ไก่หนาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/571522

โดย สะ-เล-เต 3 ก.พ. 2559 05:01

 

ลมหนาวยังไม่หมด ยังมีตามมาสมทบกันอีกระลอก สภาพอากาศเช่นนี้ สัตว์ปรับตัวไม่ทัน ส่งผลให้สัตว์เกิดความเครียด ภูมิคุ้มกันโรคลดลง เจ็บป่วยได้ง่าย

น.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก ซีพีเอฟ เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกให้เอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ ด้วยการปรับสภาพในโรงเรือนให้มีความอบอุ่นแก่ตัวสัตว์ ใช้ผ้าม่านหรือกระสอบมาปิดบังลมรอบโรงเรือน แต่ต้องมีการระบายอากาศ ส่วนในโรงเรือนปิดแบบอีแวปควรกั้นผ้าหรือกระสอบเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้มีลมโกรก และอาจเพิ่มไฟกกให้กับสัตว์ที่อายุยังน้อย

แต่ย้ำว่า…ไม่ควรสุมไฟให้ไก่ เพราะอาจเกิดอันตรายได้

การเลี้ยงไก่เนื้อให้ใช้แกลบรองพื้นในการเลี้ยง และหมั่นกลับแกลบอย่างน้อย 1-2 วันต่อครั้ง เพื่อป้องกันการเก็บความชื้น ส่วนไก่ไข่ต้องจัดการกับมูลไก่ใต้กรงบ่อยขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากแก๊สแอมโมเนียที่จะมีมากขึ้นในช่วงนี้ และควรเพิ่มอาหารให้มากขึ้น เพื่อไก่จะได้นำพลังงานจากอาหารไปต่อสู้กับความหนาวเย็น พร้อมเข้มงวดกับการทำวัคซีนป้องกันโรคตามระยะ เวลาที่กำหนด โดยสามารถเพิ่มวิตามินละลายน้ำให้ไก่กินได้ตามสมควร

และด้วยในช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคมของทุกปี จะมีการอพยพย้ายถิ่นของฝูงนกจากซีกโลกเหนือมายังบ้านเรา เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ปีก เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกแบบปล่อย เช่น เป็ดไล่ทุ่งและไก่บ้านในช่วงนี้ควรนำสัตว์ปีกเข้าไปเลี้ยงภายในโรงเรือนที่มีตาข่ายปิดมิดชิดและมีหลังคาคลุม เพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกจากฝูงนกอพยพ ควบคู่กับการให้น้ำของสัตว์ปีกจะต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนออกฤทธิ์ประมาณ 2-3 ppm หรือปริมาณน้ำ 1,000 ลิตรต่อคลอรีนออกฤทธิ์ 2-3 กรัม รวมไปถึงการพ่นยาฆ่าเชื้อในกลุ่มกลูตาราลดีไฮด์เป็นประจำทุกวัน ที่สำคัญควรมีรองเท้าบูตสำหรับใส่ภายในโรงเรือนโดยเฉพาะ

สำหรับเกษตรกรที่สงสัยสัตว์ของตนเองจะเสี่ยงติดเชื้อโรค สังเกตได้จากมีการตายผิดปกติเกินร้อยละ 1 ของสัตว์ทั้งฟาร์มต่อวัน ให้แจ้งไปที่สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก 0–2988–0670 เพื่อจะได้ส่งเจ้าหน้าที่ของซีพีเอฟลงพื้นที่เก็บตัวอย่างสัตว์และนำมาส่งตรวจ โดยจะทราบผลภายใน 1–2 วัน.

สะ–เล–เต

อ่างเก็บน้ำคลองหลวงฯ อีกตำนาน…น้ำให้ชีวิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/571576

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 3 ก.พ. 2559 05:01

 

หลังจากชาวบ้านฝันรอคอยมานานกว่า 30 ปี…วันนี้อ่างเก็บน้ำคลองหลวง รัชชโลทร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.เกาะจันทร์ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี กักเก็บน้ำได้ 98 ล้าน ลบ.ม. ก่อสร้างเสร็จแล้ว มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา

“เราได้ใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ก่อนสร้างเสร็จ เพราะปี 2556 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในลุ่มน้ำปราจีนบุรีและบางปะกง กรมชลประทานได้ประสานกับบริษัทก่อสร้าง ให้กักเก็บน้ำไว้ในอ่างฯก่อนชั่วคราวเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ด้านท้ายอ่างฯ ตอนนั้นเก็บไว้ได้ 70 ล้าน ลบ.ม. ช่วยให้น้ำท่วมในพื้นที่ อ.เกาะจันทร์ อ.พนัสนิคม และ อ.พานทอง ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ไม่มีปัญหารุนแรงเหมือนพื้นที่อื่นๆ”

นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงประโยชน์เล็กๆบางส่วนของอ่างเก็บ น้ำ ที่คนเมืองอาจไม่รู้สึกรู้สาถึงความสำคัญของน้ำสักเท่าไร…แต่คนในชนบท แล้งน้ำมาชั่วชีวิต รู้ซึ้งดี

