ประมงน้ำจืดไทยสุดเจ๋ง เลี้ยงปลาบึกในบ่อปูนฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/567659

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 26 ม.ค. 2559 05:01

 

หลายปีก่อนกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) รายงานว่า การสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงอาจทำให้ปลาบึกปลาน้ำจืดที่ตัวใหญ่ที่สุดและหายากที่สุดในโลกต้องสูญพันธุ์ แต่วันนี้สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดของไทยก้าวหน้าข้ามไปไกลเกินความห่วงใยนั้น เราสามารถเพาะเลี้ยงปลาบึกในบ่อปูนซีเมนต์ได้แล้ว

นายวินัย จั่นทับทิม ผอ.สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เผยว่า กรมประมงได้เพาะพันธุ์ปลาบึกที่จับมาจากแม่น้ำโขง บริเวณ อ.เชียงของ จ.เชียงราย สำเร็จเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2526 แล้วนำลูกพันธุ์ที่เพาะได้ไปทดสอบการเลี้ยงในบ่อดิน เพื่อทำเป็นพ่อแม่พันธุ์ในศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด ในแถบภาคเหนือ จนปี 2544 ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด จ.พะเยา สามารถผสมเทียมปลาบึกเลี้ยงไว้ในบ่อดินได้เป็นผลสำเร็จ ก่อนจะนำไปเพาะเลี้ยงได้ทั่วประเทศ ไทยและปล่อยสู่แหล่งน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะในอ่างเก็บน้ำต่างๆมาตั้งแต่ปี 2551 ปีละ 200,000 ตัว

“ในปีเดียวกันนั้น เราได้ทดสอบเลี้ยงลูกปลาบึกในบ่อซีเมนต์เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการ ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาเราพบว่า บ่อซีเมนต์สามารถใช้เลี้ยงปลาบึกได้ ถ้ามีการวางระบบน้ำไหลเวียน 100 ลิตรต่อนาที”

ผอ.สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด บอกว่า ขนาดของบ่อซีเมนต์ที่เหมาะสมควรมีขนาดกว้าง 5 ม. ยาว 10 ม. สูง 1.40 ม. สามารถเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ขนาด 50 กก.ได้ 6 ตัว (3 คู่) และมีการติดตั้งระบบน้ำหมุนเวียน ให้น้ำล้นจากบ่อเลี้ยงให้ไหลไปลงบ่อบำบัดและบ่อพักขนาดเดียวกับบ่อเลี้ยง

แต่ถ้าเลี้ยงลูกปลาบึกวัย 2 สัปดาห์ (ขนาด 1 นิ้ว) บ่อขนาดนี้จะสามารถใช้เลี้ยงลูกปลาได้ 900 ตัว (18 ตัวต่อ 1 ตร.ม.) ให้ไรแดงมีชีวิต ปลาเป็ดบดละเอียด เป็นอาหารหลักวันละมื้อ และเมื่อลงบ่อไปได้ 3 วัน เลี้ยงไปจนกระทั่งมีขนาด 5-10 นิ้ว สามารถนำไปจำหน่ายให้กับเกษตรกรนำไปเลี้ยงต่อเพื่อสร้างรายได้ แต่ถ้าต้องการจะเลี้ยงเองต่อ นายวินัย แนะนำ ให้สังเกตความหนาแน่นของปลาในบ่อ หากตัวปลามีแผล เกิดขึ้น แสดงว่า ปลาแน่นบ่อเกิน ไป ต้องคัดออกไปครึ่งหนึ่ง การเลี้ยงปลาบึกในบ่อ ขนาดนี้ การทดสอบที่ผ่านมา 7 ปี สามารถเลี้ยงปลาบึกให้มีน้ำหนักตัวละ 100 กก. ต่อการเลี้ยง 6 ตัว

เกษตรกรสนใจวิธีการเลี้ยงปลาบึกในบ่อซีเมนต์ ติดต่อสอบถามได้ที่สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด จ.พระนครศรีอยุธยา 08-1649-3777 หรือ 0-3570-4171.

แล้งนี้…ระวังหนอนหัวดำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/567236

โดย สะ-เล-เต 25 ม.ค. 2559 05:01

 

8 ปีมาแล้ว…ที่หนอนหัวดำ แมลงศัตรูพืชต่างถิ่นเข้ามาซ่องสุมกำลัง ทำลายสวนมะพร้าวบ้านเรา

ที่ผ่านมา แม้การปราบปรามด้วยการปล่อยแตนเบียนไข่กริโกแกรมม่า และใช้สารเคมี (emamectin benzoate 1.92% EC) ฉีดเข้าลำต้น จะสามารถลดพื้นที่การระบาดลงสูงสุด 100,510 ไร่ เมื่อปี 2556…ให้ลงมาเหลือ 56,287 ไร่ ได้ในปี 2557 ทำให้หลายฝ่ายต่างคลายกังวล การปราบปรามได้ผลจริง

ลดพื้นที่การระบาดไปถึง 44%

การเอาใจใส่ปราบปรามอย่างจริงจังของชาวสวนมะพร้าวลดลง ประกอบกับปี 2558 ประเทศไทยประสบภัยแล้งรุนแรง เป็นธรรมชาติของแมลง เจอความแห้งแล้ง อากาศร้อน จะกระตุ้นให้แมลงขยันผสมพันธุ์มากขึ้นเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองไม่ให้สูญสลาย…ส่งผลให้ปีที่ผ่านมา พื้นที่การระบาดเด้งเพิ่มไปเป็น 73,032 ไร่

ไม่เพียงแค่นั้น การระบาดยังกว้างไกลมากขึ้น จากเดิมที ปี 2556 มีการระบาดแค่เพียง 16 จังหวัด…วันนี้ครอบคลุมกินพื้นที่ไปถึง 24 จังหวัด จากระบาดกันแค่ภาคใต้ ลุกลามมาถึงภาคกลาง ภาคตะวันออก

