อาหารไทยผู้นำอาเซียน QR Code เช็กได้ก่อนกิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/562069

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 ม.ค. 2559 05:15

 

ด้วยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้จัดโครงการ Q Restaurant พร้อมนำเทคโนโลยี QR Code มาใช้ตามสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้บริโภคมาตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2553 เป็นชาติแรกในอาเซียน

นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการ มกอช. เผยถึงความคืบหน้าของโครงการ Q Restaurant ว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปี มีร้านค้าทั่วประเทศผ่านการรับรองไปแล้ว 1,613 แห่ง อยู่ในช่วงดำเนินการตรวจรับรองอีก 344 แห่ง โดย มกอช.จะมีทีมเจ้าหน้าที่คอยสุ่มตรวจร้านที่ร่วมโครงการ หากร้านไหนมีการสวมรอย จะยกเลิกการใช้ระบบดังกล่าว พร้อมแจ้งขึ้นเว็บไซต์ มกอช. ทันที

“นอกจากนั้นเรายังได้นำระบบ QR Code ขยายต่อไปธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างฟาร์มหอยหวานซันเซท จ.ชลบุรี วันนี้ได้รับความนิยมในหมู่คนกินมากกว่าอาหารทะเลอื่น เมื่อคนกินมั่นใจ มีการบอกปาก ต่อปาก ไม่เพียงแค่พัฒนาคุณภาพ กระบวนการผลิต แต่ยังช่วยขยายตลาดให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี” เลขาธิการ มกอช.กล่าว.

ตลาดเกษตรพึ่งตนเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561980

โดย สะ-เล-เต 14 ม.ค. 2559 05:01

 

บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ ในสวนสามพราน จ.นครปฐม ใต้หลังคามุงแฝก บรรยากาศแบบไทยเดิมของตลาดสุขใจ ถูกวางเรียงรายไปด้วยสินค้าเกษตรอินทรีย์ มีกฎกติกาห้ามใช้โฟม เน้นการใช้ไม้กลัด ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ ทุกร้านค้าต้องมีใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์การันตี

มีลูกค้าทั้งไทยเทศมาจับจ่าย ด้วยมีทั้งของกิน พืช ผัก ผลไม้ สมุนไพร ของใช้ ยันของตกแต่งบ้าน จากเกษตรกรทั่วประเทศ…จนกลายเป็นตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ใหญ่ที่สุดของประเทศ ณ เวลานี้

ทั้งที่ 5 ปีก่อน ที่นี่ไม่ต่างจากตลาดสินค้าเกษตรทั่วไป ผลิตออกมาก็ไม่รู้ไปขายใคร…5 ปีที่ผ่านไป เขาทำกันแบบไหนถึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้

เดิมทีเกษตรกรในพื้นที่นี้ปลูกพืชอินทรีย์อยู่แล้ว แต่หาที่ขายไม่ได้ ผลผลิตที่ได้ไม่มีคุณภาพ เพราะไม่รู้จะทำดีไปเพื่ออะไร…อรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการสามพราน ริเวอร์ไซด์ เห็นใจชาวบ้านจึงอุทิศพื้นที่กว่า 2 ไร่ เปิดให้นำผลผลิตเกษตรอินทรีย์เข้ามาขายแบบไม่เก็บค่าเช่า

มีตลาดให้นำสินค้ามาวางขายได้ ใช่ว่าจะทำให้การค้าขายคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น แรกๆมีคนขายแค่ไม่กี่เจ้า คนซื้อมันก็ต้องย่อมน้อย…มิต่างร้านค้ามีของวางขายน้อย คนย่อมเดินเข้าห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าหลากหลายกว่า

ตลาดสุขใจก็เช่นกัน เติบโตจากหลักการนี้ ปัจจัยสำคัญคือใช้จุดแข็งของตัวเอง เกษตรกรปลูกเองขายเอง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง สลัดทิ้งภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์แพง เมื่อของมีราคาให้จับต้องง่าย ลูกค้าแบบปากต่อปากเริ่มเข้ามา ลูกค้ามากยิ่งเพิ่มแรงจูงใจให้เกษตรกรนำผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์มาขายให้สินค้าหลากหลายมากขึ้น…สินค้ามากลูกค้ายิ่งมาก การแข่งขันเรื่องคุณภาพเกิดตามมาโดยไม่ต้องมีกฎเกณฑ์บังคับ

