กษ.ตั้งจุดบริการประชาชน ช่วงวันหยุดยาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 18 ก.ค. 2559 18:52

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/666707


กระทรวงเกษตรฯ ระดมหน่วยงานสังกัด เปิดจุดอำนวยความสะดวกและบริการด้านการเดินทาง รองรับนักท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาว พร้อมเปิดแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรให้ประชาชน

พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดนี้ประชาชนนิยมเดินทางออกต่างจังหวัด ซึ่งบางช่วงการจราจรติดขัด อาจทำให้เกิดความเครียด ดังนั้นจึงให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ตั้งจุดอำนวยความสะดวก บริการด้านการเดินทางขึ้น จำนวน 815 จุด ใน 76 จังหวัด ให้ประชาชนแวะพักผ่อน พักรถ จุดบริการดังกล่าวจะให้บริการน้ำดื่ม นม กาแฟ หรืออาหารว่าง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

“ในช่วงวันหยุดยาวๆ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้เปิดแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรขึ้น อาทิ ศูนย์พืชไร่ นครสวรรค์ รวมทั้งสถานที่อื่นๆ ซึ่งมีความสวยงาม มีเรื่องราว พร้อมทั้งจัดสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สินค้าแปรรูปจากลุ่มแม่บ้านโดยตรง ไว้รองรับเป็นของฝากกลับไปบ้าน หรือเดินทางกลับ สนนราคาย่อมเยา นอกจากนี้ยังได้จัดเตรียมสถานที่ อาทิ เที่ยวชมสวนผลไม้ เที่ยวแปลงผักปลอดสารพิษ เที่ยวชมดอกไม้สวยงาม แหล่งเรียนรู้การเกษตร แหล่งปลูกข้าวที่มีคุณภาพ การเลี้ยงแกะและผลิตภัณฑ์จากแกะ และการแปรรูปสินค้า” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ยังได้จัดจุดบริการพักรถแก่ประชาชน ภายใต้กิจกรรม “ดื่มน้ำ ดื่มนม ชมฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค ฟรี” ณ ฝ่ายท่องเที่ยวเชิงเกษตร อ.ส.ค. อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ส่วนสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ได้ตั้งจุดบริการประชาชนที่จุดพักรถและศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรที่สูงเชียงราย ก็ได้ตั้งจุดบริการเปิดให้ชิมกาแฟสดดอยช้าง และให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมศูนย์ฯ
ส่วนกรมชลประทาน ได้ตั้งจุดบริการบริเวณโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว ถ.พหลโยธิน ต.สันกลาง อ.พาน จ.เชียงราย ประชาชนที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ http://www.moac.go.th

 

แมลง..สัตว์เศรษฐกิจทางเลือก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 18 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/665821


จิ้งหรีดไม่เพียงจะเป็นแมลงที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีโปรตีนมากถึง 18.6% ไม่แพ้ปริมาณโปรตีนที่มีในเนื้อหมู เนื้อไก่ และปลาทู ยังมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด

จึงไม่น่าแปลกใจ ทำไมองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ถึงสนับสนุนให้คนบนโลกนี้บริโภคแมลงกัน…จนทำให้ “จิ้งหรีด” แมลงที่หลายคนตั้งข้อรังเกียจ ได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น

สำหรับบ้านเรา นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ให้ข้อมูล ปัจจุบันมีเกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีดกระจายอยู่ภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ประมาณ 20,089 ราย มีปริมาณผลผลิตจิ้งหรีด 656.07 ตัน คิดเป็นมูลค่า 65,606,700 บาท…ไม่เพียงจะมีรายได้จากการเลี้ยงและจำหน่ายตัวจิ้งหรีดพันธุ์ ไข่จิ้งหรีด และยังจำหน่ายมูลจิ้งหรีดเพื่อใช้ในการผลิตปุ๋ยหมักให้แก่พืชผลต่างๆ ได้อีกทาง

