ไทยแบล็ก-วากิว อีกความหวังเกษตรไทย..แต่อย่าแห่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/564802

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 ม.ค. 2559 05:01

 

ซุ่มพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อไทยให้กลายมาเป็นเนื้อระดับพรีเมียม นุ่มเนียน มีไขมันแทรกระดับเดียวกับเนื้อวากิว หรือเนื้อโกเบ มานานร่วม 12 ปี

วันนี้กรมปศุสัตว์พร้อมเปิดตัวโคเนื้อพันธุ์ใหม่ “ไทยแบล็ก-วากิว” ให้บรรดาไฮโซผู้นิยมได้ลองลิ้มชิมรสเนื้อวากิว เมด อิน ไทยแลนด์…เป็นทางเลือกใหม่ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนได้ยกระดับตัวเอง ผลิตสินค้าปศุสัตว์ระดับพรีเมียมได้ไม่อายใคร

“เราเล็งเห็นมานานแล้ว ในอนาคตตลาดจะมีความต้องการบริโภคเนื้อคุณภาพ เพราะประเทศไทยมีนักท่องเที่ยว นักธุรกิจเข้ามาลงทุนบ้านเรามากมาย โดยเฉพาะญี่ปุ่นปีละหลายล้านคน ร้านอาหารญี่ปุ่นในบ้านเราเติบโตอย่างรวดเร็ว ความ ต้องการบริโภคเนื้อมีสูง แต่ที่ผ่านมาเนื้อเกรดคุณภาพล้วนนำเข้าจากต่างประเทศ โคเนื้อในบ้านคุณภาพสู้เขาไม่ได้ จึงมีแนวคิดปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อของบ้านเราให้มีคุณภาพเทียบชั้นเนื้อวากิว”

น.สพ.อยุทธ์ หรินทรานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยถึงที่มาของโคเนื้อพันธุ์ใหม่ “ไทยแบล็ก-วากิว (Thai Black Wagyu)” อันเกิดจากการนำแม่พันธุ์โคเนื้อพื้นเมืองของไทยมาผสมน้ำเชื้อโคเนื้อพันธุ์แองกัส จากสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นพันธุ์ที่โตเร็ว เนื้อมีคุณภาพดี นุ่มมีไขมันแทรก และเป็นพันธุ์โคขุนชั้นเยี่ยมได้รับการยอมรับในระดับโลก ที่สำคัญตัวเป็นสีดำ เหมือนวัววากิว หรือวัวญี่ปุ่น

จนได้เป็นวัวลูกครึ่งไทย-แองกัส ทำการคัดเลือกวัวเพศเมียลูกครึ่งลักษณะดี มีไขมันแทรกสูง โดยใช้วิธีตรวจสอบไขมันด้วยอัลตราซาวนด์ และตรวจ DNA มาเป็นแม่พันธุ์เพื่อผสมน้ำเชื้อกับวัววากิวจากญี่ปุ่นอีกชั้นหนึ่ง

แต่กว่าจะได้เป็นไทยแบล็ก-วากิว ไม่ใช่ว่าเอาแม่โคลูกครึ่งมาผสมกับน้ำเชื้อวากิวแล้วจะได้เลย…ต้องผสมพันธุ์อย่างน้อยอีก 2 รุ่น เพื่อให้ได้โคเนื้อที่มีสายเลือดวากิว 75% แองกัส 12.5% พื้นเมืองไทย 12.5% และเพื่อให้ชัวร์ว่าใช่พันธุ์ที่เราต้องการแน่ ต้องใช้วิธีตรวจอัลตราซาวนด์ และ DNA วัวมีสายเลือดที่นิ่งแล้ว ถึงจะสามารถนำมาส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงได้

“ตอนนี้เราได้เริ่มส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรเครือข่ายที่ จ.ลพบุรี ไปแล้ว แต่ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรีบ ไม่ต้องการเน้นปริมาณ เพราะต้องเข้าใจว่าการเลี้ยงโคขุนนั้น เกษตรกรต้องลงทุนสูง กว่าจะขายได้ต้องใช้เวลาเลี้ยงและขุนนาน 2-3 ปี ที่สำคัญเกษตรกรจะขุนเลี้ยงได้ อย่างน้อยๆต้องมีประสบการณ์เลี้ยงวัวมาก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆจะให้เลิกทำนา แล้วให้เปลี่ยนมาเลี้ยงโคขุนเลย รับรองได้ว่าเจ๊งแน่ และภาครัฐจะถูกกล่าวหาเอาวัวอะไรไม่รู้มาหลอกให้เลี้ยงแล้วไม่โต”

