ซุปเปอร์เกษตรกร สู้วิกฤติภัยแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/569299

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 ม.ค. 2559 05:01

 

“ภัยแล้ง”…ปีนี้สาหัส… “เกษตรกร” ต้องปรับตัวรับมือรอบทิศ เรียกว่าต้องคุมให้ได้ เอาให้อยู่ เพื่อผ่านพ้นวิกฤติภัยทางธรรมชาติและเศรษฐกิจไปให้ได้

สุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน บอกว่า นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรี มอบนโยบายปี 2559 ขับเคลื่อนเรื่อง “ลดต้นทุน” เพื่อเพิ่มโอกาสทางการแข่งขัน

“ลดต้นทุน”…มีทั้งหมด 4 ขา การลดต้นทุน การเพิ่มผลผลิต การบริหารจัดการ และการตลาด 4 เสาหลักข้างต้นมีความสำคัญ โดยมี “เกษตรกร” เป็นศูนย์กลาง

กรมพัฒนาที่ดิน แปลงไปสู่การปฏิบัติ ลดต้นทุน…การวิเคราะห์ดิน วันนี้เกษตรกรยุคใหม่ใช่ว่าจะต้องทำการเกษตรแบบพึ่งฟ้าพึ่งฝน ทำไปทนไปแบบเดิมๆไม่ไหวแน่

ต้องวิเคราะห์ดิน เพื่อให้รู้ว่าดินในไร่นาของตัวเองนั้นมีธาตุอาหารอะไรมากน้อยแค่ไหนอย่างไร เพื่อนำไปสู่ทิศทางการใช้ปุ๋ยให้ตรงจุด ใช้ปุ๋ยในแปลงปลูกพืชอัตราส่วนเท่าไหร่ไม่ใช่หว่านปุ๋ยลงไปแบบเดิมๆ ใส่เท่าไหร่ก็ใส่เท่านั้น และยิ่งต้องทวีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ สูญเงินโดยใช่เหตุ

เมื่อเรารู้จัก “ดิน” ค่าความเป็นกรด…ด่าง ธาตุอาหาร N-P-K… ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียมเท่าไหร่บ้าง ถ้าใช้ปุ๋ย สารเคมีมากๆโดยไม่จำเป็นก็เท่ากับต้นทุนสูงขึ้น แข่งขันกับใครก็คงไม่ได้

“วันวาน…เกษตรกรไทยอาจจะใส่ปุ๋ยตามความรู้สึก แต่วันนี้… ต้องใส่ปุ๋ยตามความจำเป็น ใส่อย่างถูกต้อง ชัดเจนตามคำแนะนำของกรมพัฒนาที่ดิน เป็นการลดต้นทุนอย่างเป็นระบบ”

อีกเรื่องที่ต้องกล่าวถึงเทคโนโลยี “เขตความเหมาะสมในการปลูกพืช” หรือ “โซนนิ่ง” จะปลูกพืชไหน ตรงพื้นที่ไหน สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์กรมพัฒนาที่ดิน http://www.ldd.go.th หรือเกษตรกรยุคใหม่ออนไลน์ตลอดเวลาก็ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นไปใช้ก็ได้ ทันสมัยครอบคลุมข้อมูลหลายเรื่องแบบเรียลไทม์

“จะรู้เลยว่า ดินตรงบ้านท่านเหมาะที่จะปลูกพืชอะไร แน่นอนว่ามีประโยชน์ต่อการเพิ่มผลผลิต เสริมด้วยปัจจัยที่นำไปเพิ่มการผลิตได้ พด.1 พด.2 ปุ๋ยพืชสด ปูนมาร์ล โดโลไมท์”

ข้อมูลชี้ชัดวันนี้ เกษตรกรที่วิเคราะห์ดินแล้ว มีผลอยู่ในมือ …จะเห็นเลยว่าปัญหาคืออะไร เพิ่มรายได้ก็คือกรมฯมีแหล่งน้ำ เมื่อมีทั้งข้อมูลน้ำ…ดิน ทำให้เกษตรกรใช้วางแผนในการเพาะปลูกได้อย่างเหมาะสม

กรมพัฒนาที่ดินเดินหน้า 3 กิจกรรมไปแล้ว 64.74% หนึ่ง…ส่งเสริมการทำปุ๋ยหมัก พื้นที่ 12 จังหวัด…กรุงเทพมหานคร, ลพบุรี, สิงห์บุรี, ชัยนาท, ฉะเชิงเทรา, นครนายก, นครสวรรค์, กำแพงเพชร, สุโขทัย, พิษณุโลก, นครปฐม และพิจิตร มีเกษตรกรเข้าร่วม 1,180 ราย เป้าหมาย 763 ตัน

สอง…ส่งเสริมการทำน้ำหมักชีวภาพ พื้นที่ดำเนินการ 11 จังหวัด มีเกษตรกรเข้าร่วม 2,975 ราย เป้าหมาย 503,232 ลิตร และ สาม …ส่งเสริมการปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยพืชสด (ปอเทือง) พื้นที่ 10 จังหวัด มีเกษตรกรเข้าร่วม 862 ราย พื้นที่เป้าหมาย 7,827 ไร่

ในส่วนของโครงการแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน ปีงบประมาณ 2559 ดำเนินการแล้ว 63% และก่อสร้างแหล่งน้ำชุมชน 7 แห่ง

“การบริหารจัดการ”…ขาที่สาม ขานี้สำคัญ ผ่าน “หมอดินอาสา” ทั่วประเทศกว่า 80,000 ราย ทั้งหมอดินอาสาประจำหมู่บ้าน …ประจำตำบล อำเภอ และจังหวัด เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยเกษตรกรได้แบบด่วนทันใจใกล้บ้านท่าน

“กรมฯจะใส่เทคโนโลยี องค์ความรู้ต้นทางผ่านหมอดินเหล่านี้ นับตั้งแต่กระบวนการเก็บตัวอย่างดิน วิเคราะห์ดิน นำผลวิเคราะห์ไปใช้ สร้างเครือข่ายขับเคลื่อนสานต่อนโยบายจากส่วนกลางต่ออีกทอดหนึ่ง…กระจายความรู้ กระจายการบริหารจัดการขยายการปฏิบัติลงพื้นที่ได้ทั่วถึงทั่วประเทศ”

นี่คือ…ความสำคัญในการใช้ข้อมูลวิเคราะห์ดินเป็นตัวกำหนดการปลูกพืชตามหลักวิชาการ

เปิดหัวใจหมอดินอาสา เสมือนหนึ่งเป็นปราชญ์ชาวบ้านที่สามารถถ่ายทอดสิ่งต่างๆที่จำเป็นต่อเกษตรกรได้อย่างเข้มข้น “หมอดินอาสาประจำอำเภอบางระกำ” จังหวัดพิษณุโลก

