ส่งเสริมข้าวโพด GAP สะดุด ติดปัญหาบุคลากร-งบน้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 21 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/668046


น.ส.ดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและ อาหารแห่งชาติ (มกอช.) เผยถึงกรณีภาคเอกชนกลุ่มธุรกิจผลิตอาหารสัตว์หวั่นวิตก การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยที่บางส่วนมีการบุกรุกป่า จะเกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือน IUU เป็นผลทำให้การส่งสินค้าเนื้อสัตว์ทุกประเภท ที่เลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ผลิตจากข้าว โพดเลี้ยงสัตว์ของไทยถูกสหภาพยุโรปกีดกันตามมา เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว ที่ประชุมประกอบด้วย มกอช., กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์, ซีพี และเบทาโกร ได้มีมติส่งเสริมเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ GAP

“ทุกวันนี้มีการหยิบยกปัญหาสิ่งแวดล้อมขึ้นมา เป็นมาตรการกีดกันการส่งออกสินค้า ดังนั้นการส่งเสริมปลูกข้าวโพดมาตรฐาน GAP จึงเป็นทางออกที่ดีสุด นับจากนี้ไปแนวทางการส่งเสริม จะทำได้ง่ายขึ้น เมื่อภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันบูรณาการแก้ปัญหา พัฒนามาตรฐานการปลูกข้าวโพด เพื่อทำให้การส่งออกสินค้าที่เลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ไม่ถูกกีดกันทางการค้า”

สำหรับพื้นที่ส่งเสริม น.ส.ดุจเดือน บอกว่า เบื้องต้นปี 2560 ได้กำหนดพื้นที่นำร่องในจังหวัดเพชรบูรณ์, ลพบุรี, สระบุรี และนครราชสีมา จำนวน 160,000 ไร่ แต่จากการประเมินความสามารถในการตรวจสอบรับรอง หน่วยงานราชการทำได้แค่ 25,000 ไร่ เพราะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากรในการทำงาน จึงทำให้มีพื้นที่ปลูกตามมาตรฐานอีก 135,000 ไร่ ไม่สามารถตรวจสอบรับรองได้

แต่อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติให้หน่วยตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรเอกชน (Inspection bodies : IB) ที่ มกอช. ให้การรับรองด้านมาตรฐาน เข้ามาร่วมตรวจรับรอง โดยภาคเอกชนจะรับผิด ชอบค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้กำหนดเป้าหมาย ภายในปี 2564 จะต้องมีพื้นที่ปลูกข้าวโพด GAP ผ่านการรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านไร่

“เกษตรกรที่ปรับเข้าสู่ระบบมาตรฐาน GAP นอก จากขายข้าวโพดได้ราคาสูงขึ้น ยังจะได้รับคำแนะนำในเรื่องการปลูกที่ใช้ต้นทุนต่ำ แต่ได้ผลผลิตข้าวโพดที่มีคุณภาพมากขึ้น ส่วนพื้นที่ปลูกข้าวโพดไม่ถูกต้องซึ่งมีอยู่ประมาณ 3.7 ล้านไร่ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) จะเข้าไปตรวจสอบแก้ไขพร้อมเร่งหามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเร่งด่วน อาจจะกำหนดเงื่อนไขในการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมการทำเกษตรแบบผสมผสาน แทนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” เลขาธิการ มกอช.กล่าว.

 

“ใบน้ำเต้าเถา-ขี้วัว” แก้เริมงูสวัดเม็ดพุพอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 21 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/668011


สมัยก่อน คนเป็นโรคเริม งูสวัด และเม็ดพุพองตามตัวกันเยอะ เมื่อเป็นแล้วจะทรมานมาก ซึ่งในทางสมุนไพรมีวิธีช่วยได้ระดับหนึ่ง คือให้เอาใบสดของต้น “น้ำเต้าเถา” กะจำนวนที่จะใช้แต่ละครั้งโขลกผสม กับ “ขี้วัว” แห้งหรือสดก็ได้ จำนวนพอประมาณจนละเอียด แล้วใส่เหล้าขาว 40 ดีกรีลงไปเล็กน้อยพอให้เนื้อยาละลายเข้ากันได้ดี จากนั้นจึงนำทั้งน้ำและเนื้อไปทาบริเวณที่เป็นเริม งูสวัด และเม็ดพุพองตามร่างกาย ทาบ่อยๆ จะช่วยถอนพิษปวดแสบปวดร้อน ฟกบวม และช่วยทำให้โรคเริม งูสวัด เม็ดพุพองที่เป็นอยู่ ค่อยๆดีขึ้นและแห้งหายได้ สามารถตำทาได้เรื่อยๆ ไม่อันตรายอะไร สมัยก่อนนิยมกันอย่างแพร่หลาย

ส่วน สาเหตุที่จะต้องตำผสมกับ “ขี้วัว” นั้น เนื่องมาจาก “ขี้วัว” มี แอมโมเนีย อยู่ในตัวจำนวนมาก ทำให้เย็น ถอนพิษอักเสบต่างๆได้ดีกว่ายาชนิดใดๆ ในยุคสมัยนั้น รากของต้น “น้ำเต้าเถา” ยังใช้เป็นยาแก้ดีแห้ง ขับน้ำดีให้ตกสู่ลำไส้ได้อีกด้วย โดยกะจำนวนพอประมาณต้มน้ำดื่มวันละ 2 เวลา ก่อนอาหารเย็นและก่อนนอน ครั้งละ 1 แก้ว