ปัญหาสำคัญอีกประการ น.สพ.อยุทธ์ ให้เหตุผลถึงการไม่ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงได้อย่างแพร่หลาย…ภาวะของตลาดเนื้อโคระดับพรีเมียม กลุ่มลูกค้าที่นิยมบริโภคยังอยู่ในวงจำกัด

ส่งเสริมให้เลี้ยงมากเกินไป ผลที่ตามมาเกษตรกรมีโอกาสเสี่ยงขาดทุนสูง เพราะการเลี้ยงวัว “ไทยแบล็ก-วากิว” ถ้าเกษตรกรมือไม่ถึง ขุนเลี้ยงไม่เป็น จะขาดทุนหนักกว่าเลี้ยงโคขุนซะอีก เพราะปัจจุบันราคาวัวขุนลูกผสมแองกัสอยู่ตัวละประมาณ 7-8 หมื่นบาท ยิ่งมีสายเลือดผสมวัววากิวเข้าไปอีก ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

ฉะนั้น ถ้าเรายังหาตลาดมารองรับไม่ได้…ส่งเสริมมากไป ปัญหาจะเป็นเหมือนยางพาราที่แห่เฮโลปลูกกันไปทั่วอย่างในวันนี้.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

ล้งจีนพ่นพิษ..ลำไยจันทบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/564880

โดย สะ-เล-เต 20 ม.ค. 2559 05:01

 

20 ปีมาแล้วที่เกษตรกร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ปรับเปลี่ยนอาชีพจากชาวไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพด มาเป็นชาวสวนลำไย เพราะเป็นพื้นที่มีศักยภาพ อากาศดี สามารถทำลำไยนอกฤดูได้

10 ปีมาแล้ว ที่พ่อค้าชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ได้เข้ามาลงทุนสร้าง “ล้ง” รับซื้อผลผลิตลำไยนอกฤดู เฉพาะในเขต จ.จันทบุรี มีมากกว่า 50 ล้ง ทำให้เกิดการแข่งขันรับซื้อลำไยสูง เป็นผลดีต่อเกษตรกรที่ขายลำใยได้ราคา เพราะมีการมาจองขอซื้อเหมาสวนล่วงหน้า

ลำไยเริ่มออกดอกล้งจีนจะส่งตัวแทนมาเจรจาขอซื้อเหมาสวน ให้ราคา กก.ละ 40-60 บาท แล้วแต่จะตกลงกัน จากนั้นจะมีการทำสัญญาซื้อขาย จ่ายมัดจำกันล่วงหน้า 20-30% ส่วนที่เหลือค่อยมาจ่ายกันหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว…เกษตรกรมีหน้าที่ดูแลลำไยให้ได้คุณภาพ

ตามที่ตกลงกันไว้ ไม่ให้ขาดปุ๋ย ขาดน้ำ ขาดยา และต้องไม่ให้เกิดโรค ไม่เช่นนั้นจะถูกหักค่าเสียหาย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เกษตรกรจะรับภาระทั้งหมด

ภาพโดยรวม 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีปัญหาตุกติกกันสักเท่าไร จะมีรายการเบี้ยวผิดสัญญาบ้างไม่กี่ราย อยู่ในระดับที่พอเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้

แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิม…จะเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นดี เศรษฐกิจจีนซบเซา ไม่อาจจะคาดเดาได้ เพราะที่ผ่านมาก็มีปัญหามาแล้ว เพียงแต่ไม่มากเท่าปีนี้ เกษตรกรถูกเบี้ยวมากถึง 40–50%

ลำไยนอกฤดูที่ทำสัญญากันไว้ ถึงเวลาที่จะต้องมาเก็บเกี่ยวออกจากสวนแล้ว เจ้าของสวนแจ้งให้มาเก็บเกี่ยวแล้ว…แต่ล้งจีนไม่ยอมมา

อ้างเหตุผลสารพัดขอผัดผ่อนไปเรื่อย

หากปล่อยทิ้งให้เนิ่นไปเป็นเดือน ลำไยแก่จัด ผลแตก ลูกบิดเบี้ยว ร่วงหล่นเน่าใต้ต้น ไร้ราคา…เกษตรกรไม่รู้จะทำไงดี ล้งจีนคู่สัญญา

ไม่ยอมมาเก็บ จะขายให้เจ้าอื่นก็ทำไม่ได้ เพราะสัญญาค้ำคอ ผิดสัญญาไม่เพียงจะต้องถูกปรับ 2 เท่าตัว ยังมีความผิดฐานลักทรัพย์ เอาของเขาไปขายให้คนอื่นเข้าให้อีก