เฉลา บดีรัฐ บอกว่า บทบาทของหมอดินอำเภอมีหน้าที่รับองค์ความรู้จากเจ้าหน้าที่มาถ่ายทอดให้หมอดินตำบล…หมอดินหมู่บ้าน

นอกจากนี้เราได้จัดตั้งเป็นเครือข่ายหมอดิน เอาไว้แลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่ม ในการปฏิบัติถือว่าเป็นการช่วยเจ้าหน้าที่ที่มีน้อยนิด ทำอย่างไรก็คงไม่เพียงพอกับเกษตรกรที่มีแต่ละพื้นที่

“หมอดินอาสาประจำตำบล…หมู่บ้านจะช่วยดูแลเกษตรกรใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหามากมายเกี่ยวกับการใช้สารเคมี ปรับเปลี่ยนมุมมอง ทัศนคติลดใช้เคมี หันมาใช้น้ำหมักชีวภาพ ปุ๋ยหมัก กระบวนการผลิตเป็นเกษตรอินทรีย์”

ยิบย่อยลงมาเป็นหมอดินอาสาประจำตำบล…หมู่บ้าน ทำงานร่วมกัน ให้คำแนะนำในเรื่องของ “ดิน” เดินหน้าไปสู่เป้าหมายเดียวกัน “ลดต้นทุนที่เคยสูง ให้ต่ำลง ผ่านกระบวนการที่ชัดเจน พิสูจน์ได้”

การลดต้นทุนที่เห็นผลทันตา ต้องรู้ก่อนว่า ต้นทุนทั้งหมดมาจากไหน จ่ายไปเท่าไหร่ ได้ผลคืนกลับมาอย่างไร แม้ว่าจะปรับเปลี่ยนใช้ปุ๋ยอินทรีย์แล้วแต่ก็ยังได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ปริมาณเทียบเท่าเดิม

หรือ…อาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำในแง่สุขภาพที่ไม่เสีย ตายผ่อนส่งไปกับการอยู่กับสารเคมี ยาฆ่าแมลง

รวมกลุ่มกันเพื่อรวมวัตถุดิบ เอามาแปรรูปใช้ทำปุ๋ย น้ำหมักชีวภาพ เลี้ยงหมูก็ใช้รกหมูทำน้ำหมักลดต้นทุน ผลตอบรับดี หลายคนหันหลังให้กับมนุษย์เงินเดือนกลับมาทำการเกษตรที่บ้านเกิดก็เริ่มไปได้ รู้สึกว่ารายรับที่เข้ามาก็พออยู่ได้ ไม่ลำบากขัดสน

ปรับเปลี่ยนจากครอบครัวรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ใช้สารเคมี หันมาทำการเกษตรแบบวิถีธรรมชาติ “เกษตรอินทรีย์” ปลูกข้าวก็ได้ข้าวเท่าๆกับแปลงเพื่อนบ้านที่ใช้เคมีเต็มๆแบบเดิมๆ

น่าสนใจไหมล่ะ เกษตรกรรุ่นใหม่ ที่ต้องเรียกว่าเป็นรุ่น “ซุปเปอร์เกษตรกร” สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเองสู้ทุกภัยไม่ว่าภัยธรรมชาติ ภัยเศรษฐกิจ

เกษตรกรไทยจะไปถึงจุดนี้ได้อย่างไร สุรเดช อธิบดีกรมพัฒนาที่ดินย้ำว่า เกษตรกรต้องมีความเชื่อมั่น มั่นใจในการที่จะเข้ามาใช้ข้อมูลที่กรมพัฒนาที่ดินมีอยู่ในมือ หรือมีปัญหาก็ไปปรึกษากับหมอดินใกล้บ้าน

หรือ…จะเข้าไปขอข้อมูลได้ที่สถานีพัฒนาที่ดินประจำจังหวัด หรือ…สำนักงานพัฒนาที่ดินเขตก็ได้ ข้อมูลที่จะช่วยลดต้นทุนมีอยู่แล้ว

องค์ความรู้ วิชาการ ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ จำเป็นสำหรับเกษตรกรยุคใหม่ ช่วยให้เกษตรกรไทยทุกพื้นที่พลิกวิกฤติ…ยิ่งทำยิ่งจน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินได้อย่างไม่อายใคร.

น้ำหมักตาสับปะรด กู้ชีวิตประมงสู้น้ำเน่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/569337

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 ม.ค. 2559 05:01

 

เดิมทีพื้นที่ ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ ครึ่งปีแรกจะทำนาปลูกข้าว หลังเกี่ยวข้าวเสร็จเข้าสู่ฤดูน้ำทะเลหนุนสูง ชาวแหลมฟ้าผ่าจะเปลี่ยนมาทำอาชีพเพาะเลี้ยงกุ้ง เพราะน้ำทะเลชักนำลูกกุ้งแชบ๊วย กุ้งกุลาดำเข้ามาเป็นจำนวนมาก…ชาวบ้านสามารถทำนากุ้งได้โดยไม่ต้องซื้อลูกพันธุ์

แต่ด้วยแผ่นดินทรุดเพราะสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้กันมาก และโลกร้อนทำน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นทุกปี…นาเปลี่ยนเป็นป่าชายเลน ปลูกข้าวไม่ได้ ผลที่ตามมา ลูกกุ้งที่น้ำทะเลพัดเข้ามาไม่มีอาหาร ต้องซื้ออาหารมาเลี้ยง

“จุดนี้เองทำให้น้ำทะเลที่เคยใช้เลี้ยงกุ้งได้เริ่มเน่าเสีย ประกอบกับชุมชนของเราอยู่ปลายน้ำ สารพัดน้ำเสียไหลมารวมอยู่ที่นี่ เลยเกิดโรคระบาด กุ้งเป็นโรคหัวเหลือง ตัวแดง”

นางจรูญ ไกรเนตร ชาวบ้านในพื้นที่ ต.แหลมฟ้าผ่า เล่าว่า พื้นที่ 90 ไร่ของตัวเอง จากเดิมเคยจับกุ้งขายได้เดือนละ 300,000-400,000 บาท ลดมาเหลือแค่หมื่นกว่าบาท…หากปล่อยให้ปัญหาเกิดนานเกิน อย่าว่าแต่กุ้ง หอย ปู ปลา ตาย ปัญหามลภาวะน้ำเน่าเสีย ชาวบ้านอยู่ไม่ได้แน่ๆ ด้วยความต้องการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับชุมชนและตัวเอง จึงพยายามขวนขวายหาความรู้ ทั้งไปอบรม ดูงาน แต่สิ่งได้รับรู้มาส่วนใหญ่แนะให้ใช้สารเคมี

