“โทงเทง” แก้ทอนซิลอักเสบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 1 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/677743


แพทย์แผนไทย โบราณระบุว่าทั้งต้นรวมรากของ “โทงเทง” แบบสดตำให้ละเอียดผสมเหล้าขาว 28 ดีกรี หรือ 40 ดีกรีก็ได้ แล้วเอาสำลีชุบน้ำอมไว้ข้างแก้มกลืนน้ำผ่านลำคอทีละน้อย เป็นยาแก้ต่อมน้ำลายอักเสบหรือต่อมทอนซิลอักเสบ แก้ฝีในลำคอที่ชาวจีนเรียกว่า แซง้อ ได้ หรือจะตำละลายกับน้ำส้มสายชู ใช้สำลีชุบน้ำอมไว้ข้างแก้มกลืนน้ำทีละน้อยเช่นเดียวกัน เป็นยาแก้ลำคออักเสบเด็ดขาดนัก ใช้ภายนอกเอาน้ำทาแก้ฟกบวม ทำให้เย็นได้ผลดีระดับหนึ่ง

โทงเทง หรือ PHYSALIS ANGULATA LINN. อยู่ในวงศ์ SOLANACEAE เป็นไม้จำพวกหญ้าขึ้นตามที่รกร้างทั่วไป เป็นไม้ล้มลุก ดอกสีเหลืองสด “ผล” รูปทรงกลมและพองลมคล้ายโคมจีน มีเมล็ด ตอนเป็นเด็กนิยมเอาผลห้อยคอดูสวยงามดี และใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างตบให้ผลแตกเกิดเสียงดัง สนุกตามประสาเด็กบ้านนอก ผลแก่จะแห้งติดอยู่กับต้นเป็นสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด นิยมปลูกตามสวนยาไทยและยาจีน

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอก ไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” หมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ขมิ้นชันแคปซูล รักษาโรคกระเพาะอาหาร, มะแว้งแคปซูล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอกฆ่าเชื้อสมานแผล แก้เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน แพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล น้ำมูกไหลมีกลิ่นเหม็น, ครีมโลดทนง รักษาสิวฝ้ารูขุมขนตีบลง, แชมพูสูตร 5 ชนิด บำรุงรากผม ขจัดรังแค แก้คันศีรษะ, สเปรย์ฉีดบำรุงรากผม, ข่อยขัดรักแร้ ดับกลิ่นเต่า รักแร้หายดำคล้ำ, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกลี- เซอไรด์, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับ แก้คาวปลาในสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบ ไส้เลื่อนในบุรุษ และอื่นๆ โทร.0-2275-2692 ครับ.

“นายเกษตร”

 

เฝ้าระวังผีเสื้อมวนหวาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 1 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/677742


ผลไม้หลายชนิดอยู่ในระยะใกล้เก็บเกี่ยว เป็นช่วงจังหวะเหมาะให้ “ผีเสื้อมวนหวาน” ผีเสื้อกลางคืนขนาดใหญ่ บินมาใช้ปากเจาะเปลือกผลไม้เพื่อดูดกินน้ำหวาน ทำให้ผลไม้เป็นรู มีน้ำหวานไหลเยิ้มออก ทำให้ผลไม้เน่าเสียหาย ร่วงหล่น และยังดึงดูดให้แมลงอื่นๆเข้ามาทำลายซ้ำเติมผลไม้ให้เสียหายหนักมากยิ่งขึ้น

ดังนั้น ในระยะนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร บอกเตือนให้เกษตรกรสวนผลไม้ ควรหมั่นตรวจสำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสวนลองกอง, ลำไย, มังคุด, ส้ม และส้มโอ

ส่วนวิธีป้องกันและกำจัดผีเสื้อมวนหวาน มีให้เลือกทำได้หลายวิธี… ใช้กับดักแสงไฟ ด้วยหลอดแบล็กไลท์ (Black Light) ในช่วงเวลา 20.00-22.00 น. วางกับดักแสงไฟให้สูงจากพื้น 1.20 ม. ใต้หลอดไฟให้ วางถาดน้ำมัน หรือถาดบรรจุน้ำผงซักฟอก เพื่อผีเสื้อมวนหวานบินมาเล่นแสงไฟ ตกลงมาจมน้ำตาย

ใช้เหยื่อพิษ นำสับปะรดสุก ชิ้นหนาขนาด 1 นิ้ว ชุบสารเคมีคาร์บาริล 85% WP อัตรา 5 กรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร แขวนเป็นจุดๆในสวน 1 กับดัก ต่อต้นไม้ผล 5 ต้น

