สับปะรดแปลงใหญ่บ้านคา ต้นแบบแปลงดินเลวให้มีค่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 4 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/680497

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เผยว่า นโยบายขับเคลื่อนการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยรวมกันผลิตสินค้าเพื่อต้นทุน เพิ่มผลผลิต ให้สามารถแข่งขันได้ สำหรับพื้นที่ ต.หนองพันจันทร์ อ.บ้านคา จ.ราชบุรี เป็นพื้นที่ปลูกสับปะรดพันธุ์ปัตตาเวีย แหล่งใหญ่ที่มีชื่อเสียง เป็นอีกพื้นที่ที่มีการรวมกันทำเป็นแปลงใหญ่ต้นแบบสับปะรด มีสมาชิก 82 ราย พื้นที่ 1,014 ไร่ ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ

“แม้ที่นี่จะมีความเหมาะสมน้อยสำหรับสับปะรด เพราะมีการชะล้างพังทลายของดิน อยู่นอกเขตชลประทาน ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ผลผลิตที่ได้ต่ำ แต่เนื่องจากสับปะรดของบ้านคา มีจุดเด่น เนื้อสีเหลืองสวย รสชาติหวาน อร่อย ไม่กัดลิ้น ตลาดต้องการสูง จึงมีการแก้ปัญหาพื้นที่ให้มีเหมาะสม ด้วยการเตรียมดิน ไถขวางความลาดชันของพื้นที่ ปลูกสับปะรดขวางแนวลาดชันเพื่อลงการชะล้าง พร้อมกับปรับปรุงดินด้วยปอเทืองก่อนปลูก ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ จัดการระบบให้น้ำในแปลงปลูก และจัดตั้งศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร อ.บ้านคา จ.ราชบุรี เป็นศูนย์กลางให้ความรู้ด้านการพัฒนาการจัดการเทคโนโลยีการผลิตสับปะรดกับเกษตรกร โดยมีหน่วยงานภาครัฐภายใต้กระทรวงเกษตรฯ 11 หน่วยงานให้การสนับสนุน” รมว.เกษตรและสหกรณ์กล่าว

ด้าน นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวถึงจุดเด่นของแปลงใหญ่ต้นแบบสับปะรดบ้านคา และศูนย์เรียนรู้ฯ ว่า มุ่งเน้นการผลิตสับปะรดให้ได้คุณภาพ โดยดำเนินการใน 4 ด้าน คือ ลดต้นทุนการผลิตด้วยวิธีการผลิตที่เหมาะสม การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ใช้หน่อจุกพันธุ์คุณภาพดีจำนวนที่เหมาะสมและการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง 38.5% จากเดิมมีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ กก.ละ 6.50 บาท ลดลงเหลือ 4.00 บาท

“ส่วนการเพิ่มผลผลิตด้วยระบบให้น้ำแบบสปริงเกอร์และระบบน้ำพุ่งและเพิ่มจำนวนต้นต่อไร่ จากเดิมปลูกสับปะรดไร่ละ 7,500 ต้น เป็น 10,000 ต้น ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 66.7% จากเดิมได้ผลผลิตไร่ละ 4.8 ตัน เพิ่มเป็น 8 ตัน และยังมีการเพิ่มมูลค่าด้วยการรับรองคุณภาพมาตรฐาน GAP การใช้บรรจุภัณฑ์ใส่โฟมกันกระแทก เพื่อลดความเสียหาย พร้อมกับสร้างตราสินค้าสับปะรดบ้านคา ส่งผลให้สับปะรดมีราคาเพิ่มขึ้น จากเดิมผลสดได้ราคาผลละ 10 บาท เพิ่มเป็น 50 บาท” อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรกล่าว.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

“มะนาวพันธุ์สีคิ้ว 1” กับที่มาพันธุ์ใหญ่ทนโรค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 4 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/680326

มะนาวชนิดนี้ เชื่อว่าเป็นมะนาวกลายพันธุ์ที่เกิดจากการปลูกด้วยเมล็ดของมะนาวชนิดหนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าชื่อพันธุ์อะไร โดยต้นแรกหรือต้นแม่อยู่ที่ อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา จากนั้นมีผู้นำเอากิ่งตอนไปปลูกในพื้นที่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา และเรียกชื่อว่า “มะนาวพันธุ์สีคิ้ว 1” เรื่อยมานานกว่า 30 ปีแล้ว แต่ไม่เป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากจะปลูกกันเฉพาะถิ่นหรือเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ต่อมา “คุณบุญลือ สุขเกษม” เกษตรกรมือดี ได้นำกิ่งตอนของมะนาวดังกล่าวจำนวน 50 กิ่ง ไปปลูกในไร่ตัวเองที่ ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ปรากฏว่ามีดอกและติดผลได้ดี ผลมีขนาดใหญ่ ต้นทนทานต่อโรคแมลงหรือโรคแคงเกอร์ได้ดีมาก แทบไม่ต้องฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเลย จึงขยายพันธุ์ตอนกิ่งขายได้รับความนิยมแพร่หลายในเวลานี้