“วิธีแบบนี้เอามาใช้กับชุมชนเราไม่ได้ เพราะพื้นที่ของเรากว้าง ขืนทำตามเขาเจ๊งแน่ คราวนี้เริ่มหาความรู้จากโลกโซเชียล จนรู้ว่าเชื้อจุลินทรีย์บาซิลลัสสามารถใช้แก้ปัญหาน้ำเสียได้ดี และเชื้อชนิดนี้มีอยู่ทั่วไปตามเปลือกผลไม้ และมีมากเป็นพิเศษในตาสับปะรด”

เริ่มแรก จรูญ จึงนำเปลือกสับปะรดซึ่งมีตา 1 กก. กากน้ำตาล 1 กก. มาหมักในถังปิดสนิท ทิ้งไว้ 14 วัน…เมื่อได้หัวเชื้อ นำไปขยายต่อด้วยการนำหัวเชื้อ 1 ลิตร ผสมกากน้ำตาล 1 ลิตร น้ำ 80 ลิตร หมัก 7 วัน จากนั้นได้ทำเรื่องขอกู้เงินกับ ธ.ก.ส.สาขาพระสมุทรเจดีย์…เป็นทุนทำบ่อปิดทดลองขนาด 1 ไร่ แล้วใช้จุลินทรีย์น้ำหมัก 1 ลิตร สาดรอบๆบ่อพื้นที่ 1 ไร่ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ระยะเวลา 3 ปี เริ่มเห็นคุณภาพน้ำเน่าเสียดีขึ้น มีแพลงก์ตอนอยู่ในบ่อจำนวนมาก จากนั้นจึงเอาพันธุ์กุ้งมาปล่อยเลี้ยง

กุ้งโตเร็วอัตราตายน้อย ไม่มีปัญหาปลายหางบวมน้ำ ระยางอยู่ครบ หนวดไม่ขาด ลำตัวใส ยืนยันได้ว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น กุ้งหากินอาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติตามรากโกงกาง ไม่ต้องซื้ออาหารมาเลี้ยงแต่อย่างใด…เมื่อวิธีนี้ได้ผล จึงชักชวนเพื่อนบ้านตั้งกลุ่มร่วมแก้ปัญหาไปพร้อมกันทั้งตำบลทุกวันนี้ยามโพล้เพล้ ตะวันตกดิน ชาวบ้านจะเปิดประตูกั้นให้น้ำทะเลพัดพาลูกกุ้งเข้ามาในพื้นที่ เมื่อน้ำลดจะปิดประตู เพื่อกักเก็บลูกกุ้งจากธรรมชาติมาเลี้ยง พร้อมกับช่วยกันนำน้ำหมักตาสับปะรดมาสาดไปทั่วคุ้งน้ำที่ขังลูกกุ้งสัปดาห์ละครั้ง…ลิตรละ 1 ไร่

และทุกสัปดาห์ในตอนค่ำคืน ชาวบ้านจะนำแห อวนลาก ลงบ่อที่มีทั้งกุ้งแชบ๊วย กุ้งแม่น้ำ กุ้งกุลาดำ ปลากะพง ปู…เลือกจับเฉพาะขนาดที่ตลาดต้องการ ช่วยให้ครอบครัวหนึ่งมีรายได้อย่างน้อยเดือนละ 100,000 บาท เท่านั้นเอง.

เพ็ญพิชญา เตียว

เกษตรในฝัน..ซีพี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/568712

โดย สะ-เล-เต 28 ม.ค. 2559 05:01

 

“ข้อจำกัดของเกษตรกรไทย ขาดกระบวนการบริหารจัดการ ขาดความรู้เทคโนโลยี ขาดความสามารถในการพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของตลาด ขณะเดียวกันมีความเสี่ยง 3 ประการ เงินลงทุน ภัยธรรมชาติ และราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอน”

เป็นมุมมองของ ศุภชัย เจียรวนนท์ รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในเวที “สัมมนาการเกษตรทันสมัยเพื่อความยั่งยืนในสังคม AEC” จัดโดยสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เมื่อสุดสัปดาห์เกษตรกรส่วนใหญ่ยังอยู่ในวังวนหนี้สิน จากความไม่ชัดเจนในเรื่องที่ทำกิน ความขัดแย้งเรื่องแนวเขตที่ดินระหว่างรัฐกับประชาชน และความไม่เป็นเอกภาพในการจัดการที่ดินของรัฐ ทำให้เกิดการสูญเสียที่ทำกิน ส่งผลให้เกิดความล้มเหลวในการผลิตสินค้าเกษตร และก่อให้เกิดปัญหาอีกหลากหลายตามมา

ทั้งที่เรามีพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุดในอาเซียน ทำไมผลผลิตต่อไร่เราต่ำ ทั้งที่เรามีสินค้าเกษตรส่งออกมากมาย แต่ทำไมเกษตรกรยังคงยากจน…ผู้บริหารซีพีตั้งคำถาม เหมือนที่เกษตรกรเคยถาม แต่ไม่เคยได้คำตอบ

การแก้ปัญหาในอดีต สหรัฐอเมริกาใช้คอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง ลักษณะปลาใหญ่กินปลาเล็ก ใครทำดีเก่งขยายกิจการทำต่อไป ใครทำไม่ได้ก็ล้มหายตายจาก…ส่วนอียู ใช้ระบบสหกรณ์ เริ่มจากชุมชน โดยมีผู้นำที่เข้มแข็ง เป็นทั้งนักบริหาร นักลงทุน พ่อค้า นำผลกำไรคืนสู่ผู้ถือหุ้น

ส่วนไทยคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่งถูกมองเป็นการผูกขาด เอาเปรียบเกษตรกร…สหกรณ์ไทยก็ล้มเหลว ขาดประสิทธิภาพ ทำให้การเกษตรไทยล้มเหลวทั้งในเชิงระบบและตัวเกษตรกร

ถ้าจะให้เกษตรไทยอยู่รอดในเวทีการค้าเสรีได้ ศุภชัย มองเรื่องปรับเปลี่ยนการทำเกษตรแบบเดิมๆ ไปสู่เกษตรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่… นายทุน พ่อค้าคนกลาง เกษตรกร จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อชุมชน มีการบริหารงานแบบเอกชน ที่มีผลกำไรผลตอบแทนคืนให้ผู้ถือหุ้น โดยเกษตรกรจะต้องมีส่วนร่วมในหุ้นนั้นๆ

ขณะเดียวกัน เกษตรกรต้องปรับตัวเข้าให้ถึงเทคโนโลยี รู้ข้อมูลทุกอย่าง จากนั้นค่อยๆกลายเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ มองทั้งตลาดในและตลาดนอก เข้าใจกลไกตลาด พร้อมไปกับเพิ่มมูลค่าสินค้า สร้างมาตรฐาน ความปลอดภัย มีแหล่งที่มาที่ไปของผลผลิต ผู้นำต้องมีศักยภาพ และเอาความรู้ที่มีทั้งหมดเข้าระบบ เพื่อแบ่งแชร์ให้คนอื่น เชื่อมโยงเทคโนโลยีระหว่างเกษตรกร-เอกชน-หน่วยงานภาครัฐ เชื่อมให้ได้ว่า…ใครที่ไหน ต้องการอะไร

สำคัญที่สุดคือ ภาครัฐต้องมีความชัดเจนในทุกเรื่อง และต้องปฏิรูปตัวเองให้ได้เช่นกัน.