จับผีเสื้อมวนหวานตัวเต็มวัยในเวลากลางคืน ใช้ไฟฉายส่องไปตามผล ช่อผล ในช่วงเวลา 20.00-22.00 น. พบผีเสื้อมวนหวานกำลังเจาะดูดกินน้ำหวาน สามารถใช้มือจับได้เลย เพราะผีเสื้อจะไม่ทันระวังตัว ให้จับนำเก็บใส่ขวดพลาสติกปิดฝา แล้วนำไปทำลาย

ห่อผลไม้ ด้วยกระดาษถุงปูน หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ ห่อเป็นรูปกรวยสามเหลี่ยม และเปิดที่ปลายโคนเพื่อให้อากาศผ่านได้ เพื่อป้องกันผลเน่า

ใช้กรงดักจับ ใช้กรงมุ้งตาข่าย ด้านล่างเป็นกรวยปลายเปิดเล็กเข้าไปในด้านใน มีแท่นวางเหยื่อล่อด้านข้าง นำไปแขวนบนต้นไม้สูงระดับเดียวกับผลไม้ หรือจะวางบนขาตั้งสูงจากพื้น 20 ซม. มีสับปะรดสุกหรือกล้วยน้ำว้าสุกงอมมาเป็นเหยื่อล่อ ต้องมีฝาปิดแบบปิดหลวมๆ ให้ผีเสื้อมวนหวานดันเข้าไปในกรงกับดัก แต่แทรกดันออกมาไม่ได้

ใช้แมลงศัตรูธรรมชาติมากำจัด เช่น แตนเบียนไข่ทริโคแกมมา, มวนพิฆาต และมวนเพชฌฆาต เพื่อกำจัดไข่และตัวหนอนผีเสื้อมวนหวาน

ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถขอคำปรึกษาและแจ้งการระบาดของผีเสื้อมวนหวานได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านได้ทุกที่.

“สะ-เล-เต”

 

แนะชาวสวนยาง..มือใหม่ เติมปุ๋ยตัดแต่งกิ่งหน้าฝน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/675318


ฤดูฝน…ชาวสวนยางต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องการใส่ปุ๋ย ตัดแต่งกิ่งเฝ้าระวังโรค โดยเฉพาะในพื้นที่ปลูกยางใหม่ ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง… เกษตรกรอาจยังไม่ชำนาญพอ

“การใส่ปุ๋ยในฤดูฝนตามความเหมาะสมของดินและอายุของยาง ที่สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร แนะนำ มีอยู่ด้วยกัน 3 สูตร ปุ๋ยสูตร 20–8–20 เหมาะกับยางก่อนเปิดกรีดในเขตปลูกยางเดิม ภาคใต้และภาคตะวันออก ปุ๋ยสูตร 20–10–12 เหมาะกับยางก่อนเปิดกรีดในเขตปลูกยางใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ส่วน ปุ๋ยสูตร 30–5–18 เหมาะกับยางเปิดกรีดแล้ว ในทุกเขตปลูกยาง”

นายคนิต ลิขิตวิทยาวุฒิ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร แนะตำแหน่งการใส่ปุ๋ย…ต้นยางเล็ก ใส่ปุ๋ยเป็นวงกลมรอบลำต้น ยางอายุ 17 เดือนขึ้นไป หว่านปุ๋ยเป็นแถบยาวไปตามแถวต้นยางในร่องที่เซาะ ห่างจากโคนข้างละ 1 ม. ต้นยางอายุ 5 ปีขึ้นไป หว่านเป็นแถบกว้าง ห่างจากโคนต้นยางอย่างน้อย 50 ซม. ขยายออกไปถึง 3 ม. สำหรับ ต้นที่เปิดกรีดแล้ว ให้หว่านปุ๋ยทั่วแปลง ห่างจากโคนต้นยางข้างละ 1 ม.

วิธีใส่ปุ๋ยที่ถูกต้อง… ใส่ปุ๋ยแบบหว่าน เหมาะกับพื้นที่ราบ มีการกำจัดวัชพืชด้วยสารเคมี เพราะเศษซากพืชที่เหลือจะช่วยป้องกันการชะล้างปุ๋ยในช่วงฝนตกได้ แต่หากเป็นที่ราบ กำจัดวัชพืชด้วยการถาก ควรคราดให้ปุ๋ยผสมเข้ากับดิน เพื่อป้องกันน้ำฝนชะล้างปุ๋ย…ใส่ปุ๋ยแบบเป็นแถบ เหมาะกับพื้นที่ที่มีความลาดเทเล็กน้อย หรือพื้นที่ที่ทำเป็นขั้นบันได แต่ต้องมีการกลบดินด้วย…ใส่ปุ๋ยเป็นหลุม สำหรับพื้นที่ที่ลาดเทมาก ขุดหลุมบริเวณรอบโคนต้นหรือสองข้างของต้นยางประมาณ 2-4 หลุมต่อต้น ใส่ปุ๋ยลงในหลุมและกลบให้เรียบร้อย

ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี จะช่วยให้การใส่ปุ๋ยมีประสิทธิภาพสูงสุดและควรใส่ปุ๋ยขณะที่ดินมีความชุ่มชื้น…หลีกเลี่ยงการใส่ปุ๋ยในช่วงอากาศแห้งแล้ง หรือฝนตกชุก ควรกำจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ยทุกครั้ง

การตัดแต่งกิ่งก็เช่นกัน นายคนิต บอกว่า ควรทำในช่วงต้นและปลายฤดูฝน ซึ่งมีวิธีการตัดแต่งต่างกันใน 3 ระยะ…1.ระยะแรกปลูก กรณีที่ปลูกด้วยต้นตอตา หมั่นตัดกิ่งที่แตกออกมาจากต้นตอเก่าทิ้ง จนกว่าตายางพันธุ์ดีจะแตกเป็นลำต้นยาง 2.ระยะยางอ่อน ต้องตัดกิ่งแขนงที่อยู่ต่ำกว่า 2 ม. ให้หมด ตัดให้ชิดลำต้น แต่ในพื้นแห้งแล้ง ภาคอีสาน ภาคเหนือ อาจตัดเฉพาะกิ่งแขนงที่ต่ำกว่า 1.90 ม. เพื่อให้ยางแตกพุ่มต่ำช่วยรักษาความชื้นในแปลง ทรงพุ่มชนกันเร็ว ช่วยประหยัดค่ากำจัดวัชพืช 3.ระยะยางใหญ่ ตัดกิ่งแน่นทึบ กิ่งแห้ง กิ่งที่เป็นโรคออก

อย่างไรก็ตาม ไม่ควรโน้มต้นยางลงมาตัดแต่งกิ่ง เพราะจะทำให้เปลือกแตกน้ำยางไหล ต้นยางหักได้ และหลังตัดแต่งกิ่งควรใช้ปูนขาว ปูนแดง หรือสี ทาแผลที่ตัดกิ่ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าทำลาย

ที่สำคัญ หน้าฝนควรสำรวจสวนยางพาราอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมีโอกาสเกิดโรคจากเชื้อรา เช่น โรครากขาว โรคเส้นดำ โรคเปลือกเน่า โรคใบร่วงและผลเน่าที่เกิดจากเชื้อราไฟทอปธอร่าได้ง่าย…เกษตรกรจึงต้องหมั่นตรวจแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที ก่อนโรคระบาดจะลุกลามเป็นวงกว้าง.

ชาติชาย ศิริพัฒน์

 

“โมกหลวง” ดอกหอมสรรพคุณดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 29 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/675090


โมกหลวง

ไม้ต้นนี้ มีขึ้นตามธรรมชาติในป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง และป่าราบเชิงเขา ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ใครที่ชอบขึ้นเขาเข้าป่าประจำจะพบต้น “โมกหลวง” แทงช่อดอกส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายเป็นที่ชื่นใจบ่อยๆ แต่ในปัจจุบันตามป่าธรรมชาติพบน้อยมากแล้ว ซึ่ง “โมกหลวง” (KURCHI) หรือ HOLARRHENA ANTIDYSENTERICA WALL อยู่ในวงศ์ APOCYNACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-10 เมตร ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปไข่หรือรูปวงรี ใบมีขนาดใหญ่ ปลายแหลม โคนมน เนื้อในหนา ผิวใบเรียบ สีเขียวสด ท้องใบมีขนนุ่มและระคายมือเล็กน้อย

ดอก ออกเป็นช่อกระจุกใหญ่ตามซอกใบใกล้ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบเลี้ยงรูปกรวยยาว ปลายแยกเป็น 5 แฉก ดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดขนาดเล็กและยาว ปลายบานเป็นกลีบดอก 5 กลีบ ปลายกลีบดอกม้วนลงคล้ายกลีบดอกแก้ว เป็นสีขาว ใจกลางดอกเป็นสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอม เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงาม และส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายเป็นที่ชื่นใจยิ่ง “ผล” เป็นฝักคู่ ผลแก่แตกได้ มีเมล็ด ดอกออกเกือบทั้งปี จะมีดอกดกมากในช่วงระหว่างเดือนมีนาคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีต้นขาย ทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น

สรรพคุณ เปลือกต้นต้มน้ำดื่มแก้บิด แก้เสมหะเป็นพิษ ใบสดกะพอประมาณต้มน้ำดื่มวันละ 1 แก้วก่อนหรือหลังอาหารก็ได้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน ผลสดแก้สันนิบาตหน้าเพลิง (บาดทะยักปากมดลูก) เมล็ดแก้ไข้ ท้องเสีย แก่นจากต้น ต้มน้ำอาบแก้กลากเกลื้อน รากสดขับโลหิตระดูในสตรี แพทย์แผนไทยในชนบทแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานีใช้เปลือกต้นต้มน้ำดื่ม 2 เวลา ครั้งละ 1 แก้วก่อนอาหารเช้าเย็น แก้ไข้จับสั่นและบำรุงธาตุด้วยครับ.

