กฎใหม่…รมผลไม้สด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560620

โดย สะ-เล-เต 11 ม.ค. 2559 05:01

 

ปี 2558 ไทยส่งออกลำไยสดไปได้ 251,042.54 ตัน มูลค่า 5,697.48 ล้านบาท น้อยกว่าปี 2557 ที่ส่งออกไปได้มากถึง 357,206 ตัน เงินทองไหลเข้าประเทศหดหายไป 1,763 ล้านบาท

สาเหตุสำคัญมาจากลูกค้าขาใหญ่ลำไยไทย ไม่ว่าจีน อินโดนีเซีย เวียดนาม ตรวจพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในลำไยส่งออก ที่ถูกนำมาใช้รมลำไยสดไม่ให้เน่าเสียเร็ว มีปริมาณเกินมาตรฐาน สินค้าเลยถูกตีกลับ

ที่ผ่านมา แม้หลายหน่วยงานจะพยายามเข้ามาร่วมด้วยช่วยแก้ไข นำลำไยไปแช่น้ำเกลือก่อนนำเข้าตู้อบ ใช้เทคโนโลยีการอบในรูปแบบใหม่…แต่ยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติในกระบวนการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ให้เป็นมาตรฐานครั้งแรกของประเทศไทย ใช้สำหรับผลไม้…จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 4 พ.ค.2559 เป็นต้นไป

“ฉะนั้น ในช่วงเวลานี้ผู้ประกอบการโรงรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทั่วประเทศกว่า 110 แห่ง ต้องเร่งปรับตัวและเตรียมพร้อม ยื่นเรื่องขออนุญาตกับสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ขณะเดียวกันต้องขอการตรวจรับรองจากกรมวิชาการเกษตร หรือผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานที่ มกอช.กำหนด ภายใน 4 พ.ค.นี้ด้วยเช่นกัน”

นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการ มกอช. ฝากเตือนผู้ประกอบการโรงรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกผลไม้ โดยเฉพาะลำไย ต้องเร่งปรับปรุงโรงรม ห้องรม ระบบบำบัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและหลักปฏิบัติในมาตรฐานฯอย่างถูกต้องและถูกวิธี เพื่อรองรับผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในรอบกลางปี 2559 ได้ทัน

จะช่วยให้การส่งออกลำไยสดผ่านฉลุย ไม่ถูกตีกลับเหมือนปีที่ผ่านมา

ผู้ประกอบการสามารถขออนุญาตทาง online ได้ที่ tas.acfs.go.th หรือติดต่อกองควบคุมมาตรฐาน มกอช. 0-2579-4140, 0-2561-2277 ต่อ 1710 หรือ 1712 ในวันเวลาราชการ.

สะ–เล–เต

เห็ดเสม็ด…ลดอ้วน ดองเกลืออัพราคา กินได้ทั้งปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560695

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 ม.ค. 2559 05:01

 

“เห็ดเสม็ด” หรือภาษาท้องถิ่นภาคใต้เรียกว่า “เห็ดเหม็ด” เป็นเห็ดธรรมชาติขึ้นตามพื้นดินที่มีใบไม้ปกคลุมในป่าเสม็ดขาวหรือตามป่าพรุในภาคใต้ มักขึ้นช่วงหลังฝนตกหนัก 3–4 วัน หลังพื้นดินน้ำแห้ง มีรสชาติขม เพราะฉะนั้นจึงต้องมีวิธีการปรุงเฉพาะตัวก่อนนำไปรับประทาน

จากการวิจัยพบว่าเห็ดชนิดนี้มีคาร์โบไฮเดรตต่ำกว่าเห็ดชนิดอื่นที่ใช้รับประทาน โดยมีอัตราคาร์โบไฮเดรตอยู่ที่ประมาณ 6-11% มีไขมันต่ำซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของเห็ดกินได้ แต่มีโปรตีนค่อนข้างสูง และยังมีไฟเบอร์ช่วยลดอาการท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ลดคอเลสเทอรอลและน้ำตาลในเลือด ด้วยคุณสมบัติข้างต้น จึงเป็นเห็ดที่เหมาะสมในการรับประทานสำหรับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างยิ่ง