สะ–เล–เต

“มะนาวแป้นแม่ลูกดก” เปรี้ยวจัดนํ้าใสขายคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/568714

โดย นายเกษตร 28 ม.ค. 2559 05:01

 

มะนาวชนิดนี้ เป็นสายพันธุ์ที่มีลักษณะผลและนํ้า ตรงกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภคอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลใช้ประโยชน์ในครัวเรือน และปลูกเพื่อเก็บผลขายเป็นพืชเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ สร้างรายได้สุดคุ้มมาก ซึ่ง “มะนาวแป้นแม่ลูกดก” มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ รูปทรงของผลจะกลมแป้นหรือแบนมองเห็นชัดเจน ผลโตเต็มที่ มีขนาดใหญ่กว่าผลของมะนาวแป้นทั่วไปเล็กน้อย เปลือกผลบาง เป็นสีเขียวนวลสวยงามน่าชมมาก ผ่าบีบหรือคั้นเอานํ้าให้นํ้าเยอะ นํ้าเป็นสีขาวใสแตกต่างจากนํ้ามะนาวทั่วไป รสชาติเปรี้ยวจัด มีกลิ่นหอม มีเมล็ดน้อย กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในเวลานี้

มะนาวแป้นแม่ลูกดก มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะนาวทั่วไปทุกอย่างคือ เป็นไม้ยืนต้น สูง 3-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบขนนกชนิดมีใบย่อยใบเดียว ใบออกเรียงสลับ เป็นรูปไข่ แผ่นใบมีต่อมนํ้ามันหอมระเหยกระจายทั่ว ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาว ร่วงง่าย มีกลิ่นหอมแบบสะอาดๆ “ผล” รูปกลมแป้น นํ้าหนักผลโตเต็มที่ใหญ่กว่าผลของมะนาวแป้นทั่วไปเล็กน้อย เปลือกผลบาง นํ้าใสขาว รสเปรี้ยวจัด และมีกลิ่นหอม มีเมล็ดน้อยตามที่กล่าวข้างต้น ติดผลดกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอด ทำให้ปลูกแล้วโตเร็ว ลำต้นแข็งแรง ทนต่อโรคแมลงได้ดี ปลูกได้ทุกพื้นที่ของประเทศไทย ให้ผลผลิตสูงอย่างต่อเนื่อง เหมาะจะปลูกใช้ประโยชน์ในครัวเรือน และปลูกหลายๆต้นเก็บผลขายคุ้มค่ามาก

ใคร ต้องการต้นแท้ติดต่อ “สวนสมศักดิ์การเกษตร” 93 หมู่ 6 ต.ไม้เด็ด อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โทร. 08–1948–4916 หรือไปซื้อได้ที่งานพฤกษาตะวันออก จัดขึ้นที่หน้าศาลากลาง จ.ชลบุรี บริเวณล็อกซี 90 ระหว่างวันที่ 24-31 ม.ค.59 ต่างจังหวัดจัดส่งทางไปรษณีย์ได้ และมีเอกสารแนะนำการปลูกดูแลแจกให้ด้วย ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

2559..ปศุสัตว์ OK ยกระดับสินค้าเนื้อสัตว์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/568772

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 28 ม.ค. 2559 05:01

 

นายสัตวแพทย์อยุทธ์ หรินทรานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า ด้วยการผลิตสินค้าเกษตรในปัจจุบัน ไม่อาจจะนำคุณภาพสินค้ามาเป็นข้อกำหนดในการจูงใจผู้บริโภคให้เลือกซื้อเท่านั้น ยังต้องสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อเพิ่มเกณฑ์การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าด้วย เพราะปัจจุบันผู้บริโภคทั้งในบ้านเราและประเทศคู่ค้าต่างมีความตื่นตัวเรื่องมาตรฐานสินค้าเกษตร และสุขอนามัยกันมากขึ้น ดังนั้น กรมปศุสัตว์จึงต้องเร่งสร้างมาตรฐานความน่าเชื่อถือให้ผู้บริโภคได้มีความมั่นใจว่าเนื้อสัตว์ที่ซื้อไปมีความปลอดภัย

“ที่ผ่านมากรมปศุสัตว์ให้ความสำคัญเรื่องการผลิตสินค้าที่ต้องได้มาตรฐาน ทั้งในเรื่องความปลอดภัย ความสะอาดสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้มานานแล้ว โดยเฉพาะในปี 2553 มีการคุมเข้มตรวจรับรองมาตรฐานตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ กระทั่งถึงโรงงานแปรรูปมาโดยตลอด จนทำให้ปี 2558 ที่ผ่านมา เราสามารถส่งออกสินค้าปศุสัตว์ เป็นมูลค่าได้มากถึง 150,000 ล้านบาท”

นายสัตวแพทย์อยุทธ์ กล่าวว่า เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากผู้บริโภคมากขึ้นในปี 2559 กรมปศุสัตว์จะเดินหน้าต่อยอดโครงการเขียงสะอาด ด้วยการจัดทำโครงการ ปศุสัตว์ OK มุ่งเน้นผลิตสินค้าปศุสัตว์ที่มีความปลอดภัยในระดับที่สูงกว่าโครงการเขียงสะอาด โดยกำหนดสินค้าในโครงการปศุสัตว์ OK จะต้องมาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน เข้าสู่โรงฆ่าที่ได้รับการรับรอง กระทั่งถึงโรงงานแปรรูปหรือเขียงขาย ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความสะอาด เนื้อสัตว์วางแยกกับเครื่องในสัตว์ เขียง มีดและอุปกรณ์ต้องล้างทำความสะอาดสม่ำเสมอ และผู้จำหน่ายต้องสวมเครื่องแต่งกายที่สะอาด

อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาแม้ทีมเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะมุ่งจับกุมตรวจสอบคุมเข้มการใช้สารเร่งเนื้อแดง แต่จับยังไงก็ไม่หมด จึงต้องเปลี่ยนมาใช้มาตรการทางสังคมมามีส่วนในการบังคับให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง โดยกรมปศุสัตว์จะเข้าไปตรวจ สอบร้านจำหน่ายว่ามีการปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่ได้กำหนดไว้หรือไม่ ถ้าทำได้กรมฯจะให้ตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK แก่สถานที่จำหน่ายแห่งนั้น วิธีนี้ไม่เพียงจะช่วยให้ผู้บริโภคได้มีความมั่นใจในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัยเท่านั้น ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายที่ทำดี มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้นเช่นกัน.