มะนาวพันธุ์สีคิ้ว 1 มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะนาวทั่วไปทุกอย่างคือ เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อน มีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียวออกเรียงสลับ รูปไข่ รูปวงรี หรือรูปไข่แกมขอบขนาน เนื้อใบมีจุดน้ำมันกระจายทั่ว ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆหรือเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมเย็น ร่วงง่าย “ผล” เป็นผลสด กลมเกลี้ยง ฉ่ำน้ำ ผลมีขนาดใหญ่เท่ากับผลมะนาวแป้นสายพันธุ์ที่มีผลใหญ่ทั่วไป เปลือกผลค่อนข้างหนา มีเมล็ด ให้น้ำเยอะและน้ำรสเปรี้ยวจัดมีกลิ่นหอมแรง ต้นทนต่อโรคแมลงหรือโรคแคงเกอร์สูงตามที่กล่าวข้างต้น ติดผลได้เรื่อยๆ ไม่ขาดต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ใคร ต้องการกิ่งตอนพันธุ์แท้ที่ขยายพันธุ์ด้วยระบบเสียบยอด ติดต่อ “คุณบุญลือ สุขเกษม” 5/2 หมู่ 2 ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โทร.08-7843-9920, 08-6618-1453 หรือที่งานเกษตรภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ล็อกซี 1/3-18, 19 ระหว่างวันที่ 12-22 ส.ค.59 และงานเกษตรแฟร์ อ่าวอุดม จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 26 ส.ค.-4 ก.ย.59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

ผักบุ้งจีนเตรียมรับ…ราสนิมขาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 4 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/680328

สภาพอากาศชื้น ฝนตกชุก และมีหมอกในตอนเช้า กรมวิชาการเกษตร เตือนเกษตรกรผู้ปลูกผักบุ้งจีนให้เฝ้าระวัง…โรคราสนิมขาว ที่สามารถพบได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของผักบุ้งจีนอาการเริ่มแรก จะพบจุดสีเหลืองซีดที่ด้านบนของใบ ใต้ใบมีตุ่มนูน สีขาวขนาดเล็ก หรือมีปื้นสีขาวขนาดใหญ่โป่งพองออกเป็นปุ่มปม พบได้ทั้งที่ก้านใบและลำต้น หากระบาดรุนแรง แผลจะไหม้ ใบแห้ง และร่วงหล่น… รวมทั้งอาจพบปุ่มปมหรือบวมตามข้อและโคนต้นใบบิดเบี้ยว หรือหยิกเป็นคลื่นระยะนี้เกษตรกรควรหมั่นทำความสะอาดกำจัดวัชพืชและเก็บเศษซากพืชส่วนที่เป็นโรคออกไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ…สำหรับแปลง ที่เกิดโรคระบาด ควรงดการให้น้ำแบบพ่นฝอย และ ไม่ควรให้น้ำจนชื้นแฉะเกินไป อีกทั้งเกษตรกรควร ตรวจใบล่างของผักบุ้งจีนในแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอหากพบโรค ให้ตัดส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก…กรณีที่โรคยังระบาดอยู่ ให้เกษตรกรพ่นด้วยสารเมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร สลับกับสารแมนโคเซบ 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20-30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นให้ทั่วด้านใต้ใบ ทุก 7 วัน

และหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตผักบุ้งจีนเรียบร้อยแล้ว ให้เกษตรกรเก็บเศษซากพืชส่วนที่หลงเหลือในแปลง ไปเผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที

ก่อนปลูกผักบุ้งจีนในฤดูถัดไป ควรเตรียมดินด้วยการไถกลบพลิกหน้าดินให้ลึก ให้ดินได้ตากแดดนานหลายๆวัน และไถกลบพลิกหน้าดินซ้ำอีกครั้ง เพื่อทำลายเชื้อรา สาเหตุของโรคและป้องกันการสะสมของเชื้อสาเหตุของโรคในดิน จากนั้นหว่านปูนขาวปรับสภาพดิน อัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ และไถกลบอีกครั้งทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนปลูก วิธีนี้จะสามารถช่วยลดการเกิดโรคราสนิมขาวได้

สำหรับพื้นที่มีการระบาดรุนแรง เกษตรกรควรปลูกพืชชนิดอื่นสลับหมุนเวียนอย่างน้อย 2–3 ปี และควรเลือกใช้เมล็ดพันธุ์จากแหล่งที่ปราศจากโรค และควรคลุกเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งจีนก่อนปลูกด้วยสารเมทาแลกซิล 35% ดีเอส อัตรา 7 กรัม ต่อเมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม และไม่ควรหว่านเมล็ดพันธุ์แน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความชื้นสูง อากาศไม่ถ่ายเท จะทำให้การระบาดของโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว.