ปีนี้แล้งหนักกว่าปีก่อน ฉะนั้นพี่น้องชาวสวนมะพร้าวห้ามประมาทละเลยโดยเด็ดขาด แม้พื้นที่ระบาดจะยังไม่ถึงแสนไร่ก็ตาม แต่โอกาสที่มันจะขยันผสมพันธุ์ให้ระบาดหนักได้เหมือนเก่านั้นไม่ยาก

วันนี้เศรษฐกิจประเทศไม่ดี รัฐบ่จี๊ พี่น้องชาวสวนมะพร้าวโปรดอย่างอมืองอเท้ารอแต่ความช่วยเหลือจากทางการอย่างเดียว…ต้องพึ่งตัวเอง เป็นหลัก ขืนมัวแต่รอ กว่าถั่วจะสุกงาจะไหม้เสียก่อน รู้ๆกันอยู่ ราชการบ้านเราทำงานได้รวดเร็วขนาดไหน

ช่วงนี้ให้หมั่นดูแลสวนมะพร้าว ตรวจดูทางใบ หากมีหนอนหัวดำ มาทำรัง ให้ตัดทางใบมาฝังหรือเผาทำลายทิ้ง และร่วมด้วยช่วยกันเพาะเลี้ยงแตนเบียนไข่กริโกแกรมม่า มาปล่อยให้ไปกัดกินหนอนหัวดำ…สามารถขอพันธุ์มาเลี้ยงขยายพันธุ์ได้ที่ “ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน” ใกล้บ้าน

อย่าทำเป็นวางเฉย ธุระไม่ใช่ ปล่อยให้หนอนหัวดำระบาดหนักถึงขั้นต้องใช้วิธีฉีดสารเคมีเข้าต้นมะพร้าว ค่าใช้จ่ายจะบานไม่หุบ…และถ้ามัวรอให้รัฐช่วย ไม่มีทางได้ทั่วถึง มีแต่โค่นทิ้งสถานเดียว.

สะ–เล–เต

“จาวตาล” ละลายนิ่วถุงน้ำดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/567239

โดย นายเกษตร 25 ม.ค. 2559 05:01

 

จาวตาล คือเนื้อในของลูกตาล ที่ได้จากการเอาผลตาลสุกไปเพาะเป็นต้นกล้า เมื่อมีต้นแทงขึ้นจากหัวผลตาลยาวประมาณ 4–5 นิ้วฟุต ให้รีบปอกเปลือกแล้วผ่าเอาเนื้อในจะเป็นจาวเหมือนจาวมะพร้าวรับประทานหวานหอมอร่อยมาก เรียกว่า “จาวตาล” ซึ่งจาวตาลดังกล่าวจำนวน 1 จาว แบ่งกิน 3 ครั้ง คือ เที่ยง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ บ่ายสามโมง และสามทุ่ม กินติดต่อกัน 7 วัน จะละลายนิ่วในถุงน้ำดีสำหรับผู้ที่ตรวจพบว่าเพิ่งเป็นใหม่ๆได้ สามารถกินได้ต่อเนื่องไม่อันตรายอะไร

ตาล หรือ BORASSUS FLABELLIFER LINN. อยู่ในวงศ์ ARECACEAE ใบสดหรือแห้งคั่วไฟอ่อนๆพอกรอบแล้วบดเป็นผงสูบหรือเป่า ลดความดันโลหิต รากสดต้มน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้ว แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้ กาบหรือก้านใบสด อังไฟให้ร้อนแล้วบีบเอาน้ำกินแก้ท้องร่วมหรืออมบ้วนทิ้งแก้ปากเปื่อยได้

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” สี่สีทั้งเล่มพิมพ์จำนวนจำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร แห้วหมูแคปซูล ผสมสมุนไพรหลายอย่างช่วยลดความดันโลหิต, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับ แก้คาวปลา ดับกลิ่นเหม็นในสตรี และแก้ต่อมลูกหมากอักเสบไส้เลื่อนในบุรุษ, ยาลดเบาหวานแคปซูล ทำจากสมุนไพรหลายชนิด, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ครีมโลดทนง รักษาสิว ฝ้า รูขุมขนตีบลง, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกห้ามกินฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล ทำจากสมุนไพรหลายอย่าง โทร. 0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

พริกขี้หนูสวนพันธุ์ใหม่ เผ็ดทนแล้ง…หอมแก้จน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/567339

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 ม.ค. 2559 05:01

 

“พริกขี้หนูสวนเป็นเครื่องปรุงอาหารคู่ครัวไทยมาช้านาน ตลาดมีความต้องการสูง แต่ปัญหาการปลูกพริกขี้หนูสวน บ้านเราปลูกกันแบบตามมีตามเกิด ไม่มีพันธุ์สำหรับการค้าอย่างแท้จริง ให้ผลผลิตไม่แน่นอน เมื่อปลูกกลางแจ้งมักเกิดโรคและตาย ประกอบกับภูมิอากาศโลกเปลี่ยนไป ภัยแล้งเกิดถี่ ยิ่งทำให้ผลผลิตน้อยลงไปอีก เกษตรกรมีโอกาสเสี่ยงขาดทุนมากขึ้น กรมวิชาการเกษตรจึงคิดปรับปรุงพันธุ์พริกขี้หนูสวนที่ให้ผลผลิตสูงขึ้น และสามารถทนความแห้งแล้งของภูมิอากาศในอนาคต”

วิลาวัณย์ ใคร่ครวญ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ กรมวิชาการเกษตร เผยถึงที่มาของพริกขี้หนูสวนพันธุ์ใหม่ 10-1-1-3-6 (ยังไม่ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ) ที่ได้เริ่มปรับปรุงพันธุ์มาตั้งแต่ปี 2540 ด้วยการนำพันธุ์พริกขี้หนูสวนจากทั่วประเทศ หลายร้อยพันธุ์มาทำการผสมข้ามสายพันธุ์ไปมา จนได้สายพันธุ์ทนแล้งค่อนข้างดี สามารถปลูกในพื้นที่กลางแจ้งได้…ต่างจากพันธุ์เดิมที่ไม่สามารถทนแดดได้มากนัก เจอแดดแล้วมักจะอ่อนแอ ตายด้วยเพลี้ยไฟ แมลง ในที่สุด

