 เยน (102,000 บาท), พื้นที่ 3-12 ไร่ ได้เงินครัวเรือนละ 500,000 เยน (170,000 บาท) ถ้าพื้นที่มากกว่า 12 ไร่ ได้ครัวเรือนละ 700,000 เยน (238,000 บาท)

และถ้ามีการรวมกลุ่มกันจะได้เงินช่วยเหลือเพิ่มขึ้น…ถ้ารวมพื้นที่ปลูกได้ 20-25% ของจังหวัด จะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 24,000 เยน (8,000 บาท)…รวมกันได้ 50-80% ของจังหวัด ได้ไร่ละ 33,600 เยน (11,000 บาท) และหากรวมได้เกิน 80% ได้เงินช่วยเหลือไร่ละ 43,200 เยน (ประมาณ 15,000 บาท)

นอกจากนี้ยังมีเงินสนับสนุนเกษตรกรที่ยอมปล่อยที่นาให้เกษตรกรรายอื่นในท้องถิ่นเดียวกันเช่าทำนา จะได้ไร่ละ 16,000 เยน (5,400 บาท)… สิทธิประโยชน์ที่ชาวนาญี่ปุ่นได้ ไม่ได้มีแค่นี้ ยังจะมีอย่างอื่นอีก มาว่ากันต่อพรุ่งนี้.

“สะ–เล–เต”

 

“ใบยอ–ใบมะตูม” กับวิธีแก้เกาต์ไตเสื่อม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 8 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/683901

ใบยอ-ใบมะตูม

อาการดังกล่าว เป็นใหม่ๆยังไม่ถึงขั้นรุนแรง ในทางสมุนไพร ให้เอา “ใบยอ–ใบมะตูม” สดจำนวน 16 ใบเท่ากัน ต้มกับน้ำ 2 ลิตรจนเดือดดื่มครั้งละ 1 แก้ว 2 เวลาเช้า-เย็น ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ ดื่มจนยาจืด หากดื่มแล้วอาการดีขึ้นเปลี่ยนยาต้มดื่มใหม่ต่อเนื่อง 4 เดือนจะหายได้ ใครที่เป็นมานานดื่มบรรเทาได้ระดับหนึ่ง ใบยอสด จำนวนตามต้องการยังตำคั้นเอาน้ำสระผมคนมีเหา ติดต่อกัน 3–4 วันตัวเหาจะตายหมด นิยมใช้กันมาแต่โบราณแล้ว

ยอ หรือ MORINDA CITRIFOLIA อยู่ในวงศ์ RUBIACEAE ใบสดตำเอาน้ำทาแก้ปวดโรคเกาต์ ปวดตามข้อเล็กๆนิ้วมือนิ้วเท้า “มะตูม” หรือ AEGIE MARMELOS อยู่ในวงศ์ RUTACEAE ผลอ่อนบำรุงธาตุผายลม ผลแก่ขับเสมหะ มะตูมสุกกินแก้เสียดแทงในท้องมูกเลือด ใบอ่อนกินเป็นผักได้ ใบสดยังเชื่อกันว่าใช้ป้องกันเสนียดจัญไรขับภูตผีปิศาจได้ มะตูมสุกต้มน้ำใส่น้ำตาลรับประทาน เรียกว่า “น้ำอัชบาล”

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” ไม่วางขายที่ไหน หมดแล้วหมดเลย ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร, แห้วหมูแคปซูล ลดความดันโลหิต, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงินแพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, แชมพูสูตร 5 ชนิด บำรุงรากผม ขจัดรังแคแก้คันศีรษะ, น้ำมันงาบริสุทธิ์ ทาผิวหมักผมดีมาก, ว่านชักมดลูกแคปซูล แก้คาวปลากลิ่นเหม็นในสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบ ไส้เลื่อนในบุรุษ และอื่นๆ โทร.0-2275-2692 ครับ.