แต่ด้วยความที่เป็นเห็ดธรรมชาติ เกิดขึ้นได้แค่ปีละครั้ง ประกอบกับสนนราคาค่อนข้างสูง กก.ละ 100-300 บาท ทำให้เห็ดชนิดนี้มักถูกชาวบ้านเก็บมาขาย เมื่อหมดฤดูก็ไม่มีเห็ดชนิดนี้ให้บริโภค ขณะเดียวกันเห็ดมาจากป่าไม่เกิน 3 วัน จะเหี่ยวเฉา รสชาติไม่อร่อยเท่าตอนเก็บมาใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้ ดร.ชุตินุช สุจริต ประจำภาควิชาอุตสาหกรรมอาหารและผลิตภัณฑ์ประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง จึงได้คิดค้นการถนอมอาหารโดยการดอง นอกจากจะได้มีเห็ดให้บริโภคในทุกฤดูกาลแล้ว ยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่เห็ดได้อีกด้วย

“พื้นที่กว่า 1,000 ไร่ โดยรอบมหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่ป่าพรุ เต็มไปด้วยต้นเสม็ดขาว ในช่วงฤดูแล้งเมื่อน้ำทะเลลดลงจนพื้นดินแห้ง และเมื่อมีฝนตก แสงแดดส่องพื้นดิน ทำให้อากาศร้อนอบอ้าวติดต่อกัน เมื่อความชื้นกระทบความร้อนที่เหมาะสม อับสปอร์ของเห็ดที่สะสมอยู่ตามรากและใบไม้ผุ จะงอกจากโคนต้นเสม็ด เมื่อได้ระยะเก็บชาวบ้านมักชอบพาครอบครัวมาเก็บ ทั้งเพื่อบริโภคในครอบครัวและนำไปขาย โดยเฉลี่ยแล้วในแต่ละปีจะมีเห็ดขึ้นหลายร้อยกิโลกรัม” ดร.ชุตินุช เล่าถึงที่มาที่ไปของเห็ดเสม็ด

เพื่อการยืดอายุให้สามารถบริโภคได้ทั้งปี และเพิ่มมูลค่าให้กับพืชท้องถิ่น จึงได้ทดลองนำเห็ดมาดองในเกลือ ซึ่งสามารถเก็บในอุณหภูมิปกติได้นานถึง 1 ปี แถมยังคงรสชาติอร่อยไม่ต่างจากของสด ด้วยการนำเห็ดมาตัดแต่งเอาดินออก ล้างทำความสะอาดให้ทั่ว ก่อนจะนำเห็ดมาต้มกับเกลือปริมาณเล็กน้อยเพื่อลดความขมประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นยกออกจากเตาเทน้ำทิ้ง แล้วปล่อยให้เห็ดสะเด็ดน้ำ ขั้นตอนสุดท้ายคือการมาดองในน้ำเกลือผสมกับน้ำดอง สูตรเฉพาะ ใส่ขวดขนาด 150 มิลลิลิตร ซีลปิดผนึกฝาไม่ให้อากาศเข้า เท่านี้ก็จะได้เห็ดดองในขวดที่มีน้ำหนักเห็ดราว 2 ขีดหย่อนๆ พอกินได้ 1 มื้อ ในสนนราคา แค่ครึ่งร้อย ที่สามารถซื้อหากันได้ทุกครัวเรือน

และเมื่อนำเห็ดเสม็ดดองเกลือไปวิเคราะห์ในห้องแล็บทำให้ทราบถึงคุณค่าทางโภชนาการ มีโปรตีน 38.21% ไขมัน 3.25% เยื่อใย (ไฟเบอร์) 21.84% และเถ้า 0.93% ส่วนวิธีรับประทาน แค่นำเห็ดออกจากน้ำดอง ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ โดยไม่ต้องล้างน้ำเปล่า แล้วนำไปปรุงอาหารได้ตามต้องการ ส่วนใหญ่จะนิยมนำไปปรุงกับอาหารจำพวกแกงกะทิ ต้ม หรือจะกินเห็ดเสม็ดกับน้ำพริกมะม่วง รสชาติก็หรอยจังฮู้

สนใจอยากได้ความรู้ในการแปรรูปเพื่อรายได้ เสริม ทางมหาวิทยาลัยเขาก็เปิดอบรมให้ความรู้ในการแปรรูปเห็ดรวมถึงพืชท้องถิ่นชนิดอื่น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 08-9655-4896.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