“การเพาะเลี้ยงจิ้งหรีด ลงทุนไม่มาก พื้นที่แค่เพียง 2 ตารางเมตร ลงทุน 1,200 บาท สามารถเก็บขายได้ 2,400 บาท กำไรเท่าตัว และการลงทุนแค่ครั้งแรกครั้งเดียว เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตต่อเนื่องทุกๆ 35 วัน ไปได้นานถึง 5-6 รุ่น เพียงแต่การเลี้ยงรุ่นที่ 3 อาจจะต้องหาพ่อแม่พันธุ์จากที่อื่นๆ มาเปลี่ยนเลี้ยงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผสมพันธุ์แบบเลือดชิด ที่จะมีผลทำให้ผลผลิตน้อยลงเท่านั้นเอง”

และเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้และความมั่นคงให้แก่ครอบครัว ขณะนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งมีบทบาทภารกิจในการส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีทางการเกษตร ได้จัดโครงการส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีดให้เป็นแมลงเศรษฐกิจทางเลือก ร่วมกับการเลี้ยงแมลงอีกจำนวน 5 ชนิด ผึ้งพันธุ์, ผึ้งโพรง, ชันโรง, ครั่ง และ ด้วงสาคู เพราะเป็นแมลงที่มีมูลค่าในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ที่สามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรได้ เพราะมีช่องทางพัฒนาให้เป็นสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพและเป็นอาหารปลอดภัยได้ไม่ยาก

เกษตรกรสนใจจะสร้างอาชีพใหม่ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางรายได้ ด้วยการเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ 08-4112-9562 กลุ่มส่งเสริมแมลงเศรษฐกิจ สำนักส่งเสริมและจัดการสินค้าเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร.

สะ-เล-เต

 

หวั่น ‘IUU’ ยกพลขึ้นฝั่ง เร่งGAPข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 18 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/665899


ปัญหา IUU ไม่เพียงไทยจะถูกอียูจับตาการทำประมงในทะเลเท่านั้น ปัญหายังรุกขึ้นมาบนบกไปยันภูเขาอีกด้วย ต่อไปการปลูก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ต้องได้ตรารับรอง แปลงปลูกมาตรฐาน GAP ด้วย…

มิเช่นนั้น สารพัดสินค้าเนื้อสัตว์มาจากการเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ทำจากข้าวโพดในแปลงไม่ถูกต้อง สหภาพยุโรปจะไม่รับซื้อ สั่งห้ามนำเข้าประเทศ

“สหภาพยุโรปได้ส่งสัญญาณเรื่องนี้มาได้ 2-3 เดือนแล้ว มีประเด็นมองได้ 2 ทิศทาง นโยบายนี้ อียูต้องการแก้ปัญหาการรุกป่า ทำลายสภาพแวดล้อม และป้องกันไม่ให้มีสารตก ค้างในอาหารสัตว์และเนื้อสัตว์ ที่ส่งผลต่อสุขภาพผู้บริโภคต้องยอมรับที่ผ่านมา การรับรองมาตรฐาน GAP ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เราทำได้น้อย เนื่องจากการรับรองแปลงปลูกให้ได้มาตรฐาน เราจะมุ่งไปที่พืชอาหารคนเป็นหลัก ไม่ได้เน้นเรื่องพืชอาหารสัตว์ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา IUU ในข้าวโพด จากนี้ไปกรมป่าไม้ต้องควบคุมดูแลอย่างจริงจัง พื้นที่ปลูกต้องเป็นพื้นที่มีเอกสารสิทธิ มีการครอบครองถูกต้องตามกฎหมาย เพราะ มกอช.มีหน้าที่ทำได้แค่ออกกฎระเบียบมาตรฐานการปลูกได้เท่านั้น”

น.ส.อิงอร ปัญญากิจ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมมาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) มองว่า การตรวจรับรองมาตรฐาน หากไทยยังทำเหมือนที่ผ่านมา คงทำได้ไม่ทันตามกำหนดเวลาแน่…เพราะไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดกว่า 7 ล้านไร่ ที่ผ่านการขึ้นทะเบียนเกษตรกร 4.5 ล้านไร่ ที่เหลืออีกเกือบ 3 ล้านไร่ ไม่รู้เป็นพื้นที่อะไรกันแน่

ที่สำคัญพื้นที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ผ่านการรับรองมาตรฐาน GAP มีแค่ 10,000 ไร่เท่านั้นเอง