“นายเกษตร”

 

เงินแค่ 3 หมื่น พลิกชีวิตเกษตรกรได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/683948

“เดิมคนที่นี่ปลูกมันฯ ปลูกอ้อยเป็นหลัก เป็นหนี้เป็นสินมาตลอด ยิ่งเจอภัยแล้ง ผลผลิตก็ยิ่งไม่ดี ชาวบ้านมีรายได้ประมาณไร่ละ 6,000-8,000 บาท แทบจะไม่พอยาไส้ หักต้นทุนแล้วปีหนึ่งเหลือแค่ไร่ละ 3,000-4,000 บาทเท่านั้นเอง เราเลยสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อจะเข้าโครงการฟื้นฟูอาชีพ มองหาลู่ทางปลูกพืชชนิดอื่นที่รายได้น่าจะดีกว่า ปี 2556 ไปดูงานปลูกแคนตาลูปและเมล่อนที่ จ.อำนาจเจริญ แล้วนำมาประยุกต์ปลูกในที่ตัวเอง”

อุเทน สีมารักษ์ สมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม เล่าถึงที่มาของการปลูกแคนตาลูปและเมล่อนแทนมันสำปะหลังและอ้อย…หลังมีการรวมกลุ่มร่างโครงการขอเงินสนับสนุนจากกองทุนฟื้นฟูฯ 30,000 บาท และได้ไปอบรมเรียนรู้วิธีการปลูก กลับเริ่มลงแคนตาลูป 700 ต้น บนพื้นที่ 3 ไร่

ครอปแรกใช้เงินลงทุนไปทั้งหมด 12,000 บาท เป็นค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าอุปกรณ์ระบบน้ำหยด ค่าไม้ไผ่ ทำค้างให้แคนตาลูปเกาะและอุปกรณ์อื่นๆ …เพียงแค่ 3 เดือน ได้ผลผลิตให้พ่อค้ามาซื้อหน้าสวน ได้ราคา กก.ละ 20 บาท ขายได้ 20,000 กว่าบาท เนื่องจากยังไม่มีความชำนาญพอ

ครอปต่อมาผลผลิตเพิ่มขึ้นเป็นไร่ละ 3 ตัน เลยแบ่งพื้นที่ 3 งานมาทดลองปลูกเมล่อน เนื่องจากวิธีการปลูก การดูแลทุกอย่างไม่ต่างจากแคนตาลูป แต่ราคาดีกว่า กก.ละ 100 บาท แถมปลูกได้หนาแน่นกว่า งานละ 1,000 ต้น …ผ่านไปราว 1 เดือน เริ่มเห็นดอก ปล่อยให้แมลงผสมเกสรตามธรรมชาติ ปลูกไปประมาณ 45 วัน จะเริ่มเห็นลูก

คัดลูกที่ได้รูปทรงไม่บิดเบี้ยวเอาไว้เพียงลูกเดียว ที่เหลือเด็ดทิ้งให้หมด ตัดกิ่งที่แตกแขนงทิ้งไป เพื่อธาตุอาหารจะได้ไปเลี้ยงบำรุงลูกอย่างเต็มที่ จะได้ลูกที่สมบูรณ์มีคุณภาพและได้ราคา

เมื่อเก็บผลผลิตแล้ว รื้อทุกอย่างในแปลงออกทำความสะอาดทั้งหมด เพื่อป้องกันเชื้อรา ไถกลบ โรยโดโลไมท์ พักดิน 1-2 เดือน ให้ดินสะสมธาตุอาหารใหม่ ช่วงนี้ก็เตรียมกล้าเพื่อนำไปปลูกในแปลงอื่นต่อไปผลผลิตจะได้มีออกมาป้อนตลาดสม่ำเสมอไม่ขาดตอน

ผลการปลูกทดลองเมล่อนครั้งแรก 3 งาน 3,000 ต้น ไปได้ดี อุเทน และเพื่อนสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ 20 ราย จึงขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มมาเป็น 3 ไร่…จากขายให้พ่อค้ามารับซื้อหน้าสวน เปลี่ยนมาเป็นทำการตลาดเอง ผ่านช่องทางออกงานขายกับหน่วยงานภาครัฐ สร้างจุดขายมีการทำลวดลายหรือสลักอักษรบนเปลือกเมล่อนอายุ 50 วัน ช่วยเพิ่มมูลค่าจากลูกละ 100 บาท เป็น 150 บาทได้อีก