จนทำให้ตลาดที่มีเกษตรกรเป็นพ่อค้าเองไม่กี่ราย วันนี้เพิ่มมาเกือบ 200 ราย มียอดเงินสะพัดจากการขายเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ เดือนละกว่า 2 ล้านบาท

นี่คงเป็นอีกตัวอย่าง หรือจะเรียกให้หรูว่า “โมเดล” ช่วยเหลือเกษตรกรได้ในแบบพึ่งพาตัวเอง…ที่อาจตรงข้ามกับแนวคิดของคนในภาครัฐ เกษตรกรไม่เดือดร้อน พึ่งพาตัวเองได้ แล้วจะเอาอะไรมาเป็นเหตุผลอ้างขอเบิกงบประมาณ.

สะ–เล–เต

“ลาเวนเดอร์” กับประโยชน์น่ารู้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561987

โดย นายเกษตร 14 ม.ค. 2559 05:01

 

ไม้ต้นนี้ เป็นพืชพื้นเมืองในแถบเมดิเตอร์เรเนียนแล้วกระจายปลูกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส บัลแกเรีย อังกฤษ และเขตร้อนทั่วโลก ทุกส่วนของต้น “ลาเวนเดอร์” ไม่ว่าจะเป็นต้นกิ่งก้านใบและดอกจะมีกลิ่นหอมแรงแบบเฉพาะตัว จึงถูกนำไปสกัดเป็นสารระเหยแปรรูปเป็นนํ้าหอมกลิ่น “ลาเวนเดอร์” และเครื่องหอมชนิดต่างๆ ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก

นอกจากนั้น ยังเชื่อกันว่ากลิ่นหอมของต้น “ลาเวนเดอร์” มีคุณสมบัติช่วยในการบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ลดอาการอักเสบ ปวดประสาท รักษาแผลไฟไหม้นํ้าร้อนลวกให้หายเร็วขึ้นและมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย ในต่างประเทศนิยมหักเอากิ่งจากต้น “ลาเวนเดอร์” 2-3 กิ่ง มัดรวมกันเป็นกำๆ ฟาดกับพื้นเบาๆ พอให้กลิ่นหอมกระจายออกเพื่อใช้ไล่แมลงหรือยุงที่รบกวนได้ดีมาก ต้นใบและดอกนำไปตากแห้งหรืออบแห้งตามกรรมวิธีผลิต เป็นชาชงกับนํ้าร้อนดื่มสร้างกลิ่นหอม ช่วยให้ผู้ดื่มรู้สึกผ่อนคลายดียิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม คนที่มีอาการแพ้กลิ่นหอมจากเกสรดอกไม้ทุกชนิดต้องหลีกเลี่ยง เนื่องจากกลิ่นหอมของต้น “ลาเวนเดอร์” มีความเข้มข้นสูง โดยเฉพาะคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และสตรีมีครรภ์ เป็นต้น

ลาเวนเดอร์ LAVENDULA ANGUSTIFOLIA MILL หรือ LAVENDULA OFFICINALIS อยู่ในวงศ์ RABIATAE, LAMIACEAE เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี สูง 1-1.5 ฟุต ใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามรูปรี ปลายแหลม โคนสอบ ขอบหยักลึก ใบมีกลิ่นหอมแรง ดอกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกขนาดเล็กสีม่วง “ผล” ทรงกลม ผลขนาดเล็กมีเมล็ด ในต่างประเทศ นิยมปลูกในทุ่งกว้าง เรียกว่าทุ่ง “ลาเวนเดอร์” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2 แผง “ป้าแอ๊ด-คุณขวัญ” ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

โคราชแชมป์ทำนาครบวงจร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/562066

