ท่าเคย-มะหาด-ไม้เต็ง โมเดลปันน้ำรับโลกร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/558254

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 6 ม.ค. 2559 05:01

 

ถึงจะมีอ่างเก็บน้ำให้ชาวบ้านได้อุปโภคบริโภคทำการเกษตรพร้อมมูล แต่ด้วยโลกเปลี่ยนไป อ่างเก็บน้ำที่ช่วยตุนเก็บน้ำ ลดท่วมในหน้าฝน และไว้แจกจ่ายในยามแล้งกลับมีปัญหา…บางแห่งน้ำมีมากล้นจนท่วม อีกแห่งที่อยู่ห่างกันไม่มากนักกลับแล้งเสียจนไม่มีน้ำให้เกษตรกรยาไส้

สภาพเช่นนี้มีให้เห็นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย…ลุ่มน้ำภาชี (ราชบุรีฝั่งตะวันตก) ลุ่มน้ำย่อยของลุ่มน้ำแม่กลอง มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาตะนาวศรีในเขต อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ไหลลัดเลาะมาบรรจบแควน้อย ที่ อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี เป็นอีกพื้นที่ที่มีปัญหาลักษณะนี้

ลุ่มน้ำภาชีตอนบน มีอ่างเก็บน้ำห้วยท่าเคย ความจุ 26 ล้าน ลบ.ม. จ่ายน้ำให้กับพื้นที่ชลประทาน 10,000 ไร่ …ตอนกลาง มีอ่างเก็บ น้ำห้วยมะหาด ความจุ 4.3 ล้าน ลบ.ม. เพื่อส่งน้ำให้กับพื้นที่เกษตร 3,900 ไร่…ตอนล่าง พื้นที่เกษตรสำคัญของตัวเมืองราชบุรี มีอ่าง เก็บน้ำสำนักไม้เต็ง ขนาดความจุ 36 ล้าน ลบ.ม. ป้อนให้เรือกสวนไร่นา 33,000 ไร่

“พื้นที่นี้ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องน้ำ แต่ด้วยภาวะโลกร้อน ธรรมชาติที่เปลี่ยนไป ประกอบกับสภาพภูมิศาสตร์ของลุ่มน้ำตอนบนมีสภาพเป็นป่าภูเขา สูง มีพื้นที่รับน้ำฝนมากถึง 240 ตร.กม. น้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำห้วยท่าเคยเลยมีมากจนล้นเกินความต้องการปีละ 13 ล้านคิว อ่างเก็บน้ำห้วยมะหาดตอนกลางก็เช่นกัน มีน้ำล้นไหลทิ้งไปอีกกว่าล้านคิว ที่สำคัญน้ำที่ล้นสปิลเวย์ลงสู่คลองจะไหลหลากเร็วมาก เพราะลำน้ำมีความลาดชันสูง สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน

แต่ขณะเดียวกันอ่างเก็บน้ำสำนักไม้เต็งที่อยู่ตอนล่างรับน้ำจากอีกลุ่มน้ำสาขาของลุ่มน้ำภาชี กลับมีปัญหาภัยแล้งทุกปี กักเก็บน้ำไม่ได้ตามเป้า ไม่เพียงพอที่จะแจกจ่ายให้เกษตรกรในพื้นที่ชลประทานได้ กรมทรัพยากรน้ำ และกรมชลประทานจึงมีแนวคิดร่วมกันที่จะบริหารจัดการลุ่มน้ำแบบบูรณาการขึ้นมา”

นายประสิทธิ์ พัวทวี ผอ.สำนักพัฒนาแหล่งน้ำ กรมทรัพยากร เล่าถึงที่มาของโครงการผันน้ำเกินมาสู่พื้นที่แล้งน้ำ ผ่านทางท่อส่งน้ำขนาดเส้นผ่า ศูนย์กลาง 80 ซม. ยาว 24 กม. เพื่อปันน้ำส่วนเกินจากอ่างเก็บน้ำห้วยท่าเคย 5 ล้าน ลบ.ม. มาลงอ่างเก็บน้ำห้วยมะหาด ก่อนจะส่งต่อไปยังอ่างเก็บน้ำสำนักไม้เต็ง เพื่อจะได้มีน้ำหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตร 33,000 ไร่ได้อย่างเพียงพอ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง จะแล้วเสร็จภายในปี 2559 นี้

“กว่าจะลงมือทำโครงการนี้ได้ เราต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจกับชาวบ้านนานพอสมควร เพราะชาวบ้านในพื้นที่ตอนบนกลัวว่าการผันน้ำแบบนี้จะทำให้ตัวเองมีน้ำไม่พอใช้และต้องประสบภัยแล้งตามมา แต่เมื่อได้ชี้แจงอธิบายให้เข้าใจว่า การปันน้ำไปให้คนตอนล่างเป็นแค่เพียงการนำน้ำส่วนเกินที่ไหลทิ้งทะเลไปฟรีๆ ปีละ 10 ล้าน ลบ.ม. และแบ่งส่วนเกินไปเพียง 5 ล้าน ลบ.ม. ในช่วงหน้าฝนแค่ 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งสามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมหลากในพื้นที่ตอนบนได้ด้วย”

เมื่อชาวบ้านเข้าใจ โครงการปันน้ำจากพื้นที่น้ำอุดมไปสู่พื้นที่ขาดแคลนจึงเกิดขึ้นได้ เพื่อพี่น้องไทยจะได้มีน้ำใช้อย่างยั่งยืนและมั่นคงมากขึ้น.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

สหกรณ์พังเพราะใคร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/557897

โดย สะ-เล-เต 5 ม.ค. 2559 05:01

 

การผลักดันสหกรณ์ให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เข้มแข็งและยั่งยืน ดูจะเป็นความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หน.คสช. ไม่ว่าภารกิจใดถ้าเกี่ยวข้องกับเกษตรกร เป็นต้องหนุนให้สหกรณ์รับช่วงต่อ

ความตั้งใจนี้ถ้าเป็นไปได้จริง ย่อมส่งผลดีต่อเกษตรกรฐานรากอย่างแน่นอน แต่ในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้หรือ…ระบบสหกรณ์ไทยมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน เป็นโจทย์ใหญ่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไขปริศนาให้ถูกจุด