“กระเทียม” แก้แผลสด เลือดไม่หยุด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560621

โดย นายเกษตร 11 ม.ค. 2559 05:01

 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย รู้ไว้ประเทืองปัญญา สามารถนำไปใช้ก่อนพบแพทย์ให้รักษา ซึ่งหากใครเกิดอุบัติเหตุถูกของมีคมหรือเป็นแผลสดเลือดไหลไม่หยุดให้เอา “กระเทียม” สดปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด ใช้มีดฝานเป็นแว่นบางๆ นำไปปิดทับแผลให้เต็มแล้วใช้ผ้าสะอาดพันไว้ ไม่นานเลือดจะหยุดได้ จากนั้นก็เอาออกไม่อันตรายอะไร นิยมใช้กันมาแต่โบราณแล้ว

กระเทียม หรือ ALLIUM SATIVUM LINN. อยู่ในวงศ์ ALLIACEAE ในงานวิจัยพบว่า “กระเทียม” มีบทบาทลดไขมันในเส้นเลือด รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันเลือดจับตัวเป็นลิ่ม รักษาโรคความดันโลหิตสูง สาร “อัลลิซิน” มีแนวโน้มทำให้ระดับของ “คอเลสเทอรอล” ในเลือดลดลงด้วย ใบสดของ “กระเทียม” มีสารจำพวกวิตามินเกลือแร่ต่างๆเยอะ ที่โดดเด่นคือเบต้าแคโรทีน

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” พิมพ์จำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร กระเทียมโทนแคปซูล ผสมสมุนไพรหลายอย่างแก้หอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับ แก้คาวปลา ดับกลิ่นเหม็นในสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบไส้เลื่อนในบุรุษ, เพชรสังฆาตแคปซูล แก้ริดสีดวงทวาร, ยาลดเบาหวานแคปซูล ทำจากสมุนไพรกว่า 5 ชนิด, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกห้ามกิน ฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน ชันนะตุ แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล ทำจากสมุนไพรหลายชนิด, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้า รูขุมขนตีบลง, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์เป็นผงทาหน้า ช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ช่วยขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, แห้วหมูแคปซูล ผสมสมุนไพรหลายอย่าง ลดความดันโลหิต และอื่นๆ โทร. 0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

“ขนุนแดงสุริยา” หวาน กรอบอร่อยปลูกคุ้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/559321

โดย นายเกษตร 8 ม.ค. 2559 05:01

 

ขนุนชนิดนี้ เป็นสุดยอดของ ขนุนเนื้อสีจำปาสายพันธุ์แท้ ที่มีการปลูกทดสอบพันธุ์อยู่นานกว่า 10 ปีแล้ว เป็นขนุนที่มีความทนทานต่อโรคพันธุ์ไม้ได้ดีและทนความแห้งแล้งด้วย เป็นขนุนพันธุ์เบา มีดอกติดผลได้ง่ายและติดผลดกอย่างสม่ำเสมอ ผลโตเต็มที่มีนํ้าหนัก 8-20 กิโลกรัมต่อผล สามารถติดผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เนื้อผลมีความหนาประมาณ 0.5-1.2 ซม. สีของเนื้อสวยเป็นสีแดงเข้มจึงถูกตั้งชื่อว่า “ขนุนแดงสุริยา” รสชาติหวานกรอบไม่เละมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รับประทานอร่อยมาก ให้เนื้อเยอะมากกว่า 52 เปอร์เซ็นต์ของนํ้าหนักผล เมื่อผลแก่จัดจะไม่แตกอ้า มีรางวัลชนะเลิศงานประกวดขนุนจำปาวันเกษตรประจำปีของ จ.ปราจีนบุรี มาถึง 4 ปีซ้อน กำลังเป็นที่นิยมปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนและปลูกเพื่อเก็บผลแกะเนื้อขายอย่างแพร่หลายในปัจจุบันคุ้มค่ามาก ราคากิโลกรัมละหลายบาท