นายมานะ อยู่สบาย สารวัตรกำนัน ต.ท่าบุญมี อ.พนัสนิคม วัย 60 ปี เล่าว่า ปกติในช่วง ก.ย.-ต.ค. น้ำจะท่วมทุกปี แต่หลังจากมีอ่างเก็บน้ำคลองหลวงฯ น้ำไม่ท่วม จากที่เคยทำนาได้ปีละครั้ง เดี๋ยวนี้ทำนาได้ทั้งปี

“ทำนา 70 ไร่ ก่อนที่จะมีอ่างฯ แทบไม่ได้ผลผลิต ขาดทุนมาตลอด เป็นหนี้กองทุนหมู่บ้านและญาติพี่น้อง 300,000 บาท แต่พอมีอ่างฯ ทำนาเกี่ยวข้าวได้เพิ่มขึ้นถึง 90 ถังต่อไร่ มากกว่าเดิมเกือบเท่าตัว แถมยังทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง แค่ปีกว่าๆ ตอนนี้สามารถปลดหนี้ได้เกือบหมด” นางประ-ภาพรรณ พุทธรักษา ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำวัดโบสถ์ร่วมใจ อ.พนัสนิคม พูดให้ฟัง

นั่นเป็นเพียงเสียงของผู้ได้ประโยชน์ในแบบไม่ต้องสูญที่ดินทำกิน…ยังมีคนอีกกลุ่ม ถึงจะได้น้ำมาแต่ต้องแลกกับการสูญที่ทำกิน จะรู้สึกอย่างไร จะดำรงชีวิตเยี่ยงไร

นายจำเรียง เกิดวิธี เกษตรกรวัย 54 ปี ต.เกาะจันทร์ อ.เกาะจันทร์ ที่ดินเคยได้ใช้ทำไร่อ้อยและมันสำปะหลัง จมอยู่ใต้น้ำ ชีวิตต้องพลิกผันมาจับปลายังชีพ บอกว่า แต่ก่อนรู้จักแต่ทำไร่ จับปลาไม่เป็น แต่ค่อยๆปรับตัวเรียนรู้ด้วยตนเอง ตอนนี้ฝีมืออยู่ในระดับจับปลาได้วันละ 3-4 รอบ ได้ปลาวันละ 10-20 กก. ขายได้ 400-500 บาท บางวันก็ได้ถึง 1,000 บาท

จากปลูกอ้อยปลูกมันฯ มีรายได้ปีละ 30,000 บาท…พอมีอ่างเก็บน้ำเปลี่ยนมาจับปลามีรายได้เดือนละ 12,000 บาท หรือปีละ 140,000 บาท รายได้เพิ่มหลายเท่าตัว

“เราได้รับผลกระทบจากการสร้างอ่างฯ ทางการช่วยเหลือซื้ออุปกรณ์จับปลามาให้ ทำไปทำมามันดีกว่าทำนา ใช้แรงน้อยกว่า รายได้คงเส้นคงวา ได้เงินทุกวัน ไม่เหมือนทำไร่ทำสวน บางคนทำ 20 ไร่ เป็นหนี้กันคนละ 20,000-30,000 บาท แต่จับปลาในอ่างเก็บน้ำฯ ไม่ต้องเสี่ยงมีหนี้เลย”

นายอินทร์ บัวคำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านควบตำแหน่งกรรมการกลุ่มผู้จับสัตว์น้ำหนองแฟบ ต.เกาะจันทร์ บอกอีกว่า รายได้ไม่ใช่จะมาจากการขายปลาสดอย่างเดียว ยังมีการรวมกลุ่มทำธุรกิจต่อยอด นำปลามาแปรรูปเป็นปลาแดดเดียว …หัวปลา ขี้ปลา ยังนำมาทำปุ๋ยชีวภาพขายเพิ่มรายได้อีกทาง

ตอนนี้ทุกคนมีความสุข ไม่ทุกข์หนักเหมือนแต่ก่อน ที่ต้องรอฝนจากฟ้ามากำหนดชะตา ชีวิต…มีน้ำ ชาวบ้านสามารถลิขิตชีวิตตัวเองได้.

แก้หนาวให้สัตว์กีบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/571013

โดย สะ-เล-เต 2 ก.พ. 2559 05:01

 

ภูมิอากาศโลกแปรปรวนสุดจะบรรยาย หนาวกะทันหันอย่างไม่เคยพบเคยเห็นได้เจอกันมา…การประกอบอาชีพเกษตรที่ต้องพึ่งพาลมฟ้าธรรมชาติเป็นหลัก ยิ่งต้องระมัดระวังศึกษาหาความรู้ให้มากเข้าไว้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมา

หนาวๆ อย่างนี้ น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ ฝากเตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ระยะนี้ต้องควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่หนาวจนเกินไป