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 ม.ค. 2559 05:01

 

นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว เผยถึงผลการจัดโครงการแข่งขันปลูกข้าว ปี 3 โดยกรมการข้าวร่วมกับบริษัท ฟาร์ม แชนเนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ว่าการแข่งขันที่จัดขึ้นมาตั้งแต่สิงหาคม-ธันวาคม 2558 เน้นในเรื่องการบริหารจัดการที่นาแปลงใหญ่เชิงอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร มีชาวนาจังหวัดสุพรรณบุรี, พระนครศรีอยุธยา, ชัยนาท, นครราชสีมา, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, ร้อยเอ็ด และจังหวัดบุรีรัมย์ เข้าร่วมแข่งขัน

ผลปรากฏชุมชนนาแปลงใหญ่นครราชสีมาชนะเลิศคว้ารางวัลอันดับ 1 ได้รับถ้วยรางวัลพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินสด 150,000 บาท และอุปกรณ์การเกษตรมูลค่า 350,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 ชุมชนนาแปลงใหญ่บุรีรัมย์ ได้รับโล่รางวัลจากกรมการข้าว พร้อมเงินสด 50,000 บาท และอุปกรณ์การเกษตรมูลค่า 200,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 2 ชุมชนนาแปลงใหญ่ชัยนาท ได้รับโล่รางวัลจากกรมการข้าว เงินสด 25,000 บาท พร้อมทั้งอุปกรณ์การเกษตร มูลค่า 125,000 บาท.

“ละมุดยักษ์สาลี่” ทูอินวันหวานกรอบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561503

โดย นายเกษตร 13 ม.ค. 2559 05:01

 

ละมุดชนิดนี้ มีที่มาของสายพันธุ์โดยเกษตรกรชาวเวียดนามได้นำเอาเมล็ดของละมุดฝรั่งสายพันธุ์ดีพันธุ์หนึ่งไปเพาะเป็นต้นกล้าจำนวนมาก แล้วนำเอาต้นไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกติดผลและขยายพันธุ์ด้วยวิธีต่างๆต่ออีกหลายวิธี เพื่อเปลี่ยนแปลงพันธุ์ตั้งแต่ตอนกิ่งโดยตรง ทาบกิ่งและเสียบยอดกับตอละมุดพื้นเมือง นำต้นปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผลอีกครั้งจน กลายเป็นละมุดพันธุ์ใหม่อย่างถาวร มีลักษณะผลแตกต่างจากผลของละมุดพันธุ์เดิมอย่างชัดเจน คือ ผลจะมี 2 ลักษณะ ได้แก่ ผลกลมแป้นเล็กน้อยกับผลกลมรียาว และขนาดของผลจะใหญ่ขึ้น รสชาติหวานกรอบ เนื้อไม่เละแม้สุกเต็มที่ รับประทานอร่อยมาก จากนั้นเกษตรกรชาวไทยได้ซื้อพันธุ์นำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ขายในบ้านเรานานแล้ว ในชื่อ “ละมุดยักษ์สาลี่” ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกเพื่อรับประทานในครัวเรือน และปลูกเพื่อเก็บผลขายได้คุ้มค่าอย่างแพร่หลายเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ละมุดยักษ์สาลี่ หรือที่นิยมเรียกกันอีกชื่อว่า ละมุดเวียดนาม อยู่ในวงศ์เดียวกับละมุดทั่วไปคือ SAPOTACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้น สูง 3-5 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายกิ่ง ปลายใบแหลม โคนมน ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกมีขนาดเล็กสีขาวนวล มีกลีบดอก 5 กลีบ “ผล” มี 2 รูปแบบคือ ทรงกลมแป้นเล็กน้อยและกลมรียาว ผลมีขนาดใหญ่โตเต็มที่ มีนํ้าหนักเฉลี่ยระหว่าง 3 ผลต่อ 1 กิโลกรัมตามที่กล่าวข้างต้น ซึ่งบางครั้งในต้นเดียวสามารถติดผลได้ 2 ลักษณะ ทั้งแบบผลกลมแป้นและกลมรียาว เรียกว่า “ทูอินวัน” เป็นเรื่องแปลกมาก รสชาติหวานกรอบ เนื้อไม่เละ รับประทานอร่อยยิ่งนัก ใน 1 ผลจะมีเมล็ด 3-5 เมล็ดเท่านั้น มีดอกและติดผลเกือบทั้งปี เวลาติดผลจะดกเต็มต้นน่าชมมาก ขยายพันธุ์โดยทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ใคร ต้องการกิ่งตอนที่เป็นพันธุ์แท้ติดต่อ “คุณวิเชียร บุญเกิด” เกษตรกรดีเด่นด้านพืชสวนประจำปี 54 ของจังหวัดกำแพงเพชร ที่บ้านเลขที่ 161/2 หมู่ 1 ต.อ่างทอง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร โทร.08-5244-1699 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