ขนุนแดงสุริยา หรือ ARTOCARPUS HETEROPHYLLUS LAMK. อยู่ในวงศ์ MO-RACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับต้นขนุนทั่วไปทุกอย่าง ติดผลได้ปีละ 2 ครั้ง ตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอดกับตอขนุนพื้นเมือง การปลูกระหว่างต้น และระหว่างแถวห่างกัน 6×6 เมตร ขุดหลุมลึกและกว้างประมาณ 60×60 ซม. ใส่ปุ๋ยคอกผสมกับดินที่ขุดขึ้นมาให้เต็มหลุม จากนั้นนำเอาต้น “ขนุนแดงสุริยา” ลงปลูกให้ดินปากถุงเสมอกับหน้าดิน อย่าปลูกลึกเพราะจะทำให้ต้นเจริญเติบโตได้ช้า รดนํ้า 1-2 วันครั้ง ใส่ปุ๋ยคอกทุกๆ 3 เดือน สลับกับการใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ทุกๆ 2 เดือน จะทำให้ “ขนุนแดงสุริยา” ติดผลชุดแรกหลังปลูกเพียง 3 ปีเท่านั้น

ใคร ต้องการ “ขนุนแดงสุริยา” พันธุ์แท้ติดต่อตรง “คุณประภาส สุภาผล” 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08-8533-2299 หรือไปซื้อที่งานไทยแลนด์เมก้าโชว์ อิมแพค เมืองทองธานี บริเวณ ฮอลล์ 5 บูธ “สวนประภาสไม้ผล” ระหว่างวันที่ 9-17 ม.ค.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

ยาสูบหลังนา…อีสาน ปลูกบุฟเฟ่ต์ได้ไร่ละ 2 หมื่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/559356

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 ม.ค. 2559 05:01

 

มาตรการรณรงค์งดการสูบบุหรี่ของภาครัฐในมิติหนึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ในอีกมุมหนึ่งส่งผลลบต่อชาวไร่ยาสูบโดยตรง

ทั้งที่ยาสูบไทยมีมาตรฐานในระดับโลก ส่งออกได้ปีละนับพันล้านบาท มีแรงงานภาคเกษตร และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆรวมแล้ว 348,180 ราย กว่า 90% เป็นชาวนาที่หันมาปลูกยาสูบหลังเกี่ยวข้าว

ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้จากการทำไร่ยาสูบในรูปแบบคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง ทำสัญญาซื้อขายใบยาสูบล่วงหน้ากับบริษัทอดัมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อส่งขายให้กับบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์)

“หลังเกี่ยวข้าวแล้ว เราจะไถกลบ นำเมล็ดพันธุ์ยาสูบพันธุ์เตอร์กิชที่บริษัทจัดหาให้มาเพาะกล้าในแปลง ปัจจัยการผลิตอื่นๆไม่ว่าปุ๋ยสูตรเฉพาะสำหรับยาสูบ บริษัทก็หามาให้ในราคาทุนแบบไม่มีดอกเบี้ย โดยหักจากเกษตรกรหลังเก็บเกี่ยว ที่สำคัญยังมีนักวิชาการลงพื้นที่แนะนำเกษตรกรอย่างใกล้ชิด

นอกจากนั้น บริษัทยังได้นำหลักปฏิบัติที่ดีด้านแรงงานเกษตร ให้มีความสอดคล้องกับปฏิญญาว่าด้วย หลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานขององค์การ แรงงานระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาการใช้แรงงานเด็กและการบังคับใช้แรงงาน รวมถึงการสร้างความปลอดภัยในการทำงานในไร่ยาสูบ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากประเทศคู่ค้า”

ตะวัน ชนะเคน หนึ่งในเกษตรกรบนที่ราบสูงแห่ง อ.เรณูนคร จ.นครพนม ผู้ทำสัญญาคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง บอกว่า ยาสูบพันธุ์เตอร์กิช (โอเรียนทอล) ที่บริษัทหามาให้เป็นสายพันธุ์ที่ชอบดินปนทราย แห้งแล้ง และทนร้อน จึงเหมาะกับพื้นที่ภาคอีสาน ใช้เวลาเพาะกล้าราว 35-40 วัน เมื่อได้ต้นที่แข็งแรง ก็นำลงแปลงปลูกห่างกัน 10 ซม. ระยะห่างระหว่างแถว 40 ซม. ปลูกลึกให้ยอดอยู่เหนือพื้นดิน 2-3 ซม. เพื่อให้เกิดรากขึ้นได้หนาแน่น เพิ่มการอยู่รอด การดูแลรักษาก็ไม่ยุ่งยาก เรียกได้ว่าปลูกแบบบุฟเฟ่ต์ให้เทวดาดูแล รดน้ำเมื่อเห็นว่าดินแห้งเกินไปเท่านั้น