“นายเกษตร”

 

90%รายได้ต่ำกว่าแสนแปด เร่งพัฒนา Smart Farmer

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 28 ก.ค. 2559 05:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/674270


นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงเกษตรฯ มีนโยบาย ปฏิรูปภาคเกษตรไทย เน้นให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลางการพัฒนา มีเจ้าหน้าที่เข้าไปให้บริการความรู้ด้านต่างๆ กับเกษตรกร ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ในพื้นที่ของทุกอำเภอ เพื่อขยายผลทำการเกษตรตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้ครอบคลุมทุกครัวเรือน สามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจเชิงพาณิชย์ เพื่อเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงแก่ครัวเรือนเกษตรกร และพัฒนาให้เกษตรกรสามารถ พึ่งพาตนเองได้ มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร พัฒนาองค์กรเกษตรกรเร่งขับ เคลื่อนและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เป็น Smart Farmer

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า ขณะนี้กรมฯมีบทบาทในการดูแลกลุ่มธรรมชาติที่จัดตั้งขึ้น ประกอบด้วย กลุ่มยุวเกษตรกร ระยะเวลา จัดตั้งนาน 60 ปี ในปี 2559 มีกลุ่มยุวเกษตรกรทั้งสิ้น 5,887 กลุ่ม สมาชิกยุวเกษตรกร 165,557 ราย และมีที่ปรึกษากลุ่มยุวเกษตรกร 8,557 ราย ส่วน กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ระยะเวลาจัดตั้งนาน 40 ปี ปีนี้มีกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร 19,151 กลุ่ม สมาชิกแม่บ้านเกษตรกร 479,822 ราย สำหรับ กลุ่มส่งเสริมอาชีพเกษตรกร ระยะเวลาจัดตั้ง 15 ปี มีกลุ่ม ส่งเสริมอาชีพเกษตรกร 9,564 กลุ่ม สมาชิก 268,656 ราย

“การพัฒนา Smart Farmer มีเป้าหมายต้องการให้เกษตรกร ยกระดับมาตรฐานให้เป็นเกษตรกรที่มีคุณภาพ สามารถปรับเปลี่ยนตนเอง ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการจัดการผลิตผลทางการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ มีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรให้คำปรึกษาแนะนำ เพื่อให้มีรายได้จากภาคเกษตรไม่ต่ำกว่า 180,000 บาทต่อปีต่อครัวเรือน นี่คือคุณสมบัติของ Smart Farmer ที่กรมส่งเสริมการเกษตรกำหนด” นายโอฬาร กล่าว

จากการสำรวจในปี 2558 พบว่า ครัวเรือนเกษตรกร 6.86 ล้านราย มีครัวเรือนเกษตรกรที่ผ่าน คุณสมบัติเป็น Smart Farmer 623,560 ราย หรือร้อยละ 9.08 ของครัวเรือนเกษตรกรทั้งหมด ที่เหลืออีก 6.24 ล้านราย (ร้อยละ 90.92) ไม่ผ่านคุณสมบัติ มีรายได้จากภาคเกษตรเฉลี่ยแค่ปีละ 159,900 บาท จึงต้องเร่งปรับทิศทางการพัฒนาเกษตรกรและองค์กรเกษตรกรสู่การเป็น Smart Farmer และ Smart Group ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น.

 

“แก้วลิลลี่” ดอกใหญ่หอมนุ่มนวล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 28 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/674027