น้ำเต้าเถา หรือ LAGENARIA SICERARIA (MOL.) STANDL. อยู่ในวงศ์ CUCURBITACEAE มีด้วยกัน 4 ชนิด แตกต่างกันที่รูปทรงของผลต้นหรือเถาเลื้อยได้ไกลกว่า 5 เมตร ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปรีกว้าง ปลายแหลม โคนเว้า ดอกออกตามซอกใบ เป็นสีขาวอมเหลือง นิยมปลูกให้ต้นไต่หรือเลื้อยร้านเพื่อเก็บผลรับประทานในครัวเรือนหรือเก็บผลขาย โดยผลอ่อนต้มกินกับน้ำพริกชนิดต่างๆ ผัดหมูใส่ไข่ ผลอ่อนและยอดอ่อน ปรุงแกงส้มผักรวม หรือใส่กุ้งสดรับประทานอร่อยมาก ติดผลได้เรื่อยๆ ไม่ขาดต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

มีต้นและเมล็ดพันธุ์ขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 24 แผง “คุณหล้า-คุณโอม” ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกเพื่อเก็บผลกินในครัวเรือนและใช้ประโยชน์ทางสมุนไพรตามที่ระบุข้างต้น คุ้มค่ามากครับ.

“นายเกษตร”

 

นายดาบเมืองอุดร เผยเคล็ดลับเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์ การันตีผลผลิตดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 20 ก.ค. 2559 23:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/668214


นายดาบเมืองอุดร เผยเคล็ดลับเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์ หลังลองผิดลองถูกมาหลายครั้ง ใช้เวลาเลี้ยงสั้น ให้ผลผลิตที่ดี สะอาดกว่ากุ้งฝอยที่อยู่ในธรรมชาติ ผกก.สภ.หนองหาน เตรียมตั้งเป็นต้นแบบให้ชาวบ้านได้ศึกษาหาความรู้…

เมื่อวันที่ 20 ก.ค.59 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านผักตบ หมู่ 2 ต.ผักตบ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี มีตำรวจรายหนึ่งเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์ โดยใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงสั้น สามารถนำไปรับประทานและสามารถขายเพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัวเป็นอาชีพเสริมอีกทางหนึ่ง ซึ่ง พ.ต.อ.กิตเตชิษฐ์ บำรุง ผกก. สภ.หนองหาน จ.อุดรธานี ได้มอบหมายให้ตำรวจคนดังกล่าว เป็นแกนนำต้นแบบให้กับชาวบ้านและตำรวจที่ต้องการเลี้ยงกุ้งฝอย

ทั้งนี้เมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงพบ ด.ต.สุเมฆ เลิศศรีเพชร หัวหน้าป้อมยามตำรวจชุมชนบ้านผักตบ กำลังเปลี่ยนถ่ายน้ำที่เลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์ขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร จำนวน 1 บ่อ กุ้งฝอยที่เลี้ยงมีขนาดโตเต็มที่ เนื่องจากได้ทำการเลี้ยงมานานกว่า 3 เดือนแล้ว กุ้งฝอยเจริญเติบโตเต็มที่ มีขนาดตัวเท่าๆ กัน และมีความสดชื่นกว่ากุ้งที่อยู่ตามธรรมชาติทั่วๆ ไป ระหว่างนั้นมีประชาชาชนจำนวนหนึ่งได้มาขอดูงานกับ ด.ต.สุเมธ

ด.ต.สุเมฆ กล่าวว่า ตนเคยลองผิดลองถูกกับการเลี้ยงกุ้งฝอยมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งครั้งที่ 3 ที่ทำให้ตนประสบความสำเร็จ ตนค้นพบว่าต้องปรับสภาพน้ำภายในบ่อซีเมนต์ เพื่อให้เกิดความสมดุล ด้วยการใส่สารอีเอ็มใส่ลงไปในน้ำ จำนวน 1 ฝาเครื่องดื่ม พร้อมกับนำผักบุ้งลงในบ่อซีเมนต์ด้วย เพื่อให้กุ้งฝอยมีออกซิเจนและมีที่อยู่ ก่อนนำกุ้งฝอยที่เตรียมไว้ลงน้ำ ทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง ประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้กุ้งฝอยพักฟื้นและปรับตัว จากนั้นจึงเริ่มให้อาหาร โดยใช้ไข่แดงต้มสุกบดผสมกับข้าวสวย เมื่อกุ้งฝอยมีอายุได้ 1 อาทิตย์ก็ให้ไข่แดงแค่ 1 ฟอง โดยจะให้อาหารวันละ 2 ครั้งเช้าเย็น

ขณะเดียวกันการเลี้ยงกุ้งฝอยนี้ตนทำได้ประมาณ 3 เดือนแล้ว และได้ผลผลิตที่ดี สามารถนำมาเป็นอาหารได้ โดยเบื้องต้นตนยังไม่ได้เลี้ยงเพื่อทำขาย เพราะต้องการให้การเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์เป็นต้นแบบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวบ้านที่มีความสนใจที่จะเลี้ยงกุ้งฝอยก่อน

