‘ตั๊น จิตภัสร์’จับมือ‘คุณหญิงกัลยา-ดร.เอ้’ ร่วม‘พรรคไทยก้าวใหม่’ ลงสมัคร สส. เปิดตัว 19 ธ.ค.

‘ตั๊น จิตภัสร์’จับมือ‘คุณหญิงกัลยา-ดร.เอ้’ ร่วม‘พรรคไทยก้าวใหม่’ ลงสมัคร สส. เปิดตัว 19 ธ.ค.

‘ตั๊น จิตภัสร์’จับมือ‘คุณหญิงกัลยา-ดร.เอ้’ ร่วม‘พรรคไทยก้าวใหม่’ ลงสมัคร สส. เปิดตัว 19 ธ.ค.

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.30 น.

‘ตั๊น จิตภัสร์’จับมือ‘คุณหญิงกัลยา-ดร.เอ้’ ร่วม‘พรรคไทยก้าวใหม่’ ลงสมัคร สส. เปิดตัว 19 ธ.ค.

18 ธันวาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (19 ธ.ค.68) เวลา 11.00 น. นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยก้าวใหม่  จะร่วมแถลงเปิดตัว น.ส.จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาฯ สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยก้าวใหม่  ณ ที่ทำการพรรคไทยก้าวใหม่ อาคารไอ ทาวเวอร์  เขตจตุจักร กทม. โดยจะลงสมัคร สส. ในนามพรรคไทยก้าวใหม่ ในการเลือกตั้ง 8 ก.พ. 2569

‘ไพศาล’อวยฉ่ำ’ยศชนัน’ ปลุกกระแสแดงทั้งประเทศ

'ไพศาล'อวยฉ่ำ'ยศชนัน' ปลุกกระแสแดงทั้งประเทศ

‘ไพศาล’อวยฉ่ำ’ยศชนัน’ ปลุกกระแสแดงทั้งประเทศ

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.15 น.

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 นายไพศาล พืชมงคล เลขาธิการและอุปนายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีนโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระบุว่า ยศชนันท์ฟีเวอร์ ปลุกกระแสแดงฉานทั้งประเทศ

คาดดัน พท ได้รับเลือก100-120
เจ้าหลานชายเอ๊ย หาเวลาว่างมาจิบน้ำชากะลุงหน่อย
อายุน้อยกว่าลุงป้อมมาก
หนุ่มสดกว่าอภิสิทธิ์
ตัวขาวกว่าอนุทิน
สมาร์ทกว่าเท้ง
ปราดเปรียวกว่าสุดารัตน์
และยังเป็นหลานศิษย์วัดระฆังด้วย

‘จุลพันธ์’ซัด‘ธนาธร’อย่าชี้นิ้วไปที่คนอื่นปม‘แก้ รธน.’ แค่นี้มองไม่ออกโง่ซ้ำซ้อนโดนหลอกร่ำไป

‘จุลพันธ์’ซัด‘ธนาธร’อย่าชี้นิ้วไปที่คนอื่นปม‘แก้ รธน.’ แค่นี้มองไม่ออกโง่ซ้ำซ้อนโดนหลอกร่ำไป

‘จุลพันธ์’ซัด‘ธนาธร’อย่าชี้นิ้วไปที่คนอื่นปม‘แก้ รธน.’ แค่นี้มองไม่ออกโง่ซ้ำซ้อนโดนหลอกร่ำไป

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 17.01 น.

‘จุลพันธ์’ซัด‘ธนาธร’อย่าชี้นิ้วไปที่คนอื่น ปม‘แก้ รธน.’ไปไม่ถึงวาระ 3 สวนแค่นี้มองไม่ออกก็โง่ซ้ำซ้อนโดนหลอกร่ำไป ย้อนแคนดิเดต ปชน.ก็ลงมติไม่ครบทุกมาตรา

18 ธันวาคม 2568 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไปไม่ถึงวาระ 3 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ สส.พรรคเพื่อไทยมาโหวตไม่ครบตามกรรมาธิการเสียงข้างมากว่า สิ่งแรกอยากให้นายธนาธรไปดูการลงมติในหลายมาตรา เพราะแม้แต่แคนดิเดตของพรรคประชาชนเอง ก็ไม่ได้ลงมติทุกมาตรา ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่พวกตนก็มากันเต็มกำลังตามที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ขอไว้ก่อนที่จะมีการลงมติเราก็มาเต็มอัตราศึก เราพยายามทำเต็มที่ อย่าชี้นิ้วไปที่คนอื่น ขอให้ดูกระบวนการในสิ่งที่พวกคุณไปทำMOAมา ว่ามีข้อบกพร่องอะไร แล้ว MOA เกิดความเสียหายกับประเทศอย่างไร อย่ามัวแต่โทษคนอื่น