วันนี้สหกรณ์ไทย โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตร สถานะทางบัญชีสุ่มเสี่ยงล้มละลาย มีหนี้ล้นพ้นตัว…หลายปีมาแล้ว ไม่เคยจะมีเงินปันผลกำไรให้สมาชิกได้ แล้วจะให้ไปรับภารกิจอะไรได้มากมาย

ที่สำคัญหนี้ที่ได้มา ไม่ใช่มาจากสหกรณ์ดำเนินธุรกิจผิดพลาดแต่อย่างใด…แต่เป็นหนี้ที่ถูกจับยัดมาให้แบบสอดไส้ ถูกหลอกให้เป็นหนี้

หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง เศรษฐกิจประเทศย่ำแย่ มีเงินโครงการช่วยเหลือจากต่างประเทศมากมาย หนึ่งในนั้น โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรหรือ ASPL ถูกรังสรรค์ขึ้นโดยรัฐบาลในปี 2544

ให้การสนับสนุนโรงสีขนาด 40 ตัน/วัน มูลค่า 8.77 ล้าน และไซโลเก็บข้าวเปลือกขนาด 250 ตัน มูลค่า 3.69 ล้านบาทแก่สหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก

สหกรณ์ไม่ต้องทำอะไรอยู่เฉยๆ รัฐบาลหามาให้หมดทุกอย่าง ถึงแม้โครงการจะมีชื่อว่า เป็นเงินกู้ แต่จริงๆไม่ใช่ เพราะไม่มีดอกเบี้ย และสหกรณ์ไม่ต้องผ่อนชำระคืนให้รัฐบาล…เพียงแต่เมื่อกิจการโรงสีและไซโลเดินหน้าไปได้ สหกรณ์มีรายได้ให้ทยอยส่งคืนใน “รูปเงินบริจาค” เข้ากองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.)

สหกรณ์ต่างดีใจจะได้โรงสีและไซโล เข้าร่วมโครงการกันทุกภาคทั่วไทย เฉพาะเชียงรายจังหวัดเดียวได้มา 7 แห่ง การก่อสร้างเริ่มปี 2544 เสร็จพร้อมใช้งานปี 2545-6

แต่แทนที่จะช่วยให้สหกรณ์มีรายได้ มีกำไรมาปันผลให้เกษตรกรสมาชิก กลับกลายเป็นได้หนี้แทบล้มละลายมากว่า 10 ปี จนถึงทุกวันนี้

เหตุไฉนเรื่องราวถึงกลับตาลปัตร จากช่วยกลายเป็นกระทืบซ้ำ… ติดตามฉบับพรุ่งนี้.

สะ–เล–เต

“มะนาวกินเนื้อ” กับที่มาพันธุ์เนื้ออร่อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/557904

โดย นายเกษตร 5 ม.ค. 2559 05:01

 

หลายคน อยากทราบว่า “มะนาวกินเนื้อ” เป็นอย่างไร ซึ่งตามหลักฐานระบุว่ามีถิ่นกำเนิดเดิม จากประเทศอินเดีย แล้วกระจายปลูกในเขตร้อนทั่วโลก ส่วนสายพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศ ไทยเชื่อว่ามาจากประเทศจีน นิยมปลูกตามหมู่บ้านชาวเขาทั่วไป มีชื่อเรียกแตกต่างกันคือ จีนฮ่อเรียก เซียนหยินหรือเชียงเหย่น แม้วเรียกชาเย็ง ลัวะเรียกเดี๊ยะโซย, แผละโซ้ย กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียกโมโรสะหรือมะนาวแม้ว ในภาคกลางเรียก ส้มมะละกอ บางพื้นที่เรียก “มะนาวกินเนื้อ” และภาคใต้เรียกว่า ส้มมะนาว

มะนาวกินเนื้อ CITRON หรือ CITRUS MEDICA L. VAR.MEDICA. อยู่ในวงศ์ RUTACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-8 เมตร กิ่งก้านมีหนามแหลม ใบเดี่ยวออกเรียงสลับเหมือนกับใบมะนาวหรือใบมะกรูด ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อ 3-5 ดอก ตามซอกใบและปลายยอด มีกลีบดอก 4 กลีบ สีขาวหรืออาจมีสีม่วงปนเล็กน้อย ใจกลางดอกมีเกสรสีเหลืองจำนวนมาก ดอกมีกลิ่นหอม “ผล” รูปกลมรี ผลโตเต็มที่ขนาดเท่ากับผลมะละกอป่าหรือผลมะละกอพันธุ์โบราณ ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่หรือสุกเป็นสีเหลือง เปลือกผลหนา ผิวผลขรุขระเหมือนผลมะกรูด เนื้อในสีขาวคล้ายเนื้อมะละกอ ไม่มีน้ำ บางผลมีเมล็ด 1-2 เมล็ด หรือไม่มีเมล็ดเลย ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง รสชาติของเนื้อเย็นกรอบมันมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำมะนาว รับประทานอร่อยมาก นิยมปอกเปลือกสับฝานปรุงเป็นส้มตำได้ หรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆจิ้มน้ำผึ้งกินสดๆหวานหอมดีมาก ปรุงเป็นอาหารคาวหวานได้หลากหลายอย่าง ที่สำคัญเก็บในตู้เย็นได้นาน 1–3 เดือน

ใคร ต้องการต้นแท้ติดต่อ ป้าไก่–ลุงแดง “สวนทับผึ้งพันธุ์ไม้” 42/2 หมู่ 1 ต.ทับผึ้ง อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย โทร.08–3877–3827, 08–0285–6919 กับที่งานไทยแลนด์เมก้าโชว์ อิมแพค เมืองทองธานี ฮอลล์ 5 วันที่ 9-17 ม.ค.59 และงานประกวดกล้วยไม้สกุลช้าง ที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย วันที่ 12-20 ม.ค.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

ป่าแห้งแล้งไร้อาหาร ระวัง ‘มวนหวาน’ บุกสวน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/557953

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 5 ม.ค. 2559 05:01

 

หนอนผีเสื้อมวนหวาน

เตือนภัยเกษตรกรให้เตรียมรับมือบรรดาแมลงหนีความอดอยากจากภัยแล้ง อพยพออกจากป่าบุกสวนผลไม้

นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เผยว่า ด้วยปกติแมลงศัตรูสวนผลไม้จำพวกผีเสื้อมวนหวาน ซึ่งเป็นแมลงปากแข็ง จะอาศัยและหากินผลไม้อยู่ในป่า แต่หากปีไหนเกิดภาวะภัยแล้งรุนแรง ถึงขั้นผลไม้ในป่าติดดอกออกผลน้อยหรือไม่ออกผลเลย ผีเสื้อมวนหวานจะยกฝูงลงมาหากินในสวนผลไม้ของเกษตรกรเป็นจำนวนมาก

และการระบาดของผีเสื้อมวนหวานแบบนี้ ครั้งล่าสุดพบเมื่อปี 2542 ซึ่งเกิดปรากฏการณ์เอลนิโญ ที่เกิดความแห้งแล้งอย่างรุนแรง กลุ่มผีเสื้อมวนหวานได้อพยพยกฝูงบินลงมาหากิน สร้างความเสียหายในแหล่งปลูกผลไม้ใกล้กับเขตป่า โดยการระบาดในครั้งนั้นได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับเกษตรกรผู้ปลูกส้มเขียวหวาน ส้มโอ และมังคุด ในจังหวัดปราจีนบุรี, จันทบุรี และสระแก้ว แหล่งผลไม้สำคัญของประเทศ

“เมื่อในป่าไม่มีอาหารเพียงพอ ผีเสื้อมวนหวานจะย้ายถิ่นลงมาหากินในพื้นที่มีอาหารสมบูรณ์ นั่นคือสวนผลไม้ของเกษตรกรแทน นอกจากจะมาหากินแล้วยังผสมพันธุ์ ออกลูกออกหลาน ทำให้สวนผลไม้เสียหายหนัก โดยตัวอ่อนที่เพิ่งฟักออกจากไข่อยู่ในช่วงเป็นตัวหนอน จะอาศัยกินวัชพืชต้นหญ้าในสวน เมื่อโตเต็มวัยกลายเป็นผีเสื้อ จะย้ายแหล่งอาหารบินขึ้นมาดูดกินผลไม้ และด้วยผีเสื้อมวนหวานมีปากที่แข็ง จึงสามารถใช้ปากเจาะทะลุเปลือกผลไม้เข้าไปดูดกินน้ำหวานได้ไม่ยาก ไม่เพียงแต่เปลือกส้ม ลำไย เท่านั้นที่เจาะได้ แม้แต่ เปลือกมังคุดที่ว่าแข็ง ผีเสื้อมวนหวานยังเจาะทำเข้าไปดูดกินน้ำหวานได้ ส่งผลให้ผลไม้ร่วงหล่นเน่าใต้โคนต้นไปทั้งสวน”

สำหรับวิธีการป้องกัน นายสมชาย แนะเกษตรกรชาวสวนผลไม้ ให้ดูแลพื้นที่โดยรอบ พร้อมกำจัดวัชพืช เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งอาหาร และที่อยู่อาศัยของตัวหนอนผีเสื้อมวนหวาน

เหยื่อกับดักกำจัดผีเสื้อมวนหวาน

ส่วนการกำจัดในช่วงโตเต็มวัย เนื่อง จากผีเสื้อมวนหวานหากินกลางคืน ดังนั้นการฉีดสารเคมีที่ฉีดพ่นตอนกลางวันจะไม่ได้ผล และวิธีกำจัดที่ได้ผลดีที่สุดคือ ทำกับดัก โดยใช้ผลไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างสับปะรด หรือกล้วย ชุบสารเคมี กลุ่มคาร์บาริล หรือเซฟวิน 85 ในอัตรา 2 ซีซี ผสมน้ำ 1 ลิตร จากนั้นนำเหยื่อผลไม้แช่ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วนำไปแขวนภายในสวนหลายๆจุด ล่อให้ผีเสื้อมวนหวานมาดูดน้ำหวาน

นอกจากนี้ยังมีวิธีกับดักแสงไฟล่อด้านบน ด้านล่างทำเป็นอ่างน้ำ เมื่อผีเสื้อมาเล่นแสงไฟจะได้หล่นลงในน้ำ หรือใช้สวิงโฉบดักจับในช่วงกลางคืน วิธีนี้ได้รับความสนใจจากชาวสวนมากเพราะต้นทุนต่ำ อีกวิธีที่ได้ผลเช่นกัน นั่นคือ ขึงตาข่ายกั้นผีเสื้อมวนหวานรอบสวน แต่ต้นทุนจะสูง.

“เกสรบัวหลวง” แก้ขี้หลงขี้ลืม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/557447

โดย นายเกษตร 4 ม.ค. 2559 05:01

 

สวัสดีปีใหม่ ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ปัจจุบัน คนหันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะสมุนไพร เป็นทางเลือกที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย และ “เกสรบัวหลวง” เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ สามารถช่วยแก้อาการขี้หลงขี้ลืม แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นอัลไซเมอร์ได้ คือให้เอา “เกสรบัวหลวง” แห้ง 1 หยิบมือ กับ มะตูม แห้ง 3 แว่น และ ตะไคร้แกง สด 3 ต้นไม่เอาใบ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร ดื่มวันละ 1 แก้ว ก่อนอาหารเช้า ประมาณ 1 อาทิตย์จะดีขึ้นและเห็นผลอย่างชัดเจน สามารถต้มดื่มเรื่อยๆได้ ไม่อันตรายอะไร คนอายุ 70 ปี ต้มดื่มได้

บัวหลวง หรือ NELUMBO NUCIFERA GAERTN. อยู่ในวงศ์ NELUMBONACEAE กลีบดอกเป็นยาฝาดสมาน เหง้าเป็นยาเย็น “ดีบัว” หรือต้นอ่อนในเมล็ดสีเขียวออกฤทธิ์ขยายเส้นเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจ เกสรเข้ายาหอมบำรุงหัวใจ เป็นส่วนหนึ่งในเกสรทั้ง 5 ทั้ง 7 และทั้ง 9

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” สี่สีทั้งเล่ม พิมพ์จำนวนจำกัด ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ดีบัวแคปซูล ช่วยขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์, น้ำมันงาบริสุทธิ์ ทาผิว หมักผม อม 1 ช้อนก่อนนอนบ้วนทิ้งดูดสารพิษ, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกห้ามกิน ฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล และแก้น้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น, ครีมโลดทนง รักษาผิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, แชมพูสูตร 5 ชนิด บำรุงรากผม ขจัดรังแค, สเปรย์ฉีดบำรุงรากผม ทำจากสมุนไพรหลายชนิด, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, ยาลดเบาหวานแคปซูล ผสมสมุนไพรหลายชนิด และอื่นๆ โทร.0–2275–2692 ครับ.