แก้วลิลลี่

แก้วชนิดนี้ มีขายมีป้ายชื่อเขียนติดไว้ชัดเจนว่า “แก้วลิลลี่” พร้อมมีภาพถ่ายดอกจริงโชว์ให้ชมด้วย ซึ่งทีแรกที่เห็นคิดว่าเป็นดอกพุดน้ำที่ผู้ขายเปลี่ยนชื่อ เพื่อเรียกร้องความสนใจผู้ซื้อ แต่ผู้ขายยืนยันว่า “แก้วลิลลี่” เป็นคนละต้นกัน มีถิ่นกำเนิดเดิมจากประเทศไต้หวัน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า 3 ปีแล้ว มีลักษณะประจำพันธุ์คือ แม้จะเป็นไม้โตช้า แต่สามารถเติบโตได้ดีในสภาพอากาศของบ้านเรา ดอกมีขนาดใหญ่ เมื่อบานเต็มที่โตประมาณเหรียญ 10 บาทไทย กลีบดอกเหมือนกับกลีบดอกลิลลี่ เลยถูกตั้งชื่อว่า “แก้วลิลลี่” ดังกล่าว ดอกมีกลิ่นหอมแบบนุ่มนวล ไม่มีกลิ่นฉุนเจือปน จึงทำให้ “แก้วลิลลี่” เป็นที่นิยมอยู่ในเวลานี้ ที่สำคัญผู้ขายยืนยันต่อว่า แต่ละต้นจะมีดอกไม่พร้อมกันเหมือนกับแก้วทั่วไป ที่จะมีดอกและกลีบดอกร่วงพร้อมกัน จึงปลูก “แก้วลิลลี่” หลายๆต้น จะมีดอกและกลิ่นหอมไม่ขาดระยะ

แก้วลิลลี่ เท่าที่ดูด้วยสายตาจากต้นจริงและผู้ขายบอก พอจะระบุได้ว่า เป็นไม้พุ่มเตี้ยต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน 1-1.5 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทรงกลมหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีกว้าง ปลายแหลม โคนมน ใบมีขนาดใหญ่ ผิวใบเรียบและเป็นมัน แตกต่างจากใบของแก้วทั่วไปที่จะเป็นใบประกอบแบบขนนกและใบมีขนาดเล็ก ไม่เหมือนกันอย่างชัดเจน ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ ปลายกลีบแหลม สีขาว ดอกมีกลิ่นหอมแบบนุ่มนวลตามที่ผู้ขายระบุข้างต้น มีกลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อน 5 แฉก “ผล” มีลักษณะอย่างไรผู้ขายบอกไม่ได้ ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง

ปัจจุบันมีต้นแท้ขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณ แผง “คุณตุ๊ก” หน้าตึกกองอำนวยการเก่าในเต็นท์ โทร.08-5164-2800 และไปซื้อได้ที่งานบ้านและสวน จัดขึ้นที่ไบเทค บางนา กทม. ระหว่างวันที่ 27-31 ก.ค.59 ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกประดับ เวลามีดอกจะสวยงามและส่งกลิ่นหอมประทับใจครับ.

“นายเกษตร”

 

สหกรณ์…หัวใจหลักชาวนายุ่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 28 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/674018


เมื่อวาน นายทซึโทมุ มิยาโกชิ ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญพิเศษ (ข้าว) บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด บอกถึงปัจจัยหลักที่ทำให้ชาวนาญี่ปุ่นมีรายได้ดี ประสบความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับในสังคม จากการใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรเข้ามาช่วยทุกขั้นตอน และมีมันสมองที่ไม่รู้จักหยุดคิด

ชาวนาญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะทำนาหยอด ปลูกข้าวคุณภาพในที่ดินของตัวเอง ได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 1,080 กก. มีต้นทุนการผลิตไร่ละ 105,000 เยน หรือราว 34,700 บาท แต่มีรายได้ จากการขายข้าวเฉลี่ยไร่ละ 300,000 เยน หรือประมาณ 99,000 บาท…เหลือกำไรไร่ละ 64,300 บาท

ช่วงหลังนาก็จะปลูกพืชชนิดอื่นเช่นเดียวกับชาวนาไทย

แต่สิ่งที่ทำให้ชาวนาญี่ปุ่นยืนหยัดในสังคมได้อย่างภาคภูมิคือ “ความมีวินัยและเข้มแข็งตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงชุมชน” ทุกพื้นที่จะมีการรวมตัวเป็นสหกรณ์ นำข้าว ผลผลิตการเกษตร ปัจจัยการผลิต ซื้อขายผ่านระบบสหกรณ์ทั้งหมด โดยสหกรณ์เป็นผู้กำหนดราคาทุกอย่างเอง รัฐไม่จำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงใดๆ

เมื่อเกิดการรวมตัวเป็นสหกรณ์ การรวมตัวกันคล้ายสมาพันธ์เกิดตามมา และร่วมกันเปิดเป็นบริษัท ซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรทันสมัย ราคาแพง เข้ามาใช้ร่วมกันในชุมชน