พันธุ์ 10-1-1-3-6 มีผลเรียวยาวกว่าพริกขี้หนูสวนทั่วไป ผลสวย ผิวมัน ให้ผลผลิตสูงถึงไร่ละกว่า 1 ตัน ต้นสูง 80-100 ซม. ดอกบานหลังย้ายลงปลูก 110 วัน สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ตั้งแต่ผลอ่อนยันสุก เป็นพริกหลายฤดู หากได้รับการดูแลเหมาะสม สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้นานกว่า 6 เดือน ยิ่งอายุมาก ผลผลิตยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ น่าจะถูกใจเกษตรกรมากที่สุด เพราะราคาหน้าสวนสูงกว่าพริกขี้หนูผลใหญ่ 3 เท่า

พริกขี้หนูสวน 10-1-1-3-6

และผลพลอยได้อีกอย่างจากการปรับปรุงพันธุ์ เพื่อให้ทนแล้ง…สิ่งที่ตามมาคือ ทำให้พริกขี้หนูสวนพันธุ์ใหม่มีความเผ็ดมากขึ้น โดยมีดีกรีความเผ็ดอยู่ที่ 100,000 สโควิลล์ จัดอยู่ในกลุ่มเผ็ดมากเป็นพิเศษระดับ 5 (ดีกรีวัดความเผ็ด มี 5 ระดับ) ถึงขั้นสามารถนำไปใช้ในอุตสาห-กรรมผลิตยา อาหารเสริม รวมทั้งทำเป็นอาวุธป้องกันตัว (สเปรย์พริก)

การปรับปรุงสายพันธุ์พริกขี้หนูสวนในระยะเวลากว่า 18 ปี ของ วิลาวัณย์ ไม่เพียงได้สายพันธุ์พริกขี้หนูเผ็ดทนแล้ง….เธอยังได้พริกขี้หนูสำหรับทำน้ำพริก และผู้นิยมนำพริกขี้หนูสดมาเป็นเครื่องเคียงอีกด้วย เพราะได้พริกขี้หนูสวนที่มีความหอมมากกว่าพริกขี้หนูใดๆที่เคยมีมาในบ้านเรา

พริกขี้หนูหอม 8-6-10-1-2

นั่นคือ…พริกขี้หนูหอม 8-6-10-1-2 (ยังไม่ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการอีกเหมือนกัน)

เป็นพริกขี้หนูสวนผลเล็ก จิ๋วแต่แจ๋ว มีขนาดผลไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ความเผ็ดอยู่ที่ 90,000 สโควิลล์ อยู่ในกลุ่มเผ็ดมากเป็นพิเศษระดับ 5 เช่นเดียวกับพันธุ์แรก ด้วยผลมีขนาดเล็ก ผลผลิตจึงน้อยกว่าประมาณ 900 กก./ไร่ แต่ก็ยังมากกว่าพริกหอมทั่วไปที่ให้ผลผลิตแค่ 400-600 กก./ไร่ แต่ด้วยกลิ่นที่หอมเป็นพิเศษ ทำให้ผู้บริโภคชอบ ราคาหน้าสวนสูงกว่าพริกขี้หนูหอมทุกชนิด โดยมีราคาหน้าสวนอยู่ที่ประมาณ กก.ละ 70 บาท ในขณะที่พริกขี้หนูหอมพันธุ์จินดา พันธุ์ยอดนิยมนั้นมีราคาอยู่ กก.ละ 28-30 บาท…ต่างกันเท่าตัว

เกษตรกรสนใจสามารถติดต่อได้ที่ สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร 0-2579-0583, 0-2940-5484.

กรวัฒน์ วีนิล

จบ…วิศวกรไฟฟ้า สอนวิชาเลี้ยงไส้เดือน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/566391

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 23 ม.ค. 2559 05:01

 

“จริงๆก็เริ่ม จากศูนย์ สมัยนั้น ยังไม่ค่อยมีคนเลี้ยงไส้เดือน ส่วนใหญ่ก็ยี้กันหมด แม่แฟนเกลียดมาก ทุกวันนี้ก็ยังเกลียดอยู่เลย แค่หยิบไส้เดือนมาก็แทบจะวิ่ง ภรรยา ลูก ไม่มีใครเอา แค่เห็นตัวไส้เดือนก็กรี๊ด แต่ทำไงได้เป็นอาชีพของเรา พอโตก็ขายได้ตัวละ 2 บาท”

ธีธัช บำรุงทรัพย์ หรือที่ใครๆในแวดวงธุรกิจไส้เดือน เรียกอาจารย์ป๋อง บอกธีธัชเรียนจบวิศวะไฟฟ้า ทำงานโรงงานอุตสาหกรรมมา 20 กว่าปี ปี 2549 ชีวิตเกิดวิกฤติ ออกจากงาน ไม่ได้วางแผนอะไร คิดอย่างเดียวว่าทำอะไรก็ได้ อยากเป็นนายของตัวเอง

วันหนึ่งไปเดินสวนจตุจักร มองหาว่าจะทำอะไรดี ไปเห็นคนขายไส้เดือนที่ร้านตกปลา เขาขายไส้เดือนตัวละบาทห้าสิบ เกิดสนใจ ตัวเองเป็นคนราชบุรี อยู่บ้านนอกขุดหาไส้เดือนไปตกปลา แต่กรุงเทพฯเอามาใส่กล่องขาย สมองก็คิดขึ้นมาทันที น่าจะเลี้ยงได้ ก็ไปซื้อไส้เดือนมาทดลองเลี้ยง แต่ไม่สำเร็จ ตายหมด

เปิดอินเตอร์เน็ตเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทราบว่า รศ.ดร.สมชัย จันทร์สว่าง ภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร เปิดคอร์สเรียนไส้เดือนกำจัดขยะ เป็นพันธุ์แอฟริกันไนท์ คอลเลอร์