เลี้ยงผึ้ง 3 เดือน…เจอแล้ง ได้แค่เฉียดสองแสน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561506

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 ม.ค. 2559 05:01

 

“เมื่อก่อนทำงานอยู่การรถไฟฯ จะให้ทำไร่ทำสวนควบคู่ไปด้วยไม่ไหวแน่ๆ มีที่ดิน 4 ไร่ เลยปลูกลำไยทั้งหมด เพราะไม่ต้องดูแลมากมาย ทุกปีลำไยออกดอกมากก็จริงแต่ไม่ติดลูก จึงขอให้เพื่อนเอาลังผึ้งมาวางไว้ในสวนเพื่อช่วยผสมพันธุ์ ได้ผลตามคาด ปีนั้นลำไยติดลูกดก ทำไปทำมาเพื่อนดันย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่สะดวกจะเอาผึ้งไปด้วย ทิ้งลังเลี้ยงผึ้งและอุปกรณ์ไว้ให้ดูต่างหน้า”

ด้วยความเสียดายกลัวผึ้งตาย ลุงประเสริฐ สุรพงศ์ ชายวัยหลังเกษียณอายุ 82 ปี ต.เหมืองหน้า อ.เมือง จ.ลำพูน จากไม่เคยสนใจเลี้ยงผึ้ง แม้จะเห็นเพื่อนขายน้ำผึ้งมีรายได้ดีก็ตาม ต้องเริ่มศึกษาการเลี้ยงผึ้ง เลยกลายเป็นจุดหักเหเข้าสู่อาชีพเลี้ยงผึ้งอย่างไม่รู้ตัว จนได้รับเลือก…เป็นประธานชมรมผู้เลี้ยงผึ้งจังหวัดลำพูน

ช่วงแรกๆเลี้ยง 20 ลัง ตั้งความหวังแค่ แก้ปัญหาลำไยไม่ติดลูก น้ำผึ้งที่ได้มีไว้แจกเพื่อน ช่วงแรกทุกคนเต็มใจรับแต่บ่อยครั้งเริ่มขอซื้อแล้วเพิ่มมากขึ้นๆ เลยฉุกคิดอาชีพเลี้ยงผึ้งเก็บน้ำผึ้งขายน่าจะทำรายได้ดี

หลังปลดเกษียณ จึงเริ่มหันมาเลี้ยงผึ้งเป็นอาชีพเสริม เพราะงานไม่หนัก เพียงแค่นำลังเลี้ยงไปวางในสวน แล้วเก็บน้ำผึ้งใช้แรงงาน 2-3 คน…จากผึ้งเลี้ยง 20 ลัง จึงขยายเพิ่มเป็น 150 ลัง

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนช่วงเดือนมกราคม จะเอาลังผึ้งไปวางในป่าเพื่อให้ได้น้ำผึ้งป่า น้ำผึ้งสาบเสือ แต่เดี๋ยวนี้บ้านเราแห้งแล้งมากขึ้น ดอกสาบเสือไม่ค่อยมี ทุกวันนี้จึงเลี้ยงแต่น้ำผึ้งลำไย แต่เลี้ยงได้แค่ 3 เดือน ธ.ค. ถึง ก.พ. เป็นช่วงลำไยในฤดูออกดอก”