“หากมองว่าชนะในวาระ 2 แล้วจะเดินต่อได้ ผมไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร โง่ซ้ำซ้อนหรือไม่ หากคำนี้แรงไปหรือหนักไปก็ต้องขอโทษ แต่ในข้อเท็จจริงก็เห็นอยู่แล้วว่าพรรคภูมิใจไทยลงมติให้ สว. ต่อให้ผ่านไปได้มันก็ไม่สามารถที่จะผ่านวาระ3 ได้อยู่ดี ถ้าแค่นี้มองไม่ออกก็คงจะโดนหลอกอยู่ร่ำไป ผมเคยพยายามบอกพรรคประชาชนแล้วว่า ชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาไม่ประสงค์ที่จะแก้ และ MOA ก็ล้มเหลว เพราะฉะนั้นก็ต้องเรียกสติกลับมา อยู่ในแนวทางที่ถูกที่ควร แล้วเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งดีกว่า” นายจุลพันธ์ กล่าว

เมื่อถามว่าแบบนี้เหมือนเป็นการโยนความผิดให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ที่ไปไม่ถึงวาระ 3 นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในเวลานั้นใครอ่านไม่ออกว่าไปไม่ถึงวาระ 3 และต่อให้ไปถึงวาระ3 อย่างไรก็ลงมติไม่ผ่าน หมายความว่าสิ่งที่ตกลงกันไว้ไปไม่ถึงอยู่แล้ว ตนก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายไปมากกว่านี้อีกอย่างไร

‘เพื่อไทย’อ้าซ่า! ‘จุลพันธ์’พร้อมรับลูกพรรค‘ชาติพัฒนา’ สบช่องเสริมแกร่งโคราช

‘เพื่อไทย’อ้าซ่า! ‘จุลพันธ์’พร้อมรับลูกพรรค‘ชาติพัฒนา’ สบช่องเสริมแกร่งโคราช

‘เพื่อไทย’อ้าซ่า! ‘จุลพันธ์’พร้อมรับลูกพรรค‘ชาติพัฒนา’ สบช่องเสริมแกร่งโคราช

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.51 น.

‘จุลพันธ์’พร้อมอ้าแขนรับลูกพรรค‘ชาติพัฒนา’ รอผู้ใหญ่สองพรรคคุยก่อน เชื่อหากมาจริงช่วยเสริมแกร่งพื้นที่โคราช

18 ธันวาคม 2568 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) มีมติไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในครั้งนี้ แต่ได้ให้อิสระแก่ สส.ของพรรคในการย้ายไปอยู่พรรคอื่นได้ ขณะนี้ได้มีการติดต่อมาที่พรรคเพื่อไทยบ้างหรือไม่ ว่า จริงๆไม่ได้ห่างกันอยู่แล้ว มีการพูดคุยกันตั้งแต่ตอนร่วมรัฐบาล มีการหารือกันอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคมีความใกล้ชิดกัน ตอนนี้ต้องให้เกียรติพรรคชาติพัฒนาเรื่องการพิจารณาดำเนินกิจการของพรรค เมื่อมีข้อสรุปออกมาพรรคเพื่อไทยก็พร้อมที่จะพูดคุย ซึ่งต้องมาหารือกันอีกครั้ง โดยให้ผู้ใหญ่ของทั้ง 2 พรรคได้พูดคุยให้เกิดความชัดเจน

เมื่อถามว่าแสดงว่าหลังบ้านได้มีการพูดคุยกันอยู่ตลอดใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยกันอยู่ตลอด โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่เป็นกลุ่มมีแนวอุดมการณ์ แนวความคิดใกล้เคียงกัน ซึ่งเมื่อมีความชัดเจนจากพรรคชาติพัฒนาคงได้พูดคุยกันต่อในรายละเอียด ส่วนเรื่องผู้สมัครพรรคเพื่อไทยยังคงเปิดพิจารณาแม้จะประกาศเปิดตัวไปเกือบครบแล้วก็ตาม เรายังพร้อมที่จะดู หาผู้สมัครที่มีคุณสมบัติ มีคุณภาพ มีความพร้อม และมีอุดมการณ์ที่ตรงกับพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามว่าหากได้สส.ของพรรคชาติพัฒนา โดยเฉพาะพื้นที่ จ.นครราชสีมาจะสามารถเพิ่มเก้าอี้ให้กับพรรคเพื่อไทยได้อีกใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า แน่นอน ถ้าท่านตัดสินใจมา ซึ่งต้องพูดคุยกันทั้งสองฝ่าย คงเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพื้นที่โคราชของเราอยู่แล้ว ส่วนขณะนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดวันให้ผู้ใหญ่ทั้ง 2 พรรคมาพูดคุยกัน