โรคสตรอเบอรี่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/568147

โดย สะ-เล-เต 27 ม.ค. 2559 05:01

 

สตรอเบอรี่อยู่ในช่วงออกดอกติดผล และระยะนี้จะมีหมอกในตอนเช้าและอุณหภูมิลดต่ำ กรมวิชาการเกษตร เตือนเกษตรกรเฝ้าระวังการระบาด…ไรสองจุดสตรอเบอรี่

สังเกตที่ผิวใบ บริเวณที่ไรดูดทำลายมีลักษณะกร้าน ใต้ใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง หากเริ่มพบไรสองจุดเข้าทำลายใต้ใบสตรอเบอรี่ (1-2 ตัวต่อใบย่อย) ให้ใช้ชีววิธีปล่อย “ไรตัวห้ำ” ในอัตรา 2-5 ตัวต่อต้น หรือ 5,300-13,300 ตัวต่อพื้นที่แปลงสตรอเบอรี่ขนาด 1 งาน และควรปล่อยเป็นระยะๆ ห่างกันประมาณ 2 สัปดาห์

แต่ถ้ามีจำนวนไรสองจุดเกินกว่า 5-20 ตัวต่อใบย่อย ให้ปล่อยไรตัวห้ำในอัตรา 30-40 ตัวต่อต้น จำนวน 3-4 ครั้ง…หากพบการระบาดรุนแรงและไม่มีการเลี้ยงขยายไรตัวห้ำ แนะให้ใช้สารเฟนไพรอกซิเมต 5% เอสซี อัตรา 20 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารโพรพาร์ไกต์ 30% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร (ควรใช้สารเฟนไพรอกซิเมตเป็นอันดับแรกเพราะเป็นอันตรายต่อไรตัวห้ำน้อย)

ส่วนโรคอื่นที่มักจะพบในการปลูกสตรอเบอรี่ในช่วงนี้ คือ…โรคใบจุด จะเห็นอาการบนก้านใบหรือผล มีแผลขนาดเล็กสีม่วงเข้ม ต่อมาแผลจะขยายขนาด รอบแผลมีสีม่วงแดง กลางแผลสีน้ำตาลอ่อนถึงขาวหรือเทา ให้เกษตรกร กำจัดวัชพืชในแปลงปลูก ตัดแต่งใบแก่ออก เพื่อให้ต้นโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อพบโรคให้ตัดส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก หากโรคเริ่มระบาด ให้พ่นด้วยสารไดฟีโนโคนาโซล 25% อีซี อัตรา 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไตรฟลูมิโซล 30% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 6 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

โรคแอนแทรคโนส มักพบอาการบนไหล แผลขนาดเล็กสีม่วงแดง ขยายลุกลามตามความยาวสายไหล แผลที่ขยายยาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล อาการที่เกิดกับผล แผลจะเป็นวงรีสีน้ำตาลเข้ม เนื้อเยื่อของแผลบุ๋มลึกลงในผิวผล เมื่ออากาศชื้นจะมองเห็นกลุ่มสปอร์สีส้มของเชื้อราอยู่บริเวณแผล ให้ตัดส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก หากพบโรคเริ่มระบาดที่ไหล ให้พ่นด้วยสารฟลูโอไพแรม+สารไตรฟลอกซีสโตรบิน 25% +25% เอสซี อัตรา 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร

หากพบ 2 โรคนี้ ให้งดการให้น้ำแบบพ่นฝอย ให้ใช้ระบบน้ำหยดแทน และแปลงที่พบการระบาดของโรค หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ให้เก็บซากพืชไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก และควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน ควรไถดินให้ลึกและพลิกหน้าดินตากแดดหลายๆวัน เพื่อทำลายเชื้อโรค และใส่ปูนขาวปรับสภาพดินก่อนปลูกพืชฤดูถัดไป.

สะ–เล–เต

“มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” มีต้นขายทั่วไป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/568160

โดย นายเกษตร 27 ม.ค. 2559 05:01

 

หลายคน สงสัยว่า “มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” ที่พบ มีต้นวางขายอย่างแพร่หลาย เป็นของแท้หรือไม่ ซึ่งความจริงแล้วเจ้าของผู้ผสมเกสรคือ อ.วัง สุขประเสริฐ หลังผสมเกสรประสบความสำเร็จ ได้ขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขายอย่างเสรีมานานแล้ว จึงทำให้มีต้นขายทั่วไปดังกล่าว โดย “มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” เกิดจากการผสมเกสรระหว่างมะนาวแป้นพิจิตร 1 กับเกสรของมะนาวแป้นแม่ลูกดก แล้วนำเอาเมล็ดที่ได้จากผลอันเกิดจากการผสมเกสรไปเพาะเป็นต้นกล้าจำนวนมาก ปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่า สีของดอกเป็นสีขาวอมม่วง ต่างจากสีของดอกมะนาวทั่วไปที่จะเป็นสีขาวล้วน รูปทรงของผลกลมแป้นอย่างชัดเจน เปลือกผลบาง ผ่าบีบหรือคั้นนํ้าได้นํ้าเยอะ รสชาติเปรี้ยวจัด มีกลิ่นหอม ไม่มีเมล็ด ต้นทนต่อโรคแมลงดีมาก เจ้าของผู้ผสมเกสรจึงตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นสุขประเสริฐ” ดังกล่าว

มะนาวแป้นสุขประเสริฐ เป็นไม้ยืนต้น สูง 3-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดี่ยว แผ่นใบมีต่อมนํ้ามันหอมระเหยกระจายทั่ว ใบออกเรียงสลับเป็นรูปไข่ ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาวอมม่วงตามที่กล่าวข้างต้น ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมแป้น เปลือกผลบาง ไม่มีเมล็ด ให้นํ้าเยอะ รสเปรี้ยวจัด มีกลิ่นหอม เป็นมะนาวพันธุ์เบา ติดผลง่ายและผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีติดตากับตอส้มโอ ทำให้ลำต้นแข็งแรง เหมาะจะปลูกเก็บผลใช้ประโยชน์ในครัวเรือน และปลูกเพื่อเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ได้คุ้มค่ามาก