ลำไยนอกฤดูเลี้ยงผึ้งไม่ได้ เพราะดอกลำไยไม่ค่อยมีน้ำหวาน เอาลังเลี้ยงผึ้งไปวางได้น้ำผึ้งน้อย อากาศแปรปรวนทำให้ผึ้งอ่อนแอ เป็นโรคง่าย เลยต้องหยุด เอาลังผึ้งไปตั้งในโรงเลี้ยงที่บ้านแล้วใช้น้ำเชื่อมมาเลี้ยงผึ้งแทน ลุงประเสริฐ บอกว่า ตลอดช่วง 9 เดือน ระหว่างรอดอกลำไยบาน เลี้ยงผึ้ง 150 ลัง ต้องใช้น้ำตาลมาทำเชื่อมมากถึง 2,700 กก. ประมาณ 54,000 บาท

“น้ำหวานที่เอามาเลี้ยงผึ้งไม่ใช่เป็นการทำน้ำผึ้งเทียม แต่ต้องทำเพื่อให้ผึ้งมีชีวิตรอด และน้ำผึ้งส่วนนี้ไม่ทำขายส่งให้กับตลาดน้ำผึ้งทั่วไป แต่จะขายให้พ่อค้านำไปส่งโรงงานยาแก้ไอ ซึ่งแต่ละปีได้น้ำผึ้งที่เรียกกันว่าน้ำผึ้งหัวคอน ไม่มาก แค่ 600 ลิตร ขายได้แค่ลิตรละ 95 บาท พอได้เงินค่าน้ำตาลทรายคืนมาเท่านั้น”

ไม่เหมือนเลี้ยงด้วยน้ำหวานจากดอกลำไยที่เริ่มบานในเดือน ธ.ค. เอาลังผึ้งไปวางในสวนลำไย รอเวลาแค่ 3 เดือน ได้ไขขี้ผึ้ง 300 ลิตร ลิตรละ 220 บาท เป็นเงิน 66,000 บาท

และยังได้น้ำผึ้งอีกต่างหาก แต่ปีนี้แล้งมากได้น้ำผึ้งน้อยแค่ 1,000 ลิตร ขายได้ลิตรละ 120 บาท เป็นเงิน 120,000 บาท…โดยมีพ่อค้ามาขอซื้อไขขี้ผึ้งและน้ำผึ้ง เพื่อส่งไปขายตลาดแถบยุโรป โดยให้ทางชมรมผู้เลี้ยงผึ้งตั้งราคาขายเองตามความเหมาะสม มีเท่าไรเอาหมด

แม้การเลี้ยงผึ้งจะทำได้แค่ 3 เดือน…แล้งๆอย่างนี้ยังทำเงินให้ลุงประเสริฐได้ถึง 186,000 บาท…แต่ถ้าไม่แล้ง ปกติจะได้น้ำผึ้ง 7,500 ลิตร 3 เดือน 9 แสน เฉียดล้านจะเว่อร์ไปไหมเนี่ย.

เพ็ญพิชญา เตียว

ครัวโลก…เหลื่อมล้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561508

โดย สะ-เล-เต 13 ม.ค. 2559 05:01

 

ทั้งที่ประเทศไทยได้ชื่อเป็นครัวของโลก ในอาเซียนที่เพิ่งจะรวมตัวกันเป็นเออีซีอย่างเป็นทางการไปหมาดๆ ไทยเป็นเบอร์หนึ่ง เราผลิตอาหารได้ พร้อมมูลส่งออกไปขายทั่วโลก ถึงขนาดมีบริษัทคนไทยไปลงทุนในธุรกิจอาหาร การเกษตรในหลายประเทศ…แต่ไม่น่าเชื่อวันนี้การเจริญเติบโตของเด็กไทยยังไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐาน

สถิติสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2558 ที่เพิ่งผ่านไป พบว่านักเรียน 4,656,457 คน จากโรงเรียนชั้นประถมทุกสังกัด 30,816 โรงเรียน…มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ 10.03% มีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ 9.74% ชี้ชัดเด็กไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท มีภาวะโภชนาการต่ำ

ขณะเดียวกัน…มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ได้ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน สร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ พร้อมกับสนับสนุนพันธุ์ไก่ และเทคโนโลยีการเลี้ยงให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ…26 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งมอบไปแล้ว 550 แห่ง

ล่าสุดโครงการที่ 551 นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัทซีพีเอฟ เพิ่งได้ส่งมอบโรงเรือนพร้อมพันธุ์ไก่ให้ ร.ร.อนุบาลประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี ไปก่อนสิ้นปี 2558 ท่ามกลางการต้อนรับ และรอยยิ้มของคณะครูและเด็กนักเรียน ที่ต่างคาดหวังรอคอยการได้กินข้าวไข่เจียว ไข่ดาว ทุกมื้อตราบเท่าที่ไปโรงเรียน

โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เป็นไปเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงอาหารแก่เยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกลให้ได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ ที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้สนับสนุนงบประมาณไปแล้ว 82 ล้านบาท ส่งเสริมเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 120,000 คน มีสุขภาพอนามัยที่ดี เติบโตสมวัย ได้รับประโยชน์ พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งเป้าในปี 2559 จะส่งมอบโครงการเพิ่มอีก 50 แห่ง รวมกับที่ได้มาทั้งหมดเป็น 602 โรงเรียน

ไม่รู้จะอนุโมทนาสาธุในความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ ที่ปลุกปั้นจนไทยกลายเป็นหนึ่งในครัวโลก หรือจะอเนจอนาถในความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยดี.

สะ–เล–เต

รางวัล…เพลี้ยแป้งสีชมพู

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561005

โดย สะ-เล-เต 12 ม.ค. 2559 05:01

 

ในสายตาเกษตรกรไทย แม้ผลงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะไม่เป็นที่ประทับใจสักเท่าไร…แต่ในอีกมุม องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กลับชื่นชม พร้อมให้โล่รางวัล

“เอดวาร์ด ซาวมา” จากผลงานควบคุมการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู

ไม่ใช่ได้มาเพราะแค่สามารถหยุดการระบาดได้เฉพาะในประเทศเท่านั้น ยังได้ในฐานะที่สามารถต่อขยายความร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีการระบาดของเพลี้ยแป้งสีชมพูไปยังประเทศลุ่มน้ำโขง ทั้งลาว กัมพูชา เมียนมา รวมถึงจีน

และสิ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญของ FAO ต้อง งง-อึ้ง-ทึ่ง จนต้องยกรางวัลให้นั่นคือ ความสามารถในการแก้ปัญหาได้รวดเร็ว จากที่ระบาดสร้างปัญหาไปนับล้านไร่ ลดลงมาเหลือเพียงหลักพันไร่ได้ในเวลาแค่เพียง 3 ปี (2553-2555)…ในขณะที่ประเทศในแถบแอฟริกา ต้นกำเนิดของเจ้าเพลี้ยสีชมพูเจ้าปัญหา ใช้เวลามานานนับสิบปียังไม่อาจสัมฤทธิผลได้

3 ปีแห่งการหาทางเอาชนะเพลี้ยแป้งสีชมพู เราใช้ทั้งวิธีป้องกันด้วยการรณรงค์ให้เกษตรกรนำท่อนพันธุ์มาแช่น้ำยากำจัดเชื้อเพลี้ยแป้ง และผลิตตัวห้ำตัวเบียน เพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ “แตนเบียนอะนาไกรัสโลเพสซี่” และ “แมลงช้างปีกใส” ให้ไปช่วยกำจัด กัดกินเพลี้ยแป้งสีชมพู

เราผลิตและปล่อยไปมากถึง 80 ล้านตัว…นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญ FAO อึ้งและทึ่งเป็นที่สุด ไม่เข้าใจว่าไทยใช้วิธีการยังไง ในการผลิต และปล่อยตัวห้ำตัวเบียนปริมาณมหาศาลได้ยังไง