สังเกตได้ง่ายๆ จากการนอนของสุกร…ถ้าอุณหภูมิเหมาะสม หมูจะนอนสบายใช้ด้านข้างตัวนอนราบกับพื้น…แต่หากอุณหภูมิต่ำ หนาวเย็นเกินไป สุกรมักจะนอนบนขาตัวเอง และมีอาหารหนาวสั่น หรือไม่ก็มันจะนอนรวมสุมกันเป็นกอง

อาจใช้ผ้าม่านกั้นแนวลมที่จะเข้าโรงเรือนเพื่อไม่ให้ลมหนาวพัดผ่านตัวสุกรโดยตรง กรณีลูกสุกรอายุน้อยอาจทำกล่องกกและเพิ่มหลอดไฟกก หรือใช้วัสดุรองพื้น เช่น ตีแผ่นไม้รองนอน แกลบ ขี้กบ ขี้เลื่อย เพื่อไม่ให้หมูสัมผัสกับความเย็นของพื้นซีเมนต์ แต่ต้องมั่นใจว่าวัสดุรองนอนเหล่านั้นปลอดจากเชื้อโรค และต้องควบคุมไม่ให้โรงเรือนเปียกชื้นหรือแฉะมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้อุณหภูมิภายในลดต่ำลง

และต้องควบคุมการให้อาหารให้เหมาะสม ด้วยการแบ่งมื้ออาหารให้มากขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นการกินอาหารของสุกร เนื่องจากอากาศหนาวหมูจะกินอาหารแต่ละครั้งได้ไม่มากเหมือนเดิม

ส่วนเรื่องโรคในสัตว์กีบคู่ โค กระบือ รวมทั้งสุกร ช่วงนี้ต้องเฝ้าระวังเรื่องโรคติดต่อ โดยเฉพาะโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) ป้องกันด้วยการทำวัคซีนตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์แนะนำ และป้องกันสัตว์พาหะจากภายนอกที่อาจนำเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์ม รวมถึงไม่อนุญาตให้คนภายนอก ที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อจากฟาร์มอื่นเข้าฟาร์ม

ที่สำคัญ ไม่อนุญาตให้รถบรรทุกจากฟาร์มอื่นที่มีสัตว์อยู่บนรถเข้าฟาร์มโดยเด็ดขาด

ในสุกรควรระวังโรคพีอาร์อาร์เอส (PRRS) เป็นพิเศษ การป้องกันควรเน้นควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนที่เหมาะสม กรณีเกิดโรคขึ้นในฟาร์มให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์…ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถสอบถามข้อมูลด้านสุขภาพสัตว์และขอคำแนะนำอย่างครบวงจร ได้ที่สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก 0-2988-0670 ในเวลาทำการตั้งแต่ 08.30-18.00 น.

สะ–เล–เต

“จำปีเหลืองหิมาลัย” กับที่มาชื่อหอมแรง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/571017

โดย นายเกษตร 2 ก.พ. 2559 05:01

 

ไม้ต้นนี้ พบมีกิ่งพันธุ์วางขายมีภาพถ่ายดอกจริงแขวนโชว์ให้ชมพร้อม มีป้ายชื่อว่า “จำปีเหลืองหิมาลัย” ติดประกอบภาพไว้ด้วย ซึ่งผู้ขายบอกว่าเป็นจำปีพันธุ์ใหม่ เกิดจากการผสมระหว่างจำปีพันธุ์ดั้งเดิมของไทยกับจำปาอินโดนีเซีย แต่บอกไม่ได้ว่าผสมกันด้วยวิธีไหน บอกได้เพียงว่า เมื่อนำต้นกล้าจำนวนหลายต้นไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอก ปรากฏว่า สีของกลีบดอกเป็นสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อน แตกต่างจากสีของดอกจำปีไทยพันธุ์ดั้งเดิม ที่จะเป็นสีขาวนวล อย่างชัดเจน ผู้ขายจึงตั้งชื่อว่า “จำปีเหลืองหิมาลัย” ดังกล่าว

จำปีเหลืองหิมาลัย เท่าที่ดูจากต้นวางขายประกอบกับคำบอกเล่าของผู้ขายระบุว่า มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับต้นจำปีพันธุ์ไทยดั้งเดิมทุกอย่างคือ เป็นไม้ยืนต้น อยู่ในวงศ์ MAGNOLIACEAE ต้นสูงไม่เกิน 5-10 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่บริเวณปลายยอด ใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ปลายแหลมโคนเกือบมน ใบมีขนาดใหญ่ หน้าใบสีเขียวสดเป็นมัน หลังใบสีด้านกว่า

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบ ดอกตูมเป็นรูปกระสวย ยาวประมาณ 5-8 ซม. มีกลีบดอก 8-12 กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น กลีบดอกชั้นนอกสุดจะมีขนาดใหญ่กว่า กลีบดอกที่อยู่ถัดเข้าไป กลีบดอกเป็นสีเหลืองหรือสีเหลืองอ่อน ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกจำปีพันธุ์ดั้งเดิมของไทยอย่างชัดเจน ดอกมีกลิ่นหอมแรง มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก เกสรตัวเมีย 10-13 อัน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” เป็นผลกลุ่ม ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง

มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง “คุณตุ๊ก” หน้าตึกกองอำนวยการเก่า โทร.08-5164-2800 หรือที่งานเกษตรแฟร์ ม.เกษตรฯ บางเขน โซน บี 329-330 วันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 และที่งานเกษตรวัดยาง อ.พัทยา จ.ชลบุรี วันนี้ 11-15 ก.พ.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

เพิ่มแพะเข้าสู่ยุทธศาสตร์ ขานรับตลาดเวียดนาม-ลาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/571103

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 2 ก.พ. 2559 05:01

 

น.สพ.เศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขานุการกรมปศุสัตว์ เผยว่า การเลี้ยงแพะเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ ใช้เวลาเลี้ยง 8-12 เดือน จับแพะขายได้กำไรไม่ต่ำกว่า 1,200 บาทต่อตัว ด้วยคนไทยเลี้ยงแพะเก่ง และเรามีภูมิประเทศที่เหมาะสม มีพืชอาหารเลี้ยงอย่างเพียงพอ ทำให้แพะโตไวสุขภาพแข็งแรง ต่างจากประเทศเวียดนาม แม้จะมีความต้องการบริโภคเนื้อแพะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับเลี้ยงแพะไม่ได้ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวย มีมรสุม มีพายุพัดเข้าบ่อย เป็นปัญหาทำให้แพะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจล้มตายได้ง่าย

“และเป็นผลพวงจากการที่กรมปศุสัตว์มีการตรวจคุมเข้ม สกัดการลักลอบขนสุนัขออกไปตามแนวชายแดนมากขึ้น ส่งผลให้ชาวเวียดนามหันมาสนใจ สั่งแพะมีชีวิตเข้าไปบริโภค โดยนำแพะมีชีวิตไปเลี้ยงไว้ก่อน แล้วค่อยทยอยชำแหละ รวมทั้งประเทศลาววันนี้เริ่มหันมาสนใจสั่งนำเข้าแพะด้วยเช่นกัน”

จากแนวโน้มความต้องการดังกล่าว ปี 2558/2559 กลุ่มผู้ส่งออกไทย เวียดนาม จึงได้เซ็นสัญญาซื้อขายแพะ โดยขอให้กรมปศุสัตว์ร่วมให้การสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกรเพื่อเป็นอีกหนึ่งอาชีพทางเลือก โดยแพะมีชีวิตที่สามารถจับขายไปประเทศดังกล่าว ราคารับซื้อหน้าฟาร์มอยู่ที่ 105-107 บาทต่อ กก. ต่างจากราคาภายในประเทศ ซึ่งขึ้นอยู่แต่ละพื้นที่ราคา 90-100 บาทต่อ กก.

สำหรับพื้นที่ส่งเสริม น.สพ.เศรษฐเกียรติ บอกว่า ชาวบ้านที่เลี้ยงแพะได้คุณภาพ ส่วนมากอยู่ในแถบภาคตะวันตก-ภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดกาญจนบุรี, ราชบุรี, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์ และพื้นที่ภาคใต้ นอกจากนี้ยังมีภาคอีสานซึ่งเกษตรกรเริ่มหันมาให้ความสนใจเลี้ยงแพะกันมากขึ้น เพราะการขนส่งใกล้ที่สุด หากเกษตรกรสนใจเลี้ยงมาก โดยไม่มีการวางแผน จะทำให้เกิดปัญหาราคารับซื้อทั้งในประเทศ-ส่งออก มีการแย่งตลาดกันเองอย่างแน่นอน

“เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว กรมปศุสัตว์ได้วางแผนยุทธศาสตร์การเลี้ยงแพะ โดยให้ปศุสัตว์เขต 7-8-9 ซึ่งเป็นต้นน้ำในการเลี้ยงแพะพ่อ-แม่พันธุ์ เพื่อผลิตลูก แล้วส่งต่อให้ปศุสัตว์เขต 3-4 ในภาคอีสานรับลูกแพะนำไปขุนต่อ เมื่อโตได้น้ำหนักถึงส่งไปขายต่อ อย่างไรก็ตาม เพื่อผลักดันการเลี้ยงแพะให้ขยายกว้างมากขึ้น กรมฯจึงผลักดันให้แพะเข้าสู่ยุทธศาสตร์การส่งเสริมอาชีพ ภายใต้การดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพิ่มเติมจากโคเนื้อ โคนม สุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวง” เลขานุการกรมปศุสัตว์กล่าว.