“สะ–เล–เต”

แม่โจ้..ไม้ดอกพันธุ์ใหม่ ปทุมมาผสมกระเจียว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 3 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/679583

นับเป็นข่าวดี เมืองเกษตรประเทศไทย มีดอกไม้พันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นมาในวงการ เมื่อนักวิจัยภาควิชาพืชสวน คณะ ผลิตกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ประสบความสำเร็จในการนำไม้ดอกตระกูลขิงต่างสายพันธุ์มาผสมข้ามไปมาระหว่าง “ปทุมมา” กับ “กระเจียว” ได้ไม้ดอกพันธุ์ใหม่เป็นครั้งแรกของโลก

“เนื่องจากตลาดส่งออกไม้ดอกของบ้านเรา มีปัญหาผลผลิตดอกปทุมมา หรือดอกบัวสวรรค์ มีความหลากหลายทางสายพันธุ์ต่ำ ดอกสีสันไม่สวยงาม ไม่แข็งแรง ส่งออกไปต่างประเทศได้ไม่มาก ทั้งที่ตลาดต้องการสูง ทำให้ส่งออกไปได้แค่ปีละ 200 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งที่น่าจะได้มากกว่านี้ เพราะตลาดญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อิสราเอล อิตาลี จีน ต้องการมาก เราเลยต้องคิดหาวิธีทำให้ดอกปทุมมา มีความหลากหลายมากขึ้น กลีบดอกใหญ่ หนา แข็งแรง มีสีสันสวยงามสะดุดตามากยิ่งขึ้น เพื่อให้การส่งออกไปต่างประเทศ ไม่บอบช้ำในระหว่างการขนส่ง”

ผศ.ดร.เฉลิมศรี นนทสวัสดิ์ศรี หัวหน้าทีมวิจัย ม.แม่โจ้ เผยถึงที่มาของการนำดอกปทุมมา ไม้ดอกเมืองร้อน ที่กระจายอยู่ในหลายประเทศ มาผสมกับดอกกระเจียว พืชท้องถิ่นของบ้านเราเนื่องจากดอก กระเจียวมีจุดเด่นในเรื่องมีสีสันสวยงาม ทนนาน และเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกับดอกปทุมมา…ปี 2554 จึงได้นำเทคโนโลยีการผสม ข้ามสายพันธุ์มาทดลองใช้

ปรากฏว่า 5 ปีที่ผ่านมา ปรากฏผลได้ไม้ดอกลูกผสม ปทุมมา+ กระเจียว กว่า 200 สายพันธุ์ แต่อยู่ระหว่างการคัด สายพันธุ์มาตั้งชื่อ เพื่อทำการขึ้นทะเบียนพันธุ์ใหม่ และเตรียมส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปปลูกเพื่อประกอบ อาชีพพร้อมหาผู้ร่วมลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเพื่อผลิตในเชิงพาณิชย์ สำหรับต่อยอดในการผลิตเพื่อส่งออก โดยมี ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นตัวกลางในการติดต่อประสานงาน

สำหรับปทุมมาผสมกระเจียวสายพันธุ์ใหม่ ที่มีการตั้งชื่อไปแล้วในบางส่วน 3 สายพันธุ์ แม่โจ้อิมเพรส (สีบานเย็น) ลักษณะพิเศษ กลีบดอกสีสันสดใส กลีบหนา จำนวนกลีบมากกลีบ ใบสมดุลกับดอก สามารถนำไปใช้เป็นไม้กระถาง และไม้ตัดดอก….แม่โจ้สวีท (สีชมพูอ่อน) มีอายุการปักแจกันนาน…แม่โจ้อีลิท (ดอกลาย) ดอกมีสีสัน สวยงาม แปลกตา กลีบดอกหนา ช่อดอกมาก แตกกอเก่ง เหมาะทั้งเป็นไม้กระถาง และไม้ตัดดอกเกษตรกรสนใจ ติดต่อศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ ได้ที่ 0-5387-5635 หรือ 08-1819-6901.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน

 

Q food good for Mom

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 3 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/679308

ถึงสิงหา เดือนของแม่ รักแม่…เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ดุจเดือน ศศะนาวิน ยกทีมงานมาเยี่ยมเยือนประชาสัมพันธ์โครงการ “Q food good for Mom” ในช่วงเทศกาลวันแม่ เพื่อลูกๆจะได้เลือกซื้อสินค้าใส่ใจสุขภาพเป็นของขวัญแทนใจ ตอบแทนพระคุณแม่ที่ห่วงใยสุขภาพเรามาตั้งแต่เล็กจนโต

สินค้ามีตรา “Q” มั่นใจได้ เพราะกว่าจะได้ตัวคิวมา เกษตรกรไม่เพียงจะต้องได้รับการตรวจยืนยันรับรองการทำเกษตรแบบ GAP ตามหลักสากล ที่มีเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบแปลงตั้งแต่ปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยว 2-3 ครั้ง ใบอนุญาตมีวันหมดอายุ พืชผักพืชล้มลุกมีอายุรับรอง 2 ปี ต้องยื่นขอใบรับรองใหม่ ส่วนไม้ผล มีอายุ 3 ปี และไม่ใช่ให้แล้วให้เลย มีเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจทุกปี

แค่นั้นไม่พอ ถึงจะได้ตัวคิว ก่อนสินค้าจะถูกนำไปวางจำหน่ายตามซุปเปอร์มาร์เกต โมเดิร์นเทรด ยังต้องผ่านการตรวจสอบสารพิษตกค้างของทางห้างอีกครั้ง…ฉะนั้นรับประกัน สินค้าที่มีสัญลักษณ์ตัวคิว ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ มั่นใจในความปลอดภัยได้ และผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งที่มา จากการสแกน QR Code ทำให้เรารู้ได้ตั้งแต่ชื่อเกษตรกร ชื่อฟาร์ม แหล่งปลูกอยู่ที่ไหน

หรือจะพาแม่ไปทานอาหารในร้าน ภัตตาคาร ใช้วัตถุปลอดภัย มกอช.มีบริการให้เสาะหาได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้มือถือสมาร์ทโฟน สแกนบาร์โค้ด Q Restaurant Application เราสามารถหาร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบปลอดภัยได้มาตรฐานสินค้าเกษตร Q ที่อยู่ใกล้บ้านได้ด้วย

ส่วนที่มีเอ็นจีโอบางกลุ่มออกมาแถลงข่าว สินค้าตัวคิวมีสารพิษ สารเคมีตกค้าง ไม่ต้องกังวล นอกจากทางการจะมีระบบตรวจสอบเป็นระยะแล้ว ข้อเท็จจริงที่เขานำมาแถลงนั้นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะการตรวจสอบสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้า Q มาตรวจวิเคราะห์สารตกค้าง ปี 2559 ได้ทำไปแล้ว 1,500 ตัวอย่าง พบมีเพียง 7 ตัวอย่าง หรือ 0.46% เท่านั้นที่มีสารตกค้างเกินค่ามาตรฐาน

ส่วนอีก 99.54% ยังได้มาตรฐานความปลอดภัย…รักแม่ เพื่อแม่ มอบสินค้าตัว “Q”.

สะ–เล–เต

 

“มะม่วงไข่มุกแดงใหม่” ใหญ่แก่มันสุกหวาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 3 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/679302

มะม่วงชนิดนี้ เป็นพันธุ์ใหม่ล่าสุดของประเทศไต้หวัน ที่ถูกพัฒนาพันธุ์ขึ้นโดยเกษตรกรมืออาชีพ ชาวไต้หวันหลายวิธี จนได้มะม่วงสายพันธุ์ใหม่และได้ปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่เป็นเวลานานและหลายวิธี ปรากฏว่าทุกอย่างยังคงที่มั่นใจว่าเป็นพันธุ์แท้และพันธุ์ใหม่ถาวรแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อว่ามะม่วงหงจู หรือมะม่วงไข่มุกแดง มีด้วยกันหลายเบอร์ แต่เป็นที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ มะม่วงไข่มุกแดงที่มีผลขนาดใหญ่ หรือเรียกว่า “มะม่วงไข่มุกแดงใหม่” ดังกล่าว