ทั้งที่กรณีแบบนี้มีหลายปี แต่ทำไมภาครัฐถึงไม่สามารถหามาตรการอะไรมารองรับซะที หรือมีปัญหาไร้ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับโลกปัจจุบัน.
สะ–เล–เต

“ขนุนเพชรจริยา” ดกทั้งปีหวานกรอบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/564883

โดย นายเกษตร 20 ม.ค. 2559 05:01

 

ขนุน เป็นไม้ผลที่ได้รับความนิยมจากผู้ปลูกอย่างกว้างขวางไม่แพ้ไม้ผลชนิดอื่นๆ ซึ่ง “ขนุนเพชรจริยา” เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างขนุนดังคือ ขนุนเพชรดำรง กับ ขนุนศรีบรรจง แต่ไม่เปิดเผยว่าผสมกันด้วยวิธีไหน จากนั้นก็นำต้นพันธุ์ไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าติดผลดกไม่ขาดต้นหรือตลอดทั้งปี เมื่อผลสุกตัดลงจากต้นผ่าเอาเนื้อในกลับมียางน้อยมาก เนื้อสุกเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีเหลืองทอง เนื้อมีความหนาประมาณ 0.8-1.5 ซม. รสชาติหวานกรอบไม่เละแม้สุกงอม มีกลิ่นหอมแปลกคล้ายกลิ่นดอกลำดวน วัดความหวานได้ประมาณ 22-28 องศาบริกซ์ เมล็ดและไส้กลางเล็กรับประทานอร่อยมาก นํ้าหนัก

ผลโตเต็มที่ระหว่าง 10-15 กิโลกรัมต่อผล เนื้อสุกประมาณ 54 เปอร์เซ็นต์ของนํ้าหนักผล ติดผลดกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์โดยทั่วไปด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

เจ้าของ ผู้ผสมพันธุ์มั่นใจว่าเป็นขนุนใหม่และได้ขยายพันธุ์ปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่หลายวิธีและเป็นเวลานานทุกอย่างยังคงที่ จึงตั้งชื่อว่า “ขนุนเพชรจริยา” พร้อมจด ทะเบียนชื่อได้รับการรับรองพันธุ์

จากกรมวิชาการเกษตรถูกต้องตามกฎหมาย และขยายพันธุ์ตอนกิ่งด้วยระบบทาบกิ่งออกวางขายได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ขนุนเพชรจริยา มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับขนุนทั่วไป

ทุกอย่าง จะแตกต่างกันคือ สามารถติดผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี เนื้อสุกหนามาก รสชาติหวานกรอบหอมรับประทานอร่อยยิ่งนัก เนื้อเยอะเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของนํ้าหนักผลตามที่กล่าวข้างต้น

ใคร ต้องการกิ่งตอนของแท้ ติดต่อ “สวนณัฐพนธ์ฟาร์ม” 48/4 หมู่ 7 ต.โคกไม้ลาย อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โทร. 08-6347-9749, 08-6383-3061 หรือที่งานเกษตรแฟร์ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. บริเวณล็อกบี 87-88, บี 195-196, บี 261-262 และบี 327-328 จัดขึ้น

ระหว่างวันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

“มะนาวแป้นดกศรีนวล” กับที่มาพันธุ์ผลโตน้ำเยอะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/564244

โดย นายเกษตร 19 ม.ค. 2559 05:01

 

มะนาวชนิดนี้ มีที่มาของสายพันธุ์คือเป็น มะนาวที่เกิดจากการเอาเมล็ดของมะนาวดังสายพันธุ์ หนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าชื่ออะไรจำนวนเกือบร้อยเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้า แล้วแยกต้นปลูกลงดินและปลูกบ่อซีเมนต์จนต้นโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่ามีอยู่หลายต้นติดผลดกมากแบบเต็มต้นตามฤดูกาล ขนาดของผลใหญ่ รูปทรงผลสวย เป็นรูปกลมรีเล็กน้อย เปลือกผลบาง ผ่าครึ่งบีบหรือคั้นเอาน้ำให้น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัดและมีกลิ่นหอมแรงเฉพาะตัว สีของเปลือกผลเป็นสีเขียวอมเหลืองโดยธรรมชาติ ใน 1 ผล จะมีเมล็ด 1-2 เมล็ดเท่านั้น ซึ่งบางผลไม่มีเมล็ดเลย “คุณพเยาว์ ธรรมรัตน์” อดีตข้าราชการบำนาญผู้คนพบมะนาวดังกล่าว เชื่อว่าเป็นมะนาวพันธุ์ใหม่ เลยขยายพันธุ์ปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่หลายวิธีและเป็นเวลานาน ทุกอย่างยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ได้กลายพันธุ์แบบถาวรแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นดกศรีนวล” พร้อมขยายพันธุ์ตอนกิ่งออกวางขายได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเวลานี้