ในที่สุด สุขใจในคำตอบวิธีการแบบไทยๆ…ประชารัฐ นั่นคือทุกภาคส่วนร่วมกันเป็นเครือข่าย ภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันพัฒนามันสำปะหลัง โรงงานต่างๆที่น่าปลื้มใจสุดๆ คือความร่วมมือจากเกษตรกรของศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนกว่า 500 แห่ง ช่วยกันผลิตและปล่อยตัวห้ำตัวเบียนในพื้นที่ที่มีการระบาด

ผลิตและปล่อยไป 80 ล้านตัว โดยไม่ต้องมาเสียเวลาคิดหาวิธีการโลจิสติกส์ใดๆมาจัดการเหมือนที่ฝรั่งคิดกัน

คงเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่น่าภูมิใจของประเทศ…สามัคคีร่วมใจกันทำ เราทำได้ทุกครั้ง ที่สำคัญยังสะท้อนให้เห็นว่า ความสำเร็จใดๆจะมีมิได้เลย หากปราศจากการมีส่วนร่วมจากประชาชน.

สะ–เล–เต

“มะขามป้อมสิริมงคล” กับที่มาพันธุ์ใหญ่ดกทั้งปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561009

โดย นายเกษตร 12 ม.ค. 2559 05:01

 

มะขามป้อมชนิดนี้ เกิดจากการผสมเกสรโดยธรรมชาติ ระหว่างมะขามป้อมพื้นเมืองของไทยกับมะขามป้อมยักษ์จากประเทศอินเดีย แล้วเอาเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้าจำนวนหลายเมล็ด แล้วนำต้นไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผล จากนั้นก็ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งโดยตรง ทาบกิ่ง และเสียบยอด นำต้นไปปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอกและติดผลอีกทอดหนึ่ง ปรากฏว่ามีอยู่หลายต้นมีขนาดของต้นแตกต่างไปจากต้นพ่อและแม่คือ ปลูกในกระถางขนาดใหญ่หรือปลูกในบ่อซีเมนต์ต้นจะสูง 2-3 เมตร สามารถมีดอกและติดผลดกเต็มต้น หลังปลูกเพียง 2 ปีแค่นั้น

ที่สำคัญ คือขนาดของผลจะมีขนาดใหญ่ นํ้าหนักเฉลี่ยระหว่าง 18 ผล ต่อ 1 กิโลกรัม ซึ่งถ้าหากเป็นผลของมะขามป้อมสายพันธุ์พื้นเมืองทั่วไป จะต้อง 30 ผลขึ้นไปจึงจะมีนํ้าหนักได้ 1 กิโลกรัม ผลอ่อนเป็นสีเขียวใส เมื่อแก่จะเป็นสีเหลืองทอง เมล็ดเล็ก ฉ่ำนํ้า ติดผลดกเต็มต้น รสชาติดี เหมือนกับผลมะขามป้อมทั่วไปทุกอย่าง เจ้าของผู้พัฒนาพันธุ์มั่นใจว่าเป็นมะขามป้อมพันธุ์ใหม่ จึงตั้งชื่อว่า “มะขามป้อมสิริมงคล” ดังกล่าว

มะขามป้อมสิริมงคล หรือ AMBLIC-MYROBALAN PHYL-LANTHUS AMBLIC LINN. อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE ต้นปลูกลงดินสูงเต็มที่ไม่เกิน 3-5 เมตร (ปกติต้นมะขามป้อมพันธุ์พื้นเมืองจะสูง 10-15 เมตร) ติดผลดกเต็มต้นตลอดทั้งปี ผลมีขนาดใหญ่ตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