ไส้เดือนพันธุ์นี้ตลาดบ้านเรานิยมเลี้ยง ดูแลง่าย โตเร็ว

เรียนมา 2 วัน ได้ไส้เดือน 20 ตัว ใส่กล่องลิ้นชักเล็กๆ หิ้วขึ้นรถเมล์ ตอนนั้นอากาศก็ร้อน ไส้เดือนคลานออกมา คนก็ฮือฮา

“ผมอายมาก” ธีธัชเล่า “รีบจับใส่ๆ คิดว่าไม่เป็นไร เราไม่ได้ลักขโมยใคร พอมาถึงบ้าน เช็กอีกทีไส้เดือนตายหมด”

อีกวัน…ขึ้นรถเมล์กลับไปขอใหม่ คราวนี้ได้ไส้เดือน 25 ตัว เอาไส้เดือนกลับมาเลี้ยงที่บ้าน ได้ความรู้มาก็ยังทำไม่ค่อยเป็น เขาไม่ได้สอนละเอียด สอนแต่ทฤษฎี ก็มาลองผิดลองถูก

“เริ่มค้นหาเทคนิค ทำยังไงถึงจะเพาะเลี้ยงไส้เดือนให้ได้มากๆ แล้วก็ไม่เหม็น เหม็นไม่ได้แฟนก็บ่น เพื่อนบ้านก็บ่น ตอนแรกเหม็นมาก เราเองก็พูดไม่ออก เพราะมันเป็นงานอาชีพ”

ต่อมาก็คิดค้นหาสูตร ทำอย่างไรไม่ให้เหม็น พอทำได้ ก็เริ่มขาย รายได้ดีมาก เรียกว่าเลี้ยงครอบครัวได้สบายๆ ก็ดีใจ ถึงจุดนี้เวลาผ่านไปถึงห้าปี

ระหว่างทำไป เริ่มกลับมามองตัวเอง เดี๋ยวคนอื่นก็ต้องเลี้ยงขายเหมือนกับเรา แล้วเราจะขายใคร

คิดรวบรวมเอาความรู้ทำเป็นหลักสูตร เปิดเป็นศูนย์การอบรมการเลี้ยงไส้เดือน “ธีธัชฟาร์ม” 35/809 หมู่ 2 หมู่บ้านทรัพย์สมบูรณ์ ซ.ประชาอุทิศ 91 ถ.ประชาอุทิศ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ

ธีธัชบอกว่า วิชาที่ได้มาจากเรียนจบปริญญาโท ด้านการตลาด จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ช่วยได้เยอะมาก เริ่มทดสอบเปิดตลาดกระจายพร้อมกันทั่วกรุงเทพฯ รับจ้างสอนทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ

“เราใช้ภาษาอังกฤษ ข้อดีคือได้ลูกค้าต่างชาติ สมัยก่อนมีไฮ 5 เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ มีคนติดต่อเข้ามา โทรศัพท์มาบ้าง หลังๆรับลูกค้าทั้งยุโรป ออสเตรเลีย อาเซียน เราสอนไป 10 กว่าชาติทั่วโลก”

ฝรั่งบางคน มาก็มั่วแบบมีศิลป์ เอาให้เขาเข้าใจ เพราะภาษาที่เลี้ยงไส้เดือน 99% เป็นภาษาอังกฤษ ตามสไตล์คนไทยภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่เราจะอธิบายอย่างไรให้เขาเข้าใจ ใช้ทั้งภาษากาย ภาษาพูด ใช้เทคนิคทุกอย่างที่จะพูดให้ลูกค้าฝรั่งเข้าใจ ว่าสิ่งที่เขาต้องการจะได้ครบไหม

ฝรั่งเก่ง รู้จักถาม ดึงข้อมูลจากเรา

เรายังมีเคสที่เป็นบริการสังคมสอนฟรี คัดเลือกคนเรียนที่ขาดโอกาส คนเฒ่าคนแก่ พระภิกษุสามเณร โรงเรียนต่างๆ บางทีก็เป็นข้าราชการ ดูแลทุกอย่างฟรี

ธีธัชบอกว่า ถ้าใครอยากมาเรียน หนึ่งต้องมีใจก่อน ต้องคุยกันยาวถึงความพร้อม นอกจากค่าเรียน 5,000 บาทแล้ว เมื่อก่อนเก็บถูก 1,000 เดียว คนมาเรียนเยอะ แต่พอสอนไปสอนมา ปรากฏว่าไม่ค่อยได้ผล

ที่เราสอนๆไม่ทำ เขาอาจมองว่าเสียน้อยก็ได้ พอไม่ทำก็เสียดายโอกาสที่จะมีรายได้

“เราตั้งใจเอาคนที่ทำจริงๆไม่เกิน 1 ปี คุณจะได้เงินเพิ่มจากที่คุณทำ 10 เท่า ลงทุน 5 พัน 1 ปีรับประกันได้เลย คุณมีรายได้สูงมาก เพราะหลักสูตรเรา 3 เดือน เรียนที่นี่ 1 วันก่อน แล้วตามสอนคุณที่บ้านอีก 3 เดือน”

สอนแบบใช้ไลน์คุยทุกวัน ไส้เดือนตายมาเอาไปใหม่ ถ้าไม่ได้จริง ไม่คุณมาก็อาจารย์ไป มาเรียนใหม่ สอนจนคุณเข้าใจ อาจารย์ไม่ได้ดูแลคุณไปตลอดชีวิต เราดูแลทุกอย่าง การตลาดก็ต้องดูแล ผลิตสินค้าออกมา เราหาลูกค้าให้ คุณจะต้องเรียนฝึกขาย

คนเลี้ยงไส้เดือนมีตลาดฟิชชิ่งช็อป ตลาดอาหารสัตว์ ไส้เดือนมีโปรตีนสูงมาก ขายตัวละ 2 บาท เป็นที่นิยมของคนเปิดฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เช่น สัตว์ปีก พวกนก สัตว์น้ำ พวกปลาสวยงาม สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ พวกกบ