ใคร ต้องการกิ่งตอนของแท้ด้วยระบบติดตาตามที่กล่าวข้างต้น ติดต่อ “สวนฑณศา–คุณไก่” 132/2 หมู่ 7 ต.โคกไม้ลาย อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โทร. 09–4956–5323, 08–7753–5849 หรือที่งานพฤกษาตะวันออก หน้าศาลากลาง จ.ชลบุรี บูธ เอ 5 วันที่ 24-31 ม.ค.59 และที่งานเกษตรแฟร์ฯ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. โซนบี 10 หน้าธนาคารกสิกรไทย ใกล้ทางเข้าประตู 1 วันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

เกษตรแฟร์…สู้แล้ง ชวนเลี้ยงมดแดงแยงไข่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/568199

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 ม.ค. 2559 05:01

 

ราชินีมดแดง

“น้ำไม่มี ให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อย แล้วจะเอาน้ำที่ไหนมารดให้โต” เสียงค่อนแคะของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง…แต่น้ำไม่มี ใช่จะทำกินไม่ได้เอาซะเลย

“ไข่มดแดงช่วยชาติ” เป็นหนึ่งในผลงานวิจัยเกี่ยวกับภัยแล้งที่จะถูกนำมาแสดงในงาน “งานเกษตรแฟร์ 2559 เกษตรศาสตร์นำไทย สู้ภัยแล้ง” ระหว่าง 29 ม.ค.-6 ก.พ.นี้ …เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกร เพราะไร้ต้นทุน พึ่งพาน้ำแค่จิ๊ดเดียว

“การหาไข่มดแดง เลี้ยงมดแดงทั่วๆไปได้ผลผลิตน้อย ต้นต้นหนึ่งได้ไข่แค่ 10 กรัม และต่อให้ต้นไม้มีรังเยอะ อย่างเก่งได้ไข่ไม่เกิน 2-3 ขีด เราเลยมาวิจัยจะทำยังไงถึงจะได้ไข่ต้นละ 2-3 กก. เพราะวันนี้ไข่มดแดงไม่ได้เป็นที่ต้องการเฉพาะในบ้านเรา อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น มีความต้องการมาก แต่เราไม่สามารถผลิตให้ได้เท่านั้น นอกจากจะนำไปทำเป็นอาหาร ยังสามารถทำครีมทาผิวให้ขาวได้ด้วย”

รศ.เดชา เกาะต้นไม้หารังราชินี

รศ.ดร.เดชา วิวัฒน์วิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า วันนี้การวิจัยเรื่องมดแดงได้ก้าวข้ามการเลี้ยงเพื่อให้ได้ไข่มากขึ้นไปแล้ว…ถึงขั้นสามารถทำให้เกษตรกรมีที่ดิน มีต้นไม้ แต่ไม่มีมดแดง สามารถเลี้ยงมดแดงได้

“มดแดงเหมือนผึ้งและปลวก ราชินีอยู่ที่ไหน มดแดงจะอยู่ที่นั่น จะเลี้ยงมดแดง เกษตรกรต้องหาตัวราชินีให้เจอก่อน เพราะถ้าจะไปตัดรังมาวางโดยไม่มีราชินีติดมาด้วย มดแดงจะไม่อยู่กับเรา”

เกาะกลุ่มปกป้องราชินี

การหาราชินี รศ.เดชา บอกว่า รังมดแดงที่เราเห็นไม่ได้มีราชินีไปทุกรัง รังของราชินีจะไม่ใหญ่ ขนาดแค่กำปั้นมือ จะรู้ให้แน่ชัดต้องใช้วิธีเคาะต้นไม้แล้วสังเกต รังไหนถ้ามีมดแดงวิ่งกรูกันออกมา รังนั้นไม่ใช่…แต่ถ้ารังไหนมีมดแดงรวมจับตัวกันเป็นก้อน เหมือนปกป้องบางสิ่งบางอย่าง…รังนั้นมีราชินี

ตัดกิ่งรังมาใส่ถุง เอามดแดง มดงานติดมาด้วยเยอะๆยิ่งดี เพราะราชินีจะได้มีกำลังพลมาช่วยสร้างอาณาจักรใหม่ได้เร็ว…เอามาแขวน มาวางตรงโคนต้นไม้ที่เราใช้เป็นที่เลี้ยงมดแดงนั่นแหละ

ต้นไม้ที่เหมาะจะเลี้ยงต้องมีใบอ่อน อย่างมะม่วงหรือชมพู่ ต้นไม้ที่มีใบหนาแข็ง มีขน มดแดงไม่ชอบ เพราะเปลืองแรงในการดึงใบมาสร้างรัง ระยะแรกมดแดงจะสร้างรังให้ราชินีก่อน ใช้เป็นห้องคลอดไข่ รังเลยไม่ต้องใหญ่…จากนั้นมดงานจะแยกย้ายกันไปสร้างรังสำหรับอนุบาลไข่และตัวอ่อน

รังใหญ่ๆนั่นแหละโรงเลี้ยงไข่ให้เราไปแยงได้…ราชินีตัวเดียว สามารถสร้างอาณาจักรครอบคลุมต้นไม้ 1–50 ต้น มีรังเลี้ยงตัวอ่อนได้เป็น 100 รัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของราชินี และอาหารที่เราใช้เลี้ยงอาณาจักรมดแดง

เพื่อให้ราชินีออกไข่ได้มาก จึงต้องให้อาหารที่มีโปรตีนสูง บรรดาเศษเนื้อทั้งหลายนี่แหละ นำมาวางไว้ตามต้นไม้ กิ่งไม้ที่มดแดงเดินผ่าน อาหารหมดเมื่อไร ทยอยเติม และอย่าลืมติดแขวนน้ำให้ด้วย…ทุกสัปดาห์ ให้น้ำหวานหรือน้ำเชื่อมเป็นอาหารให้มดงานจะได้มีแรงหาอาหารไปเลี้ยงราชินี ตัวอ่อน และสร้างรังเพิ่มให้เราได้แยงไข่

อาหารเลี้ยงมดแดง

ฤดูที่เหมาะแก่การแยงไข่มากที่สุดคือ ก.พ.–พ.ค. เป็นช่วงที่ราชินีจะผลิตไข่แม่เป้ง ที่ขายได้ กก.ละ 30-50 บาท…ส่วน ต.ค.-ธ.ค. เป็นช่วงราชินีออกไข่มดงาน รสชาติไม่ค่อยดี ได้ราคาแค่ กก.ละ 10 บาท

แต่งานวิจัยเลี้ยงมดแดงไม่ได้จบเพียงแค่นี้ ก้าวต่อไป รศ.เดชา เดินหน้าวิจัยทำฟาร์มเลี้ยงไข่มดแดงแบบโรงเรือน ไม่ต้องพึ่งธรรมชาติ…อย่างที่บอกไว้ ตลาดไข่มดแดงมีอนาคต.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