“ตะไคร้แกง–ผักกูดน้อย” แก้เส้นเคล็ดปวด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/570667

โดย นายเกษตร 1 ก.พ. 2559 05:01

 

สูตรดังกล่าว ให้เอา “ตะไคร้แกง” แบบสดเฉพาะหัวยาวประมาณ 3-4 นิ้วฟุต หนัก 300 กรัม กับเหง้า “ผักกูดน้อย” สด มีขายตามร้านขายผักพื้นบ้าน หนัก 300 กรัมเช่นกัน ตำรวมกันพอละเอียด ใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีเล็กน้อย แล้วใช้ผ้าขาวห่อเป็นลูกประคบ นำไปประคบบริเวณที่เกิดอาการเส้นเคล็ดปวดหรือข้อเท้าแพลงขัดยอกเล็กๆน้อยๆ ประคบเช้าเย็นทุกวันจะช่วยให้เส้นเคล็ดเข้าที่และหายปวดบวมได้ สมัยก่อนนิยมกันอย่างแพร่หลาย

ตะไคร้แกง หรือ ANDROPOGON CISTRATUS.DC., CIMBOPROGON CISTRATUS อยู่ในวงศ์ GRAMINEAE ทั้งต้นสดเป็นยารักษาโรคหืดใบสดช่วยลดความดันโลหิต แก้ไข้ ต้มสดกินขับลม ท้องอืดเฟ้อ แก้อาการเบื่ออาหาร ใบสดยังขยี้เส้นผมแก้ผมแตกปลายได้ด้วย หัวคั่วไฟพอเหลืองชงเป็นนํ้าชาดื่มขับปัสสาวะหรือแก้นิ่ว

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” สี่สีทั้งเล่มหมดแล้วหมดเลยไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร นํ้ามัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล นํ้ามูกไหลมีกลิ่นเหม็น, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, นํ้ามันงาบริสุทธิ์ ทาผิว หมักผม, แชมพูสูตร 5 ชนิด บำรุงรากผมขจัดรังแค, สเปรย์ฉีดบำรุงรากผม, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่า รักแร้หายดำคลํ้า, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับแก้คาวปลา กลิ่นเหม็นในสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบไส้เลื่อนในบุรุษ, กระเทียมโทนแคปซูล แก้หอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง,ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อยแก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ และอื่นๆ โทร.0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

อากาศแห้งแมลงถั่วลิสงระบาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/570669

โดย สะ-เล-เต 1 ก.พ. 2559 05:01

 

ลมหนาวมาพร้อมกับอากาศแห้ง กรมวิชาการเกษตรเตือนเกษตรกรปลูกถั่วลิสง ระวังแมลงศัตรูพืช 4 ชนิด…เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ หนอนม้วนใบถั่ว และหนอนกระทู้ผัก

ในระยะที่ถั่วลิสงอายุ 30 วัน ให้สังเกต เพลี้ยจักจั่น มักพบตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยจักจั่น มักจะมาดูดน้ำเลี้ยงใต้ใบ ทำให้ใบเหลืองไปจนถึงทำให้ขอบใบไหม้ ห่อขึ้นด้านบน ใบแห้งและร่วงหล่น ทำให้ผลผลิตลดลง 50%…หากในแปลงปลูกพบใบถูกทำลาย 40% ให้พ่นสารฆ่าแมลงคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 40 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร

เพลี้ยไฟ ก็เช่นกัน เราจะพบตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมาดูดน้ำเลี้ยงจากใบและยอดอ่อน ทำให้ใบหงิกงอ บิดเบี้ยว แห้งกรอบ และมีไขติดเส้นกลางใบสีน้ำตาลคล้ายสนิม ถ้าระบาดรุนแรงจะทำให้ยอดไหม้และตาย ผลผลิตลดลงมากกว่า 50%…ให้ฉีดพ่นสารฆ่าแมลงคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 50 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไตรอะโซฟอส 40% อีซี อัตรา 50 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นซ้ำ 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน

ส่วน หนอนม้วนใบถั่ว ที่ฟักออกจากไข่ใหม่ๆอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ชักใยบางๆ คลุมตัวไว้กัดกินผิวใบ เมื่อหนอนโตขึ้นจะกระจายกันออกไปเพื่อหากินใบอื่น หรือไม่ก็ชักใยดึงเอาใบหลายๆ ใบมาห่อรวมกัน และอาศัยกัดกินอยู่ในใบที่ม้วนนั้นจนหมด จะแยกย้ายกันไปทำลายใบอื่นต่อไป

หากพบใบถูกทำลาย 30% ให้พ่นสารฆ่าแมลงแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% อีซี อัตรา 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไตรอะโซฟอส 40% อีซี อัตรา 40 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 40 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร

สำหรับ หนอนกระทู้ผัก ตัวอ่อนที่ฟักออกมาจากไข่ใหม่ๆอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ช่วยกันแทะผิวใบด้านล่าง เหลือแต่ผิวใบด้านบน เมื่อผิวใบแห้งจะเห็นเป็นสีขาว เมื่อโตขึ้นจะแยกกลุ่มออกไปกัดกินใบทั่วทั้งแปลง หากพบการระบาดให้พ่นเชื้อไวรัสของหนอนกระทู้ผัก ในอัตรา 50 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 1-2 ครั้ง

หากในแปลงปลูกพบใบถูกทำลาย 30% ให้พ่นสารฆ่าแมลงแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% อีซี อัตรา 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไตรอะโซฟอส 40% อีซี อัตรา 40 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคลอร์ฟลู–อาซูรอน 5% อีซี อัตรา 20 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร.