“นายเกษตร”

เกษตร=วิทยาศาสตร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/557449

โดย สะ-เล-เต 4 ม.ค. 2559 05:01

 

สวัสดีปีใหม่…สู่โลกใหม่ใบเดิม การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างเป็นทางการเกิดขึ้นแล้ว

การค้าเสรีมาพร้อมกับการแข่งขันเสรี ถึงเวลาแล้วที่พี่น้องเกษตรกรและผู้คนในแวดวงเกษตรต้องคิดใหม่ทำใหม่ เลิกดูถูกอาชีพเกษตรกรในอัตลักษณ์แห่งความยากจน เลิกทำเกษตรแบบ “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” เอาแต่ก้มๆ เงยๆ ทนก้มหน้ารับเวรรับกรรมกันได้

วันนี้เราต้อง ยืนเชิดหน้ามองฟ้า ดูทิศทางลมฝนฟ้าภูมิอากาศ เล็งทิศทางเศรษฐกิจให้ไกลไปถึงต่างแดน เพื่อจะได้วางแผนอนาคตในอาชีพตัวเอง โดยที่สองเท้าหยั่งรู้ดิน รู้ให้เท่าทันทรัพยากรที่ตัวเองมี

เพราะวันนี้และวันหน้า การประกอบสัมมาอาชีพเกษตรกรรม ผลิตอาหารเลี้ยงประชากรโลก ไม่ใช่อาชีพธรรมดาที่ใครจะทำได้ คนที่ทำได้และอยู่รอดได้ ต้องมีวิชาการความรู้พร้อมมูล โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์

สารพัดอาชีพในโลกนี้ มีอาชีพไหนบ้างที่ใช้วิชาชีววิทยา-เคมี-ฟิสิกส์ มากเท่าอาชีพเกษตร

จะเตรียมดินต้องใช้ความรู้ด้านเคมีดูโครงสร้างดิน เป็นกรดเป็นด่าง ค่าพีเอชเท่าไหร่ จะไถพรวนด้วยวิธีไหนถึงเหมาะสม ต้องใช้วิชาฟิสิกส์เข้ามาช่วย…จะเลือกเมล็ดพันธุ์มาปลูก มีวิชาชีววิทยาเข้าร่วม…การดูแลให้น้ำ ใส่ปุ๋ยกำจัดศัตรูพืช ไม่ว่าใช้ปุ๋ยเคมีหรืออินทรีย์ ใช้สารเคมีกำจัดหรือสารชีวภาพต้องมีความรู้เคมีและชีววิทยาทั้งสิ้น แม้แต่การใช้น้ำต้องมีวิชาฟิสิกส์มาเกี่ยวข้อง จะให้น้ำระบบไหนถึงจะคุ้มค่าสูงสุด

ถึงเวลาเก็บเกี่ยว จะทำกันแบบไหน ใช้เครื่องจักรอุปกรณ์อะไร เกี่ยวกับวิชาฟิสิกส์อีก จะเก็บเกี่ยวยังไงถึงจะยืดอายุผลผลิตให้ได้นานต้องพึ่งวิชาเคมีและชีววิทยา แค่นั้นไม่พอ ขายแล้วต้นทุนกำไรมีแค่ไหนต้องใช้วิชาคณิตศาสตร์มาร่วมคิด และฤดูใหม่วางแผนจะปลูกอะไรต้องมีวิชาเศรษฐศาสตร์ คณิตศาสตร์เข้ามาช่วย

เห็นรึยังอาชีพเกษตรกรใช้วิชาวิทยาศาสตร์มากกว่าอาชีพอื่นขนาดไหน…ไม่ต้องอะไรมาก เดินขึ้นไปบนอำเภอ…ศาลากลางจังหวัด…ทำเนียบรัฐบาล มีใครใช้ความรู้วิทยาศาสตร์มากเท่าเกษตรกร

แล้วที่ผ่านมา ที่ทำกันมาได้ใช้วิทยาศาสตร์กันแค่ไหน ไม่น่าแปลกใจ ทำไมทำไปแล้วถึงยากจน และคนอื่นถึงได้ดูถูกอาชีพนี้ ที่สำคัญกระทรวงเกษตรฯ หนึ่งในหน่วยราชการที่มีนักวิทยาศาสตร์มากมาย…แต่ทำไมวิทยาศาสตร์ถึงได้เรี่ยราดไปไม่ถึงเกษตรกรเสียที.

สะ–เล–เต

ตราฉัตรพยากรณ์ฟันธง 2559..ปีทองข้าวไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/557558

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 ม.ค. 2559 05:01

 

“แม้ปี 2557 เราจะสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์ส่งออกข้าวกลับคืนมาได้ ด้วยปริมาณส่งออก 10 ล้านตัน แต่ปี 2558 ที่เพิ่งผ่านไป เราต้องเสียแชมป์ให้กับอินเดีย ที่มียอดส่งออกสูงถึง 11 ล้านตัน ส่วนเราส่งไปได้ 9.5 ล้านตัน ในเรื่องราคาที่ขายได้ก็ตกต่ำลงเช่นกัน ปี 2557 ข้าวขาวที่ส่งออกไปขายได้เฉลี่ยตันละ 500 เหรียญ ปี 2558 ได้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 400 เหรียญ”

นายฐิติ ลุจินตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด เผยถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวไทยต้องตกต่ำลงเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะผู้บริโภคในต่างประเทศไม่เชื่อหรือไม่ยอมรับคุณภาพข้าวไทย…แต่เป็นเพราะเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งไทยเกิดภาวะชะลอตัวเหมือนกันหมด ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง

“ถึงตัวเลขปริมาณ การส่งออกจะลดลง แต่ยอดการจำหน่ายข้าวในไทยยังคงเดิม เพราะยังไงคนไทยยังต้องกินข้าวเป็นอาหารหลักอยู่ เพียงแต่พฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันไปซื้อข้าวราคาถูกลงมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทซึ่งเน้นผลิตแต่ข้าวคุณภาพ เกรดพรีเมียม มียอดการจำหน่ายไม่สูงมากนัก”

ส่วนปี 2559 ผู้บริหารบริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด คาดว่า จะเป็นปีทองอุตสาหกรรมข้าวไทยในตลาดโลก

เนื่องจากสต๊อกข้าวของแต่ละประเทศเริ่มลดลง ไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทยเท่านั้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ทั่วทุกภูมิภาคของโลกเจอปัญหานี้เหมือนกันหมด ทำให้หลายประเทศที่เป็นผู้ผลิตข้าวได้ผลผลิตน้อยลง สต๊อกข้าวที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะบริโภคในประเทศ การส่งออกจะเริ่มน้อยลง ภาวะขาดแคลนข้าวจะเกิดตาม

ส่วนบ้านเรา ภัยแล้งที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังเท่านั้น…ข้าวนาปียังคงปลูกได้ เพียงแต่ปริมาณผลผลิตอาจไม่มากเหมือนปีก่อนๆ

วิกฤตินี้จึงเป็นโอกาสให้ไทยได้ส่งออกอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสระบายข้าวเก่า ขายข้าวใหม่ และคาดว่าแนวโน้มหลายประเทศจะหันมาซื้อข้าวไทยเพิ่ม ทำให้ราคาดีขึ้น

เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป นายฐิติ บอกว่า ที่ผ่านมาข้าวตราฉัตรจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆทุกปี อย่างปี 2557 ได้สร้างแบรนด์ข้าวกล้องสีสด ปี 2558 พัฒนากลุ่มข้าวญี่ปุ่น ส่วนปี 2559 มุ่งเปิดตลาดการส่งออกกลุ่มข้าวหอมมะลิในแถบ ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดใหญ่ของกลุ่มข้าวหอมมะลิ มีการนำเข้าเป็นอันดับ 1

นอกจากนั้นยัง มีแผนเปิดตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่มีกำลังซื้อกลุ่มใหม่ๆ อย่างตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศอาหรับ พร้อมทั้งปรับแผนกระตุ้นให้ตลาดกลุ่มนี้หันมากินข้าวหอมมะลิ แทนข้าวบาสมาติ

“ในตะวันออกกลางอย่างแถบซาอุดีอาระเบีย วันนี้ข้าวตราฉัตรส่งออกไปจำหน่ายมากเป็นอันดับ 1 เพียงแต่ว่ากลุ่มผู้บริโภคยังเป็นกลุ่มคนเอเชียที่ไปทำงานในตะวันออกกลาง ส่วนชาวอาหรับเพิ่งจะเริ่มหันมาให้ความสนใจข้าวหอมมะลิไทย หากเราสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคข้าวบาสมาติมาเป็นหอมมะลิได้ ผู้บริโภคกลุ่มนี้จะกลายเป็นตลาดใหญ่ด้านการส่งออกทันที”.

เพ็ญพิชญา เตียว

IUU Fishing คืนสุขท้องทะเลไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/556564

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 1 ม.ค. 2559 05:30

 

ไอยูยู…ไม่ใช่ฉัน และเธอๆ

IUU Fishing : Illegal Unreported and Unregulated fishing ระเบียบว่าด้วยการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม เป็นกฎของสหภาพยุโรป (EU) ที่ได้กําหนดมาตรการเพื่อป้องกันและขจัดการทําประมงผิดกฎหมายที่ไทยได้ไปทำข้อตกลงมา และสหภาพยุโรปได้ให้ไทยออกมาตรการทำประมงให้ถูกต้องมาตั้งแต่ 1 มกราคม 2553

แต่เพราะเรายังคิดทำกันแบบไอยูยู ฉันและเธอๆ ปล่อยปละเฉื่อยแฉะกันมานานร่วม 5 ปี… 21 เม.ย. 2558 คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป อดรนทนไม่ไหวลงมติภาคทัณฑ์ ให้ใบเหลืองกับประเทศไทย ผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับสามของโลก พร้อมคาดโทษ ต้องแก้ไขปัญหาให้เสร็จภายใน 6 เดือน…มิเช่นนั้นการส่งสินค้าประมงไปขายในสหภาพยุโรปไม่อาจจะทำได้อีกต่อไป

เม็ดเงินปีละหลายแสนล้านบาทที่ไหลเข้าประเทศ มีอันหายวับไปในพริบตา

ร้อนถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ต้องออกคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 10/2558 มีรายละเอียดแนวทางปฏิบัติ 23 ข้อ พร้อมอาศัยอำนาจตาม ม.44 ของ รธน.ชั่วคราว จัดตั้ง ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ศูนย์เฉพาะกิจขึ้นตรงกับนายกฯ โดยมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บัญชาการศูนย์ฯและให้เริ่มปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวมาตั้งแต่ 1 พ.ค. 2558

ด้วยคำสั่งนี้ ทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆเป็นไปอย่างไม่ชักช้า…ล่าสุดเดือนธันวาคมที่เพิ่งผ่านมา คณะผู้ตรวจด้านเทคนิคจากสหภาพยุโรป ได้ลงพื้นที่สุ่มตรวจการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งดูความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา IUU Fishing ของไทย พบว่า…การแก้ไขปัญหามีความคืบหน้าถึง 80%

ที่สำคัญตลอดระยะการปฏิบัติงานจริงตามกฎเหล็ก IUU เพียงแค่ 6 เดือน (ก.ค.–ธ.ค.) ส่งผลดีต่อทรัพยากรสัตว์น้ำได้ฟื้นตัวกลับมามีความอุดมสมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์…จนไม่น่าเชื่อว่าท้องทะเลไทยวันนี้ จะมีสัตว์น้ำมากมายถึงเพียงนี้.