พื้นที่ 1 ไร่ สามารถปลูกได้ถึง 50,000 ต้น ปลูก 40-50 วัน สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ระยะเวลาตั้งแต่เพาะกล้าถึงเวลาเก็บเกี่ยวราว 90 วัน สามารถเก็บใบยาได้ 5-6 ครั้งต่อต้น สร้างรายได้เฉลี่ยหลังหักค่าใช้จ่ายคืนให้บริษัทไร่ละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ทำรายได้มากกว่าพืชหลักอย่างข้าว

ที่สำคัญหลังเกี่ยวข้าวเข้าสู่ฤดูแล้ง คนอีสานไม่อาจทำกินอะไรได้ มีแต่ยาสูบนี่แหละที่ช่วยให้รายได้มากกว่าปลูกพืชอย่างอื่น ทำให้หน้าแล้งไม่ต้องดิ้นรนไปรับจ้างทำงานในเมือง ได้มีเวลาดูแลลูกหลานใกล้ชิดมากขึ้น.

กรวัฒน์ วีนิล

“งิ้ว” เกสรอร่อยสรรพคุณดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/558714

โดย นายเกษตร 7 ม.ค. 2559 05:01

 

งิ้ว พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไปในประเทศไทย พบมากที่สุดทางภาคเหนือ ชาวเหนือรู้จัก “งิ้ว” เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะมีขึ้นเองตามป่าธรรมชาติแล้วยังนิยมปลูกไว้ในบริเวณบ้านกันอย่างแพร่หลายมาแต่โบราณเพื่อใช้ประโยชน์เป็นอาหาร คือ เกสรตัวผู้จากดอกของ “งิ้ว” นำไปตากแห้งโรยในขนมจีนนํ้าเงี้ยวหรือปรุงเป็นแกงแครับประทานอร่อยมาก ซึ่งอาหารทั้ง 2 อย่างจะขาดเกสรของดอก “งิ้ว” ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ในทางสมุนไพร และการใช้ประโยชน์อื่นๆ ราก นำไปต้มกับนํ้าจนเดือดดื่มเป็นยาทำให้อาเจียนเพื่อขับและถอนพิษต่างๆออกจากร่างกาย เปลือกต้น ใช้ทำเชือก ยาง จากต้นแก้ท้องร่วงได้ เนื้อไม้ทำฟืน ทำฝาบ้าน หีบใส่ของ ผลิตเป็นของเล่นเด็กๆแบบยุคโบราณหลายอย่าง ซึ่งในยุคปัจจุบันไม่พบเห็นอีกแล้ว ทำก้านไม้ขีด กล่องไม้ขีด ไม้จิ้มฟัน ทำไม้อัด เยื่อกระดาษใบแห้งหรือสด ตำทาแก้บวมชํ้าดีมาก ดอกแห้ง ปรุงเป็นยาทาระงับปวดและแก้พิษได้

งิ้ว หรือ BOMBAX CEIBA LINN อยู่ในวงศ์ BOMBACA CEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 10-20 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลม กิ่งแขนงแผ่กางออกเกือบตั้งฉากกับลำต้น ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ออกเรียงสลับ มีใบย่อย 5-7 ใบ รูปรี ดอก ออกเป็นช่อกระจุก 3-5 ดอกที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงเป็นรูปถ้วย 3-4 แฉกไม่เท่ากัน กลีบดอก 5 กลีบเป็นสีแดง ปลายกลีบม้วนออก ซึ่งอีกชนิดดอกเป็นสีเหลือง แต่ละดอกมีเกสรตัวผู้เป็นกระจุกติดกันเป็นกลุ่ม และเกสรดังกล่าวนำไปตากแห้งเป็นอาหารตามที่กล่าวข้างต้น “ผล” รูปรี หรือรูปขอบขนานคล้ายผลนุ่น มีเมล็ดสีดำจำนวนมากหุ้มด้วยปุยนุ่นสีขาว ดอกออกเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ทุกปี และจะทิ้งใบก่อนจะมีดอกทุกครั้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีชื่อเรียกอีกคือ นุ่นนาง งิ้วแดง ปักมี้ (จีน) งิ้วป่า งิ้วปงแดง และ งิ้วบ้าน มีดอกแห้งขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 24 แผง “คุณหล้า-คุณโอม” ครับ.