มะนาวแป้นดกศรีนวล มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะนาวทั่วไปทุกอย่างคือ เป็นไม้พุ่มต้น สูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว เป็นรูปไข่แกมรูปขอบขนาน สีเขียวสด ผิวใบมีต่อมน้ำมันหอมระเหยกระจายทั่ว ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมแบบสะอาด “ผล” รูปกลมรีเล็กน้อย ผิวผลเกลี้ยง เนื้อในฉ่ำน้ำ เปลือกผลบาง ผ่าบีบหรือคั้นน้ำให้น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัด มีกลิ่นหอมแรงตามที่กล่าวข้างต้น ติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง เหมาะจะปลูกเก็บผลใช้ประโยชน์ในครัวเรือนหรือปลูกเก็บผลขายดีมาก

ใคร ต้องการต้นพันธุ์ที่เป็นพันธุ์แท้ ติดต่อ “สวนเกษตรศรีนวล” 47/1 หมู่ 7 ต.ไม้เด็ด อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โทร. 08–1143–0289, 08–9939–8951 หรือที่งานเกษตรภาคอีสาน จัดขึ้นที่ ม.ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 22 ม.ค.-2 ก.พ.59 และงานเกษตรประจำปีจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 4-14 ก.พ.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

ลงทะเบียนปลูกข้าวโพด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/564251

โดย สะ-เล-เต 19 ม.ค. 2559 05:01

 

ข่าวดีสำหรับเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ต้องการเรียนรู้วิธีการปลูกข้าวโพดแบบถูกต้องได้ผลผลิตสูง มีตลาดรับซื้อแน่นอน และได้ราคาดีกว่าตลาดทั่วไป

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ BKP บริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เครือซีพี ยังคงเดินหน้าใช้ระบบตรวจสอบแหล่งที่มาของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุแหล่งที่ปลูกและเกษตรกรผู้ปลูก สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและร่วมแก้ปัญหาหมอกควันในประเทศอย่างยั่งยืน

โดยจะเปิดให้เกษตรกรที่จะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีนี้ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันเริ่มปลูกไปจนถึงวันก่อนเก็บเกี่ยวขายผลผลิต…ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ ลานรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ใกล้บ้าน

สำหรับเกษตรกรที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการ จะต้องมีคุณสมบัติ เป็นเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิถูกต้อง หรือเพาะปลูกในพื้นที่ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ รวมไปถึงพื้นที่ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและองค์กร NGO เพื่อส่งเสริมการปรับตัวของเกษตรกรในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

การลงทะเบียนของเกษตรกรจะทำให้ได้สิทธิพิเศษในเรื่องช่วยพัฒนาอาชีพให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะเมื่อได้ข้อมูลการเพาะปลูกต่างๆจากเกษตรกร ทางบริษัทจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปวิเคราะห์หาแนวทางพัฒนาศักยภาพเกษตรกร เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้ถึงวิธีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างถูกต้องเพื่อให้ผลผลิตสูงสุดแก่เกษตรกร

นอกจากนั้น เกษตรกรยังมีหลักประกันในเรื่องไม่ต้องกังวลว่าผลผลิตจะล้นตลาดไม่มีใครรับซื้อ เพราะทางบริษัทจะรับซื้อ
ผลผลิตทั้งหมด พร้อมทั้งให้ราคาสูงกว่าราคาตลาดทั่วไป บวกเพิ่มให้ อีกไม่น้อยกว่ากิโลกรัมละ 50 สตางค์

ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ บริษัทจะสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะเกษตรกรที่มาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเท่านั้น.

สะ–เล–เต

ไทยไร้มาตรฐานยาง 8 กระทรวงจะซื้อได้ไง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/564279

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 19 ม.ค. 2559 05:01

 

นักวิชาการจี้รัฐเร่งออกมาตรฐานยางพารา เอื้อนโยบายหน่วยราชการใช้ในประเทศ ชี้ใช้ทำถนนขัดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง เหตุไม่มี มอก. พร้อมแนะแก้ระเบียบหยุมหยิมจูงใจซื้อยาง

นายกฤชดา ชุมแก้ว นักวิชาการอิสระเพื่อการแปรรูปยางพารา ให้ความเห็นถึงมาตรการแก้ปัญหายางพาราของรัฐบาลว่า ถือเป็นนโยบายที่ดีของรัฐบาลในการเพิ่มปริมาณการใช้ยางในประเทศให้มากขึ้น โดยการให้หน่วยงานราชการ 8 กระทรวงเข้ามารับซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพารา เพราะจะช่วยแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำได้เป็นอย่างดี