สุไลมาน ดาราโอะ
ประธานชมรมประมงพื้นบ้าน ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี

“ต้องยอมรับมาตรการ IUU ช่วยให้พวกเราชาวประมงพื้นบ้านหากินได้ง่ายขึ้น มีปลามากขึ้นผิดกับช่วงก่อนหน้านี้ ทั้งที่เรามีการรวมกลุ่มกันจัดตั้งธนาคารปูม้า เอาปูม้าไข่ที่จับมาได้เพาะฟักลูกพันธุ์ เลี้ยงอนุบาลเอาไปปล่อยธรรมชาติ เพื่อเราจะได้จับมาขายเลี้ยงครอบครัว เราทำอย่างนี้มา 5 ปีแต่จับปูม้าได้แค่วันละ 1-2 กก.เท่านั้นเอง แถมแต่ละตัวยังมีขนาดเล็กไม่เกิน 2 ขีด”

แต่หลังมาทางการมีมาตรการเอาจริงกับการทำประมงผิดกฎหมายมาแค่ไม่กี่เดือน ปรากฏว่า เราจับปูได้เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 10-20 กก. ปูม้าที่จับได้ยังมีขนาดใหญ่ด้วย 3-4 ตัว ได้เป็นกิโล

ไม่เพียงเท่านั้น สัตว์น้ำหลายชนิดที่เราไม่เคยพบเห็นมานานแล้ว อย่างปลากระทุงเหวขนาดใหญ่น้ำหนักมากกว่า 10 กก. ที่ปกติจะไม่เคยเข้ามาหากินตามแนวชายฝั่งทะเล แต่ด้วยมาตรการควบคุมที่เข้มงวด ทำให้อาหารตามธรรม-ชาติมีเพิ่มมากขึ้น ปลาชนิดนี้ถึงเข้ามาหากินให้ชาวประมงพื้นบ้านจับได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

นอกจากนั้น ปลาโอ ขนาด 5 กก. กุ้งกุลาดำ ขนาด 2 ตัว 1 กก. ที่ไม่เคยจับได้มาก่อน…วันนี้มาตรการ IUU ช่วยให้ชาวประมงปะนาเระจับได้กันทุกวัน.

มานิต ดำกุล
นายกสมาคมประมงจังหวัดกระบี่

“เรื่องการทำประมงผิดกฎหมายทะเลอันดามันในพื้นที่กระบี่ เตรียมตัวมาเป็น 10 ปีแล้ว เราไม่อนุญาตให้มีโพงพาง อวนรุน อวนลากเดี่ยว อวนลากคู่ หรือแม้กระทั่งอวนล้อมปลากะตักก็ไม่อนุญาตให้เข้ามาทำในทะเลกระบี่ คนในพื้นที่ใครฝ่าฝืนพวกเราจัดการกันเองเลยทันที เริ่มตั้งแต่ออกประกาศเตือน ไล่จับส่งเจ้าหน้าที่ แต่ถ้าเป็นเรือนอกพื้นที่จะโดนมาตรการรุนแรงและเด็ดขาด จึงทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำการประมงผิดกฎหมายในพื้นที่นี้”

กระนั้นก็ตามมาตรการปราบปรามการทำประมงที่ผิดกฎหมายของรัฐบาล ยิ่งส่งผลดีกับชาวประมงกระบี่มากขึ้น สังเกตได้จากก่อนหน้ามีมาตรการ ชาวประมงต้องออกทะเลหากินกันตั้งแต่เที่ยงหรือบ่าย กว่าจะกลับเข้าฝั่งก็เป็นตอนเที่ยงของอีกวัน…ใช้เวลา 24 ชั่วโมงได้ปลามาแค่ค่าน้ำมันกับค่าครองชีพไปวันๆ

แต่ตอนนี้ไม่ต้องออกทะเลตั้งแต่เที่ยง ออกกันตอนเย็นๆ 7 โมงเช้าก็กลับเข้าฝั่งได้แล้ว ใช้เวลาแค่ 12 ชั่วโมง ได้กุ้ง หอย ปู ปลา มากกว่าเดิม 10–20% แถมยังได้ปลาที่ไม่ค่อยจับได้ อย่างปลาใบขนุน และปลาเต๋าเต้ย ที่มีราคาสูงถึง กก.ละ 600–700 บาท กลับมาขายมีเงินเก็บไว้เลี้ยงครอบครัวได้ทุกวัน.

แน่งน้อย ยศสุนทร
ผู้ก่อตั้งกลุ่มนักดำน้ำ SAVE OUR SEA (SOS)

“เราเป็นกลุ่มนักดำน้ำอาสาสมัครทำงานสำรวจและดูแลปกป้องทรัพยากรสัตว์น้ำใต้ทะเลร่วมกับกรมประมงมานานกว่า 14 ปี ก่อนหน้านี้ใต้ทะเลจะมีเศษอวนถูกตัดทิ้งติดตามแนวปะการังเป็นจำนวนมาก ปีๆหนึ่ง เราดำน้ำเก็บมาได้หลายร้อยกิโล แต่หลังจากทางการเอาจริงเอาจังเรื่อง IUU การดำน้ำในช่วงหลังมานี่ เราแทบไม่พบเศษซากอวนติดตามแนวปะการังเลย แสดงว่ามาตรการนี้ได้ผล เรืออวนลากไม่กล้าเข้าทำประมงใกล้ชายฝั่งของเกาะเลยไม่มีเศษอวนมาติดปะการังให้เห็น”

ส่งผลให้ปะการังในหลายพื้นที่ฟื้นตัวได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น สัตว์น้ำหลายชนิดที่ชมรมนักดำน้ำ SOS ยากจะได้พบเห็นในแนวปะการัง ได้กลับมาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะปลาเศรษฐกิจ อย่างเช่นปลาข้างเหลือง ปลากะตัก ปลาทู ปลาเก๋า ที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีให้เห็นเลย เพราะถูกชาวประมงจับไปหมด

นอกจากนั้น การเดินสำรวจพื้นที่ริมชายฝั่งทะเล เรายังพบสัตว์หน้าดิน เช่น กุ้ง หอย ปู ฯลฯ มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อย่างชายฝั่งทะเลโคลน จ.สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เดิมเวลาน้ำลงเราแทบไม่ได้เห็นสัตว์หน้าดินเหล่านี้โผล่ขึ้นมาให้เห็นเลย เพราะมีการใช้อวนลากติดชิดชายฝั่ง

แต่เมื่อมีมาตรการคุมเข้มไม่ให้ใช้อวนลากที่ทำลายล้างสัตว์หน้าดินไปจนหมดสิ้น เลยส่งผลให้กุ้ง หอย ปู ได้มีเวลาพักฟื้นตัวและขยายพันธุ์ จนปรากฏกายมาให้เห็นชีวิตใหม่ที่ก่อกำเนิดกระจายไปทั่ว ตลอดแนวชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน.