“นายเกษตร”

ของขวัญฝ่าวิกฤติแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/558717

โดย สะ-เล-เต 7 ม.ค. 2559 05:01

 

ภัยแล้งกำลังมาเยือน…ในข่าวร้ายยังมีข่าวดีมาฝากพี่น้องชาวนาที่มิอาจหาน้ำมาทำนาปรังได้ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้สั่งการให้สหกรณ์จังหวัดในพื้นที่ 22 จังหวัด ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง

ในเบื้องต้นมีแผนเร่งให้การช่วยเหลือบรรเทาภาระหนี้สินและลดต้นทุนของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว จัดสรรงบประมาณ 206.233 ล้านบาท ซึ่งผ่านการอนุมัติจาก ครม.เพื่อนำมาจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร อัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 6 เดือน

ช่วยลดดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 3 ให้กับสมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่ 134,479 ราย จาก 651 สถาบันเกษตรกร ทั้งหนี้สัญญากู้เดิมและสัญญากู้ใหม่ ที่กู้ไม่เกิน 30 เม.ย.59 จะได้รับสิทธิลดดอกเบี้ย 6 เดือนเหมือนกัน

พร้อมกันนั้นยังมีแผนสนับสนุนสินเชื่อระยะสั้นให้แก่สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร ในพื้นที่ 22 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งด้วย โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ได้อนุมัติกรอบวงเงิน 300 ล้านบาท ให้สหกรณ์กู้ยืมไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนแบบปลอดดอกเบี้ย ระยะเวลา 6 เดือน

จากการสำรวจความต้องการพบว่ามีสหกรณ์ขอรับการช่วยเหลือ 183 แห่ง ขณะนี้คณะกรรมการบริหาร กพส.อยู่ระหว่างเร่งพิจารณาจัดสรรเพื่อให้การช่วยเหลือโดยเร็ว

นอกจากนั้น กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังมีแผนส่งเสริมให้สมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่ปลูกพืชใช้น้ำน้อยและอายุเก็บเกี่ยวสั้น เพื่อสร้างรายได้ทดแทนการทำนาปรัง โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ สารพัดถั่ว ที่ตลาดมีความต้องการสูง แล้วให้สหกรณ์ในพื้นที่รับซื้อผลผลิตของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการอีกด้วย

ได้แต่หวังว่าโครงการช่วยเหลือเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรและสหกรณ์ฝ่าวิกฤติภัยแล้งนี้ไปได้…อย่าให้เหมือนในอดีต ทำไปแล้วล้มเหลว สหกรณ์รับซื้อถั่วมาแล้ว ไม่รู้จะระบายขายไปที่ไหน แล้วปล่อยทิ้งแบบตัวใครตัวมันอีกกะแล้วกัน.

สะ–เล–เต

สหกรณ์ดอนหอ…ก้าวไม่หยุด รุกคืบรับซื้อ…ยาง-มันฯ-อ้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/558752

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 7 ม.ค. 2559 05:01

 

สหกรณ์น้องใหม่เกิดเพียงปีเดียวก้าวไม่หยุด ด้วยการเอาสินค้าเกษตรมาแปรรูปเพิ่มมูลค่าจากยางก้อนถ้วยมาเป็นยางเครป ต่อยอดรับซื้อมันสำปะหลังกับอ้อยโรงงาน รุกแก้ปัญหาเกษตรกรถูกโกงตาชั่ง

นายสมพงษ์ หมั่นมา ประธานสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านดอนหอ จำกัด ต.ข้าวสาร อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เผยว่า แม้ว่าสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านดอนหอจะเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ มี.ค.58 ประกอบรวบรวมยางก้อนถ้วยจากสมาชิกมาแปรรูปเป็นยางเครปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยทางสหกรณ์ฯไม่ได้เรียกเก็บเงินค่าบริการใช้เครื่องเครปยางจากสมาชิก ช่วยให้เกษตรกรได้ราคาเพิ่ม จากเดิมขายเป็นแค่ยางก้อนถ้วย กก.ละ 20 บาท เพิ่มเป็น 25-26 บาท ทำให้สมาชิกได้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างน้อย กก.ละ 5 บาท