สะ–เล–เต

มันมากับลมหนาว พืชผักไม้ผลเบื่ออาหาร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/570744

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 1 ก.พ. 2559 05:01

 

ลมหนาวผิดธรรมชาติที่พัดเข้ามาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไม่เพียงจะทำให้คน สัตว์ จะต้องเจ็บป่วยและล้มตาย…ต้นไม้ พืชผัก ไม้ผลได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน

และอย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ ลมหนาวระลอกนั้นผ่านไปแล้ว จะผ่านเลยไป สัปดาห์นี้ยังจะมีความกดอากาศสูง (ลมหนาว) กำลังปานกลาง ระลอกใหม่จะพัดมาอีกครั้ง…เกษตรกรพึงระวังไว้ให้ดี โดยเฉพาะเกษตรกรที่เริ่มเพาะปลูกพืชอยู่ในระยะต้นกล้าเจอลมหนาวเข้าไปจะชะงักการเจริญเติบโต

“ต้นไม้ก็เหมือนกับคน เจออากาศแปรปรวนเปลี่ยนแปลงกะทันหัน จะหยุดการเจริญเติบโต โดยเฉพาะเมื่อเจอกับความหนาวเย็น ของเหลวในลำต้นจะไหลเวียนได้ไม่ดี รากจะไม่ทำงานดูดธาตุอาหารมาเลี้ยงบำรุงต้น อาการจะเป็นเหมือนกับคนเบื่ออาหาร ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีลมหนาวพัดเข้ามา เขาถึงแนะนำไม่ให้ใส่ปุ๋ยทางดิน เพราะพืชไม่ดูดไปใช้งาน ใส่ไปสูญเงินเปล่า ปุ๋ยระเหิดระเหยไปกับสายลมและแสงแดดหมด”

อำนาจ โฉมชัชวาล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์และนักวิชาการ ธุรกิจอารักขาพืช บริษัท เจียไต๋ จำกัด บอกว่า อาการลมหนาวทำพืชเจ็บป่วยจะมีอยู่ใน 2 ระยะ… ช่วงที่ยังเป็นต้นกล้า เพิ่งย้ายลงแปลงปลูกได้ไม่นาน ต้นกล้าก็เหมือนเด็ก อยู่ในวัยที่จะต้องเลี้ยงบำรุงให้ดี เพื่อจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ทั้งสมอง ร่างกายและจิตใจ แต่เมื่อเจอลมหนาวเข้าไป เด็กเบื่ออาหาร กินไม่ได้ โตไปเป็นผู้ใหญ่ไม่สมบูรณ์ ให้ใบ ดอก ผล ไม่ดี ไม่มีคุณภาพ ขายไม่ได้ราคา

อีกระยะ ช่วงตั้งท้อง อย่างข้าวกำลังใกล้จะแทงช่อรวง อย่างที่รู้กันดี คนท้องต้องการอาหารบำรุงร่างกายมากเป็นพิเศษ เพราะต้องเลี้ยงทั้งตัวเองและทารกที่อยู่ในครรภ์ ต้นไม้ก็เช่นกัน เจอลมหนาวเบื่ออาหาร ของเหลวในลำต้นไหลเวียนไม่ดี มิต่างระบบเลือดในร่างกายไหลเวียนไม่สะดวก การส่งอาหารไปเลี้ยงตัวเองไม่ดีอยู่แล้ว จะส่งไปเลี้ยงรวงข้าวได้อย่างไร…เมื่อรวงข้าวได้อาหารไปเลี้ยงได้ไม่ทั่วถึง ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่ไม่สมบูรณ์

“สำหรับไม้ผล เจอลมหนาวอาการเบื่ออาหารจะเห็นผลชัดในช่วงที่กำลังออกดอก ปีไหนเกิดหนาวผิดปกติหนาวแบบกะทันหัน จะมีผลทำให้ติดลูกน้อยกว่าปกติ”

ส่วนวิธีเยียวยาไม่ให้พืชเบื่ออาหาร ผู้เชี่ยวชาญบริษัทเจียไต๋ บอกว่า ไม่ต่างกับคน หาวิธีกระตุ้นให้เกิดความหิว อยากกินอาหาร …สำหรับพืชต้องกระตุ้นด้วยการให้ ฮอร์โมนในกลุ่มไนโตรฟีนอล เพื่อให้ของเหลวในระบบลำต้นของพืชให้ไหลเวียนได้ดีขึ้น เพราะเมื่อของเหลวบริเวณใบ ดอก ผล ไหลเวียนได้ดี สิ่งที่ตามมาพืชจะกระหายหิวอยากกินอาหารมากขึ้นนั่นเอง