สิ่งที่รัฐบาลและคนไทยควรเอาอย่าง…รัฐบาลญี่ปุ่นจะสนับสนุนเรื่องต่างๆ เฉพาะกับเกษตรกรที่มีการรวมกลุ่มกันเท่านั้น หากทำเดี่ยวๆ รัฐอาจมีแค่เงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ ที่สำคัญคนญี่ปุ่นนิยมอุดหนุนสินค้าจากสหกรณ์ เพราะเขาถือว่าเป็นของที่ผลิตจากคนในประเทศ

อีกอย่างที่ชาวนาญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในอาชีพ ผลผลิตข้าวออกมาสม่ำเสมอ…ชาวนาจะมีปฏิทินปลูกข้าวใช้เป็นคู่มือการปลูก ปฏิทินจะมีค่ามาตรฐานของข้าวทุกสายพันธุ์ ในทุกระยะการปลูกเมื่อข้าวอายุเท่านี้ ต้องสูงเท่าไร ออกกี่รวง แต่ละรวงมีข้าวกี่เมล็ดจึงจะเหมาะสม เพื่อให้ได้ข้าวสมบูรณ์ที่สุด

และด้วยเป็นประเทศเกิดวาตภัยบ่อย แต่ละปีมีไต้ฝุ่นกระหน่ำมิใช่น้อย ชาวนาญี่ปุ่นมีเทคนิคปลูกข้าวเอาชนะภัยพิบัติ เมื่อมีคำเตือนพายุจะมาเยือน จะมีการปล่อยน้ำเข้านาให้สูง พยุงต้นข้าว เมื่อเจอลมพัดแรง ข้าวจะไม่เสียหาย เมื่อพายุผ่านพ้นจะสูบน้ำออกไปตุนเก็บไว้ใช้ต่อไป… แล้วเราล่ะรู้ทันภัยธรรมชาติแค่ไหน.

“สะ–เล–เต”

 

อาหารปลาสูตรหญ้าขน เนื้อไม่สาบ..ไม่น็อกน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 27 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/673287


การเลี้ยงปลานิลได้รับความนิยมมาก แต่ชาวบ้านต้องแบกต้นทุนค่าอาหารที่แพงขึ้นทุกวัน

ด้วยเป็นลูกหลานเกษตรกรเข้าใจปัญหานี้ดี น.ส.อุษณีย์ สิทธิสังข์, น.ส.ศิริลักษณ์ ศรีมงคล, นายสมดี คำโสภา และนายคมสันต์ ตะเคียนเกลี้ยง นักศึกษาแผนกวิชาประมง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ จึงคิดหาวิธีลดต้นทุนค่าอาหารที่ชาวบ้านสามารถทำได้เอง โดยมี อ.จิตติมา หมั่นกิจ เป็นที่ปรึกษา

“ปลานิลเป็นกลุ่มปลากินพืช เริ่มแรกเราจึงทดลองนำหญ้าเนเปียร์, ลูซี่, กินนี และหญ้าขน พืชอาหารสัตว์ มาเปรียบเทียบหาโปรตีน พบว่า หญ้าขนถ้าตัดตั้งแต่โคนไปถึงส่วนยอดในระดับความสูงไม่เกิน 4 ใบ จะมีโปรตีนสูงถึง 16% แต่ยังไม่รู้ว่าถ้านำมาบดรวมกับส่วนผสมอย่างอื่นจะขึ้นรูปอัดเป็นเม็ดได้หรือไม่ จึงต้องนำหญ้าชนิดอื่นมาเปรียบเทียบ”

4 นักศึกษาจึงนำหญ้าแต่ละชนิด 1.8 กก. มาบดละเอียด แยกเป็น กอง นำปลาป่น 5.5 กก., ถั่วเหลือง 1.8 กก., ปลาย ข้าว 1.8 กก., รำละเอียด 6 กก., น้ำมัน 3 ขีด, กล้วยน้ำว้าสุก 1.8 กก. และกากมะพร้าว 5 ขีด ช่วยเพิ่มความหอมกระตุ้นให้ปลากินอาหาร ผสมกับหญ้าบด แยกแต่ละชนิด

แล้วขึ้นรูปอัดเม็ด ผึ่งลมให้แห้งนาน 3 วัน ทดสอบการจับตัว…ปรากฏว่า อาหารที่ผสมด้วยหญ้าเนเปียร์, ลูซี่ และกินนี แตกเป็นผงง่าย

ในขณะที่อาหารที่ผสมด้วยหญ้าขน คงรูป เม็ดไม่แตก

จากนั้นนำสูตรอาหารผสมหญ้าขน ไปตรวจวิเคราะห์ค่าอาหารที่คณะสัตวบาล… มีโปรตีนสูงถึง 30% เท่ากับอาหารปลาสำเร็จรูปที่ขายทั่วไป