“เพื่อให้ทันตามกำหนดเวลา จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีรับรองแปลงปลูกแบบรายเดี่ยวๆ มาเป็นรายกลุ่ม โดยกรมส่งเสริมการเกษตรทำหน้าที่รวมกลุ่มผู้ปลูกและเป็นที่ปรึกษาให้เกษตรกร กรมวิชาการเกษตร เข้ามาทำการ ตรวจรับรองมาตรฐาน วิธีนี้นอกจากรับรองรวดเร็ว สมาชิกในกลุ่มยังดูแลกันเองได้ และทันกับเวลาที่สภาหอการค้าขีดเส้น ต้องส่งเสริมและรับรองพื้นที่ปลูกข้าวโพดทั้ง หมดให้ได้ภายในปี 2563”

สำหรับผู้ประกอบการที่ค้าขายกับสหภาพยุโรป ต้องปรับเปลี่ยนการส่งเสริมตรวจรับรองเหมือนบริษัทเอกชนรายใหญ่ของไทยที่เริ่มไหวตัวประกาศนโยบาย 3 ปีจากนี้จะไม่รับซื้อข้าวโพดจากแหล่งปลูกที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ควบคู่กับเริ่มทยอยลดพื้นที่เพาะ-ปลูกให้น้อยลง.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

“กระสัง” แก้ปวดตามข้อและเกาต์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 18 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/665826


ผู้สูงอายุ มักจะมีอาการปวดตามข้อต่างๆ และบางคนเป็นโรคเกาต์ระยะแรกๆ ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง ให้เอาต้น “กระสัง” แบบสดทั้งต้นรวมราก 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 2 แก้วจนเดือด เคี่ยวเหลือ 1 แก้ว แบ่งดื่ม 2 เวลา ครั้งละครึ่งแก้วก่อนหรือหลังอาหารก็ได้เช้าเย็นทุกวัน หรือจะกินต้น “กระสัง” สดๆ ไม่ต้องมากนัก ทุกวันก็ได้ จะช่วยให้อาการปวดตามข้อหรือโรคเกาต์บรรเทาหรือหายได้ แต่จะต้องรู้จักงดกินของแสลงควบคู่ด้วยจึงจะดีมาก

กระสัง หรือ PEPEROMIA PELLUCIDA KORTH อยู่ในวงศ์ PEPEROMIACEAE เป็นไม้ล้มลุกมีขึ้นเองตามธรรมชาติทั่วไป ทั้งต้นกินเป็นผักสดปรุงเป็นยำรสเผ็ดเล็กน้อย กินสด เป็นแหล่งเบต้าแคโรทีน ช่วยทำให้ร่างกายได้ภูมิต้านทานมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือด ขยี้ทาแก้พิษฝี ขยี้ใส่น้ำทาแก้เม็ดผืนคันตามตัวดีมาก

ครับ หนังสือ “สมุนไพรไม้ดอกไม้ประดับหายาก” เล่มที่ 5 ของ “นายเกษตร” พิมพ์จำกัดหมดแล้วหมดเลย ไม่วางขายที่ไหน ราคาเล่มละ 600 บาท บวกค่าส่งกลับเล่มละ 30 บาท ส่งธนาณัติซื้อสั่งจ่าย “คุณนงลักษณ์ ศรีอัชรานนท์” ตู้ ปณ.48 ปณ.สามแยกลาดพร้าว กทม. 10901 หรือสอบถามผลิตภัณฑ์สมุนไพร ขมิ้นชันแคปซูล แก้โรคกระเพาะอาหาร, มะแว้งแคปซูล ปรับระดับน้ำตาลในเลือด, ตรีผลาแคปซูล ลดไขมันในเส้นเลือด ลดไตรกรีเซอไรด์, ดีบัวแคปซูล ขยายหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองหัวใจ, แห้วหมูแคปซูล ลดความดันโลหิต, น้ำมัน 12 ประดง ใช้ภายนอก ฆ่าเชื้อสมานแผลแก้เริมงูสวัด สะเก็ดเงินแพ้เหงื่อ, ยาแก้ริดสีดวงจมูกแคปซูล แก้น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น, ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี แก้ปวดเมื่อย แก้เกาต์ ลดเบาหวาน, คอลลาเจนบริสุทธิ์ เป็นผงทาหน้าช่วยให้ผิวหน้ากระชับ, ครีมโลดทนง รักษาสิวฟ้ารูขุมขนตีบลง, ว่านชักมดลูกแคปซูล ช่วยให้มดลูกกระชับ แก้คาวปลากลิ่นเหม็นในสตรี แก้ต่อมลูกหมากอักเสบไส้เลื่อนในบุรุษ, กระเทียมโทนแคปซูล แก้หอบหืด แก้ถุงลมโป่งพอง, ยาบำรุงไตแคปซูล ไม่ใช่รักษาไต, ยาลดเบาหวานแคปซูล และอื่นๆ โทร.0-2275-2692 ครับ.