แต่ในทางปฏิบัติยังมีปัญหาสำคัญที่ขัดแย้งกับความเป็นจริงคือ ที่ผ่านมาบ้านเราไม่เคยมีการกำหนดมาตรฐานอะไรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สินค้าทำจากยางพาราไทยเลย ปัญหานี้จะเป็นอุปสรรคต่อการรับซื้อสินค้าแปรรูปของการแก้ปัญหาราคายางในครั้งนี้ เพราะระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในเรื่องสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างวัสดุใดๆ สินค้านั้นจะต้องมีการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

“ฉะนั้น การให้หน่วยงานราชการจัดซื้อผลิตภัณฑ์จากยางพาราไปใช้จะเกิดปัญหาขึ้นทันที ยกตัวอย่าง การนำยางมาทำถนน เมื่อยางพาราไม่มีมาตรฐานใดๆรองรับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวมถึงหน่วยงานรัฐที่ต้องการสนองนโยบายรัฐจะไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณมาทำถนนได้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆที่จะนำยางแสนตันมาแปรรูป เราก็ไม่มีมาตรฐานแม้แต่ตัวเดียว ถ้าเป็น ชาวบ้านทั่วไปที่อยากซื้อ ซื้อได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าหน่วยราชการซื้อ ซื้อไม่ได้เพราะผิดระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง”

เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเร่งด่วน นายกฤชดา เสนอความเห็นนายกรัฐมนตรีควรให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรฐานยางพารา หากยังไม่มีความพร้อมหรือติดขัดสิ่งใด เราสามารถใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์สินค้ายางพาราจากต่างประเทศที่มีกันมานานแล้วมาปรับใช้ได้ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนแก้ระบบระเบียบต่างๆของหลายหน่วยงาน เช่น ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างสำนักนายกรัฐมนตรี ราคากลางของสำนักงบประมาณ บัญชีเรื่องยางของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้หน่วยราชการสามารถซื้อยางได้ง่ายขึ้น

“นี่เป็นเรื่องน่าแปลกใจทั้งที่เราเป็นประเทศผลิตยางส่งออกมากที่สุดในโลก แต่กลับไม่เคยมีมาตรฐานยางออกมาเลย อาจเพราะนักการเมือง ข้าราชการ มุ่งแต่จะเน้นขายน้ำยาง หรือยางแผ่น เพื่อรอเงินค่าส่วนต่าง จึงละเลยแม้กระทั่งการแปรรูปเพิ่มมูลค่า รวมถึงกำหนดมาตรฐานยาง”.

หม่อนใหม่…ต้านราสนิม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/563927

โดย สะ-เล-เต 18 ม.ค. 2559 05:01

 

“หม่อน” นอกจากจะเป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรสรรพคุณครอบ จักรวาล ทุกส่วนตั้งแต่ใบ กิ่ง ต้น ผล ราก มีสรรพคุณทางยา บำรุงร่างกาย แก้ได้สารพัดโรคแล้ว ใบหม่อนยังเป็นอาหารของตัวไหม ที่มาของผ้าไหมหรูหรา ราคาไม่ธรรมดา

อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เกษตรกรจะได้ผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับใบหม่อนเป็นหลัก เพราะกว่าจะได้รังไหมมาต้มสาวขาย ต้นทุนการผลิต 60-70% อยู่ที่ใบหม่อน

และที่เป็นปัญหาใหญ่ของเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหม…ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ใบหม่อนมักจะเป็นโรคราสนิม

อันเกิดจากสปอร์เชื้อราเข้าไปฝังตัวในใบ กลายเป็นจุดเล็กสีเหลืองหรือสีน้ำตาลปนแดง บวมขึ้นเป็นตุ่มแผลใหญ่ เมื่อเนื้อเยื่อใบถูกทำลายและแตกออก จะเห็นสปอร์เชื้อราเป็นผงสีน้ำตาลปนแดง คล้ายสนิมบนตุ่มแผล กระจายทั่วใต้ใบ หากระบาดรุนแรงใบหม่อนจะมีสีเหลืองทั้งใบ แห้งเป็นสีน้ำตาลและร่วงหล่น นำไปใช้เลี้ยงไหมไม่ได้

จากปัญหานี้ กรมหม่อนไหม โดย ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ศรีสะเกษ จึงได้ปรับปรุงพันธุ์หม่อนใหม่ขึ้นมา…พันธุ์ SRCM 9105-46