สำหรับกุ้งฝอยตอนนี้ขายอยู่กิโลกรัมละ 200 บาท ชาวบ้านบอกว่ากุ้งฝอยที่เลี้ยงในบ่อซีเมนต์ สะอาดกว่ากุ้งฝอยที่อยู่ในธรรมชาติ สำหรับเมนูที่เอาไปทำอาหารนั้นก็ทำได้หลากหลาย เช่นจะนำไปกุ้งไปทำให้สุกด้วยวิธีการคั่ว แล้วจึงนำไปก้อยใส่พริกป่น ข้าวคั่ว น้ำปลา น้ำมะนาว หรือ เอาไปชุบแป้งทอด ทานกับส้มตำ น้ำจิ้มอาจาด ก็ได้เช่นกัน

 

จุดเปลี่ยนที่ท้าทาย แล้งนี้สู่…แล้งหน้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/667321


ณ ตอนนี้… แม้สถานการณ์น้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ทั่วประเทศเริ่มมีน้ำไหลลงอ่างฯสะสมมากขึ้นจากฝนที่ตกลงอย่างหนักในช่วงนี้ แต่ประมาทไม่ได้

กรมชลประทานเผยสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ระบุว่า มีปริมาณน้ำในอ่างขณะนี้ 32,565 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากความจุของปริมาณน้ำในอ่างทั่วประเทศรวมกัน 70,418 ล้าน ลบ.ม.

ปริมาณน้ำที่ว่านี้…มีน้ำที่ใช้ได้จริง 8,844 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็น 17% ซึ่งยังสามารถรับน้ำได้อีก 42,290 ล้าน ลบ.ม.

ขณะที่ปริมาณน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก…เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำในอ่างรวมกันอยู่เพียง 8,027 ล้าน ลบ.ม. แต่ใช้ได้จริงเพียง 1,331 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น ปริมาณน้ำระบายอยู่ที่ 18.21 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งยังสามารถรับน้ำได้อีก 16,844 ล้าน ลบ.ม.

เหลียวมองตัวเลข “อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่” ยังอยู่ในเกณฑ์น้อยกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 30 ของความจุอ่างจำนวน 22 อ่าง ไล่เรียงไปตั้งแต่ อ่างภูมิพล อ่างแม่งัด อ่างแม่กวง อ่างกิ่วลม อ่างแควน้อย อ่างลำพระเพลิง อ่างป่าสักชลสิทธิ์ สะท้อนให้เห็นว่า…สถานการณ์น้ำยังไม่อยู่ในสถานการณ์ที่นิ่งนอนใจได้

คำถามสำคัญมีว่า…กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้รับผิดชอบนโยบายหลักจะมีแผนรับมือในยามนี้ได้อย่างไร เพื่อเตรียมพร้อม “แล้งนี้…สู่แล้งหน้า” ให้ราบรื่นตลอดรอดฝั่ง

สุ้มเสียงแบ่งรับแบ่งสู้ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บอกว่า แม้ขณะนี้จะเข้าสู่หน้าฝนแต่ข้อมูลยังเผยให้เห็นถึงจังหวัดที่ประกาศเขตให้ความช่วยเหลือภัยแล้งหลงเหลืออยู่อีกหลายจังหวัด…ประกอบด้วย 6 จังหวัด 38 อำเภอ

“กระทรวงเกษตรฯไม่นิ่งนอนใจ” พลเอกฉัตรชัย ยืนยัน “แม้ปีนี้ภัยแล้งจะบรรเทาลงแล้ว แต่ก็ยังเฝ้าระวังพร้อมกับเดินหน้าในการเตรียมรับมือวิกฤติภัยแล้งในปีหน้าเอาไว้อย่างเสร็จสรรพ”

เน้นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณน้ำฝน ปริมาณการกักเก็บน้ำ และปริมาณการใช้น้ำให้สมดุล…สู่แนวทางการบริหารน้ำอย่างยั่งยืน

ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ทำการเกษตร 149.2 ล้านไร่ ในขณะที่ ตัวเลขในการพัฒนาพื้นที่ชลประทานทั่วประเทศมีจำนวน 30.22 ล้านไร่ คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่การเกษตรทั้งหมด

ปัญหามีว่า…ที่เหลืออีก 120 ล้านไร่ หรือกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เป็นพื้นที่ปลูกพืชโดยใช้ “น้ำฝน” เป็นหลักซึ่งมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ เนื่องจากความผันแปรของสภาพ ลม ฟ้า อากาศ

สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญในการเก็บกักน้ำในช่วงหน้าฝนของแต่ละเขื่อน เพื่อเป็น “น้ำต้นทุน” จะบริหารจัดการน้ำในฤดูฝนอย่างไรให้มีการเก็บกักน้ำของแหล่งน้ำให้มากที่สุดในปลายฤดูฝน

ต้องยอมรับว่าในอดีต “แผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศ” ไม่มีความชัดเจน หลังยุค คสช. ได้มาดูระบบบริหารจัดการน้ำ ใช้เวลา 9 เดือนวางแผนน้ำต่อเนื่องล่วงหน้า 10 ปี ที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ

บันทึกช่วยจำ…เสมือนสัญญาที่ไม่ใช่เพียงลมปาก พุ่งเป้าไปที่แผนปฏิบัติการเบื้องต้นพื้นที่ชลประทานทั่วประเทศ ต้องสามารถใช้น้ำได้ทั้งปี ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานต้องวางแผนทำแบบสำรวจความต้องการและความเหมาะสม หากจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนปลูกพืชเกษตรไปส่งเสริมให้เลี้ยงสัตว์แทน

ฉายภาพ…สถานการณ์การเพาะปลูกนาปีทั่วประเทศขณะนี้ มีการเพาะปลูกแล้วกว่า 1.47 ล้านไร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการเพาะปลูกนาปีไปแล้วราว 551,430 ไร่ และในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองมีการเพาะปลูกนาปีไปแล้วกว่า 2.36 หมื่นไร่

แน่นอนว่ากรมชลประทานจะต้องควบคุมน้ำท่าให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่งน้ำเข้าระบบชลประทานไปยังพื้นที่การเกษตรได้อย่างทั่วถึง ที่สำคัญ…ทุกโครงการชลประทานทั่วประเทศต้องเก็บกักน้ำให้ได้มากที่สุด ให้สอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกลงมา แต่ต้องไม่กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีฝ่ายบำรุงรักษา กรมชลประทาน ให้ข้อมูลว่า แม้ขณะนี้ฝนจะตกหนักแต่ก็ตกอยู่ใต้เขื่อน ทำให้หลายฝ่ายกังวล กรมฯจึงเร่งประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ…เพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนหลัก ทำอย่างไรจะเก็บน้ำให้ได้จำนวนมากที่สุด เพราะปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว…

น้ำใน 4 เขื่อนหลักที่ใช้ได้มีน้อยกว่า เฉลี่ยแล้วปริมาณต่างกัน เกือบร้อยละ 50

“ถึงกรกฎาคมจะเก็บน้ำเข้าเขื่อนให้มากที่สุด คาดว่า…เมื่อสิ้นฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำใช้การได้ใน 4 เขื่อนหลัก…เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมกัน 7,000 ล้าน ลบ.ม. ถึงจะอุ่นใจได้ แต่ถ้าให้สบายใจเลยก็ต้องบริหารจัดการให้ได้ 9,000 ล้าน ลบ.ม. ถึงจะเพียงพอ”

ในการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพนั้น ใช่เพียงแต่มีอ่างเท่านั้นแต่ยังสามารถใช้ประตูระบายน้ำ การขุดลอกแหล่งน้ำ รวมทั้งการใช้เครื่องอาคารชลประทานช่วยยกระดับน้ำแม่น้ำเข้าไปในคลอง…

หากฝนตกใต้เขื่อนก็มีแผนรองรับไว้หลายมาตรการ เช่น การขุดสระ การสร้างบ่อแก้มลิง บ่อน้ำ การสร้างประตูระบายน้ำ เร่งพัฒนาแหล่งน้ำช่วยเสริมเก็บ

สุรเดช เตียวตระกูล อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน เสริมว่า “บ่อจิ๋ว”…ถือเป็นแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ของเกษตรกรที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ ช่วยสร้างความชุ่มชื้น ฟื้นคืนชีวิตเกษตรกรให้ทำการเพาะปลูกสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้ เน้นไปที่ไร่นานอกเขตชลประทาน ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงวันนี้ มีอยู่ 352,690 บ่อ ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 81 ทำในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับปีนี้ จะขุดบ่อจิ๋วตามงบฯอีก 20,000 บ่อ

“เราทำงานควบคู่ไปกับการสร้างความรู้ ความเข้าใจกับเกษตรกรเกี่ยวกับเรื่องแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน รวมทั้งสำรวจความต้องการของเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ”

นับรวมไปถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ำ…การบริหารจัดการให้สอดคล้องกับแผนที่เกษตร เพื่อบริหารจัดการเชิงรุก ตามความเหมาะสมของการปลูกพืช … พื้นที่ใน…นอกเขตชลประทาน แหล่งน้ำผิวดิน…ใต้ดิน โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลจัดทำเป็นแผนที่รายจังหวัด

ดร.ทองเปลว บอกอีกว่า ในระยะยาวกรมชลประทานกำลังเร่งดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 12 ปี (2558-2569) ของรัฐบาล ที่วางเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ชลประทานอีก 8.7 ล้านไร่ และเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำอีก 4,800 ล้าน ลบ.ม. และสามารถบริหารจัดการน้ำ ให้มีน้ำใช้เพื่อกิจกรรมต่างๆได้ 9,500 ล้าน ลบ.ม. ต่อปีอีกด้วย ยุทธศาสตร์นี้จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในอนาคต

ทั้งหมด…เป็นเพียงมาตรการส่วนหนึ่งที่กระทรวงเกษตรฯ ได้เตรียมจัดทัพรับมือเพื่อสกัด “วิกฤติภัยแล้ง” ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในปีหน้าและในอนาคต แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือการปลูกฝังให้ประชาชนทุกคนตระหนักถึงการใช้ “น้ำ” ร่วมกันทั้งในชุมชน…ระดับประเทศ

“บริหารจัดการน้ำ” อย่างเป็นระบบ…แก้ปัญหาในภาพรวมทั้งลุ่มน้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำอย่างนี้แล้ว ถ้าไม่สำเร็จ คงโทษใครไม่ได้ นอกจาก…“เทพยดาฟ้าดิน”.