นำไปทดสอบเลี้ยงเปรียบเทียบ แต่ละบ่อใส่ปลานิล 100 ตัว บ่อแรก เลี้ยงด้วยอาหารปลาสูตรผสมหญ้าขน ส่วนบ่อที่ 2 เลี้ยงด้วยอาหารปลาที่ขายทั่วไป …ระยะเวลา 5 เดือน ปลาที่เลี้ยงด้วยอาหารผสมหญ้าขนโตเร็ว เนื้อแน่นเหมือนปลาธรรมชาติ ไม่มีกลิ่นสาบ มีอัตราการรอดชีวิต 91% แม้สภาวะอากาศเปลี่ยน ปลาไม่เครียด กินอาหารได้เป็นปกติ สภาพน้ำไม่เน่าเสียง่าย

ส่วนบ่อที่ใช้อาหารข้น มีอัตรารอด 91% เท่ากัน เนื้อแน่นน้อยกว่า มีกลิ่นสาบโคลน ช่วงอากาศเปลี่ยน แปลง ปลาเครียด ปลากินอาหารได้น้อยลง สภาพน้ำเน่าเสียเร็ว ทำให้การเติบโตชะงัก

เพื่อให้มั่นใจว่า ผลงานที่ทำออกมาใช้ได้กับการเลี้ยงจริง ทีมนักศึกษาได้นำอาหารผสมหญ้าขน ไปทดสอบเลี้ยงที่ฟาร์มปลานิลใน ต.ด่าน อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ ได้ผลไม่แตกต่างกับที่ทดลองเลี้ยงในวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีศรีสะเกษ ช่วยลดต้นทุนค่าอาหารได้ถึง 28%…จากที่เคยต้องซื้อ กก.ละ 25 บาท ทำเองตามสูตรต้นทุนอยู่ที่ 18 บาทเท่านั้นเอง…เกษตรกรที่สนใจอบรมทำอาหารปลาสูตรหญ้าขน สอบถามได้ที่ 0-4561-2934.

“เพ็ญพิชญา เตียว”

 

“สิงโตนางรำ” สวยแปลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 27 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/672969


ผู้อ่านไทยรัฐ ที่เป็นแฟนขาประจำคอลัมน์อยากทราบว่า “สิงโตนางรำ” เป็นอย่างไรและจะหาซื้อได้จากที่ไหน ซึ่ง “สิงโตนางรำ” จัดอยู่ในกลุ่มกล้วยไม้อิงอาศัยชนิดที่มีการเจริญทางด้านข้าง ได้แก่กล้วยไม้ที่มีเหง้า ส่วนทอดเลื้อยหรือไหล เมื่อต้นเจริญเต็มที่แล้วสามารถแตกต้นใหม่หรือหน่อใหม่จากโคนกอหรือตามลำข้อได้ มีมากมายหลายสกุล โดย “สิงโตนางรำ” มีแหล่งที่พบในประเทศไทย คือ แถบจังหวัดตาก และ จังหวัดเลย

สิงโตนางรำ หรือ BULBOPHYLLUM- MONANTHUM (KZE.) J.J.SM. มีลักษณะลำลูกกล้วยหรือต้นเป็นทรงกระบอก มีใบรูปใบหอกแก้มรูปรีจำนวน 1 ใบ ออกที่บริเวณปลายลำลูกกล้วยหรือต้น ปลายใบแหลม โคนใบเป็นกาบติดที่ปลายลำลูกกล้วยหรือต้น เนื้อใบค่อนข้างหนา ใบยาวประมาณครึ่งฟุต เส้นกลางใบเป็นร่องอย่างชัดเจน ผิวใบเกลี้ยง สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ ตามรอยข้อลำลูกกล้วยหรือต้น ก้านดอกกลมยาวประมาณ 1.5-2 นิ้วฟุต ชูตั้งขึ้นหรือแทงออกด้านข้าง ก้านดอกเป็นสีขาวหรือเหลืองอมเขียว กลีบเลี้ยงบนเป็นรูปกลมกว้างชูตั้งขึ้น ปลายแหลมเป็นติ่งงองุ้มลงเล็กน้อย คล้ายรูปเสมา กลีบเลี้ยงดังกล่าวจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบอื่นอย่างชัดเจน เป็นสีเหลือง มีแต้มเป็นจุดสีแดงกระจายทั่ว กลีบดอกรูปใบหอก ปลายกลีบหักลง กลางกลีบมีจุดสีแดงเรียงกันแน่นจนเกือบดูเป็นเส้น กลีบเลี้ยงคู่ข้างเป็นรูปไข่ ปลายกลีบหักลง กลีบปากรูปไข่ สีเหลืองเข้ม ขอบกลีบโค้งเข้าหากัน ปลายกลีบสีแดงและหักลงด้านล่าง เวลามีดอกจะดูคล้ายนางรำชวาสวมชฎาร่ายรำสวยงามมาก จึงถูกตั้งชื่อว่า “สิงโตนางรำ” ดังกล่าว ดอกออกเดือน ธันวาคม–มกราคม ปีถัดไป ขยายพันธุ์ด้วยการแยกต้น