เหมาะจะนำไปปลูกในพื้นที่มีการระบาดของโรคราสนิม เพราะทนทานต่อโรคราสนิม ให้ผลผลิตใบต่อไร่สูง ค่อนข้างทนแล้ง ท่อนพันธุ์แตกรากดีทำให้ขยายพันธุ์ง่าย

SRCM 9105-46 เป็นพันธุ์หม่อนลูกผสม เกิดจากการผสมเกสรระหว่างหม่อนพันธุ์นครราชสีมา 60 กับหม่อนพันธุ์ SKS S.1.91…มีลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตใบสูงกว่าพันธุ์บุรีรัมย์ 60 ในพื้นที่ของเกษตรกรในเขตอาศัยน้ำฝน เฉลี่ย 63.00%

มีความทนทานต่อโรคราสนิมได้ดีกว่าพันธุ์บุรีรัมย์ 60 เฉลี่ย 18.88% และยังคงนำไปเลี้ยงไหมได้ดีไม่แตกต่างจากพันธุ์บุรีรัมย์ 60 จึงเป็นพันธุ์หม่อนที่กรมหม่อนไหมแนะนำให้ใช้ปลูกในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคราสนิม ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้

เกษตรกรสนใจหม่อนพันธุ์ใหม่ทนโรคราสนิม ติดต่อสอบถามได้ที่ 0-2558-7924-6 ต่อ 401-405.

สะ–เล–เต

คันไถจิ๋วระเบิดดินดาน นวัตกรรมเพื่อเกษตรกรรายเล็ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/563957

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 ม.ค. 2559 05:01

 

ดินดานเกิดขึ้นที่ไหน น้ำธาตุอาหารปุ๋ยไม่สามารถซึมลงไปในดินชั้นล่างได้ ทำให้รากพืชดูดอาหารมาเลี้ยงลำต้นไม่ได้ พืชไม่สามารถ เจริญเติบโตได้เต็มที่ เกษตรกรได้ผลผลิตต่ำ ต้นทุนสูง…เป็นปัญหาที่พบเจอบ่อยในไร่มันสำปะหลังและไร่อ้อย

การแก้ปัญหาที่ได้ผลต้องใช้วิธีการไถระเบิดดินดาน ใช้รถแทรกเตอร์กำลังสูง 70-80 แรงม้า ลากจูงคันไถสำหรับขุดเจาะดินดานให้แตกตัวออกมาเป็นดินร่วนซุย…แต่เป็นวิธีที่เหมาะกับเกษตรกรรายใหญ่มีกำลังทรัพย์สูง

“เกษตรกรรายเล็กไม่มีปัญญาจะซื้อหามาใช้ได้ และเกษตรกรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีรถไถขนาดเล็ก 40-50 แรงม้า จึงทำให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตต่ำ ต้นทุนสูง ปี 2555 กรมวิชาการเกษตรจึงคิดหาวิธีที่จะทำให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ให้ได้”

นายยุทธนา เครือหาญชาญพงค์ วิศวกรการเกษตรชำนาญการพิเศษ สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม เผยถึงที่มาของ “คันไถจิ๋วระเบิดดินดาน” นวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ทางการเกษตร คว้ารางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2558 จากสำนักงานวิจัยแห่งชาติ (วช.)

รูปร่างหน้าตาคล้ายคันไถระเบิดดินดานเดิม แต่มีขนาดเล็กลง…ด้านหน้าเป็นชิ้นเหล็กประกอบตลอดแนวยาว สำหรับขาของคันไถทำด้วยเหล็กหนา 25 มม. กว้าง 180 มม. ที่ปลายด้านล่างมีหัวเจาะ กว้าง 120 มม. ยาว 400 มม.

ความโดดเด่นของ “คันไถจิ๋วระเบิดดินดาน” ที่แปลกพิเศษกว่าคันไถรุ่นใหญ่อยู่ตรงการคิดคำนวณออกแบบหัวเจาะให้มีมุมกดอยู่ระหว่าง 30 องศา ที่มีความลาดเอียงพอเหมาะกับดินดาน

ต่างจากหัวเจาะคันไถแบบเดิมที่มีความลาดชันสูง การลากไถระเบิดดินเลยต้องใช้กำลังแรงเยอะ…ด้วยคันไถจิ๋วฯมีหัวเจาะลาดเอียงที่พอเหมาะ จึงสามารถใช้รถไถกำลังแรงต่ำลากระเบิดดินดานได้ไม่ยาก

นอกจากนั้น หัวเจาะยังมีปีกที่เรียกว่าซุปเปอร์ริง มาช่วยให้ดินดานแตกร่วนได้เร็วขึ้น และช่วยปกป้องดินดานที่ถูกระเบิดไม่ให้พุ่งกระเด็นขึ้นมากีดขวางการทำงานของโครงคันไถ