วิมล จันทรโรทัย
อธิบดีกรมประมง

“ที่ผ่านมาเราปล่อยให้มีการทำประมงแบบอิสระเสรีกันมานาน ส่งผลให้ทรัพยากรสัตว์น้ำในท้องทะเลเจริญเติบโตไม่ทันการนำไปใช้ประโยชน์ พอวันนี้เรามาบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและให้สมดุลกับทรัพยากรที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้เป็นธรรมดาย่อมส่งผลกระทบกับชาวประมงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ล่าสุดมีการออกพระราชกำหนดที่เข้มงวดมากขึ้น ถึงขั้นยึดเรือ จับผู้ฝ่าฝืนดำเนินคดี และฟ้องร้องทางแพ่งเป็นเงินมากกว่า 30 ล้านบาท จึงกลายเป็นกฎเหล็กที่ไม่มีใครกล้าที่จะฝ่าฝืน หรือจะหลีกเลี่ยงก็กระทำได้ยาก”

แต่อย่างไรก็ตาม กฎเหล็กที่ได้ปฏิบัติมาไม่กี่เดือน ปรากฏว่า สัตว์ทะเลฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เห็นจากการเก็บข้อมูลเป็นระยะๆ ของศูนย์ Port In-Port Out หรือ PIPO ที่สำรวจปริมาณสัตว์น้ำถูกขึ้นท่าเทียบเรือสะพานปลาของกองประมงทะเล พบว่า ชาวประมงจับสัตว์น้ำได้มากขึ้นทั้งในฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน

ในฝั่งอ่าวไทย ก่อนหน้าจะบังคับใช้กฎเหล็ก IUU เรืออวนลากเดี่ยวจับปลาได้เฉลี่ยวันละ 26.11 กก. เรืออวนลากคู่จับปลาได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 144.66 กก. เรืออวนล้อมซั้งจับปลาได้เฉลี่ยวันละ 2,404 กก.

แต่หลังมีการใช้กฎเหล็ก (ก.ย.–ต.ค.58) เรืออวนลากเดี่ยวสามารถจับปลาได้เฉลี่ยวันละ 36.21 กก. และเรืออวนลากคู่จับได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 159.74 กก. เรืออวนล้อมซั้งจับปลาได้เฉลี่ยวันละ 3,239 กก.

ส่วนในฝั่งอันดามัน ก่อนบังคับใช้มาตรการควบคุม เรืออวนลากเดี่ยวจับปลาได้เฉลี่ยวันละ 55.63 กก. เรืออวนลากคู่จับปลาได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 141.42 กก. เรืออวนล้อมซั้งจับปลาได้เฉลี่ยวันละ 3,056 กก.

หลังบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบเด็ดขาด (ก.ย.–ต.ค.58) เรืออวนลากเดี่ยวจับปลาได้เฉลี่ยวันละ 70.48 กก. เรืออวนลากคู่จับได้เฉลี่ยวันละ 118.41 กก. เรืออวนล้อมซั้งจับปลาได้เฉลี่ยวันละ 3,806 กก.

จากตัวเลขนี้ จะเห็นได้ว่า ผลของการบังคับใช้กฎเหล็กอันเข้มงวดเพียงแค่ไม่กี่เดือน ช่วยให้ชาวประมงทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน สามารถจับปลาได้ปริมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 30%…ไม่เพียงเท่านั้นปริมาณปลาที่จับได้มากขึ้นนี้มาจากการจับปลาที่ใช้ระยะเวลาน้อยกว่าเดิม 2-5 วันอีกด้วย.

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

“เป็นธรรมดาที่มาตรการนี้จะทำให้ชาวประมงพื้นบ้านจับปลาได้มากขึ้น เพราะเดิมทีการจับในบ้านเรา ประมงพื้นบ้านจับปลาได้แค่ 10% เท่านั้น เรือประมงขนาดกลางจะจับได้ 20% ส่วนอีก 70% จะเป็นของเรือประมงพาณิชย์ ขนาด 60 ตันกรอสขึ้นไป”

แต่เมื่อมีมาตรการ IUU ออกมาบังคับใช้ ทำให้เรือประมงขนาดใหญ่ที่ทำผิดกฎหมายทั้งหลายไม่อาจออกทะเลหาปลาได้ สัตว์น้ำส่วนใหญ่เลยรอดพ้นจากการถูกจับ เหลือมาให้ชาวประมงพื้นบ้านจับได้มากขึ้นเท่านั้นเอง จึงกลายเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

ประกอบกับท้องทะเลอ่าวไทยของเรามีลักษณะพิเศษที่ช่วยให้สัตว์น้ำมีการฟื้นตัวได้รวดเร็ว ติดอันดับ 1 ใน 17 แห่งของโลก เพราะมีแม่น้ำหลัก 5 สาย ประกอบด้วย แม่น้ำโขง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปี ไหลลงไปรวมกันอยู่ในอ่าวเดียว

แม่น้ำทั้ง 5 สาย นำพาธาตุอาหารอันอุดมสมบูรณ์มาหล่อเลี้ยงสัตว์น้ำตลอดเวลา ถ้าเรารักษากฎ IUU ได้เข้มแข็งอย่างนี้ และช่วยกันรักษากติกาไว้ให้ดี ไม่หวนกลับไปทำประมงแบบทำลายล้างอีก ภายใน 2 ปีสัตว์น้ำในอ่าวไทยก็จะฟื้นตัวได้สมบูรณ์เหมือนเมื่อ 30 ปีที่แล้วอย่างแน่นอน.