ปลูกเมล่อน 3 ไร่ ถ้าขายลูกละ 100 บาท แค่ครอปเดียว 4 เดือน ได้เงิน 1 ล้านบาท หักต้นทุนค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยา ระบบน้ำ จะเหลือกำไร 860,000 บาท หรือไร่ละ 286,000 บาท

ปีหนึ่งปลูกได้ 3 ครอป กำไรไร่ละ 8 แสนกว่าบาท ไม่น่าเชื่อเงินแค่ 3 หมื่นของกองทุนฟื้นฟูฯ จะพลิกชีวิตเกษตรกรได้ขนาดนี้… ดีกว่าปลูกอ้อย ปลูกมันฯ 200 เท่า.

กรวัฒน์ วีนิล

 

ยัน ไก่ไทย ไร้ฮอร์โมนเร่งโต ทำเด็กเป็นหนุ่มสาวเร็ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 7 ส.ค. 2559 00:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/683462

แพทย์ระบุหลายปัจจัยมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนในสมองเด็ก ย้ำความเชื่อเก่า ฮอร์โมนในไก่ ทำให้เด็กมีภาวะโตเร็ว ด้านสัตวแพทย์ย้ำเทคโนโลยีพัฒนาสายพันธุ์ไก่ตามธรรมชาติช่วยอัตราเติบโตของไก่เร็วขึ้น ผนวกมาตรฐานการเลี้ยง การกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์และคำสั่งซื้อของประเทศคู่ค้า ที่เข้มงวดด้านความปลอดภัยในอาหาร ล้วนการันตีไก่ไทยไม่ใช้ฮอร์โมน

พญ.อุมาพร สุทัศน์วรวุฒิ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวในงานสัมมนาหัวข้อ ไก่ไทยปลอดภัยไม่ใช้ฮอร์โมน จัดโดยสมาคมวิทยาศาสตร์สัตว์ปีกโลกสาขาประเทศไทย ว่า เด็กจะเข้าสู่วัยหนุ่มสาวในช่วงอายุ 8-13 ปี เด็กที่มีภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อน 8 ปี จะถือว่าเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย และหากเป็นหนุ่มสาวหลัง 13 ปีไปแล้ว จะถือว่าเป็นหนุ่มสาวช้ากว่าปกติ โดยภาวะโตเป็นหนุ่มสาวเร็วหรือช้านั้น เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ กรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ (เช่น โภชนาการ การออกกำลังกาย พฤติกรรมต่างๆ) และโรคภัยไข้เจ็บของเด็ก ซึ่งต้องพิจารณาเป็นองค์รวม

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นยืนยันว่า ภาวะโภชนาการเกินหรือภาวะอ้วนในเด็ก มีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเจริญเติบโตของร่างกาย และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโตเร็ว ส่วนเนื้อไก่ที่อาจมีคนมองว่าเป็นเหตุให้เกิดภาวะโตเร็วนั้น เป็นความเชื่อเก่า ที่สมัยก่อนมีการฝังฮอร์โมนเลี้ยงไก่ แต่ปัจจุบันมีกฎหมายควบคุมไม่ให้มีการใช้ฮอร์โมนแล้ว ที่สำคัญ ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดๆ ระบุว่าเด็กโตเร็วเพราะกินเนื้อสัตว์ปนเปื้อนฮอร์โมนเลย ขณะที่เด็กหลายๆ คนที่ไม่รับประทานเนื้อไก่ก็ประสบภาวะโตเร็วเช่นกัน