ตลาดที่เขามาซื้อไปเป็นอาหาร คือตลาดกว้าง บ้านเราการผลิตเทียบกับประชากรยังไม่มาก เพียงแต่คนที่เลี้ยงกับคนที่ต้องการซื้อยังไม่เจอกัน เวลาเจอทีราคาก็กระโดดสูง คนซื้อก็รับไม่ได้

“ที่นี่พยายามให้คนที่ใช้จริงๆ” ธีธัชว่า “เอาไปปลูกผัก เอาไปทำสวนเกษตรเศรษฐกิจพอเพียง เอาไปทำเกษตรอินทรีย์ ผลิตปุ๋ย”

ในลักษณะเชิงพาณิชย์ อย่างโรงงานอุตสาหกรรม มีบริษัทขายรถยนต์ของญี่ปุ่นยี่ห้อดัง เขาทำแปลงเกษตรปลูกผักอินทรีย์ส่งตลาด มีปัญหาเรื่องปุ๋ย ปัญหาเรื่องขยะ เขาเลือกมาที่นี่ ส่งพนักงานมาเรียนรู้กลับไปทำปุ๋ย เขาบอกว่าลดต้นทุนได้ 70 เปอร์เซ็นต์

เรากลายเป็นที่ตอบสนองสำหรับหน่วยงานใหญ่ กลุ่มลูกค้าของเรา นอกเหนือจากมูลไส้เดือนแพ็กขายถุงละ 50 บาท ยังมีน้ำไส้เดือน ที่เราสกัดเอามาขายลิตรละ 30 บาท ลิตรครึ่ง 50 บาท

ไส้เดือนไม่ใช่ใช้เฉพาะพืช ตลาดของเรามีงานวิจัย สามารถเอาส่วนที่เป็นน้ำที่สกัดจากมูลไส้เดือนบริสุทธิ์ ใช้วิธีสกัดเย็น ได้น้ำออกมา เราเรียกว่าน้ำเอนไซม์ เป็นโปรไบโอติก

เอนไซม์ตัวนี้เป็นจุลินทรีย์ด้วย เวลาเข้าไปอยู่ในสิ่งมีชีวิต ในทางเดินอาหาร จะทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น เรียกว่าเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์

ขั้นตอนในการผลิตต้องมีวิธีการ เริ่มต้นตั้งแต่การเลี้ยงไส้เดือน ใช้ขยะที่มีคุณภาพ ขยะที่มีสารอาหาร เช่น ขยะที่มีจุลินทรีย์มีกากใยค่อนข้างมาก ทำให้ที่อยู่ของไส้เดือนโปร่ง ไส้เดือนก็จะกินเร็วขึ้นปริมาณความเข้มข้นของมูลไส้เดือนที่อยู่ในบ่อเลี้ยงจะได้ 100%

เราสอนให้คนมีอาชีพ สอนให้แพ็กกิ้ง แพ็กขวด แพ็กถุง สอนวิธีการขาย พูดยังไง เจรจาต่อรองยังไง จะได้เงินจากลูกค้า เป็นหลักสูตรที่เรากำหนดขึ้นมา กว่าจะจบคนหนึ่งเหนื่อยมาก

เพราะฉะนั้นการขายสินค้าของเรา ขอให้เลี้ยงไส้เดือนได้ตามมาตรฐาน คือการเลี้ยงไส้เดือนต่างกัน คนเลี้ยงทั่วไปก็เลี้ยงไปอย่างหนึ่ง ของเราก็เลี้ยงไปอย่างหนึ่ง

เราอ้างอิงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน คุณภาพของเราต้องมาก่อน เวลาเราขายสินค้าก็ต้องขายในนามของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

“เราต้องแสดงความรับผิดชอบให้มากที่สุด เราต้องสร้างเขาให้ได้ เราบอกเสมอว่าไม่ใช่ธีธีชฟาร์มอย่างเดียว มีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ด้วย เราเอาถุงของมหาวิทยาลัยเกษตรฯแพ็กไปขาย เวลาคุณทำไม่ดี ไม่ใช่คุณคนเดียวที่เสีย แต่เสียไปถึงมหาวิทยาลัยด้วย”

ธีธัชบอกว่า ชีวิตเริ่มต้นจากวิกฤติ ถ้าไม่ออกจากงานวันนั้น ก็จะไม่มีวันนี้ สมองก็จะไม่คิดทำอะไรเลย การร่างหลักสูตรใช้เวลา 5 ปี หลักสูตรของเราทางรัฐบาลขอไปใช้กับ ปวช. ปวส. เราให้เฉพาะส่วนที่ให้ได้

ใช้ชีวิตอย่างนี้ 10 ปี ตั้งแต่ปี 49 อายุตอนนี้ก็ 50 ปี ภูมิใจที่ได้สอนอาจารย์เกษตร ทั้งที่ตัวเองไม่เคยเรียนเกษตร แต่ก็ได้เป็นสมใจแล้ว.

“มะนาวแป้นแพรวา” ปลูกกระถางดกทั้งปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/565908

โดย นายเกษตร 22 ม.ค. 2559 05:01

 

มะนาวชนิดนี้ เกิดจากการพัฒนาพันธุ์ขึ้นมาใหม่จากมะนาวแป้นดั้งเดิมที่มีผลและต้นวางขายทั่วไป โดยผู้พัฒนาพันธุ์จะเน้นทำให้ต้นเตี้ยและเหมาะสำหรับปลูกลงกระถางขนาดใหญ่หรือปลูกลงบ่อซีเมนต์แล้วสามารถติดผลได้เหมือนการปลูกลงดินกลางแจ้งทุกอย่างเท่านั้น ซึ่งจากการพัฒนาด้วยวิธีต่างๆเป็นเวลานานและหลายวิธี ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ ได้มะนาวพันธุ์ใหม่ตามจุดประสงค์ คือ ขนาดต้นเตี้ยกว่าต้นมะนาวทั่วไปอย่างชัดเจน และที่สำคัญสามารถปลูกลงกระถางขนาดใหญ่หรือปลูกในบ่อซีเมนต์มีดอกและติดผลดกเต็มต้นได้ จึงตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นแพรวา” ดังกล่าว พร้อมขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอดกับตอส้มโอออกวางขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้ออย่างแพร่หลาย เพราะเป็นมะนาวพันธุ์เบาติดผลง่ายและติดผลดกนั่นเอง