 

แปลงใหญ่ผักไหม..ประชารัฐตัวจริง เอกชนนำ..รัฐเดินตามหลัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 20 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/667416


ไปดูงานแปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ (ข้าว) ที่ศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสุขสยามคูโบต้า-ผักไหม อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ…“สมกับเป็นประชารัฐ” มีการปฏิรูปภาคเกษตรครบวงจร ปลูกเองแปรรูปเอง ขายเอง โดยมีภาคเอกชน “สยามคูโบต้า” บุกเบิกทำงานร่วมกับชาวบ้านมาแล้ว 6 ปี…ก่อนที่ภาครัฐจะเพิ่งเข้ามาปีนี้

“เรารวมกลุ่มกันมาตั้งแต่ปี 41 ในนามกลุ่มออมทรัพย์บ้านนาทุ่ง พอมาปี 53 คูโบต้าเข้ามาส่งเสริมการปลูกพืชตระกูลถั่วหลังนา และการบริหารจัดการเครื่องจักรกลการเกษตร ปี 55 เลยจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน ต.ผักไหม ขายเมล็ดพันธุ์ข้าวผ่านสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) และตั้งเป็นศูนย์เรียนรู้ได้ในปีถัดมา พร้อมกับพัฒนาสู่การเพิ่มมูลค่าทำข้าวอินทรีย์ แปรรูปเป็นข้าวบรรจุถุง”

ไพฑูรย์ ฝางคำ ประธานวิสาหกิจชุมชนศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน ต.ผักไหม เล่าถึงที่มาก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่แปลงใหญ่ประชารัฐเกษตรสมัยใหม่ จากสมาชิกแรกเริ่มมีแค่ 30 คน พื้นที่ 250 ไร่…ปัจจุบันมี 297 ราย พื้นที่รวมถึง 3,780 ไร่ ที่กลายมาเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชนพลังเกษตรสุขสยามคูโบต้า-ผักไหม โดย “สยามคูโบต้า” ลงทุน ลงแรง และลงเงินให้ทั้งหมด

ทำเกษตรด้วยวิธี KAS (KUBOTA Agricultural Solution) …ทำการเกษตรให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยใช้เครื่องจักรกลที่มีคุณภาพ มีการวิเคราะห์ ขั้นตอนไหน ควรปลูกพืชอย่างไร เก็บผลผลิตอย่างไร จะปลูกอย่างไรไม่ให้มีวัชพืช ปรับระดับน้ำให้พอเหมาะกับการเติบโตของพืช ส่งเสริมการปลูกพืช Cash Crop (ผักและเห็ดอินทรีย์)
เพิ่มรายได้ 20%

“เดิมชาวบ้านมีรายได้ทางเดียวจากข้าว ไร่ละ 5,000-6,000 บาทต่อปี หมดฤดูทำนาก็แยกย้ายไปรับจ้างในเมือง ทิ้งลูกเมียอยู่บ้าน ถึงฤดูทำนาก็กลับมาใหม่ ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต แต่เดี๋ยวนี้ทำนาได้เพิ่มเป็นไร่ละ 13,000-15,000 บาท เพราะผลผลิตเพิ่มขึ้น และมีการแปรรูปสีใส่ถุงขายเอง หมดฤดูทำนา ยังมีถั่ว เห็ด ผักให้เก็บขาย ได้เงินทุกวัน ไม่ต้องออกไปทำงานต่างถิ่น ได้อยู่ กับครอบครัว คุณภาพชีวิตดีขึ้นด้วย”

และผลที่เห็นเป็นรูปธรรมที่สุดคือ ชาวบ้านเปลี่ยนจากทำนาหว่าน ที่ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 มาก แต่ให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ มาทำนาดำและนาหยอด ลดต้นทุนการผลิตในนาดำจากไร่ละ 4,620 บาท เหลือแค่ 4,050 บาท และเพิ่มผลผลิตจากไร่ละ 400 กิโลกรัม เป็น 550 กิโลกรัม

ส่วนนาหยอดลดต้นทุนการผลิตจากไร่ละ 4,620 บาท เหลือ 3,285 บาท เพิ่มผลผลิตจากไร่ละ 400 กิโลกรัม เป็น 500 กิโลกรัม

เรียกว่าช่วยยกระดับนาที่ถูกจัดอยู่ในพื้นที่ไม่เหมาะสม ให้กลายมาเป็นนาเหมาะแก่การปลูกข้าวระดับ S2 (เหมาะสมน้อย) ได้ก็แล้วกัน.