เมื่อถามว่าคาดหวังจะได้ สส.นครราชสีมาเพิ่มขึ้นจากเดิมเท่าใด นายจุลพันธ์ หัวเราะก่อนกล่าวว่า พื้นที่โคราชเป็นพื้นที่มีศักยภาพของเราอยู่แล้ว และเรามีกลุ่มการเมืองที่แข็งแรงในพื้นที่ เรามีรัฐมนตรีในพื้นที่ทั้งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และน.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดังนั้นเป็นพื้นที่เป้าหมายของเราอยู่แล้ว ถามว่าตั้งเป้าเท่าไหร่ เราต้องการทุกเขต

‘รทสช.’พร้อมลุยเลือกตั้ง ‘พีระพันธุ์’ย้ำจุดยืน‘เด็ดขาดแก้วิกฤต พลิกโฉมประเทศ’ ลดค่าไฟ-น้ำมัน

‘รทสช.’พร้อมลุยเลือกตั้ง ‘พีระพันธุ์’ย้ำจุดยืน‘เด็ดขาดแก้วิกฤต พลิกโฉมประเทศ’ ลดค่าไฟ-น้ำมัน

‘รทสช.’พร้อมลุยเลือกตั้ง ‘พีระพันธุ์’ย้ำจุดยืน‘เด็ดขาดแก้วิกฤต พลิกโฉมประเทศ’ ลดค่าไฟ-น้ำมัน

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.44 น.

‘รทสช.’เครื่องร้อนพร้อมลุยเลือกตั้ง ‘พีระพันธุ์’นำเวิร์กช็อปติวเข้มว่าที่ผู้สมัคร สส.ทั่วประเทศ ย้ำจุดยืน‘เด็ดขาดแก้วิกฤต พลิกโฉมประเทศ’ ปิดฉากรบสยบเขมร ปราบทุจริต สแกมเมอร์ ลดค่าไฟ-น้ำมัน เสริมเศรษฐกิจฐานราก สร้างเงินให้เกษตรกร

18 ธันวาคม 2568 ที่โรงแรม เลอ มอนเต้ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค จัดกิจกรรมอบรมสัมมนาว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติบางส่วนจากทั่วประเทศ เพื่อเตรียมความพร้อมและเสริมศักยภาพของผู้สมัครฯ ในการลงสนามสู้ศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงจุดยืนของพรรคว่า พรรครวมไทยสร้างชาติมีแกนสำคัญที่สุดคือการยึดมั่นใน ‘ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์’ และไม่ว่านโยบายของพรรคจะปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ประเทศเพียงใด อุดมการณ์ในการปกป้องสถาบันหลักจะยังคงสอดแทรกอยู่ในทุกภารกิจเสมอ และอีกหัวใจสำคัญในการทำงานของพรรคคือแนวคิด ‘สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง’ เพราะสิ่งที่ประชาชนคาดหวังมากที่สุดคือการมีคนที่พร้อมแก้ไขปัญหาและพยายามเข้าไปช่วยเหลืออย่างจริงจัง และพรรคต้องการคนที่เข้ามาทำงาน ไม่ใช่มาเล่นการเมือง

หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ  เปิดเผยแนวนโยบายของพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า  พรรครวมไทยสร้างชาติมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติด้วยความ “เด็ดขาด” เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงระดับ “พลิกโฉม” ประเทศ  โดยเฉพาะวิกฤตความมั่นคงด้านอธิปไตย  ปัญหาทุจริตงบประมาณ ทุนเทา สแกมเมอร์ ปัญหาเศรษฐกิจฐานราก  ปัญหาราคาพลังงาน  ปัญหาภาคเกษตร  และปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชน

“วิกฤตเกิดจากปัญหาที่ไม่มีใครแก้  วันนี้ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาหลายอย่างที่กลายเป็นวิกฤต โดยเฉพาะความมั่นคงชายแดน ถ้าเราไม่ทุบโต๊ะเด็ดขาด ไม่มีวันจบ ไม่เสริมกำลังกองทัพไม่จบ นโยบายเราคือยกเลิก MOU 43-44  ร้อยเปอร์เซ็นต์ทันที เราจำเป็นต้องมีมาตรการขั้นเด็ดขาดในการจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ และพวกสแกมเมอร์ โดยเสนอบทลงโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต   เราจะค้ำจุนเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแกร่ง  และเดินหน้ารื้อโครงสร้างระบบพลังงานต่อไป ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อลดภาระค่าพลังงานของประชาชน  เราพร้อมสร้างสังคมที่มีคุณภาพสำหรับคนทุกวัย และเตรียมผลักดันภาคเกษตรกรรมของไทยให้เป็นธุรกิจการเกษตรที่สามารถสร้างรายได้สู่กระเป๋าเกษตรกรอย่างยั่งยืน”  นายพีระพันธุ์ กล่าว