มะนาวแป้นแพรวา เป็นไม้พุ่ม สูง 1-1.5 เมตร ปกติของต้นมะนาวทั่วไปจะสูงประมาณ 2-4 เมตร และต้องปลูกลงดินกลางแจ้งจึงจะมีดอกและติดผล กิ่งอ่อนมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียวดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” กลมแป้น ผลโตเต็มที่อยู่ในมาตรฐานของมะนาวแป้นทั่วไป เปลือกผลบาง มีเมล็ดน้อย ผ่าบีบหรือคั้นเอานํ้าได้นํ้าเยอะ นํ้ารสเปรี้ยวจัดมีกลิ่นหอมเหมือนกับนํ้ามะนาวแป้นทั่วไปทุกอย่าง ผลมีนํ้ามากตั้งแต่ผลยังมีขนาดเล็กอยู่ มีดอกและติดผลดกเรื่อยๆเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอดกับตอส้มโอตามที่กล่าวข้างต้น เหมาะจะปลูกลงกระถางขนาดใหญ่หรือปลูกในบ่อซีเมนต์เพื่อเก็บผลใช้ประโยชน์ในครัวเรือนหรือเก็บผลขายเชิงพาณิชย์ดีมาก

ใคร ต้องการกิ่งตอนต้นแท้ติดต่อ “คุณณัฐธิดา” โทร.08-0646-4699 หรือไปซื้อได้ที่งานพฤกษาตะวันออก จัดขึ้นที่หน้าศาลากลาง จ.ชลบุรี บริเวณล็อกซี 84 ระหว่างวันที่ 24-31 ม.ค.59 และที่งานเกษตรแฟร์ จัดขึ้นที่ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. บริเวณ โซนบี 294 ระหว่างวันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 บูธ “สวนณัฐธิดาพันธุ์ไม้” ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

เอกชนร่วมเกษตรกรอีกโมเดล…พยุงชาวนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/565939

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 22 ม.ค. 2559 05:01

 

“ก่อนมีโครงการรับจำนำ ถึงราคาข้าวจะไม่แพง เกี่ยวข้าวขายหักค่าปุ๋ยยา ยังมีเงินเหลือ ผิดกับเดี๋ยวนี้ หักค่าปุ๋ยยา ไม่ขาดทุนก็เสมอตัว โชคดีที่บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด ข้าวตราฉัตร มาชวนร่วมโครงการปลูกข้าวญี่ปุ่น ช่วงแรกๆไม่ค่อยไว้ใจ กลัวจะเหมือนเอกชนรายอื่น เข้ามาส่งเสริมปลูกข้าวอินทรีย์ ข้าวไรซ์เบอรี่ เข้ามาบอก มาแนะนำอบรม แล้วเงียบหาย จะโผล่มาอีกทีตอนเกี่ยวข้าว กว่าจะได้เงิน รอกันหลายเดือน”

นายเอกชัย คนควร ชาวนาบ้านลาดเจริญ ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย เล่าว่า แม้จะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย แต่ก็ยังอยากลองเข้าร่วมโครงการ เพราะเงื่อนไขน่าเสี่ยง

บริษัทข้าวตราฉัตรตั้งราคาประกันก่อนปลูก ชาวนาจะได้เนื้อๆ ตันละ 11,700 บาท…ส่วนต้นทุนการผลิต ค่าจ้างรถไถ ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าจ้างรถปักดำ ค่าปุ๋ยยา ค่าจ้างรถเกี่ยว บริษัทออกให้หมดยิ่งถ้าทำดี ได้ผลผลิตมากกว่าไร่ละ 1 ตัน จะได้เงินเข้ากระเป๋ามากกว่านี้

ต่างกับเงื่อนไขของบริษัทอื่นที่เคยเข้ามาส่งเสริม…นอกจากจะไม่มีการตกลงราคาก่อนปลูก ปัจจัยการผลิตทุกอย่าง ชาวนาต้องควักจ่ายเองทั้งหมด แถมเวลาขายยังได้ราคาเท่าตลาดทั่วไป

ด้วยเงื่อนไขยั่วใจ เอกชัย ตัดสินใจเสี่ยงเข้าร่วมโครงการ แม้จะมีที่นา 30 ไร่ แต่ไม่กล้าทำทั้งหมด ทำแค่ 10 ไร่ เผื่อมีปัญหา บริษัททำไม่ได้อย่างที่คุย ตัวเองยังจะมีข้าวไว้กิน…แต่บริษัททำไปมากกว่าที่พูด

“เขามาดูแล ตั้งแต่หารถไถมาให้ คุมการไถล้มตอซัง ไถดะ ไถพรวน เพาะเมล็ดพันธุ์ 3 ขั้นตอน เพาะลงถาด ย้ายลงแปลง ย้ายลงรถปักดำ มีการส่งเจ้าหน้าที่มาควบคุมตลอด ถึงเวลาใส่ปุ๋ย มีเจ้าหน้าที่มาเก็บดินไปตรวจวิเคราะห์ เพื่อจะได้ใส่ปุ๋ยตรงความต้องการของข้าว น้ำก็คุมตรวจเช็กตลอด ถึงเวลาเก็บเกี่ยว เจ้าหน้าที่ยังมาดูอีกข้าวสุกได้ที่รึยัง จากนั้นนัดแนะรถเกี่ยวข้าว หลังเกี่ยวเสร็จ ชั่งน้ำหนักวัดค่าความชื้น จ่ายเงินสดๆกันที่เถียงนาเลย”

รุ่นแรก 10 ไร่ ได้ข้าว 10 ตัน เอกชัยได้เงินไป 117,000 บาท หรือไร่ละ 11,700 บาท…ในขณะที่ข้าว 20 ไร่ ที่กันไว้ปลูกข้าวแบบเดิม ขายโรงสีหักต้นทุนแล้วได้ไร่ละ 6,000 บาท