กรวัฒน์ วีนิล

 

“ประกายทองจำปา” ลูกผสมใหม่หอมแรง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 20 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/667194


ไม้ต้นนี้ มีกิ่งตอนวางขายมีป้ายชื่อเขียนติดไว้ว่า “ประกายทองจำปา” พร้อมมีภาพถ่ายดอกและต้นจริงโชว์ให้ชมด้วย ทีแรก คิดว่าเป็นจำปาแคระที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปนานแล้ว เพราะลักษณะทุกอย่างคล้ายคลึงกันมากและคิดว่าคนขายเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อจูงใจคนซื้อ แต่ผู้ขายกิ่งตอนยืนยันว่าเป็นพันธุ์ใหม่ เกิดจากการผสมเกสรระหว่างจำปาทองกับจำปาอินโดแล้วนำเอาเมล็ดจากผลที่เกิดจากดอกไม้ที่ผสมเกสรไปเพาะเป็นต้นกล้าปลูกเลี้ยงจนโต มีดอก ปรากฏว่า ต้นเตี้ยแจ้ สูงแค่ 2-3 เมตร สามารถมีดอกได้แล้ว ดอกมีขนาดใหญ่ สีสันของดอกเข้มข้นขึ้น ดอกมีกลิ่นหอมแรงกว่า มีดอกเกือบทั้งปี จึงตั้งชื่อว่า “ประกายทองจำปา” ดังกล่าว

ประกายทองจำปา อยู่ในวงศ์ MAGNOLIA-CEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง 2-3 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่บริเวณปลายยอด ใบรูปขอบขนานแคบ ปลายแหลม โคนมน ขอบใบเป็นคลื่น เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด ใบดกและหนาแน่นมาก

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ ตามซอกใบ มีกลีบดอก 12-15 กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น ดอกตูมเป็นรูปกระสวย กลีบดอกเป็นรูปรีเหมือนกลีบดอกจำปาแคระทั่วไป ปลายกลีบดอกแหลม เป็นสีเหลืองอมส้มหรือสีเหลืองทอง ดอกมีกลิ่นหอมแรง มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียจำนวนมาก “ผล” เป็นผลกลุ่ม มีผลย่อยและเมล็ดเยอะ ดอกออกเกือบตลอดทั้งปี เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามพร้อมส่งกลิ่นหอมเป็นที่ประทับใจยิ่ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

มีกิ่งตอนแท้ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณ แผง “คุณตุ๊ก” หน้าตึกกองอำนวยการเก่าในเต็นท์ โทร.08-5164-2800 หรือที่งานบ้านและสวน ไบเทค บางนา กทม. วันที่ 27-31 ก.ค.59 และที่งานห้าง “ซีดีซี” ถนนเลียบทางด่วนสายเอกมัย-รามอินทรา วันที่ 15-24 ก.ค.59 ราคาสอบถามกันเอง ผู้ขายยืนยันว่าปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งในที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน จะสามารถมีดอกสวยงามและส่งกลิ่นหอมชื่นใจได้ เหมือนกับการปลูกลงดินทุกอย่างครับ.

“นายเกษตร”

 

ได้เวลา…โรคไหม้ข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 20 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/667219


ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูง เป็นธรรมชาติของฤดูฝน…ระยะนี้ให้ระวังโรคไหม้ข้าวระบาดในนาข้าว ระบาดได้ทุกระยะตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยว

เพราะอากาศเป็นใจให้เชื้อรา Pyriculariaoryzaecav เจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำนาหว่านที่ใช้เมล็ดพันธุ์มาก ต้นข้าวงอกขึ้นหนาแน่น มีการใส่ปุ๋ยยูเรียมาก และเมื่อมาบวกผสมกับการปลูกข้าวพันธุ์อ่อนแอต่อโรคไหม้ เช่น พันธุ์ขาวตาแห้ง, เหนียวอุบล, เหนียวสันป่าตอง, กข 6, กข 23 การระบาดจะยิ่งมากเป็นพิเศษ

อาการของโรค ที่ใบจะมีแผลจุดสีน้ำตาลลักษณะคล้ายรูปตาหรือกระสวย มีสีเทาปนอยู่ตรงกลางแผลมีขนาดแตกต่างกัน และสามารถลุกลามติดต่อกันทั้งใบ ถ้าอาการรุนแรงข้าวจะแห้งตายในที่สุด อาการคล้ายถูกไฟไหม้ ถ้าเป็นที่กาบใบ ใบมักหลุดออกจากกาบใบ เมล็ดลีบ หรือถ้าเป็นที่คอรวงจะทำให้เมล็ดลีบ คอรวงจะปรากฏแผลสีน้ำตาล ทำให้หักพับลง

เพื่อป้องกันโรคที่จะเกิดขึ้น กรมส่งเสริมการเกษตร แนะให้เลือกปลูกพันธุ์ข้าวต้านทานต่อโรค กข 7, กข 13, ชัยนาท 1, สุพรรณบุรี 60, สุพรรณบุรี 90, พิษณุโลก 60–2, หางยี 71 และ เหมยนอง

อย่าปลูกข้าวหนาแน่นมากเกินไป และอย่าใส่ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป

สำหรับในแหล่งที่เคยมีการระบาดควรคลุกหรือแช่เมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยสารเคมีป้องกันเชื้อราก่อนปลูก จำพวก คาร์เบนดาซิม, คาซูกาไมซิน,
ไตรไซคลาโซล หรือโพรคลอราช