ราชินีมดแดง

“น้ำไม่มี ให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อย แล้วจะเอาน้ำที่ไหนมารดให้โต” เสียงค่อนแคะของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง…แต่น้ำไม่มี ใช่จะทำกินไม่ได้เอาซะเลย

“ไข่มดแดงช่วยชาติ” เป็นหนึ่งในผลงานวิจัยเกี่ยวกับภัยแล้งที่จะถูกนำมาแสดงในงาน “งานเกษตรแฟร์ 2559 เกษตรศาสตร์นำไทย สู้ภัยแล้ง” ระหว่าง 29 ม.ค.-6 ก.พ.นี้ …เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับเกษตรกร เพราะไร้ต้นทุน พึ่งพาน้ำแค่จิ๊ดเดียว

“การหาไข่มดแดง เลี้ยงมดแดงทั่วๆไปได้ผลผลิตน้อย ต้นต้นหนึ่งได้ไข่แค่ 10 กรัม และต่อให้ต้นไม้มีรังเยอะ อย่างเก่งได้ไข่ไม่เกิน 2-3 ขีด เราเลยมาวิจัยจะทำยังไงถึงจะได้ไข่ต้นละ 2-3 กก. เพราะวันนี้ไข่มดแดงไม่ได้เป็นที่ต้องการเฉพาะในบ้านเรา อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น มีความต้องการมาก แต่เราไม่สามารถผลิตให้ได้เท่านั้น นอกจากจะนำไปทำเป็นอาหาร ยังสามารถทำครีมทาผิวให้ขาวได้ด้วย”

รศ.เดชา เกาะต้นไม้หารังราชินี

รศ.ดร.เดชา วิวัฒน์วิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า วันนี้การวิจัยเรื่องมดแดงได้ก้าวข้ามการเลี้ยงเพื่อให้ได้ไข่มากขึ้นไปแล้ว…ถึงขั้นสามารถทำให้เกษตรกรมีที่ดิน มีต้นไม้ แต่ไม่มีมดแดง สามารถเลี้ยงมดแดงได้

“มดแดงเหมือนผึ้งและปลวก ราชินีอยู่ที่ไหน มดแดงจะอยู่ที่นั่น จะเลี้ยงมดแดง เกษตรกรต้องหาตัวราชินีให้เจอก่อน เพราะถ้าจะไปตัดรังมาวางโดยไม่มีราชินีติดมาด้วย มดแดงจะไม่อยู่กับเรา”

เกาะกลุ่มปกป้องราชินี

การหาราชินี รศ.เดชา บอกว่า รังมดแดงที่เราเห็นไม่ได้มีราชินีไปทุกรัง รังของราชินีจะไม่ใหญ่ ขนาดแค่กำปั้นมือ จะรู้ให้แน่ชัดต้องใช้วิธีเคาะต้นไม้แล้วสังเกต รังไหนถ้ามีมดแดงวิ่งกรูกันออกมา รังนั้นไม่ใช่…แต่ถ้ารังไหนมีมดแดงรวมจับตัวกันเป็นก้อน เหมือนปกป้องบางสิ่งบางอย่าง…รังนั้นมีราชินี

ตัดกิ่งรังมาใส่ถุง เอามดแดง มดงานติดมาด้วยเยอะๆยิ่งดี เพราะราชินีจะได้มีกำลังพลมาช่วยสร้างอาณาจักรใหม่ได้เร็ว…เอามาแขวน มาวางตรงโคนต้นไม้ที่เราใช้เป็นที่เลี้ยงมดแดงนั่นแหละ

ต้นไม้ที่เหมาะจะเลี้ยงต้องมีใบอ่อน อย่างมะม่วงหรือชมพู่ ต้นไม้ที่มีใบหนาแข็ง มีขน มดแดงไม่ชอบ เพราะเปลืองแรงในการดึงใบมาสร้างรัง ระยะแรกมดแดงจะสร้างรังให้ราชินีก่อน ใช้เป็นห้องคลอดไข่ รังเลยไม่ต้องใหญ่…จากนั้นมดงานจะแยกย้ายกันไปสร้างรังสำหรับอนุบาลไข่และตัวอ่อน

รังใหญ่ๆนั่นแหละโรงเลี้ยงไข่ให้เราไปแยงได้…ราชินีตัวเดียว สามารถสร้างอาณาจักรครอบคลุมต้นไม้ 1–50 ต้น มีรังเลี้ยงตัวอ่อนได้เป็น 100 รัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของราชินี และอาหารที่เราใช้เลี้ยงอาณาจักรมดแดง

เพื่อให้ราชินีออกไข่ได้มาก จึงต้องให้อาหารที่มีโปรตีนสูง บรรดาเศษเนื้อทั้งหลายนี่แหละ นำมาวางไว้ตามต้นไม้ กิ่งไม้ที่มดแดงเดินผ่าน อาหารหมดเมื่อไร ทยอยเติม และอย่าลืมติดแขวนน้ำให้ด้วย…ทุกสัปดาห์ ให้น้ำหวานหรือน้ำเชื่อมเป็นอาหารให้มดงานจะได้มีแรงหาอาหารไปเลี้ยงราชินี ตัวอ่อน และสร้างรังเพิ่มให้เราได้แยงไข่

อาหารเลี้ยงมดแดง

ฤดูที่เหมาะแก่การแยงไข่มากที่สุดคือ ก.พ.–พ.ค. เป็นช่วงที่ราชินีจะผลิตไข่แม่เป้ง ที่ขายได้ กก.ละ 30-50 บาท…ส่วน ต.ค.-ธ.ค. เป็นช่วงราชินีออกไข่มดงาน รสชาติไม่ค่อยดี ได้ราคาแค่ กก.ละ 10 บาท

แต่งานวิจัยเลี้ยงมดแดงไม่ได้จบเพียงแค่นี้ ก้าวต่อไป รศ.เดชา เดินหน้าวิจัยทำฟาร์มเลี้ยงไข่มดแดงแบบโรงเรือน ไม่ต้องพึ่งธรรมชาติ…อย่างที่บอกไว้ ตลาดไข่มดแดงมีอนาคต.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

“ทุเรียนนกกระจิบ” หวานแหลมราคาดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/567634

โดย นายเกษตร 26 ม.ค. 2559 05:01

 