มะม่วงไข่มุกแดงใหม่ มีชื่อวิทยาศาสตร์และลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมะม่วงไต้หวันทั่วไปทุกอย่าง ต้นสูงเต็มที่ระหว่าง 3-5 เมตรเท่านั้น มีความโดดเด่นของสายพันธุ์คือผลจะมีขนาดใหญ่มาก มีน้ำหนักเฉลี่ยเมื่อผลโตเต็มที่ประมาณ 1.5-3 กิโลกรัมต่อผล เป็นสายพันธุ์ที่มีดอกติดผลดกเต็มต้นตามฤดูกาล สีของเปลือกผลจะเป็นสีแดงเข้มตลอดทั้งผลตั้งแต่ผลยังเล็กอยู่ เวลาติดผลดกเต็มต้นผลห้อยลงจะสวยงามน่าชมยิ่ง เนื้อผลดิบหรือแก่ ยังไม่ถึงสุกจะมีรสมันหวานกรอบรับประทานเป็นมะม่วงมันเปล่าๆ หรือฝานจิ้มพริกเกลือป่นน้ำปลาหวานได้เลย เนื้อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม เนื้อละเอียดเหนียวไม่มีเสี้ยน ไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้ เมล็ดเล็กและลีบบาง ให้เนื้อเยอะ รสชาติหวานหอมรับประทานอร่อย ไม่แพ้มะม่วงกินสุกทั่วไป ติดผลดกปีละ ครั้งตามฤดูกาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด

ใคร ต้องการกิ่งตอนแท้ที่ขยายพันธุ์ ด้วยระบบเสียบยอดกับตอของมะม่วงแก้วพื้นเมืองของไทยที่เกิดจากการเพาะด้วยเมล็ด มีรากแก้วดีทุกกิ่ง ทำให้ปลูกแล้วเติบโตเร็ว ลำต้นแข็งแรงทนต่อโรคได้ดี ให้ผลิตผลหลังปลูก 2-3 ปีเท่านั้น ติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.เมือง จ.ชลบุรี โทร.08-8533-2299 หรือที่งานไทยแลนด์ เบส ช็อปปิ้งแฟร์ อิมแพค เมืองทองธานี บูธ “สวนประภาสไม้ผล” ระหว่างวันที่ 6-14 ส.ค.59 ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนหรือปลูกเพื่อเก็บผลขายได้คุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

 

ยุทธศาสตร์น้ำ…รอแค่บูรณาการ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 2 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/678337

โครงการพัฒนาแหล่งน้ำกับป่า ดูเหมือนจะเป็นไม้เบื่อไม้เบา…ทั้งๆน้ำกับป่าเป็นของคู่กัน “น้ำสร้างป่า ป่าให้น้ำ” มาตั้งแต่มีโลกใบนี้เกิดขึ้นก็ว่าได้

โครงการอ่างเก็บน้ำแม่สาย จ.แพร่ เป็นอีกหนึ่งโครงการภายใต้ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (2558-2563) ที่ก่อสร้างเสร็จและเริ่มกักเก็บน้ำในปีนี้ได้เป็นปีแรก…ใช้ระยะเวลายาวนานถึง 27 ปี

เริ่มจากปี 2531 ชาวบ้านร้องขอให้สร้างที่ อ.สูงเม่น จ.แพร่ แต่เมื่อ กรมชลประทานตรวจสภาพภูมิประเทศ บริเวณที่ชาวบ้านเสนอมา ไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นสภาพลำห้วยมีตลิ่งสูงใกล้เคียงพื้นที่เพาะปลูก ค่าก่อสร้างสูง จึงหาพื้นที่อื่น ปรากฏว่าบริเวณห้วยแม่สายเหนือฝายท่าช้าง อ.เมืองแพร่ มีความเหมาะสมมากกว่า จึงได้ทำการศึกษารายงานเบื้องต้น ปี 2540 จัดทำ รายงานโครงการ หลังจากทำเรื่องขอใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ 614 ไร่ ปี 2552 จึงเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้แล้วเสร็จในปี 2558

“ลำน้ำแม่สาย เป็นสาขาของลุ่มน้ำยม มีน้ำท่าเฉลี่ยต่อปี 44 ล้าน ลบ.ม. แต่อ่างฯแม่สาย มีความจุ 10.5 ล้าน ลบ.ม. หรือ 25% ของน้ำท่า เพราะถ้าสร้างใหญ่กว่านี้ จะกระทบพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาและขออนุญาตใช้พื้นที่นานกว่านี้ จึงพิจารณาลดระดับการกักเก็บเพื่อลดผลกระทบ โดยจะใช้ระบบการบริหารจัดการน้ำมาควบคุมแทน ในอนาคตหากทุกฝ่ายร่วมมือกัน มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มการกักเก็บด้วยการเสริมทางระบายน้ำล้นให้สูงขึ้น ซึ่งได้ออกแบบรองรับไว้แล้ว หรือใช้วิธีผันน้ำส่วนเกินไปเก็บไว้ที่อื่น เช่น อ่างเก็บน้ำอื่นๆ แก้มลิง บึง สระต่างๆ เพื่อใช้น้ำที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด”

และตามยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน บอกว่า จะต้องเพิ่มพื้นที่ชลประทาน 8.7 ล้านไร่ เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้ได้ 4,800 ล้าน ลบ.ม. การจะดำเนินงานให้ได้ตามยุทธศาสตร์ จะต้องทำงานอย่างบูรณาการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่กรมชลประทานดำเนินงานเพียงหน่วยงานเดียว เพราะนี่เป็นนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ

การเพิ่มน้ำต้นทุนภายในระยะเวลา 12 ปี กรมชลประทานได้วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการนำมาปฏิบัติ…หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกัน เป็นจริงได้อย่างแน่นอน.

สะ–เล–เต

 

“ทุเรียนเนื้อแดงอินโด” ดกหวานหอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 2 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/678346

ทุเรียนชนิดนี้ เป็นพันธุ์พื้นเมืองของประเทศอินโดนีเซียที่นิยมปลูกและนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลายในท้องถิ่น โดยต้นแม่ในประเทศอินโดนีเซียมีอายุมากกว่า 100 ปี ยังคงยืนต้นอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน ในประเทศไทยมีผู้นำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์นานกว่า 5-6 ปีแล้ว สามารถเจริญเติบโตมีดอกและติดผลดกไม่แพ้การปลูกในประเทศอินโดนีเซียทุกอย่าง ผู้นำเข้า จึงตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ทุเรียนเนื้อแดงอินโด” ดังกล่าว มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ลำต้นใหญ่ทำให้ทนต่อโรคสูง ใบมีขนาดใหญ่กว่าใบทุเรียนไทยทั่วไป รูปทรงผลสวย น้ำหนักผลโตเต็มที่ประมาณ 2 กิโลกรัมต่อผล ที่เป็นพิเศษได้แก่เนื้อสุกจะเป็นสีแดงเข้มแตกต่างจากเนื้อลูกทุเรียนไทยที่พบเห็นจนชินตา เนื้อสุกของ “ทุเรียนเนื้อแดงอินโด” จะละเอียด เหนียว เมล็ดเล็กและลีบ รสชาติหวานหอมรับประทานอร่อยมาก

ทุเรียนเนื้อแดงอินโด มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับทุเรียนทั่วไปทุกอย่าง จะแตกต่างคือใบใหญ่กว่า และเนื้อในสุกเป็นสีแดงเท่านั้น ในประเทศอินโดนีเซียเรียกทุเรียนพื้นเมืองของเขาว่า “ทุเรียนสีรุ้ง” มีหลายพันธุ์ มีแหล่งปลูกในหลายเมืองเช่น พันธุ์เมล่อนจากบันยุวังดี พันธุ์บุลันกันจากกาลิปันตัน และมีพันธุ์
วายุท พันธุ์เซ็กซี่พิงค์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละพันธุ์จะมีสีของเนื้อสุกแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเปลือกผลสีเขียวเนื้อในเป็นสีแดง เปลือกผลสีเหลือง เนื้อเป็นสีส้ม และเปลือกผลสีแดงเนื้อเป็นสีเหลือง และเนื้อสุกของทุกๆพันธุ์จะมีรสชาติหวานหอมเหมือนกับทุเรียนไทยทุกอย่าง มีบางสายพันธุ์จะมีกลิ่นคล้ายคาราเมลและคล้ายอัลมอนต์คั่วรับประทานอร่อยมาก ติดผลดกปีละ 2 ครั้ง

ใคร ต้องการต้นพันธุ์แท้ที่ขยายพันธุ์ ด้วยระบบเสียบยอดติดต่อ “คุณประภาส สุภาผล” 33/4 หมู่ 7 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โทร.08-8533-2299 หรืองานไทยแลนด์เบส ช็อปปิ้งแฟร์ อิมแพค เมืองทองธานี ฮอลล์ 5 บูธ “สวนประภาสไม้ผล” วันที่ 6-14 ส.ค.59 ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ทุกพื้นที่ของไทยครับ.