และจากการทดสอบประสิทธิภาพการไถระเบิดดินดานที่ความลึกเฉลี่ย 41 ซม. ปรากฏว่า สามารถไถได้ 2.41 ไร่ต่อชั่วโมง มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 3.52 ลิตรต่อไร่…และการไถทดสอบในดินชุดทั่วประเทศ “คันไถจิ๋วระเบิดดินดาน” สามารถขุดทะลุชั้นดินดานที่ระดับความลึก 45 ซม.ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อเปรียบเทียบผลผลิตการปลูกมันสำปะหลังและอ้อย ระหว่างแปลงที่มีการไถระเบิดดินดานกับไม่มีการไถ ในพื้นที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรและสำนักเศรษฐกิจการเกษตร พบว่าแปลงที่มีการไถระเบิดดินดานช่วยให้เกษตรกรได้ผลเพิ่มขึ้น 16.15% ช่วยลดต้นทุนการผลิต 11.06% มีกำไรเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 20.47%

สนใจติดต่อได้ที่ 08-9212-4183, 0-2579-2757 หรือสถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร สนนราคาอยู่ที่ชุดละ 30,000 บาท.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

“มะนาวแป้นพันธุ์ใหม่” ทนโรคดีดกทั้งปีไร้เมล็ด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/562584

โดย นายเกษตร 15 ม.ค. 2559 05:01

 

ในช่วง ฤดูแล้งทุกปีมะนาวจะมีราคาแพงมาก เนื่องจากต้นมะนาวจะให้ผลผลิตน้อยหรือบางพันธุ์ไม่ติดผลเลย จึงทำให้มีการพัฒนามะนาวพันธุ์ใหม่ๆที่สามารถให้ผลผลิตแบบต่อเนื่อง แม้ในช่วงฤดูแล้งขึ้นมาอย่างแพร่หลาย และ “มะนาวแป้นพันธุ์ใหม่” ก็เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่เกิดจากการผสมเกสรระหว่าง มะนาวแป้นพิจิตร 1 กับมะนาวแม่ลูกดก โดย อ.วัง สุขประเสริฐ จากนั้นก็เอาเมล็ดจากผลที่ได้หลายร้อยเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้าแยกปลูกในบ่อซีเมนต์จนต้นมีอายุได้ 3-4 เดือนจึงฉีดเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคแคงเกอร์ใส่ต้นโดยตรงเพื่อทดสอบการทนต่อโรคดังกล่าว ปรากฏว่ามีหลายต้นสามารถทนได้ดีและต้นโตมีดอกติดผลดกไม่ขาดต้นตลอดทั้งปี ผลมีขนาดใหญ่ เปลือกผลบาง ให้นํ้าเยอะ นํ้ามีกลิ่นหอมและไม่มีเมล็ด จึงตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นพันธุ์ใหม่” พร้อมคัดเอาต้นดีที่สุดอีกจำนวนหนึ่ง และขยายพันธุ์วางขายทั่วไป ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในเวลานี้

มะนาวแป้นพันธุ์ใหม่ มีลักษณะทางพฤกษ-ศาสตร์เหมือนกับมะนาวทั่วไป คือ เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูง 2-4 เมตร ใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยเพียงใบเดียว ดอกออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายยอด สีของดอกจะแตกต่างจากสีของดอกมะนาวทั่วไปอย่างชัดเจน คือ สีดอกจะเป็นสีขาวอมม่วง ดอกมีกลิ่นหอมเย็น “ผล” รูปกลมแป้น ผลมีขนาดใหญ่ ไม่มีเมล็ด ติดผลดกเต็มต้น ผลจะติดอยู่บนต้นได้นานถึง 3-4 เดือน โดยที่สีของผลจะไม่เหลืองหรือผลหล่นจากต้นเลย ทนต่อโรคแคงเกอร์ได้ดีตามที่กล่าวข้างต้น ผู้ปลูกไม่ต้องฉีดยาป้องกันแมลงให้เสียสุขภาพ ติดผลดกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งและเสียบยอด เหมาะจะปลูกใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและปลูกเก็บผลขายเป็นเชิงพาณิชย์คุ้มค่ามาก

ใคร ต้องการต้นพันธุ์แท้ ติดต่อ “สวนอัฐ มะนาวนิ้ว” โทร.08-6347-9749, 08-6383-3061 และที่งานเกษตรแฟร์ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. ล็อก บี 87-88, บี 195-196, บี 261-262 และ บี 327-328 วันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

อ่อยเหยื่อ…ด้วงแรด ศัตรูมะพร้าวปาล์มน้ำมัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/562596