“จากความสำเร็จในการแปรรูปยางก้อนถ้วยมาเป็นยางเครป ทางสหกรณ์ยังได้จัดหาแหล่งเงินทุนจากเงินสะสมของสมาชิกสหกรณ์ และกู้เพิ่มจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. เพื่อนำมาขยายกิจการซื้อเครื่องเครปยางเพิ่มอีก 2 เครื่อง เพื่อให้บริการแปรรูปยางเครปได้มากขึ้น พร้อมกับสร้างลานตากมันสำปะหลังและซื้อเครื่องชั่งน้ำหนักรถบรรทุกผลผลิตมาติดตั้งเป็นของสหกรณ์เอง เพื่อรับซื้อหัวมันสำปะหลัง และอ้อยโรงงานจากสมาชิกและเกษตรกรทั่วไป เนื่องจากเราได้รับการร้องเรียนว่า มันสำปะหลังและอ้อยที่นำไปขายพ่อค้าถูกโกงตาชั่งเป็นประจำ เพราะน้ำหนักที่ชั่งจากหน้าสวนกับหน้าร้านพ่อค้าคนกลางไม่เท่ากัน ต่างกันมาก ปรากฏว่าลดปัญหาถูกเอา เปรียบได้เป็นอย่างดี และทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น”

ประธานสหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านดอนหอ จำกัด เผยอีกว่า เพื่อให้เกิดการสร้างความสามัคคีในกลุ่มของสมาชิก ทางสหกรณ์ยังได้จัดทำโครงการ “ลดต้นทุนการผลิต” เน้นไปที่กลุ่มผู้ผลิตอ้อยโรงงาน อบรมให้ความรู้สมาชิกในเรื่องไม่ให้เผาอ้อยก่อนตัด ทำให้โรงหีบอ้อยรับซื้อในราคาสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ รวมทั้งยังไม่ทำให้เกิดมลภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษอีกทั้งยังได้ขยายพื้นที่ของสหกรณ์ สร้างบ่อกักเก็บบำบัดน้ำเสีย แล้วนำเข้าสู่กระบวนการหมักเป็นก๊าซชีวภาพ เพื่อนำมาใช้ในกิจการของสหกรณ์เพื่อลดต้นทุนด้วย.

สหกรณ์พังเพราะใคร (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/558216

โดย สะ-เล-เต 6 ม.ค. 2559 05:01

 

ต่อจากเมื่อวาน…แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะมีความมุ่งมั่นให้สหกรณ์เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติสหกรณ์ไทยไม่อาจรับหน้าที่นี้ได้ เพราะลำพังสถานะตัวเองยังจะเอาตัวแทบไม่รอด ด้วยสหกรณ์หลายแห่งมีหนี้สินแทบล้มละลาย จากการถูกรัฐลวงล่อให้เป็นหนี้

ด้วยข้ออ้างเพื่อปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรปี 2544 รัฐบาลได้ผุดโครงการ ASPL จัดหาโรงสีและไซโลเก็บข้าวเปลือกให้แก่สหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลักทั่วทุกภาคของประเทศ

สหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการไม่ต้องผ่อนชำระ ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยคืนรัฐบาล เมื่อกิจการโรงสีและไซโลทำรายได้ สหกรณ์เพียงแค่ทยอยจ่ายคืนในรูปเงินบริจาคเข้ากองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) เท่านั้นเอง

แต่พอสร้างเสร็จแทนที่จะช่วยให้สหกรณ์มีรายได้ มีกำไร กลับกลายเป็นได้หนี้แทบล้มละลายจนถึงทุกวันนี้

โรงสีที่เอามาให้สีข้าวได้ไม่ครบวงจร สีได้แค่ข้าวสาร ไม่มีระบบขัดสีเม็ดข้าว แถมเครื่องเสียขึ้นมา หาอะไหล่ไม่ได้…ส่วนไซโลนั้น ภายนอกหน้าเป็นไซโลจริง แต่ภายในไม่มีระบบระบายอากาศ เก็บข้าวแล้วเหลือง