“นายเกษตร”

 

ชาวนาไทยสุดระกำ แล้งนานพันธุ์ข้าวขาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 2 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/678621

จากปัญหาภัยแล้งที่ผ่านมา ทำให้ชาวนาส่วนใหญ่ในพื้นที่จังหวัดชัยนาท, สิงห์บุรี, ลพบุรี, อ่างทอง, สระบุรี, พระนครศรีอยุธยา, นนทบุรี และปทุมธานี ต้องงดทำนาปรังและเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่น แต่รายได้ไม่เพียงพอ ชาวนาบางรายจึงต้องนำพันธุ์ข้าวบางส่วนที่เก็บไว้นำออกขาย นอกจาก จะทำให้ปริมาณเมล็ดพันธุ์ที่เตรียมไว้ปลูกลดลง พันธุ์ข้าวที่เก็บไว้ข้ามฤดูเริ่มมีปัญหาคุณภาพต่ำ เปอร์เซ็นต์ความงอกลดลง ส่งผลให้ฤดูปลูกข้าวรอบที่ 1 (นาปี 2559/60) มีแนวโน้มเมล็ดพันธุ์ข้าวขาดแคลน

นายวินัย ชมภูแก้ว ผู้อำนวยการกองเมล็ดพันธุ์ข้าว กรมการข้าว เผยว่า ปัญหาเปอร์เซ็นต์การงอกต่ำ แม้ช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. กรมการข้าวจะจัดรถหน่วยบริการเคลื่อนที่ ออกสำรวจปริมาณและสุ่มเก็บตัวอย่างเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ชาวนาเก็บไว้ใช้เองมาวิเคราะห์คุณภาพ หากพบเมล็ดพันธุ์ไม่มีคุณภาพจะให้เปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ใหม่ แต่ทำเฉพาะพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 เท่านั้น ไม่ได้เปิดให้แลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวขาว (กข) ที่ปลูกในนาพื้นที่เขตชลประทาน

ส่วนการป้องกันปัญหาเมล็ดพันธุ์ข้าวขาดแคลน ที่ผ่านมากรม การข้าวได้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวรอบแรกไปแล้วในช่วง เม.ย.-มิ.ย. โดยพันธุ์ ที่เตรียมไว้ มีพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 จำนวน 500 ตัน, พันธุ์ข้าวพิษณุโลก 2 จำนวน 800-1,000 ตัน, พันธุ์ กข 41 จำนวน 1,400 ตัน ราคาจำหน่าย หากเป็นข้าว ไม่ไวต่อแสง แต่ละชนิดพันธุ์จะอยู่ที่ 15-16 บาทต่อ กก., ข้าวปทุมธานี 1 กก.ละ 16-17 บาท โดยขณะนี้ทุกศูนย์เมล็ดพันธุ์ได้จำหน่ายหมดแล้ว จะเปิดจำหน่ายอีกครั้งเป็นรอบ 2 ในเดือนกันยายน

ด้าน ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เผยว่า ปี 2559 สหกรณ์ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว มีเป้าหมายผลิตเมล็ดพันธุ์จำนวน 37,267 ตัน แต่ด้วยสถานการณ์ภัยแล้ง ทำให้สหกรณ์ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ทำได้แค่เพียง 24,413 ตัน ซึ่งได้จำหน่ายไปบ้างแล้ว ส่วนที่ยังคงเหลือเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพ เพราะกรมการข้าวให้การรับรอง ส่วนเรื่องที่มีการร้องเรียนว่า กลุ่มเอกชนจำหน่ายพันธุ์ข้าวหลายรายเริ่มเตรียมขยับขึ้นราคาเมล็ดพันธุ์นั้น ทางกรมส่งเสริมสหกรณ์จะประสานกรมการค้าภายใน ให้เร่งตรวจสอบปัญหาดังกล่าว เพื่อชาวนาได้รับปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพในราคาที่เป็นธรรมต่อไป.

 

ฟอสไฟด์..จัดการทุเรียน เพิ่มผลผลิต สู้อากาศวิปริต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 1 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/677787


“สวนคนอื่น ปีก่อนได้ทุเรียน 20 ตัน ปีนี้ได้กันแค่ 5-6 ตัน เพราะภัยแล้งอากาศวิปริต ดอกกำลังบาน เจอฝนช่วงปีใหม่ ดอกร่วงกันหมด และมีดอกออกมาถึง 5 รุ่น การจัดการมาก สวนผมก็เหมือนกัน ทั้งที่ทำสวนทุเรียนแบบคุณภาพ ใช้ความรู้สมัยใหม่ ไม่ได้ทำแบบตามมีตามเกิด นึกว่าจะแย่แล้ว โชคดีที่นักวิชาการบริษัทเจียไต๋มาให้ความรู้เรื่องฟอสไฟด์ ที่เป็นทั้งวัคซีนป้องกันโรค เป็นสารอาหารพืช ช่วยทำให้ขั้วดอกเหนียวไม่ร่วงง่าย ปีที่แล้วได้ 30 ตัน ปีนี้ได้ 32 ตัน ทั้งที่สภาพอากาศแย่มากๆ”