ปัจจุบัน “สิงโตนางรำ” มีขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 24 แผง “คุณหล้า–คุณโอม” ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

ทำนาสไตล์ญี่ปุ่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 27 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/672973


แม้ญี่ปุ่นเจ้าแห่งเทคโนโลยีการเกษตร มีชาวนาจริงๆแค่ 2.3 ล้านคน 2.2% ของพลเมืองทั้งหมด ความเป็นอยู่เทียบได้กับมนุษย์เงินเดือนระดับกลางของบริษัทยักษ์ใหญ่…ทำนาปีละครั้ง แต่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวปีละ 8 ล้านเยน เกือบ 3 ล้านบาท หากเลือกปลูกข้าวพันธุ์ดี

อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น???…

จากการได้พูดคุยกับ นายทซึโทมุ มิยาโกชิ (Mr.Tsutomu Miyakoshi) ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญพิเศษ (ข้าว) บริษัท สยามคูโบต้า คอร์ปอเรชั่น จำกัด อดีตผู้จัดการฝ่ายบริหารการเกษตรป่าไม้และประมง ประจำ จ.นีกะตะ ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างชาวนาไทยและญี่ปุ่น

หัวใจสำคัญ…การปลูกข้าวของญี่ปุ่นจะใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยทุกขั้นตอน ตั้งแต่เตรียมดินยันเก็บเกี่ยว…ลดต้นทุนทุกด้าน ทั้งแรงงาน ปัจจัยการผลิต แถมผลผลิตเพิ่ม

ไม่เคยหยุดคิด ล่าสุดคิดค้นเทคโนโลยี ปลูกโดยใช้ผงเหล็กเคลือบเมล็ดพันธุ์ข้าว เพื่อให้มีน้ำหนัก ไม่ถูกลมหรือน้ำพัดไปจากจุดหยอดเมล็ด นกหนูศัตรูพืชไม่มากิน และใส่ยาปุ๋ยพร้อมกันตอนหยอดเมล็ด พื้นที่ 1 เฮกเตอร์ (6 ไร่ 1 งาน) ใช้เวลาหยอดเมล็ดแค่ 1 ชม. ใช้เมล็ดพันธุ์แค่ 4.8 กก.ต่อไร่… ขณะที่บ้านเรา นาดำใช้เมล็ดพันธุ์ไร่ละ 8-10 กก. นาหว่าน 10-20 กก.

มีวิจัยเมล็ดพันธุ์ข้าวในระดับดีเอ็นเอ จนได้ข้าวโคชิฮิคาริ ที่ญี่ปุ่นอ้างว่า อร่อยและแพงที่สุดในโลก ราคา กก.ละ 2,000 เยน หรือเกือบ 700 บาท…ข้าวไรซ์เบอรี่ของไทยที่ว่าแน่ ราคาต่างกันลิบลับเป็นร้อยเท่า

ญี่ปุ่นมองข้ามเรื่องผลผลิตต่อไร่ เพราะผลผลิตนิ่ง แต่ละปีต่างกันไม่มาก บวกลบ 2% ให้ความสำคัญเรื่องรสชาติ การเพิ่มมูลค่าเป็นพิเศษ…ส่วนเรา ผลผลิตไม่คงที่ สนแค่ผลผลิตต่อไร่มากเอาไว้ก่อน

เขาแค่ต้องการให้คนในประเทศได้กินข้าวที่อร่อย ดี มีคุณภาพ ไม่เคยวาดภาพถึงการส่งออกทั้งที่มีศักยภาพ…ที่สำคัญ เขามองข้าวไทยเป็นแค่วัตถุดิบราคาถูก ยังไม่ถึงขั้นวางบนชั้นวางในซุปเปอร์มาร์เก็ตได้

การใช้เทคโนโลยีช่วยลดระยะเวลาเพาะปลูกไปได้ถึง 60%…ในพื้นที่ 1 แปลง (2 ไร่ในรายเล็ก) ใช้แรงงานทำสองคนแค่ตอนหยอดเมล็ดและเก็บเกี่ยวผลผลิตเท่านั้น ทำให้เขาสวมชุดปกติ หรือแม้กระทั่งใส่สูททำนาได้ เพราะไม่ต้องไปย่ำดินโคลน…พรุ่งนี้มาว่ากันต่อ.

“สะ–เล–เต”