สหกรณ์แต่ละแห่งรู้ซึ้งถึงปัญหาดี มิได้นิ่งเฉย แจ้งเรื่องร้องเรียนไปยังผู้เกี่ยวข้องมาทุกยุคทุกสมัย สุดท้ายเรื่องเงียบหาย เพราะคนพวกนั้นครองอำนาจกันยาว…สุดท้ายกลายเป็นโรงสี–ไซโลร้าง พร้อมกับมอบหนี้ให้สหกรณ์แต่ละแห่งกอดหนี้กันไว้กว่าสิบล้านบาท

เมื่อมีหนี้ ถึงรอบปีปิดบัญชี เงินกำไรจากกิจการอื่นที่สหกรณ์แต่ละแห่งหามาได้ประมาณ 3-5 แสน ไม่อาจจะนำไปทำอะไรได้เลย ต้องกันสำรองหนี้…เลยเป็นเหตุให้สหกรณ์ไม่สามารถปันผลกำไรให้สมาชิกได้เลย

ปันผลไม่ได้ไม่ใช่แค่ 1-2 ปี แต่ยาวนานมากว่าสิบปี ผลที่ตามมาความศรัทธาในระบบสหกรณ์เลยพังพินาศ…สหกรณ์ไทย

พังเพราะใคร จะกล้ายืดอกรับผิดชอบกันบ้างไหม.

สะ–เล–เต

“แม็กนั่ม” หอมกลิ่น ดอกพะยอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/558220

 

แม็กนั่ม เป็นกล้วยไม้ดินที่มีถิ่นกำเนิดจาก ประเทศฟิลิปปินส์ พบขึ้นตามป่าร้อนชื้นทั่วไป โดยจะขึ้นอยู่ตามพื้นที่ราบหรือตามซอกผาหินตามเชิงเขาเป็นกอขนาดใหญ่หลายๆกอในแต่ละแห่งที่พบกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียง เวลามีดอกเป็นช่อยาวคล้ายดอกหญ้าดูงดงามแปลกตายิ่ง และดอกจะส่งกลิ่นหอมกระจายโชยเข้าจมูกคล้ายกลิ่นดอกไม้ป่าจากท้องทุ่งหรือกลิ่นจะหอมเหมือนกลิ่นดอกพะยอมของไทยทำให้รู้สึกสดชื่นดีมาก

ในประเทศไทย มีผู้นำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์นานหลายปีแล้ว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า DENDROCHILUM MAGNUM มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นกล้วยไม้ดินจำพวกที่มีการเจริญทางด้านข้าง ได้แก่ กล้วยไม้ที่มีเหง้าส่วนทอดเลื้อยหรือไหล เมื่อต้นเจริญเติบโตเต็มที่แล้วสามารถแตกต้นใหม่หรือหน่อใหม่จากโคนกอหรือตามลำข้อได้ มีด้วยกันหลากหลายสายพันธุ์ เช่น สกุลหางแมงเงา สกุลสิงโต สกุลนํ้าต้น สกุลกะเรกะร่อน เป็นต้น ลำต้นหรือลำลูกกล้วยของ “แม็กนั่ม” เป็นรูปทรงกลมปลายเรียวแหลม สูงประมาณ 1.5-2.5 นิ้วฟุต ลำต้นเป็นสันชัดเจน ใบออกเวียนสลับที่ปลายยอดลำต้น ใบเป็นรูปแถบยาวปลายแหลม โคนติดกับลำต้น

ดอก ออกเป็นช่อแทงขึ้นจากโคนลำต้น ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1 ฟุต ดอกขนาดเล็กจำนวนมากสีเหลืองอมเขียวออกรอบแกนช่อดอกช่วงปลายช่อยาวประมาณ 7–8 นิ้วฟุต ช่อดอกโค้งงอลง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามพร้อมส่งกลิ่นหอมเป็นที่ประทับใจยิ่งตามที่กล่าวข้างต้น ดอกออกเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการแยกต้น

ปัจจุบัน “แม็กนั่ม” มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2 แผง “ป้าแอ๊ด-คุณขวัญ” ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในทุกสภาพอากาศ ส่วนใหญ่นิยมปลูกลงกระถางขนาดใหญ่เพื่อให้ต้นแตกเป็นกอเต็มที่ เมื่อถึงเวลามีดอกจำนวนมากจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจครับ.

“นายเกษตร”