ด้าน น.สพ.ศศิ เจริญพจน์ กองควบคุมอาหารและยาสัตว์ กรมปศุสัตว์ ยืนยันว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ 417 /2528 ลงวันที่ 23 กันยายน 2529 เพิกถอนทะเบียนตำรับยาสำหรับสัตว์ Hexoestrol ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ในสัตว์ปีก หากมีการลักลอบใช้ถือว่าผิดกฎหมาย และกรมปศุสัตว์มีการเฝ้าระวัง ตลอดจนสุ่มตรวจฮอร์โมนในเนื้อสัตว์ปีกเป็นประจำทุกปี โดยสำนักตรวจสอบคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ รายงานว่าในช่วงปี 2553–2559 มีการสุ่มตัวอย่างสัตว์ปีกจำนวน 2,192 ตัวอย่าง และไม่พบฮอร์โมนตกค้างแม้แต่ตัวอย่างเดียว

น.สพ.บริสุทธิ์ วรรณสุทธิ์ นักวิชาการ บริษัท คอบบ์ แวนเทรส เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและพัฒนาสายพันธุ์ไก่เนื้อ (สายพันธุ์ COBB) ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า กรณีที่ไก่เนื้อทุกวันนี้โตเร็วกว่าในอดีต เป็นเพราะกระบวนการคัดเลือกสายพันธุ์ตามธรรมชาติ ที่พัฒนาโดยใช้หลักการพื้นฐานวิชาพันธุศาสตร์ โดยไก่จะต้องผ่านเกณฑ์ลักษณะเด่นทางพันธุกรรม จึงจะถูกคัดเลือกเพื่อนำไปขยายพันธุ์ต่อ เมื่อไก่ที่ได้รับการพัฒนาด้านพันธุกรรมที่ดีแล้ว นำไปเลี้ยงในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ให้อาหารที่มีโภชนาการที่ดีกับการเจริญเติบโตของไก่แต่ละช่วงวัย ภายใต้การเลี้ยงที่ถูกต้อง และมีมาตรฐานการป้องกันโรคที่ดี ไก่เนื้อก็จะแสดงลักษณะภายนอกที่ชัดเจน คือ เติบโตรวดเร็ว และแข็งแรงตามพันธุกรรมธรรมชาติ

ทั้งนี้ การคัดเลือกสายพันธุ์ตามธรรมชาติ (Genetic Breeding) ที่ใช้นั้น แตกต่างกับการตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) อย่างสิ้นเชิง และไม่มีอันตรายใดๆ จากเทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้อัตราการเติบโตของไก่สูงขึ้นทุกปีๆ ละ 45-50 กรัม โดยปัจจุบันใช้เวลา 6 สัปดาห์ จะได้ไก่ขนาด 2.5 กก. แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้าอุตสาหกรรมไก่ของโลกจะสามารถเลี้ยงไก่ในเวลา 6 สัปดาห์ จะได้น้ำหนักไก่ถึง 3 กก. โดยไม่มีการใช้ฮอร์โมนใดๆ

ด้าน น.สพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล นักวิชาการ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่อุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยจะใช้สารเร่งการเจริญเติบโต เพราะผิดทั้งกฎหมายของประเทศไทย และขัดต่อข้อบังคับของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญ อีกทั้งปัจจัยสนับสนุนทั้ง 5 ข้อ ได้แก่ พันธุ์สัตว์ที่ดี อาหารสัตว์คุณภาพดี โรงเรือนและอุปกรณ์ทันสมัย การดูแลด้านสวัสดิภาพสัตว์ที่ดี และระบบการป้องกันโรคที่ดี ก็ทำให้ไก่เนื้อของไทยเติบโตเร็วอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องใช้สารเร่งใดๆ

ปัจจุบัน ไทยเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่อันดับ 4 ของโลก สร้างรายได้จากการส่งออกเนื้อไก่ไปยังนานาประเทศปีละกว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งต้องถูกตรวจสอบมาตรฐานสินค้า รวมถึงสารตกค้างต่างๆ จากประเทศคู่ค้าอยู่ตลอดเวลา จนเป็นที่ยอมรับของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหารสูงมาก จึงมั่นใจได้ในไก่เนื้อของไทยว่าปลอดภัย ไม่ใช้ฮอร์โมน

 

“ส้มโอแดงเวียดนาม” ผลใหญ่ดกสีสวยหวาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 5 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/681238