แต่ต้องกระตุ้นด้วยการฉีดพ่นทางใบ เพื่อให้พืชกินได้ทันที เนื่อง จากเจอลมหนาวเข้าไปรากไม่ยอมทำงาน ด้วยการนำฮอร์โมนในกลุ่มไนโตรฟีนอล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “อโทนิค” อัตราส่วน 10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ร่วมกับธาตุอาหารรองในกลุ่มสังกะสี หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เนเทอไรฟ์” อัตรา 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร เพิ่มการสังเคราะห์แสงให้พืช จะได้กระตุ้นเสริมให้พืชหิวกระหายมากขึ้นนั่นเอง

และการฉีดพ่นทางใบจะให้ได้ผลดี ควรลงมือทำก่อนที่อากาศจะหนาวเย็น และพ่นซ้ำทุกๆ 7 วัน ในช่วงลมหนาวมาเยือน.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

หนุน ‘ยโสธร โมเดล’ ต้นแบบเกษตรอินทรีย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/570172

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 29 ม.ค. 2559 22:51

 

เกษตรฯ จับมือผู้ว่าฯ เมืองบั้งไฟ ลงนาม MOU ร่วมสร้าง “ยโสธร โมเดล” เป็นจังหวัดต้นแบบด้านเกษตรอินทรีย์ก้าวสู่ตลาดโลก วางเป้าขยายพื้นที่ทั่วประเทศเพิ่มไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี ขณะที่ ส.ป.ก หนุนเกษตรอินทรีย์แบบยั่งยืน ในเขตปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ หวังยกระดับคุณภาพผลผลิต เพิ่มมูลค่าสินค้า

พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร เพื่อร่วมขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรอินทรีย์วิถียโสธร หรือยโสธรโมเดล ด้านเกษตรอินทรีย์ครอบคลุมทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ และสัตว์น้ำ พร้อมผลักดันให้จังหวัดยโสธรเป็นต้นแบบการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป จนถึงการตลาด ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนายกระดับการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ หรือ “ออร์แกนิก” ของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติและตลาดโลก ซึ่งในปี 2560 คาดว่า จะสามารถพัฒนาพื้นที่จังหวัดยโสธรเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นจาก 40,000 ไร่ เป็น 100,000 ไร่ และยังมีเป้าหมายขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% ต่อปีด้วย

สำหรับยโสธรโมเดลด้านเกษตรอินทรีย์มีระยะเวลาดำเนินการ 3 ปีตั้งแต่เดือนมกราคม 2559-มกราคม 2562 โดยกระทรวงเกษตรฯและจังหวัดยโสธรจะร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆ ภายใต้โครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เบื้องต้นจังหวัดยโสธรจะสำรวจข้อมูลรายชื่อกลุ่มเกษตรกรที่เข้าสู่ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แล้ว และกลุ่มเกษตรกรที่มีศักยภาพในการพัฒนาเข้าสู่มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จากนั้นจะร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ จัดทำแผนพัฒนากลุ่มเกษตรกรที่เหมาะสมกับศักยภาพและความต้องการของแต่ละกลุ่ม

“ทั้งสองหน่วยงานมีแผนเร่งสนับสนุนการพัฒนากลุ่มเกษตรอินทรีย์เดิม จำนวน 9 กลุ่ม เกษตรกรสมาชิกรวมกว่า 2,100 ราย ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เป็นกลุ่มต้นแบบและเป็นศูนย์เรียนรู้ในพื้นที่ โดยจะสนับสนุนการพัฒนาแหล่งน้ำ ปัจจัยการผลิตทางการเกษตร รวมถึงแหล่งทุน และเชื่อมโยงด้านการตลาด สนับสนุนด้านโลจิสติกส์ ตลอดจนการแปรรูปสินค้าเกษตรอินทรีย์ ขณะเดียวกันยังจะพัฒนากลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพและมีความพร้อมเข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ให้เข้มแข็งขึ้นเช่นกัน” รมว.เกษตรและสหกรณ์กล่าว

นอกจากนี้ จังหวัดยโสธรยังจะจัดตั้งโรงเรียนเกษตรอินทรีย์วิถียโสธร เพื่อบ่มเพาะเกษตรกรเกษตรอินทรีย์รุ่นใหม่ หรือสร้างนิวเจนเนอเรชั่น (new generation) เพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งสนับสนุนระบบการตามสอบ (traceability) เช่น การใช้ QR Code ในการตามสอบสินค้า และร่วมกับจังหวัดยโสธรสนับสนุนพื้นที่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ให้สามารถผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ชนิดอื่น อาทิ พืชหลังนา ได้แก่ พืชปุ๋ยสด แตงโม พืชผัก และพืชสมุนไพร รวมถึงปศุสัตว์อินทรีย์ และสัตว์น้ำอินทรีย์ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของชนิดสินค้าออร์แกนิกป้อนเข้าสู่ตลาดภายในประเทศ และผลักดันส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศในอนาคต

ด้านนายสรรเสริญ อัจจุตมานัส เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2559 นี้ส.ป.ก. ได้เร่งส่งเสริมการผลิตเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่แปลงใหญ่จังหวัดยโสธร 4 ตำบล ใน 2 อำเภอ พื้นที่เป้าหมาย ประมาณ 5,000 ไร่ ได้แก่ ตำบลกำแมด ตำบลโพนงาม และตำบลหนองแหน อำเภอกุดชุม รวมพื้นที่ 3,500 ไร่ และตำบลโคกสำราญ อำเภอเลิงนกทา ประมาณ 1,500 ไร่ โดยส.ป.ก.จะสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน องค์กรเกษตรกรเกษตรอินทรีย์ที่เข้มแข็งอยู่แล้ว เช่น กลุ่มเกษตรกรทำนานาโส่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อผลิตข้าวอินทรีย์เพื่อสังคม และกลุ่มอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นเมือง และองค์กรพัฒนาเอกชน ร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย และกลุ่มเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินให้สามารถปรับเปลี่ยนเข้าสู่ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากล และสามารถจัดการสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

“ส.ป.ก.มุ่งส่งเสริมให้มีการทำเกษตรอินทรีย์แบบยั่งยืนในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินทั้ง 72 จังหวัด เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของเกษตรกร เจ้าหน้าที่ส่งเสริมและผู้ที่เกี่ยวข้องผ่านกระบวนการโรงเรียนเกษตรกร มุ่งให้เรียนรู้การจัดการเกษตรอินทรีย์ทุกขั้นตอนและสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติได้จริงในแปลงของตนเอง นอกจากนั้น ยังผลักดันให้เกษตรกรผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์นำฟาร์มเข้าสู่มาตรฐานสากล เพื่อให้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และสามารถเข้าถึงตลาด ที่สำคัญยังช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรรายย่อยและทำให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพด้วย” เลขาธิการ สปก.กล่าว.

“มะม่วงยายกลํ่า” สุกหวานอยากกินอีก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/569255

โดย นายเกษตร 29 ม.ค. 2559 05:01

 

มะม่วงชนิดนี้ มีปลูกเฉพาะถิ่นแถบ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี มาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 โดยในยุคนั้นโด่งดังมาก เนื่องจากเนื้อสุกมีรสชาติ หวานหอมอร่อย กินแล้วอยากกินอีก ปัจจุบัน “มะม่วง ยายกลํ่า” มีปลูกเก็บผลขายไม่มากนัก จึงทำให้มีผลดิบและผลสุกวางจำหน่ายน้อย คนที่รู้จักและเคยรับประทาน “มะม่วงยายกลํ่า” พบจะซื้อหมดทันที สำหรับผลดิบรสเปรี้ยวจัด ปอกเปลือกสับเป็นฝอยๆ บีบหรือคั้นเอานํ้าใช้แทนนํ้ามะนาวได้ปรุงอาหารมีกลิ่นหอมชวนรับประทานยิ่งนัก หรือสับฝานปรุงเป็นส้มตำมะม่วงแซ่บสุดยอดจริงๆ

ส่วน ที่มาชื่อ “มะม่วงยายกลํ่า” เล่ากันว่า ต้นแรกที่พบเป็นของ “ยายกลํ่า” ปลูกในบริเวณบ้าน 2-3 ต้น และเก็บผลดิบและผลสุกวางขาย แต่เนื่องจากรูปทรงของผลไม่สวยงามจึงทำให้คนไม่สนใจ จนมีคนซื้อไปกินผลสุกแล้วติดใจความหวานหอมอร่อย ย้อน กลับไปถามว่าเป็นมะม่วงพันธุ์อะไร “ยายกลํ่า” บอกได้เพียงว่า มะม่วงดังกล่าวปู่ย่าตาทวดปลูกไว้นานแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นมะม่วงพันธุ์อะไร ชาวบ้านในพื้นที่จึงพากันเรียกว่า “มะม่วง ยายกลํ่า” ดังกล่าวและเรียกกันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

มะม่วงยายกลํ่า มีเอกลักษณ์เฉพาะพันธุ์คือ ใบจะห่อทำให้ดูเหมือนว่าใบจะเหี่ยว “ผล” รูปกลมและอวบอ้วน คล้ายรูปหัวใจตามภาพประกอบคอลัมน์ ผลดิบสีเขียวนวล สุกเป็นสีเหลืองทอง เนื้อดิบเปรี้ยวจัด เนื้อสุกหวานหอมปนมันเล็กน้อย เนื้อไม่เละแม้สุกงอม ไม่มีเสี้ยน เมล็ดลีบแบน เนื้อละเอียดแน่นและให้เนื้อเยอะ กินกับข้าวเหนียวมูนอร่อยมาก ติดผลดกเป็นพวงปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยระบบทาบกิ่ง

ใครต้องการ ต้นพันธุ์ ของแท้ติดต่อ “บัวทองพันธุ์ไม้” โทร.08-9000-1334, 09-1286-9123 หรือที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 9 และงานเกษตรแฟร์ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. บริเวณ โซนบี 67-68 ระหว่างวันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”