ทีมข่าวเกษตร

มหัศจรรย์..ข้าวสังข์หยด ของขวัญปีใหม่..มนุษย์ล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/555737

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 ธ.ค. 2558 06:01

 

ข้าวสังข์หยด…หนึ่งในพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของไทย ที่มากด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ไม่เพียงแค่กินอิ่มให้พลังงาน ยังอุดมไปด้วยสารสำคัญที่ช่วยป้องกันโรคร้ายได้หลายชนิด โดยเฉพาะมะเร็ง ศัตรูตัวร้ายของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

แต่วันนี้…ข้าวสังข์หยด หาได้มีสรรพคุณแค่นั้น

นับเป็นข่าวดี ต้อนรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ นักวิจัยไทยสามารถนำข้าวสังข์หยดมาใช้รักษาอาการผมร่วง และกระตุ้นให้ผม ใหม่งอกขึ้นได้เป็นครั้งแรกของโลกก็ว่าได้

 

“อาการผมร่วงมักจะเกิดขึ้นในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งฮอร์โมนเพศชาย สภาวะเครียดส่งผลให้หลอดเลือดตีบ เลือดไปเลี้ยงผมได้น้อยลง รวมถึงการแพ้สารเคมีบางชนิด หรือแม้แต่วัย ทุกอย่างเป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงได้ทั้งนั้น”

ดร.ณัตฐาวุฒิ ฐิติปราโมทย์ หัวหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อปกป้องและส่งเสริมสุขภาพ สำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เผยว่า การรักษาอาการเหล่านี้ส่วนมากจะใช้สารเคมี แต่มักมีผลข้างเคียงทำให้ผู้ชายบางคนเกิดอาการเสียศูนย์ นกเขาไม่ขันตามมา

แต่จากศึกษาข้อมูลงานวิจัยในประเทศญี่ปุ่นพบว่า เมล็ดองุ่น เมล็ดแอปเปิ้ล มีสารออกฤทธิ์ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ซึ่งในบ้านเราเริ่มมีการนำเข้าสารตัวนี้เข้ามาใช้รักษาอาการผมร่วง หัวล้านกันบ้างแล้ว

ในเมื่อประเทศไทยเป็นเมืองเกษตร มีสารพัดพันธุ์พืชเต็มไปหมด ดร.ณัตฐาวุฒิจึงตั้งโจทย์คิดวิจัยพืชพันธุ์บ้านเราน่าจะมีสารกลุ่มเดียวกันกับในเมล็ดองุ่น แอปเปิ้ล…ผลการศึกษาในเบื้องต้นพบว่า ในข้าวสีดำและสีแดงจะมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีฤทธิ์ต้านผมร่วงเหมือนกัน

จึงคิดโครงการวิจัยศึกษาฤทธิ์กระตุ้นการเจริญของเส้นผมในสารสกัดข้าวสีและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ป้องกันผมร่วงจากสารสกัดจากข้าว โดยมีสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) สวก. และสำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนวิจัย

สารสกัดที่ได้จากข้าวสังข์หยด

เริ่มต้นด้วยการนำข้าวทั้งสีดำ สีแดง สารพัดพันธุ์ที่มีอยู่ในบ้านเรา มาตรวจวิเคราะห์หาปริมาณสารสำคัญ ดังว่า เพื่อเปรียบเทียบว่าข้าวพันธุ์ไหนให้ปริมาณสารสำคัญ มากที่สุด

ในที่สุด ได้คำตอบ…ข้าวสังข์หยดมี สารชีวภาพต้านผมร่วง สูงสุด

เมื่อนำสารที่สกัดมาได้ไปทดสอบในห้องปฏิบัติการกับหนูทดลอง…ขนหนูงอกขึ้นได้เร็ว โดยไม่ทำให้เซลล์ตาย เลยมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัยกับเซลล์หนังศีรษะของคน

“ข้าวสังข์หยดที่ใช้ เรานำมาจากวิสาหกิจชุมชนที่มีการรับรองพันธุ์ เอาทั้งเมล็ดมาสกัดด้วยตัวทำละลายหลายชนิด กว่าจะได้สารสำคัญออกมา ต้องใช้เวลาสกัดนานถึง 2 สัปดาห์ และข้าวสารสังข์หยด 1 กก. สกัดออกมาแล้วจะได้สารมากระตุ้นเซลล์รากผมให้ทำงานแค่เพียง 1-3% ของน้ำหนัก หรือประมาณ 10-30 กรัมเท่านั้นเอง สารสำคัญที่ได้นำมาผสมใส่ในแชมพู ครีมนวดผม และแฮร์โทรนิค”

จากนั้นนำมาทดสอบในอาสาสมัครชายที่มีปัญหาผมร่วงต่อเนื่องเสี่ยงศีรษะล้าน 60 คน โดยให้สระผม ใช้ครีมนวด และใส่แฮร์โทรนิค เช้า-เย็น ทุกวัน…หลังใช้ไป 1 เดือน ปรากฏผล จำนวนเส้นผมของกลุ่มอาสาสมัครเริ่มงอกขึ้น การเห็นหนังศีรษะน้อยลง

2 เดือนผ่านไป ปริมาณเส้นผมเริ่มหนาขึ้น

3 เดือน ผมขึ้นจำนวนมากจนมองไม่เห็นหนังศีรษะ

 

การทดสอบในผู้ชายได้ผลเป็นที่น่าพอใจ…นำไปทดสอบในกลุ่มผู้หญิงที่มีปัญหาผมร่วง ใช้วิธีเดียวกับกลุ่มชาย คือ ให้สระผม ใช้ครีมนวด และใส่แฮร์โทรนิค เช้า-เย็น ทุกวัน…เพียงแค่ 15 วัน อาการหลุดร่วงเส้นผม จากเดิมใช้วิธีหวีผม 50 ครั้ง เส้นผมหลุดร่วง 50-100 เส้นต่อวัน ลดลงเหลือแค่ 5-10 เส้นเท่านั้นเอง

บรรดาผู้มีปัญหาผมร่วง ศีรษะกำลังเข้าสู่ภาวะใกล้ล้าน ที่เกรงกลัวใช้สารเคมีรักษาจะมีผลทำให้นกเขาสัปหงก ไม่ขยันขันตามมา นับแต่นี้คลายกังวลได้เพราะสารสกัดจากข้าวสังข์หยด เป็นสารชีวภาพจากธรรมชาติ ปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง ไม่เหมือนสารเคมีของฝรั่ง

มั่นใจได้ ผมขึ้นได้แบบจูจุ๊กกรู.

ทีมข่าวเกษตร