ทุเรียนนกกระจิบ เป็นคนละพันธุ์กับทุเรียนนกหยิบ โดย “ทุเรียนนกกระจิบ” เป็นทุเรียนพันธุ์ดั้งเดิมของ จ.นนทบุรี จากนั้นได้กระจายปลูกไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย สามารถเจริญเติบโตมีดอกและติดผลได้ดีเหมือนกับปลูกที่ จ.นนทบุรี ทุกอย่าง มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์ คือ รูปทรงของผลสวย เปลือกผลบาง ผลมีขนาดใหญ่แบบพอดีไม่หนักมากเกินไป พูระหว่างผลโต เมล็ดลีบและบางโดยธรรมชาติ เนื้อเยอะเต็มพู เป็นสีเหลืองเข้ม เนื้อละเอียดหวานแหลม มีกลิ่นหอมรับประทานอร่อยมาก น้ำหนักผลโตเต็มที่ 1-2 กิโลกรัมต่อผล เป็นทุเรียนสายพันธุ์เบา มีดอกและติดผลง่าย และผลแก่ให้ผู้ปลูกเก็บผลกินหรือเก็บผลขายได้ก่อนทุเรียนสายพันธุ์อื่นๆ ตลาดผลไม้ต้องการเยอะ ราคาดี โดยเฉพาะประเทศจีนนิยมอย่างกว้างขวาง

ทุเรียนนกกระจิบ มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับทุเรียนทั่วไปทุกอย่าง มีข้อแตกต่างกับทุเรียนนกหยิบให้เป็นข้อสังเกตคือ ใบของ “ทุเรียนนกกระจิบ” จะเล็กกว่าใบของทุเรียนนกหยิบ เมล็ดของ “ทุเรียนนกกระจิบ” เล็กลีบและบาง ส่วนเมล็ดของทุเรียนนกหยิบจะใหญ่ทุกเมล็ด น้ำหนักผลต่างกันคือ “ทุเรียนนกกระจิบ” ผลโตเต็มที่จะมีน้ำหนัก 1-2 กิโลกรัมเท่านั้น แต่ผลของทุเรียนนกหยิบจะหนักถึง 2-4 กิโลกรัม และสุดท้ายก้นผลของ “ทุเรียนนกกระจิบ” จะบุ๋มไม่เหมือนกับก้นผลของทุเรียนนกหยิบจะแหลมต่างกันอย่างชัดเจน สามารถแยกแยะตามที่กล่าวข้างต้นก่อนจะซื้อไปปลูกไม่ผิดพลาด

ใคร ต้องการต้นแท้ที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอด มีรากแก้วดีทุกต้น ปลูกแล้วโตเร็ว ทนต่อโรคแมลงดี ปลูกได้ทุกพื้นที่ของประเทศไทย ให้ผลผลิตสูง ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08–8533–2299 หรือที่งานพฤกษาตะวันออก หน้าศาลากลาง จ.ชลบุรี ล็อกซี 84 วันที่ 24-31 ม.ค.59 และที่งานเกษตรแฟร์ฯ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. โซนบี 293 วันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 บูธ “สวนประภาสไม้ผล” ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

อนาคตเกษตรกับโลกร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/567637

โดย สะ-เล-เต 26 ม.ค. 2559 05:01

 

แค่เดือนมกราคม ภัยแล้งออกฤทธิ์เผาน้ำแห้งขอดกันไปแล้วหลายพื้นที่…ผู้รู้หลายคนต่างให้น้ำหนักไปที่อิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนินโญ

แต่ รศ.ดร.บัญชา ขวัญยืน รักษาการอธิบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในกูรูเรื่องน้ำ ให้น้ำหนักไปที่ปรากฏการณ์โลกร้อน อากาศแปรปรวนมากกว่า

และฝากบอกเตือนพี่น้องเกษตรกรไทยให้ตระหนักเรื่องนี้ให้มาก คิดจะทำเกษตรให้ตัวเองอยู่รอดในยุคนี้ได้ อย่าหวังพึ่งพาฝนฟ้าเป็นอันขาด และอย่าได้คิดหวังพึ่งพาการหาน้ำชลประทานจากภาครัฐ

เรื่องหวังพึ่งน้ำชลประทาน จากเขื่อน จากอ่างเก็บน้ำ มองข้ามไปได้เลย เนื่องจากประเทศแทบจะไม่เหลือพื้นที่ ให้สร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำใหม่ๆ ได้อีกแล้ว เพราะพื้นที่เหมาะสมถูกสร้างไปหมดแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน

ส่วนฝนฟ้านั้นยิ่งพึ่งพาไม่ได้ไปกันใหญ่ เพราะภาวะอากาศที่แปรปรวน ฤดูกาลต่างๆจะไม่เหมือนเดิม ฤดูฝนที่คิดว่าฝนจะตก ฝนอาจจะมาช้าไปเป็นเดือนๆ ดูอย่างวันนี้ มกราคมฝนดันมาตกได้ยังไง หนาวก็ไม่หนาว

ที่สำคัญรูปแบบของฝนจะไม่เหมือนเดิม โลกร้อนนอกจากจะทำให้ฝนน้อยลงแล้ว ฝนตกมาแต่ละครั้งจะตกมาในปริมาณมากกว่าเดิมจนกลายเป็นน้ำท่วม…ที่ไหนเคยน้ำดีก็อาจจะไม่ดีเหมือนเก่า เห็นได้จาก กี่ปีมาแล้วล่ะที่ฝนไม่ยอมตกเหนือเขื่อน น้ำไหลเข้าเขื่อนน้อย

“โลกวันนี้เราไม่สามารถนำสถิติเก่าๆ 20-30 ปี มาเป็นฐานข้อมูลในการวางแผนบริหารจัดการน้ำได้อีกแล้ว เพราะธรรมชาติไม่เหมือนเดิม ภาครัฐไม่สามารถไปควบคุมบังคับให้ฝนตกได้ และบังคับให้ฝนตกลงเขื่อนไม่ได้ ฉะนั้น หนทางที่จะช่วยให้เกษตรกรอยู่รอดได้ ต้องพึ่งพาตัวเอง สร้างแหล่งน้ำสำรองเป็นของตัวเอง”

เพราะเป็นหลักประกันในการทำอาชีพเกษตรได้ดีที่สุด ดูอย่างเกษตรกร ทำการเกษตรแบบผสมผสานตามหลักทฤษฎีใหม่…เกิดภัยแล้ง ทำไมเกษตรกรกลุ่มนี้ถึงไม่เดือดร้อน นั่นเพราะมีบ่อน้ำเป็นของตัวเอง

เกษตรกรต้องเลิกคิด การขุดบ่อในที่ดินทำให้สูญเสียที่ทำกิน…ต้องคิดใหม่ มีสระน้ำ คือการให้โอกาสตัวเองมีทางหาเงินได้ทั้งปี ยุคโลกร้อนขืนมัวรอแต่ฝนฟ้า ชีวิตจะเอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนฝน.

สะ–เล–เต