ปลูกข้าวญี่ปุ่นกับตราฉัตร ได้เงินมากกว่าเท่าตัว…ส่งผลให้ชาวนารายอื่นที่กล้าๆ กลัวๆ เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นจาก 300 ไร่ เป็น 800 ไร่

“ปลูกข้าวแบบนี้ เราแทบไม่ต้องควักทุนอะไรเลย แค่ช่วยออกแรงเพาะกล้า กับคอยดูโรคแมลง ถ้ามีโรคก็แจ้งบริษัท เขาจะส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลและให้คำแนะนำที่ถูกต้อง เรามีหน้าที่ไม่ต่างคนเฝ้านา”

แต่การปลูกข้าวจะได้ดีแบบนี้ เอกชัย มองว่า ไม่ใช่ชาวนาทุกคนจะทำได้ ถ้าไม่รักข้าวจริง ไม่ดูแลนาจริง อย่าว่าจะได้ตันละหมื่นเลย บาทเดียวก็ไม่ได้ เพราะบริษัทมีกฎกติกา นาของใครปลูกไปแล้วได้ผลผลิตต่ำกว่าเพื่อนบ้าน จะถูกคัดออกทันที

แม้กติกาดูเหมือนจะเข้มงวด แต่ เอกชัย และเพื่อนชาวนากลับมองว่า มันคือการช่วยให้ชาวนารู้จักเคารพอาชีพตัวเอง ไม่ใช่สักแต่ปลูกแบบทิ้งขว้าง แถมยังเป็นวิธีที่จูงใจให้ชาวนารู้จักพัฒนาอาชีพตัวเอง

ได้ทั้งเงิน ทั้งความฉลาดรอบรู้…จะพอเป็นโมเดล ให้ภาครัฐคิดนำไปปรับใช้จูงใจให้ชาวนาปลูกข้าวตาม “ระบบโซนนิ่ง” ได้ไหม.

เพ็ญพิชญา เตียว

เดินหน้าสหกรณ์ทุจริต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/565355

โดย สะ-เล-เต 21 ม.ค. 2559 05:01

 

การพัฒนาสหกรณ์ไทยให้มีความเข้มแข็งตามนโยบายนายกรัฐมนตรีก้าวไปอีกขั้น ล่าสุดกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ผลักดันแผนพัฒนาความเข้มแข็งสหกรณ์ระยะเร่งด่วนภายใน 2 ปี (2559–2560)

เน้นมาตรการพัฒนาการบริหารจัดการและระบบธรรมาภิบาล เสริมสร้างความโปร่งใสให้สหกรณ์ ยกระดับมาตรฐานการควบคุมภายใน ยกระดับมาตรฐานความมั่นคงทางการเงิน มาตรการกำกับและตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น และมีการแก้ไขกฎหมาย เพิ่มอำนาจให้นายทะเบียนสหกรณ์ในการออกระเบียบมีอำนาจฟ้องร้องบุคคลภายนอกที่มาสร้างความเสียหายต่อสหกรณ์ได้

สำหรับมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวด ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้กำหนดให้มีการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของสหกรณ์ผ่านระบบ MIS จัดทีมตรวจการสหกรณ์ระดับจังหวัด ตรวจสอบทั้งระบบทุกสหกรณ์ภายใน 3 ปี และต่อไปจะกำหนดให้สหกรณ์รายงานธุรกรรมทางการเงินทุกเดือน รวมถึงตั้งทีมตรวจสอบระดับจังหวัด ลงพื้นที่ตรวจสอบสหกรณ์ทุกแห่ง และมีทีมตรวจการสหกรณ์เฉพาะกิจจากส่วนกลางเข้าไปตรวจสอบกรณีที่สหกรณ์ดำเนินการส่อไปในทางทุจริต โดยประสานความร่วมมือกับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

นอกจากนี้ยังเตรียมตั้งสถาบันพัฒนากรรมการสหกรณ์โดยเฉพาะ เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารงานสหกรณ์ ควบคู่กับการสร้างธรรมาภิบาล สำหรับการพัฒนาด้านการตรวจการและตรวจสอบบัญชีจากหน่วยงานภาครัฐ จะมีการตั้งโรงเรียนผู้ตรวจการสหกรณ์และโรงเรียนผู้ตรวจสอบบัญชีขึ้น รวมถึงมีเครือข่ายสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นสันนิบาตสหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ สถาบันการศึกษา สถาบันทางการเงิน หอการค้า สภาอุตสาหกรรม

เครือข่ายเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยยกระดับความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์เชื่อมั่นว่าหากสามารถขับเคลื่อนได้ตามแผนที่กำหนด สหกรณ์จะเป็นระบบที่เข้มแข็งและสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศได้ตามนโยบายของรัฐบาล

ขอให้เป็นจริง ทำจริงทีเถอะ…ไม่ใช่มัวคิดแต่จ้องจับผิด จนการพัฒนาเดินหน้าไม่ได้ก่ะแล้วกัน.

สะ–เล–เต

“ส้มโอพลอยชมพู” กับที่มาพันธุ์เนื้อดีอร่อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/565359

โดย นายเกษตร 21 ม.ค. 2559 05:01

 

ส้มโอชนิดนี้ มีที่มาของสายพันธุ์คือ อ.บุญเกื้อ ชมฉ่ำ เจ้าของ “สวนบางไผ่พันธุ์ไม้” ในพื้นที่ จ.นนทบุรี ได้รับผลส้มโอพันธุ์หนึ่งจำนวน 2-3 ผล จากเพื่อนนักธุรกิจที่เพิ่งจะกลับจากการเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศมาเลเซียซื้อมาฝากให้ และเห็นว่ารูปทรงของผลส้มโอที่ได้รับแปลกกว่าผลส้มโอทั่วไป เนื้อในเป็นสีชมพูสวยงามน่าชมมาก เนื้อมีรสชาติหวานกรอบ รับประทานอร่อยยิ่งนัก จึงนำเอาขั้วที่มีก้านติดมากับผลยังไม่แห้งไปเสียบกับตอส้มโอพันธุ์พื้นเมืองของไทยจนติดราก แล้วแยกไปปลูกเลี้ยงอยู่เป็นเวลานานหลายปีจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าสามารถติดผลได้ง่ายให้ผลผลิตดกเต็มต้น ผลมีขนาดใหญ่ รูปทรงของผลกลมแป้น เปลือกผลบาง ให้เนื้อเยอะเป็นสีชมพูเข้ม รสหวานกรอบ ไม่มีเมล็ด รับประทานอร่อยไม่แพ้ส้มโอสายพันธุ์ดังๆทั่วไป จึงตั้งชื่อว่า “ส้มโอพลอยชมพู” ตามสีของเนื้อดังกล่าว