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 ม.ค. 2559 05:01

 

การผสมเชื้อราเมตาไรเซียมในกองปุ๋ย

“ด้วงแรด” หนึ่งในศัตรูตัวฉกาจของมะพร้าว ที่มีมาแต่ดั้งเดิมในบ้านเรา…วันนี้ไม่ได้กัดกินทำลายกันแต่ต้นมะพร้าว ปาล์มน้ำมันเจอเข้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รายงานสถานการณ์การระบาดของด้วงแรดของกรมส่งเสริมการเกษตร…พบมีการระบาดไปแล้วใน 17 จังหวัด กินพื้นที่ 3,150 ไร่ เฉพาะที่สุราษฎร์ธานีแห่งเดียวระบาดเกินครึ่งจังหวัด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งจากภัยแล้งที่ทำให้อาหารธรรมชาติในป่าน้อยลง ด้วงแรดจึงเข้ามาหากินตามสวนมากขึ้น

ด้วงแรดตัวเต็มวัยเป็นตัวการให้มะพร้าวและปาล์มถูกเจาะโคนทางใบ ทำลายยอดอ่อน กัดกินเปิดทางให้ด้วงตัวเมียเข้ามาวางไข่ สร้างหนอนตัวอ่อนคอยกัดกินทำลาย ทำให้ใบใหม่ไม่สมบูรณ์ เกิดโรคยอดเน่าและยืนต้นตายตามมา

“พื้นที่อีกจุดที่ด้วงตัวเมียชอบวางไข่ กองซากพืชเน่าเปื่อย กองปุ๋ยหมัก ปุ๋ย คอก กองมูลสัตว์ เกือบทุกส่วนของมะพร้าว ปาล์มน้ำมัน เพราะนี่คือแหล่งอาหารอันพูนสุขให้ลูกน้อยที่ฟักออกจากไข่ได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญก่อนจะถึงวัยเจริญพันธุ์”

นายประสงค์ ประไพตระกูล ผอ.กองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย กรมส่งเสริมการเกษตร ฝากเตือนเจ้าของสวนมะพร้าวและปาล์มน้ำมัน ที่อาจไม่รู้เท่าทันพฤติกรรมของด้วงแรด ชอบมาฝังตัวในกองปุ๋ยหมัก กองปุ๋ยอินทรีย์ ที่เราวางกองไว้ในไร่ในสวน…เฝ้าระวังปัญหานี้ให้ดี

แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ควรทำปุ๋ยหมัก

แต่ให้รู้จักวิธีกลศึก เอาปุ๋ยหมักมาใช้ประโยชน์…เป็นตัวล่อให้ด้วงแรดมาวาง ไข่ เพื่อให้เรากำจัดทิ้งไปได้ง่าย

เชื้อราเมตาไรเซียม

วิธีการไม่ได้มีอะไรมาก หลังจากผสมปุ๋ยหมักทิ้งพักไว้ 1 เดือน นำเชื้อราเมตาไรเซียม (ขอได้ที่ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช) 400 กรัม/กองปุ๋ย คลุกเคล้าให้เข้ากับปุ๋ย เพียงเท่านี้จะกำจัดหนอนตัวอ่อนด้วงแรดแบบถอนรากถอนโคนได้แล้ว

หรือหากใครไม่มีกองปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ก็ทำเองได้ง่ายๆ แค่ใช้เศษใบไม้ หญ้าแห้ง บวกกับปุ๋ยคอกหรือมูลวัวนิดหน่อย ผสมให้เข้ากัน รดน้ำให้ชุ่ม ปิดคลุมด้วยใบไม้หรือทางมะพร้าว แล้วใช้เชื้อราเมตาไรเซียมทำตามกรรมวิธีเดิม

สุดท้าย ผอ.กองส่ง เสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย ยังได้ฝากเตือนไปถึงเกษตรกรสวนปาล์มน้ำมันในภาคใต้ที่กำลังเก็บผลผลิต รวมถึงรายที่จะโค่นต้นแก่เพื่อปลูกใหม่ บางรายรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ตัดแล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นที่อาศัยของด้วงแรด และที่น่าห่วงสุดตัดทิ้งแล้วไถกลบโดยไม่ดูตาม้าตาเรือว่ามีไข่ มีตัวอ่อนของด้วงแรดอยู่หรือไม่ สักคิดแต่ว่าฝังกลบแล้วได้ปุ๋ยชั้นดี

ที่ไหนได้ กลับกลายเป็นที่อยู่อาศัยให้ด้วงแรดคลานออกมาขยายเผ่าพันธุ์ได้มากขึ้น.

กรวัฒน์ วีนิล