ส้มโอแดงเวียดนาม

ส้มโอชนิดนี้ เป็นพันธุ์พื้นเมืองของประเทศเวียดนาม โดยในท้องถิ่นเรียกกันว่า “น่ำร้อย” ในประเทศไทย “คุณบุญลือ สุขเกษม” เจ้าของสวน “บุญบันดาล” ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา นำกิ่งตอนเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ นานกว่า 7-8 ปีแล้ว สามารถเติบโตมีดอก และติดผลได้ดีเหมือนการปลูกในถิ่นเดิมทุกอย่าง มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ สีของเปลือกผลเมื่อเริ่มแก่จะเป็นสีแดงสดแปลกตาน่าชมยิ่ง เปลือกผลบางและนิ่ม เนื้อในหรือถุงน้ำเป็นสีชมพู ไม่แข็งเป็นดาน รสชาติหวานหอมรับประทานอร่อยมาก รูปทรงของผลสวย หัวผลเป็นจุกใหญ่ คล้ายหัวผลน้ำเต้า ใน 1 ผลจะมีเมล็ดไม่มากนัก ผลโตเต็มที่น้ำหนักเฉลี่ย 1-3 กิโลกรัมต่อผล เป็นส้มโอพันธุ์เบา มีดอกและติดผลได้ง่าย ติดผลดก ต่อเนื่องหรือเกือบทั้งปี จะเริ่มมีดอกติดผลชุดแรกหลังปลูกเพียง 2-3 ปีเท่านั้น จึงเหมาะมากที่จะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนหรือปลูกเพื่อเก็บผลขายได้ราคาคุ้มค่ามาก

ส้มโอแดงเวียดนาม มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับส้มโอทั่วไปทุกอย่าง อยู่ในวงศ์ RUTACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-10 เมตร กิ่งก้านมีขน และมักจะมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อยเพียงใบเดียว เป็นรูปไข่กลับ ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมเย็น “ผล” รูปกลมเกลี้ยง เมื่อผลเริ่มแก่จะเป็นสีแดงเข้ม เนื้อในหรือถุงน้ำเป็นสีชมพู รสชาติหวานหอมรับประทานอร่อย ตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ใคร ต้องการกิ่งตอนแท้ด้วยระบบเสียบยอด ติดต่อ “คุณบุญลือ สุขเกษม” บ้านเลขที่ 5/2 หมู่ 2 ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โทร.08-6518-1453, 08-7843-9920 หรือไปซื้อที่งานเกษตรภาคใต้ จัดขึ้นที่ ม.สงขลาฯ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา บริเวณล็อกซี 1/3-18, 19 ระหว่างวันที่ 12-22 ส.ค.59 และที่งานเกษตรแฟร์ อ่าวอุดม จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 26 ส.ค.-4 ก.ย.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

อาปิงเสียบตลับนาค มะม่วงหวานหอมสีสวย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 5 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/681557

“10 ปีก่อน พ่อได้กิ่งมะม่วงพันธุ์อาปิงจาก เพื่อนมา 2 กิ่ง เป็นพันธุ์จากไต้หวัน นำมาปลูกไว้ที่สวน พอลงดินตอนแรกตายลงไปต้นหนึ่ง พ่อจึงนำกิ่งตอนจากต้นที่เหลือไปทดลองเสียบยอดกับต้นมะม่วงตลับนาค พันธุ์ท้องถิ่น ปรากฏว่ามันเติบโตได้ดี จึงขยายพันธุ์เรื่อยมา จนตอนนี้พื้นที่ 22 ไร่ มีมะม่วงพันธุ์อาปิงกว่า 1,000 ต้นแล้ว”

เจิดศักดิ์ ขาวอ่อน เจ้าของสวนเหล่าดู่แลนด์ ต.หนองยวง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน บอกถึงลักษณะโดดเด่นของมะม่วงพันธุ์นี้ว่า ผลมีขนาดใหญ่ รูปร่างออกกลม สีสวย มีความหลากหลายของสี ผลเมื่อยังอ่อนจะมีสีเขียว พอเข้าสู่ระยะห่ามสีขั้วจะออกแดง ปลายผลสีเขียว และเมื่อผลสุกขั้วถึงกลางผลสีแดงส้ม ส่วนปลายสีเหลือง เมื่อผ่าเนื้อในออกมา เนื้อจะเหลืองสด มีรสชาติหวาน และมีกลิ่นหอม…ถ้ารับประทานเป็นผลดิบ รสชาติมันกรอบ