“นายเกษตร”

 

พริกกระสอบ 1 งาน..เดือนละหมื่นหก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 15 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/663632


พริกเดือยไก่

“ได้ยินครั้งแรก นึกว่าเป็นพริกสายพันธุ์ใหม่ ที่ไหนได้ เป็นแค่วิธีการปลูกพริกแบบใหม่ ไม่ต้องปลูกลงดิน แต่ใช้กระสอบป่านแทนกระถางเท่านั้น แต่มีข้อดีตรงน้ำหนักเบา ยกเคลื่อนย้ายไปวางปลูกที่ไหนก็ได้ ไม่หนักเหมือนปลูกในกระถาง ในบ่อซีเมนต์ ที่สำคัญไม่ว่าดินจะเลวแค่ไหน ปลูกได้หมด เพราะเราปรับปรุงดินได้ และยังปลูกพริกได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องพักดิน”

นายพิเชษ ด้วงชู นักศึกษา ปวส. ปี 2 สาขาด้านพืชศาสตร์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง ผู้ตั้งความฝันอยากช่วยพ่อแม่หารายได้ แต่ด้วยต้องไปเรียนทุกวัน ไม่อาจออกช่วยกรีดยางได้ จึงคิดหาหนทางช่วยพ่อแม่ ด้วยการปลูกพริกกระสอบ ที่ได้ความรู้มาจากการสมัครเข้าร่วม “โครงการเกษตรเพื่อชีวิต เกษตรรุ่นใหม่ ใส่ใจมาตรฐาน” ของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่ง ชาติ (มกอช.) ร่วมกับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุงจัดขึ้น เพื่อต้องการปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่รู้เรื่องมาตรฐานการผลิต GAP ที่ทั่วโลกยอมรับ รวมทั้งรู้จักใช้พื้นที่ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ปลูกพริกกระสอบ …ที่ดินแค่งานเดียว ทำกินได้เท่าเงินเดือนคนจบปริญญาตรี ทั้งยังช่วยลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช เชื้อรา และวัชพืช ได้ด้วย

“ที่บ้านมีที่ดินน้อย เลยอยากลองวิชาที่อบรมมา ทำได้จริงหรือเปล่า เพราะคิดว่าที่ดินแค่งานเดียว จะไป ทำอะไรได้ ปรากฏว่า ผิดคาด แค่ลองครั้งแรก ตามประสาคนไม่มีประสบการณ์ หักต้นทุน ยังเหลือกำไรตั้งห้าพันบาท และพอมาทำจริงได้บทเรียนจากครั้งแรก ที่ดิน 1 งาน ปลูกพริกกระสอบ 200 ถุง ปลูกไป 3 เดือน เก็บพริกได้ทุกสัปดาห์ นานเป็นปี แต่ ละเดือนได้พริกประมาณ 120 กก. ราคากิโลละ 130-150 บาท เดือนละ 16,800 บาท”

วิธีปลูกพริกกระสอบให้ได้ผล พิเชษบอกว่า เริ่มจากนำดินร่วนปนทราย 12 กก. มาผสมมูลวัว 5 ขีด ปูนขาว 1 กำมือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ถุงปุ๋ย พับปากถุงให้สูงจากดินที่บรรจุประมาณ 1 ฝ่ามือ เพื่อช่วยบังลมให้ต้นกล้าพริก

ส่วนพันธุ์พริกแล้วแต่จะเลือกใช้ขึ้นอยู่กับตลาดแต่ละพื้นที่ แต่สำหรับพัทลุง จะใช้พริกพันธุ์เดือยไก่ เพราะตลาดภาคใต้ต้องการมาก ให้ราคาดีกว่าพริกชนิดอื่น

ลงปลูกเพียงแค่ 3 เดือน สามารถเก็บขายได้นานเป็นปีหรืออาจจะมากกว่า ขึ้นอยู่กับการดูแล และเมื่อต้นพริกวาย (หมดอายุ) ยกกระสอบออกนำดินไปเทผึ่งแดดฆ่าเชื้อ หาดินชุดใหม่มาทำเหมือนเดิม.