กรณีเกษตรกรลงมือปลูกไปแล้ว ไม่ได้หาวิธีป้องกันไว้ก่อน เมื่อเริ่มพบโรคนี้เกิดขึ้นในแปลงนาของตัวเอง แนะนำให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัดเชื้อรา เช่น ไตรไซคลาโซล, คาร์เบนดาซิมบีโนมิล+ไธแรม, ไตรโฟรีน หรือไอบีพี

หากพบการระบาดรุนแรงให้รีบแจ้งเกษตรตำบลใกล้บ้านหรือแจ้งสำนักงานเกษตรอำเภอทันที เพื่อจะได้หาทางป้องกันและรักษาถูกวิธี ป้องกันการลุกลามไปในวงกว้าง…มีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่สำนักงานเกษตรจังหวัด กลุ่มอารักพืช สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลใกล้บ้าน.

สะ-เล-เต

 

กรมส่งเสริมฯ มองข้ามช็อต ชวนปลูกข้าวโพดแทนนาปรัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 19 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/666581


นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เผยว่า ด้วยสภาพอากาศปัจจุบันการทำนาปรัง เกษตรกรมีโอกาสประสบปัญหาขาดแคลนน้ำระหว่างเพาะปลูก โดยเฉพาะในช่วงระยะเป็นข้าวน้ำนม ซึ่งตรงกับช่วงกลางของฤดูแล้งพอดี เกษตรกรส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาด้วยการสูบน้ำจากบ่อบาดาลน้ำตื้น นอกจากจะเสี่ยงทำให้ผลผลิตเสียหายรุนแรงแล้ว ยังทำให้ต้นทุนการปลูกข้าวนาปรังสูงขึ้นด้วย

“กรมส่งเสริมการเกษตรจึงขอเชิญชวนชาวนาปรับระบบการปลูกข้าวนาปีตามด้วยการปลูกข้าวนาปรัง มาเป็นการปลูกข้าวนาปีตามด้วยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แทน นอกจากช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำได้ ยังช่วยตัดวงจรชีวิตของโรคและแมลงศัตรูข้าวได้ด้วย ที่สำคัญจะช่วยให้ชาวนามีรายได้มั่นคงมากขึ้น เพราะการปลูก

ข้าวโพดในฤดูแล้งจะไม่มีปัญหามากเหมือนปลูกในฤดูฝนที่จะมีปัญหาความชื้นสูง ข้าวโพดคุณภาพต่ำ ขายไม่ได้ราคา ยังมีปัญหาข้าวโพดล้นตลาด ถูกกดราคา เพราะมีการปลูกกันมาก ไม่เหมือนปลูกในฤดูแล้งที่มีผลผลิตออกมาน้อยกว่า ได้ราคาดีกว่า”

นายโอฬาร กล่าวอีกว่า ปลูกข้าวโพดเป็นพืชที่เหมาะฤดูนาปรัง ใช้น้ำน้อยแค่ 600-700 ลบ.ม.ต่อไร่ แต่ยังได้ผลตอบแทนสูงกว่าทำนาปรัง เพราะการศึกษาโครงการส่งเสริมและปรับระบบการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา ของกรมส่งเสริมการเกษตร ที่ได้ทดลองปลูกในฤดูนาปรัง 2558/59 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ 6 จังหวัด ชัยนาท, พิจิตร, พิษณุโลก, พะเยา, ตาก และกำแพงเพชร พบว่า การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังนา ได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 1,375 กก. เกษตรกรขายได้ราคาเฉลี่ย กก.ละ 6 บาท ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 8,212.50 บาท เมื่อหักต้นทุนการผลิตเฉลี่ยไร่ละ 5,475.50 บาท ทำให้เกษตรกรมีกำไรเฉลี่ยไร่ละ 2,737 บาท

“ในขณะที่การปลูกข้าวนาปรังต้องใช้น้ำมากถึงไร่ละ 1,200-1,300 ลบ.ม. ได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 622 กก. เกษตรกรขายได้ราคาเฉลี่ย กก.ละ 7.60 บาท ปลูกข้าวนาปรัง 1 ไร่ ขายได้ 4,727 บาท แต่เมื่อหักต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงถึงไร่ละ 5,967 บาท เพราะมีค่าสูบน้ำเพิ่มเข้ามา ทำให้ชาวนาขาดทุนถึงไร่ละ 1,240 บาท ดังนั้น การปลูกข้าวโพดหลังนาช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ดีกว่าอย่างแน่นอน” อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรกล่าว.