ส้มโอพลอยชมพู มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับส้มโอทั่วไปทุกอย่างคือ เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-10 เมตร กิ่งก้านมีขน มักมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบขนนกชนิดมีใบย่อยใบเดียว ออกเรียงสลับ ใบย่อยรูปวงรีหรือรูปไข่กลับ ก้านใบแผ่เป็นปีกคล้ายแผ่นใบ ดอก ออกเป็นช่อกระจายตามซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกเป็นสีขาวมีกลิ่นหอม “ผล” รูปทรงกลมแป้นอย่างชัดเจน เปลือกผลเกลี้ยงและบางเป็นสีเขียวแกมเหลือง เนื้อในเป็นถุงนํ้าสีชมพูเข้ม ไม่มีเมล็ด รสชาติหวานกรอบไม่เละอร่อยมาก ติดผลดกปีละครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยการเสียบยอด

ใคร ต้องการต้นพันธุ์ของแท้ ติดต่อ “สวนบางไผ่พันธุ์ไม้” โทร.08-6569-6225, 08-4656-1174 หรือไปซื้อได้ที่งานเกษตรแฟร์ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. บริเวณโซนบี 161 โซนบี 249 ทางเข้าประตู 3 ด้านถนนงามวงศ์วาน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเก็บผลกินในครัวเรือนและเก็บผลขายคุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

คนเลี้ยงกุ้งสุพรรณครวญ ปลุกผี ม.9 ห้ามใช้น้ำเค็ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/565415

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 21 ม.ค. 2559 05:01

 

มาตรการห้ามใช้น้ำเค็มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เพราะก่อให้เกิดภาวะมลพิษทั้งทางน้ำและในพื้นดิน เป็นที่รู้จักกันดีในนาม มาตรา 9 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีมาตั้งแต่ปี 2541 และเกษตรกรต่อสู้เรียกร้องมายาวนาน ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้มีมาตรการผ่อนปรนมาตลอด เนื่องจากการศึกษาร่วมกันของหลายฝ่ายตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ยังไม่มีข้อสรุปเรื่องผลกระทบที่ชัดเจน

แต่ล่าสุด กลับมีคำสั่งจากผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ลงวันที่ 15 มกราคม 2559 ให้ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในเขตพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี มีเนื้อหาระบุให้เกษตรกรต้องจับสัตว์น้ำให้แล้วเสร็จใน 120 วัน นับตั้งแต่ออกประกาศ ก่อให้เกิดข้อกังขามากมายกับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ

นายประกอบ ทรัพย์ยอดแก้ว นายกสมาคมผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย เผยว่า การออกคำสั่งเช่นนี้ ไม่ทราบว่าผู้ว่าราชการ จ.สุพรรณบุรี มีความรู้เรื่องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมากน้อยเพียงไร เพราะสัตว์น้ำหลักๆทั้งส่งออกและบริโภคในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกุ้งขาว กุ้งก้ามกราม ปลานิล รวมถึงปลาอื่นๆ ล้วนจำเป็นต้องอาศัยน้ำเค็มในกระบวนการเพาะเลี้ยงทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าห้ามเช่นนี้จะเกิดผลกระทบมหาศาลต่อทั้งเกษตรกรเองและรายได้ของประเทศจากการส่งออก

“เท่าที่ทราบคำสั่งเดียวกันนี้ได้ถูกประกาศไปแล้วกว่า 30 จังหวัด แต่ดูเหมือนสุพรรณบุรีได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะมีการเลี้ยงหลากหลาย ทั้งกุ้งขาว กุ้งก้ามกราม ปลากะพง ปลานิล ฯลฯ เฉพาะกุ้งขาว มีผู้มาขึ้นทะเบียนกับกรมประมงแล้วเกือบ 1,000 ราย ไม่นับรวมผู้เกี่ยวข้องอีกหลายพันชีวิต ส่วนพื้นที่อื่นทางเหนือหรืออีสานก็ห่างทะเล และพื้นที่ส่วนหนึ่งก็มีความเค็มใต้ดินอยู่แล้ว จึงไม่เป็นปัญหานัก”

นายประกอบ เผยด้วยว่า ผลการศึกษาที่ผ่านมา จากการวิจัยร่วมกันของหลายหน่วยงาน ยังไม่มีเอกสารวิชาการใดๆที่สามารถชี้ชัดได้ว่าเรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด ทางสมาคมฯ จึงได้ทำหนังสือไปถึงนายกรัฐมนตรี และได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการร่วมแก้ปัญหาดังกล่าวให้ได้ในระยะเวลา 6 เดือน แต่คณะกรรมการฯยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ มีการขอขยายเวลามาเป็นระยะ ผลสรุปยังไม่ออกมา แต่ปรากฏว่าทางจังหวัดสุพรรณ-บุรีกลับมีประกาศมาถึงเกษตรกรได้อย่างไร

“หากมีประกาศห้ามครบทุกพื้นที่ ไม่เพียงจะสร้างผลเสียกับประเทศชาติมหาศาล เพราะมูลค่าส่งออกกุ้งขาวจากแถบภาคกลางมีนับพันล้านบาท ยังจะสร้างความเสียหายภาพรวมทั้งระบบ ในอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกว่าแสนล้านบาท เรื่องไอยูยู แรงงานเถื่อน เราก็ส่งออกแทบจะไม่ได้อยู่แล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาซ้ำเติมเกษตรกรอีก”.