เพ็ญพิชญา เตียว

 

“สายน้ำผึ้ง” แก้โรค ผิวหนังเหงือกอักเสบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 15 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/663456


ในทางสมุนไพร ระบุว่า ลำต้นหรือเถาของ “สายน้ำผึ้ง” ส่วนไหนก็ได้ จำนวนพอ ประมาณต้มกับน้ำอาบ แก้โรคผิวหนัง แผลฝีต่างๆ แผลเปื่อย ดื่มแก้บิด ท้องเสีย แก้ปวดเมื่อยตามข้อ ขับปัสสาวะ แก้ไข้ และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร เนื่องจากมีสารฝาดและซาโปนิน ส่วน ดอก ชาวจีนสมัยโบราณและปัจจุบันนิยมเอาดอกสดจำนวนตามต้องการต้มกับน้ำจนเดือด 5-10 นาที ดื่มขณะอุ่นเป็นยาแก้ไข้หวัดได้ระดับหนึ่ง และ ยังอมกลั้วในปากช่วยแก้เหงือกอักเสบเป็นแผลมีหนองได้ ดอกมีสารจำพวก LUTEOLINN.INOSITOL

สายน้ำผึ้ง หรือ LONICERA JAPONICA THUNB. ชื่อสามัญ HONEYSUCKLE, JAPANESE HONEYSUCKLE. อยู่ในวงศ์ COPRIFLOLIACEAE เป็นไม้เถาเลื้อย กิ่งก้านและต้นเป็นสีน้ำตาล มีขน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปรีแกมรูปใบหอก ปลายแหลม โคนกลมหรือตัดตรง

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ มีกลีบเลี้ยงโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉกเรียงกันเป็นสัน กลีบดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดยาวประมาณ 2.5 ซม. ปลายแยกเป็นกลีบดอก 2 ส่วนไม่เท่ากัน ส่วนบนมีกลีบเดียว ส่วนล่างปลายแยกเป็น 4 กลีบ มีเกสรตัวผู้ 5 อัน ยาวพ้นกลีบดอก ดอกเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองจัดเมื่อดอกแก่ ดอกมีกลิ่นหอมเย็น เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายเมื่อเข้าไปยืนใกล้ๆต้น จะได้กลิ่นเป็นที่ประทับใจมาก “ผล” รูปทรงกลมสีดำ มีเมล็ด ดอกออกทั้งปี จะมีดอกดกช่วงระหว่างเดือนมีนาคม ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง

มีต้นขายทั่วไป ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกให้ต้นหรือเถาเลื้อยพันรั้วหรือซุ้มประตูทางเข้าบ้าน นอกจากดอกจะส่งกลิ่นหอมชื่นใจแล้ว บางส่วนยังสามารถเอาไปใช้เป็นสมุนไพรได้ตามที่กล่าวข้างต้นครับ.

“นายเกษตร”

 

ตุรกี เข้ม GMO ไทยโดน 4 รายการ เกษตรฯ เร่งเจรจาปลดล็อกยกแผง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 14 ก.ค. 2559 19:51

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/663822


ตุรกีออกกฎตรวจเข้ม GMO ในสินค้าเกษตร-อาหารนำเข้าจาก 28 ประเทศ สินค้าไทยโดนด้วย 4 รายการ เกษตรฯ รุดขอปรับลดอัตราตรวจสอบลง 50% สำเร็จ เตรียมเร่งเจรจาผลักดันปลดล็อกยกแผง หวั่นกระทบส่งออกระยะยาว …

เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 59 นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยว่า จากการที่ตุรกีได้ออกกฎระเบียบให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการปนเปื้อนจีเอ็มโอ (GMO) ในสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์นำเข้าเข้มงวดมากขึ้นถึง 50-100 % โดยประกาศเป็นรายชื่อสินค้า รายชื่อประเทศ และศักยภาพการสุ่มตรวจแต่ละรายการ ทำให้ประเทศผู้ส่งออกสินค้าไปยังตุรกีได้รับผลกระทบจากการออกกฎระเบียบดังกล่าว จำนวน 28 ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น และประเทศในกลุ่มอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ รวมทั้งไทย ซึ่งมีสินค้าที่ต้องถูกตรวจสอบการปนเปื้อน GMO 4 รายการ ได้แก่ ข้าว แป้งข้าวโพดและขนมขบเคี้ยวทำจากข้าวโพด ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ และมะละกอและผลิตภัณฑ์กฎระเบียบดังกล่าวได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสินค้า 4 รายการของไทยที่ส่งออกไปยังตุรกี ถึงแม้จะมีมูลค่าไม่มากนัก ประมาณ 300-500 ล้านบาท/ปี แต่เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ส่งออกที่ต้องตรวจวิเคราะห์การปนเปื้อน GMO ในสินค้าที่ส่งออก 50-100 % ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์ GMO ค่อนข้างสูง ตัวอย่างละกว่า 3,000 บาท มกอช. จึงได้หารือกับตุรกีเพื่อขอปรับลดอัตราการตรวจสอบลงเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ ซึ่งการเจรจาประสบผลสำเร็จ โดยตุรกียอมปรับลดอัตราการตรวจสอบ GMO ในสินค้าเกษตรไทย 4 รายการลง 50 %

“สำหรับสินค้าข้าวปรับลดการตรวจสอบเหลือ 25 % จากเดิมกำหนดไว้ 50% แป้งข้าวโพดและขนมขบเคี้ยวทำจากข้าวโพด ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ มะละกอและผลิตภัณฑ์ ตุรกีลดการตรวจสอบเหลือ 50 % จากเดิมกำหนดไว้ 100% หากแนบใบรับรองปลอด GMO ไปกับสินค้าด้วย อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมแผนเร่งผลักดันการเจรจากับตุรกี เพื่อปลดล็อกสินค้าทั้ง 4 รายการของไทย ออกจากบัญชีรายการและประเทศที่ตุรกีต้องตรวจสอบ GMO โดยเร็ว โดยเฉพาะข้าวเพื่อป้องกันผลกระทบต่อการส่งออกในระยะยาว” เลขาธิการ มกอช. กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังตุรกี ปีละ ประมาณ 4,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นสินค้ายางพารา มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท สำหรับสินค้า 4 รายการที่ต้องถูกตรวจสอบการปนเปื้อน GMO นั้น เป็นสินค้าข้าว ประมาณ 200 ล้านบาท และข้าวโพด ประมาณ 100 ล้านบาท.

 

“บัวคิงออฟสยาม” ชื่อมงคลสวยหอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย นายเกษตร 14 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/662554


ผู้อ่านไทยรัฐจำนวนมาก อยากทราบว่า “บัวคิงออฟสยาม” มีความเป็นมาอย่างไร ซึ่ง บัวดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มของ บัวผัน ที่มีการเจริญจากหัวหรือเหง้าใต้ดินในแนวตั้ง เป็นบัวที่เกิดจากการขยายพันธุ์โดยฝีมือของ อ.ชัยพล ธรรมสุวรรณ มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ สีสันของดอกสวยงามน่าชมยิ่ง และ ดอกยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆอีกด้วย จึงตั้งชื่อเป็นมงคลว่า “บัวคิงออฟสยาม” หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “บัวฉลองขวัญ” ดังกล่าว

บัวคิงออฟสยาม หรือ “บัวฉลองขวัญ” อยู่ในสกุล NYMPHAEA และอยู่ในวงศ์ NYMPHAEACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้า ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่ลอยบนผิวน้ำ เป็นวงกลม แผ่นใบเป็นรูปไข่ โคนเว้า ฐานใบเปิดครึ่งหนึ่ง ขอบเรียบและเป็นคลื่น ด้านบนสีเขียวมัน ด้านล่างสีม่วงอมน้ำเงิน ในก้านใบมีน้ำยางใส เมื่อหักจะเป็นใยติดยาวยืด เรียกว่า “ใยบัว” ซึ่งคนมักจะนำไปเปรียบเปรยว่า “ตัดบัวแล้วยังมีเยื่อใย” หมายถึงยังตัดไม่ขาดนั่นเอง