สุเนตร สุทธิสถิตย์ เจ้าของสวนทุเรียนบ้านจำรุง ต.เนินฆ้อ อ.แกลง จ.ระยอง พูดถึงผลที่ได้จาก “โครงการพัฒนาระบบการผลิตทุเรียนตามแบบ ฉบับเจียไต๋” ภายใต้ความร่วมมือ ระหว่างธุรกิจอารักขาพืช บริษัท เจียไต๋ จำกัด กับ อ.ดนัย อังศุสิงห์ อดีตนักวิชาการด้านอารักขาพืช กรมส่งเสริมการเกษตร หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอทุเรียน” นำปุ๋ยน้ำตัวใหม่ ฟอส ครอป. เค เป็นปุ๋ยในรูปฟอสฟอรัสแอซิค ที่ให้ สารฟอสไฟด์ มาแก้ปัญหาเรื่องทุเรียน และผลไม้อื่นๆในภาคตะวันออก ที่มักจะมีปัญหาโรครากลำต้นกิ่งผลเน่า จากเชื้อราไฟทอปธอร่า

“เราทำมากว่า 3 ปีแล้ว ศึกษาทดลองจนมั่นใจ ถึงได้แนะนำให้เกษตรกรใช้กัน เจตนาจริงๆ ไม่ได้ต้องการเพิ่มผลผลิต ต้องการแค่แก้ปัญหาเรื่องโรคเชื้อราเป็นหลัก เพราะวิธีการเดิมที่ใช้กัน มีปัญหาเกษตรกรนำสารเคมีไปทารักษาโรคใช้กันไม่ถูกต้องมาก ใช้สารเคมีเข้มข้นเกินไป ส่งผลให้ต้นทุเรียนตายกันไปเป็นจำนวนมาก คิดดูทุเรียน 1 ต้น ทำเงินให้ชาวบ้านปีละ 5,000-50,000 บาท ถ้าตายไป กว่าจะได้เงินใหม่ต้องใช้เวลาหลายปี ชาวสวนผลไม้จะเดือดร้อนขนาดไหน”

อ.ดนัย ยังบอกอีกว่า การจัดการโรคทุเรียนด้วยวัคซีนป้องกันโรคนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ ในยุโรปทำกันมาหลายปีแล้ว เพราะเขาคิดว่าการป้องกันดีกว่าการรักษาแบบเดียวกับคนนั่นแหละ ทำให้คนมีสุขภาพแข็งแรง มีภูมิป้องกันตัวเอง ดีกว่าปล่อยให้เป็นโรคแล้วมารักษาทีหลัง นอกจากจะป่วยหนัก ไม่รอดแล้ว ค่ารักษายังแพง

สำหรับวิธีการนำสารฟอสไฟด์มาใช้ ไม่มีอะไรมาก…หลังเก็บเกี่ยวทุเรียนหมด จัดการเตรียมต้นทำใบให้ต้นทุเรียนแตกใบใหม่ 2 รอบ เพื่อให้การออกดอกในช่วงที่ต้องการ ซึ่งเกษตรกรมืออาชีพจะมีการฉีดพ่นอาหารเสริม ปุ๋ยเกล็ด และสารป้องกันโรคแมลงอยู่แล้ว สามารถนำฟอสไฟด์ 30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ผสมฉีดพ่นร่วมไปได้เลย ฉีดพ่น 3 ครั้ง ห่างกันประมาณ 15 วัน จะช่วยป้องกันโรคเน่า และเป็นอาหารบำรุงขั้วดอก ขั้วผลเหนียวไม่ร่วงง่าย

แต่ถ้าต้นไหนมีอาการโรครากต้นเน่าชัดเจน ต้องใช้วิธีฝังเข็ม โดยใช้สารฟอสไฟด์ 1,000 ซีซี ร่วมกับอโทนิค 100 ซีซี และน้ำกลั่น 100 ซีซี แบ่งได้ 40 เข็มเพื่อฉีดฝังเข้าทางลำต้น ต้นละ 1-4 เข็ม แล้วแต่ขนาดทรงพุ่ม และแล้วแต่อาการหนักเบาของโรค

เกษตรกรสนใจวิธีจัดการสวนผลไม้ด้วยวิธีนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : อารักขาพืช เจียไต๋ หรือ 09-0908-4520.

“ชาติชาย ศิริพัฒน์”