แต่มะม่วงอาปิง มีปัญหาในเรื่องรากหาอาหารไม่ค่อยเก่ง และไม่ทนทานต่อโรครากเน่า โคนเน่า ปลูกไปแล้วตายง่าย…จึงต้องใช้วิธีการสวมต้นตอมะม่วงตลับนาค มะม่วงพันธุ์พื้นบ้านภาคเหนือ ที่รากหาอาหารได้ดีและทนโรค
ในการขยายพันธุ์มะม่วงอาปิง เจิดศักดิ์ บอกว่า สามารถทำได้ 2 วิธี คือ การติดตา แบบแปะด้วยการนำยอดอ่อนยาว 3 นิ้ว เฉือนแบบปากฉลามด้วยมีดที่คมๆ แล้วนำต้นตอมะม่วงตลับนาคที่มีขนาดลำต้นเท่าดินสอมาเฉือนเป็นปากฉลาม จากนั้นนำสองส่วนตรงรอยเฉือนประกบกัน ใช้พลาสติกพันจากด้านล่างไปจนสุดยอดอ่อน ปล่อยทิ้งไว้ คอยสังเกตยอดเกิดการแตกกิ่งอ่อนขึ้นมา จึงคลี่พลาสติกส่วนปลายยอดออก รอจนรอยเชื่อมที่ต้นตอติดกันดีแล้วให้แกะพลาสติกออกทั้งหมด ย้ายลงในถุงดำที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

อีกวิธีเป็นการทาบกิ่ง เริ่มต้นเพาะต้นตอมะม่วงตลับนาค จนต้นขนาดเท่าต้นดินสอดำ ถอนออกจากแปลง แล้วตัดรากออกจนเหลือตุ่มรากเล็กๆที่โคนต้น ใส่ในถุงพลาสติกใส (ห้ามใช้ถุงดำ เพราะจะมองไม่เห็นราก) ที่บรรจุขุยมะพร้าว มัดปากถุงให้แน่น ตัดกิ่งและใบออกให้เหลือ 3 นิ้ว เฉือนเป็นปากฉลาม นำไปเสียบที่กิ่งของต้นมะม่วงอาปิง พันรอยแผลให้สนิท มัดถุงต้นตอให้แน่นกับกิ่งพันธุ์ รอจนกระทั่งมีรากออกเต็มถุง จึงควั่นใต้รอยเสียบกิ่งเพื่อตัดการส่งอาหาร ทิ้งไว้ 3-5 วัน จึงตัดออกจากต้นแม่ นำไปชำในถุงดำตั้งไว้ในเรือนเพาะชำ 1 ปี นำไปปลูกใช้ระยะปลูก 4×5 ม. โดยการยกร่อง เพื่อให้มีน้ำรดต้นมะม่วงตลอดทั้งปี

เพียงแค่ 1 ปี มะม่วงอาปิงเสียบยอดตลับนาคจะให้ผลผลิตในช่วงปลาย มิ.ย.–ส.ค. จะได้ขนาดจัมโบ้ ราคา กก.ละ 65–70 บาท ส่วนตกเกรด ราคา 45–50 บาท จะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงสวน เพื่อนำไปส่งขายที่มาเลเซีย หากเป็นผลขนาดใหญ่จะส่งไปจีน…ล่าสุด พ่อค้าสิงคโปร์ ประเทศแทบไม่มีแผ่นดินให้ปลูกอะไร ทั้งสิ้น ยังเข้ามาซื้อไปจนหมดสวน เพราะได้ลองลิ้ม ชิมรสแล้วชื่นชอบ สนใจติดต่อได้ที่ 08-1964-6984.

“ไชยรัตน์ ส้มฉุน”