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบ บานเหนือน้ำ ปลายกลีบดอกแหลมเรียงซ้อนกันหลายชั้น เป็นสีม่วงเข้มหรือสีม่วงอมชมพู ใจกลางดอกมีเกสรจำนวนมากเป็นสีเหลืองสด ดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-12 ซม. ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เวลามีดอกบานเหนือน้ำหลายๆดอกจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกเมื่อเข้าไปใกล้ๆ เป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” ค่อนข้างกลม อยู่ในน้ำ มีเมล็ด จำนวนมาก ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและหน่อ นิยมปลูกประดับ ทั้งลงกระถางบัวและปลูกลงสระน้ำจำลองที่มีน้ำไม่สูงนัก เนื่องจาก “บัวคิงออฟสยาม” หรือ “บัวฉลองขวัญ” เป็นสายพันธุ์ที่ชอบน้ำตื้นและลึกปานกลาง ชอบแดดจัด 5-6 ชั่วโมงต่อวัน บำรุงปุ๋ยสม่ำเสมอจะมีดอก สวยงามและส่งกลิ่นหอมประทับใจยิ่ง

มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 2 แผง “คุณเกด” ราคาสอบถามกันเองครับ.

“นายเกษตร”

 

เครื่องพยากรณ์โรคข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 14 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/662556


ภูมิปัญญาชาวบ้านที่ใช้กันมานานปี ปราชญ์ชาวบ้านสมัยก่อน แค่ลมพัด ฝนตก สามารถทำนายได้ว่า ช่วงนี้ข้าวในนาจะดี ช่วงนั้นจะเกิดโรคอะไรระบาดตามมา

จากการรวบรวมข้อมูลความรู้ภูมิปัญญาชาวนามานานนับสิบปี มาบรรจุไว้ในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ https://scituweather.appspot.com /forecast เพื่อใช้งานร่วมกับ เครื่องพยากรณ์การเกิดโรคของต้นข้าวในนาข้าว นวัตกรรมใหม่ เจ้าของรางวัลเหรียญทองแดง จากเวทีประกวดนวัตกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 44 ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ปี 2559 ผลงาน ผศ.ดร.ดุสิต อธินุวัฒน์ ภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์…ใช้งานง่าย แม่นยำ รวดเร็ว ราคา 5,000 บาท

ช่วยลดการใช้ยา สารเคมี เสมือนมีภูมิ คุ้มกันชั้นดีติดตัว เตือนภัยล่วงหน้าให้รู้เท่าทันโรคในข้าว

เครื่องพยากรณ์การเกิดโรคในนาข้าว ประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์เก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม และสภาพอากาศ ทั้งเรื่องของอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณน้ำฝน ทำงานโดยแบตเตอรี่พลังงานโซลาร์เซลล์

เมื่อเซ็นเซอร์ทำงาน จะส่งสัญญาณไร้สายเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในบ้าน พร้อมส่งข้อมูลประมวลผลเข้าสู่เว็บไซต์…เกษตรกรสามารถดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟนได้ตลอดเวลา

โปรแกรมในเว็บไซต์จะคำนวณความเป็นไปได้ของโรคข้าว 5 โรค ที่พบบ่อย โรคใบไหม้, โรคจุดสีน้ำตาล, โรคขอบใบแห้ง, โรคเมล็ดด่าง, โรคใบขีดโปร่งแสง…โปรแกรมจะวิเคราะห์ให้รู้ได้ทันที อากาศแบบนี้ ฝนอย่างนี้ มีแนวโน้มจะเกิดโรคอะไรตามมาในอีกกี่วันพร้อมแจกแจงแนวทางป้องกัน

การทดลองใช้ในนาข้าวมาแล้ว 3 ครอป ในพื้นที่ จ.นนทบุรี และอ่างทอง เมื่อปีก่อน ปรากฏผลมีความแม่นยำ 75-90% ช่วยเกษตรกรลดต้นทุนจากการใช้ยา ค่าแรงงาน ได้ 25% หรือช่วยประหยัดเงินไปประมาณไร่ละ 400 บาท ลดโอกาสสูญเสียผลผลิตจากโรค แถมเพิ่มอัตรางอกเมล็ดได้อีก 33%

แม้ตอนนี้เครื่องพยากรณ์โรคข้าวยังอยู่ในระยะตั้งไข่ แต่ ดร.ดุสิต วางแผนเตรียมพัฒนาให้วิเคราะห์ได้ทุกโรคในข้าว ครอบคลุมถึงการเตือนภัยแมลงศัตรูพืช และในอนาคตตั้งเป้าจะพัฒนาไปสู่การพยากรณ์ให้ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจอื่นๆได้ด้วย….สนใจสอบถามได้ที่ 08-1578-8377.