 

แล็บไทยในเส้นทางอาเซียน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 19 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/666544


อาเซียนเป็นตลาดการค้าและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารสำคัญแห่งหนึ่งของไทย สินค้าที่มีศักยภาพส่งออกกว่า 20 รายการ มันสำปะหลัง ข้าว น้ำตาล ยางพารา กระเทียม ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กุ้งแช่แข็ง หอยเป๋าฮื้อแช่แข็ง ปลาทูน่า ไก่แช่แข็ง เนื้อไก่ ฯลฯ

ดังนั้น ห้องปฏิบัติการ (Lab) จึงเป็นกลไกสำคัญ ที่จะสร้างความเชื่อมั่น ในคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าไทยให้กับประเทศผู้นำเข้า

สำหรับศักยภาพขีดความสามารถของห้องแล็บไทย น.ส.ดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ยืนยัน สามารถแข่งขันกับประเทศสมาชิกอาเซียนได้ เนื่องจากเรามีห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO/IEC17025 ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งหมด 104 แห่ง แยกเป็นห้องปฏิบัติการที่ให้บริการทดสอบ 34 แห่ง ห้องปฏิบัติการของโรงงานอีก 70 แห่ง

“ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสามารถเลือกใช้บริการทดสอบจากห้องปฏิบัติการที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO/IEC17025 และนำผลทดสอบไปยื่นขอใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) กับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งกรมวิชาการเกษตร กรมประมง และกรมปศุ-สัตว์ เพื่อใช้ประกอบการส่งออกสินค้าได้เลย โดยไม่ต้องนำสินค้าไปทดสอบวิเคราะห์ซ้ำ นอกจากประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่าย ยังช่วยให้การส่งออกเกิดความคล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้น”

แต่อย่างไรก็ตาม มกอช.ยังคงมุ่งสนับสนุนพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบสินค้าเกษตรและอาหารของไทยอย่างต่อเนื่อง เน้นผลักดันห้องปฏิบัติการเข้าสู่มาตรฐาน ISO/IEC17025 ให้มีมากขึ้น เพื่อขยายให้ครอบคลุมทั่วทุกภาคของไทย ให้พร้อมสำหรับความต้องการของผู้ประกอบการของไทย

ขณะเดียวกัน ยังได้มีการจัดทำฐานข้อมูลห้องปฏิบัติการทดสอบสินค้าเกษตรของไทยที่ได้มาตรฐานและขึ้นทะเบียนกับ มกอช.ไว้แล้วด้วย ให้ผู้ส่งออกสามารถเข้ามาสืบค้นข้อมูลการให้บริการทดสอบในแต่ละรายการได้ทางเว็บไซต์ http://www.acfs.go.th หรือ osa.acfs.go.th นอกจากทำให้ผู้ส่งออกรู้ผลได้เร็ว ยังทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยขยายตัวได้เร็วตามเป้าหมายที่วางไว้ เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะในการแข่งขันทางการค้าในเวทีการค้าอาเซียนและตลาดโลก.

สะ–เล–เต

 

“มหาพรหมเทวี” กับที่มาพันธุ์ดกหอมแรง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 19 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/666529


มหาพรหมชนิดนี้ ผู้ขายกิ่งตอนบอกว่า เป็นมหาพรหมตัวใหม่ที่เกิดจากการนำเอาเมล็ดของมหาพรหมราชินีจำนวนหลายเมล็ด ไปเพาะเป็นต้นกล้า แล้วแยกต้นปลูกเลี้ยงจนโต มีดอกและติดผล ปรากฏว่ามีลักษณะแตกต่างจากต้นมหาพรหมราชินีหลายจุด เช่น ใบจะไม่มีขน เรียบและเป็นมัน ที่สำคัญมหาพรหมตัวใหม่จะมีดอกเกือบตลอดทั้งปี แบบไม่ขาดต้น ซึ่งมหาพรหมราชินีจะมีดอกเฉพาะช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนทุกปี ดอกของมหาพรหมตัวใหม่จะมีขนาดใหญ่กว่าอย่างชัดเจน ดอกมีกลิ่นหอมแรงกว่าด้วย เชื่อว่าเป็นไม้กลายพันธุ์อย่างแน่นอน จึงขยายพันธุ์ตอนกิ่ง เพื่อปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่หลายวิธีทุกอย่างยังคงที่ เลยตั้งชื่อใหม่ให้ว่า “มหาพรหมเทวี” ดังกล่าว

มหาพรหมเทวี มีชื่อวิทยาศาสตร์และมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับมหาพรหมราชินีทุกอย่างคือ เป็นไม้ยืนต้นสูง 5-15 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้าง ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ปลายแหลม โคนมนเบี้ยว สีเขียวสด ไม่มีขนและเป็นมัน

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบ มีหูใบขนาดเล็ก กลีบเลี้ยงเป็นสีเขียวแยกเป็น 3 แฉก รูปไข่ ปลายแหลม มีกลีบดอก 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นนอก 3 กลีบ เป็นสีขาวหรือสีเหลืองนวล เป็นรูปไข่และมีขนาดใหญ่กว่ากลีบดอกของมหาพรหมราชินีอย่างชัดเจน กลีบชั้นในปลายกลีบจรดกันเป็นรูปโดมแหลม สีแดงอมม่วง ดอกมีกลิ่นหอมแรง เวลามีดอกเต็มต้นจะสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” เป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 7-10 ผล มีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

มีกิ่งตอนแท้ขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณหน้าตึกกองอำนวยการเก่าในเต็นท์ แผง “คุณตั๊ก” โทร. 08-5164-2800 กับที่งานบ้านและสวนไบเทค บางนา กทม. วันที่ 27-31 ก.ค. 59 และที่งานห้าง “ซีดีซี” ถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา วันที่ 15-24 ก.ค. 59 ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”