ใคร ต้องการต้นที่เป็นพันธุ์แท้ติดต่อ “สวนณัฐพนธ์ฟาร์ม” โทร. 08-6383-3061, 08-6347-9749 หรือที่งานเกษตรแฟร์ ม.เกษตรฯ บางเขน กทม. บริเวณล็อก บี 87-88, บี 195-196, บี 261-262 และ บี 327-328 วันที่ 29 ม.ค.-6 ก.พ.59 เป็นกิ่งตอนด้วยระบบเสียบยอด มีรากแก้วดีทุกต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนและปลูกเพื่อเก็บผลขายราคากิโลกรัมหลายบาท ราคาของต้นสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

กว.ดีเดย์ 3 เดือน ปราบปุ๋ย–เคมีเถื่อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561021

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 ม.ค. 2559 05:01

 

กรมวิชาการเกษตรระดมสารวัตรเกษตรร่วมตำรวจเศรษฐกิจลุยตรวจปุ๋ยปลอม รับฤดูกาล ธ.ก.ส. ปิดบัญชี ป้องเกษตรกรควักจ่ายซื้อปัจจัยการผลิตได้สินค้าไร้คุณภาพ

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ด้วยเดือนมีนาคมของทุกปี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปิดบัญชีปีงบประมาณ เป็นช่วงที่เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. จะเตรียมเงินสำหรับไว้ซื้อปัจจัยการผลิต ทั้งเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เคมี เป็นจังหวะสบโอกาสของบรรดาพ่อค้าหัวใสเข้ามาหากินซ้ำเติมเกษตรกร เพื่อป้องปราบและเฝ้าระวังไม่ให้เกษตรกรตกเป็นเหยื่อ ปีนี้กรมวิชาการเกษตรซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้โดยตรง จึงได้ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ออกตรวจเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

“เพราะนับจากนี้ไป 3 เดือน จะเป็นช่วงเวลาสำคัญของเกษตรกร จะพลาดในการเลือกซื้อปัจจัยการผลิต เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เคมีต่างๆไม่ได้เลย เกษตรกรจะต้องได้สินค้าคุณภาพเพื่อนำไปใช้เพาะปลูก เพื่อให้ได้ผลผลิตเต็มที่ เต็มคุณภาพ เพราะถ้าได้สินค้าไม่มีคุณภาพจะกลายเป็นภาระต้นทุนทำให้เกษตรกรต้องขาดทุน”

อธิบดีกรมวิชาการเกษตรบอกว่า มาตรการป้องกันและปราบปรามในปีนี้จะใช้แนวทางวิธีเหมือนกับการปราบยาเสพติด คือ เกาะติด ใกล้ชิด สแกนทุกพื้นที่ มีการปล่อยขบวนสารวัตรเกษตรทั่วประเทศ เพื่อออกตรวจเข้มงวดเรื่องการขึ้นทะเบียน ออกใบอนุญาต ไม่ใช่ปล่อยให้ยาเคมีเกิดขึ้นง่ายๆเหมือนที่ผ่านมา สารออกฤทธิ์ชนิดเดียวกัน แต่ขึ้นทะเบียนในชื่อต่างๆมากมายเพื่อมาหลอกขายทำให้ชาวบ้านเกิดความสับสน

ส่วนการนำเข้าวัตถุเคมี ทุกด่านต้องควบคุมอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้น หน่วยสารวัตรเกษตรทั้ง 8 เขตทั่วประเทศออกตรวจร่วมกับตำรวจ บก.ปศ. จัดตั้งทีมตรวจสอบจับกุมแหล่งผลิต โรงผลิต รวมทั้งร้านจำหน่ายอย่างเข้มงวด หากพบผู้กระทำผิดจะส่งต่อคดีให้กับตำรวจ เพื่อสั่งปรับ จับดำเนินคดีได้ทันที

สำหรับการตรวจสอบสถานที่ผลิตจำหน่ายทั่วประเทศ ในรอบปีที่ผ่านมา (1 ต.ค.57-30 ก.ย.58) สามารถตรวจอายัดปุ๋ยและวัตถุอันตราย 363 รายการ มูลค่า 132 ล้านบาท มีคดีเข้าพิจารณาในชั้นศาล 266 คดี และอยู่ในระหว่างการสอบสวนของตำรวจ 38 คดี.