สะ–เล–เต

 

ลดพื้นที่ปลูกยาง ปศุสัตว์หนุนเลี้ยงโค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 14 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/662682


น.สพ.อยุทธ์ หรินทรานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า ในขณะที่ความต้องการบริโภคเนื้อโคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วง 10 ปี คนไทย กลับไม่นิยมเลี้ยง หันไปสนใจปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างยางพารา เพราะคิดว่าคืนทุนเร็ว ปลูกครั้งเดียวขายได้เงินระยะยาว ต่างจากการเลี้ยงโคต้องลงทุนมาก ใช้เวลาเลี้ยงนาน 3 ปีถึงจะขายได้ เมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่เปลี่ยนไปทำสวนยางกันมากขึ้น ทำให้ปริมาณโคเนื้อในไทยมีจำนวนลดลง จากปี 2549 มีโค 8.03 ล้านตัว ปัจจุบันลดเหลือ 3 ล้านกว่าตัว แต่ครั้นราคายางมีปัญหา ชาวบ้านคิดกลับมาเลี้ยงโค แต่มีปัญหาขาดเงินทุน เพราะโคเนื้อเพศเมียราคาสูงมาก จากเดิมอยู่ที่ตัวละ 16,000-25,000 บาท ปัจจุบันขึ้นมาเป็น 40,000-60,000 บาท

“เพื่อตอบสนองความ ต้องการของเกษตรกร กรมปศุสัตว์ได้จัดโครงการสร้างอาชีพเลี้ยงโคเนื้ออย่างยั่งยืนขึ้น ในพื้นที่เขตภาคตะวันออกและภาคใต้ เน้นส่งเสริมเกษตรกรปลูกยางพาราที่สนใจเลี้ยงโค และยอมปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกยางพารารายละ 5 ไร่ ปลูกพืชอาหารสัตว์ เพื่อเลี้ยงแม่โคท้อง 5 ตัว และลูกโคที่ออกมา เกษตรกรจะนำไปขายหรือนำมาเลี้ยงเป็นโคขุนได้ทั้งนั้น วิธีนี้นอกจากลดพื้นที่ปลูกยาง ชาวบ้านยังมีโคเนื้อไว้ขายเป็นเงินก้อน มีปุ๋ยบำรุงสวนยางส่วนที่เหลือ และยังช่วยลดปัญหาปริมาณโคเนื้อในพื้นที่ขาดแคลนได้ด้วย”

สำหรับเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ น.สพ.อยุทธ์ บอกว่า ต้องเป็นสมาชิกและผ่านการ รับรองคุณสมบัติจากวิสาหกิจชุมชน, นิติบุคคล, สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคเนื้อ มีสัญชาติไทย อายุ 20 ปีบริบูรณ์ มีสวนยางพารา สามารถสร้างโรงเรือนและมีพื้นที่ลานปล่อยให้โคเดินอย่างอิสระ ทาง ธ.ก.ส.จะสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยถูกให้รายละ 250,000 บาท นำไปสร้างโรงเรือนกับซื้อแม่โค โดยกรม ปศุสัตว์จะหาแหล่งและให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกับผู้จำหน่ายแม่โคตกลงซื้อขายกันเอง ทั้งนี้ ช่วง 2 ปีแรก เกษตรกรชำระเพียงดอกเบี้ยอัตรา 2% ตั้งแต่ปีที่ 3-8 ต้องชำระเงินคืนปีละ 42,500 บาท (เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย) ตลอดระยะเวลาเลี้ยงโคจะมีเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ มาเป็นพี่เลี้ยง ให้คำแนะนำ ถ่ายทอดเทคนิค ความรู้ ชาวสวนยางพาราสนใจติดต่อได้ที่สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดใกล้บ้าน.