ด้านนายอรรถวิชช์  สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวสรุปประเด็นทางด้านเศรษฐกิจที่เป็นแนวนโยบายของพรรคว่า ประเทศไทยถูกแช่แข็งมากว่า 20 ปี เนื่องจากไม่มีธุรกิจใหม่ที่เป็น New S-Curve อาทิ อุตสาหกรรมผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมการเกษตรแบบโอลีโอเคมี ฯลฯ ทั้งหมดเหล่านี้ต้องอาศัยการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งต้องเกิดจากการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานที่ยังคงผูกขาดอยู่กับนายทุน รวมถึงการชูนโยบายลบประวัติเครดิตบูโรที่สร้างปัญหาการแช่แข็งผู้มีรายได้น้อยไว้ 3 ปี ทำให้ไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารเพื่อนำมาประกอบธุรกิจดำรงชีพได้ต่อไป 

ขณะที่นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวถึงภาพรวมในการยกระดับภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นอีกนโยบายเรือธงของพรรคว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะลดต้นทุนของเกษตรกรด้วยการเร่งแก้ปัญหาพลังงาน ชูนโยบายโซลาร์เสรีควบคู่กับการดูแลปัจจัยการผลิตทั้งที่ดิน ปุ๋ย และการจัดการน้ำ อีกทั้งแก้ปัญหาราคาผลผลิตผ่านการปฏิรูปสหกรณ์การเกษตร สร้างกลไกตลาดที่สมดุล ซึ่งรัฐต้องมีบทบาทเป็นคนกลาง ทั้งการสนับสนุนเครื่องจักรในการทำการเกษตร และรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรโดยตรง เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ที่ทำให้เกษตรกรได้รับการส่งเสริมอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน

สำหรับกิจกรรมช่วงบ่ายเป็นการทำเวิร์กช็อปยกระดับทักษะการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์และเทคนิคการนำเสนอนโยบายเด่นในแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างมาตรฐานการสื่อสารที่เป็นเอกภาพทั่วประเทศ และในวันพรุ่งนี้ (19 ธ.ค. 68) จะเป็นการให้ความรู้ด้านกฎหมายการเงินที่ใช้ในการเลือกตั้ง เพื่อเน้นย้ำความถูกต้องโปร่งใสตามระเบียบ กกต. พร้อมปิดท้ายด้วยการติวเข้มเทคนิคการหาเสียงเชิงรุก เตรียมความพร้อมในการลงพื้นที่เพื่อ “สู้ให้ทุกปัญหา” เป็นที่ “พึ่งพาได้ทุกเรื่อง” ของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

ศาลรธน.ไม่รับคำร้อง’สามารถ’ ขอวินิจฉัยศาลอาญาไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว เป็นการเลือกปฏิบัติ

ศาลรธน.ไม่รับคำร้อง'สามารถ' ขอวินิจฉัยศาลอาญาไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว เป็นการเลือกปฏิบัติ

ศาลรธน.ไม่รับคำร้อง’สามารถ’ ขอวินิจฉัยศาลอาญาไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว เป็นการเลือกปฏิบัติ

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.40 น.

ศาลรธน.ไม่รับคำร้อง”สามารถ”อดีตรองโฆษก พปชร. ขอวินิจฉัยศาลอาญาไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว เป็นการเลือกปฏิบัติกระทบสิทธิ ชี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาศาลอื่น จึงไม่มีสิทธิ์ร้อง

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ผู้ร้อง ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 โดยกล่าวอ้างว่า การกระทำของศาลอาญา ผู้ถูกร้อง ที่มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ร้อง โดยให้เหตุผลเพียงว่าคดีมีอัตราโทษสูงและเกรงว่าผู้ร้องจะหลบหนี และไม่แสดงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหรือข้อมูลเฉพาะเจาะจงหรือพฤติการณ์ที่ชัดเจน แสดงถึงความไม่เสมอภาคในการพิจารณา เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่ได้สัดส่วน กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลในกระบวนพิจารณาอันไม่เป็นธรรม ละเมิดสิทธิในชีวิต ร่างกาย ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กระทบต่อสิทธิในการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 มาตรา 27 มาตรา 28 มาตรา 29และมาตรา 55

โดยศาลฯ เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบเป็นเรื่องที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอื่นตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (4) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสามารถ ถูกกล่าวหาตบทรัพย์ในคดีดิไอคอน โดยปรากฏหลักฐานเป็นคลิปเสียงของนายสามารถ ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับนายสามารถ และมารดา ในข้อหาฟอกเงินและสมคบการฟอกเงินจากคดีดิไอคอน และต่อมานายสามารถ ถูกควบคุมตัวที่ จ.เชียงราย และนำส่งดีเอสไอดำเนินคดี

ศาลรธน.ตีตกคำร้อง’วัฒนา เมืองสุข’ ดิ้นขอวินิจฉัย ปมใช้พยานที่ได้มามิชอบ

ศาลรธน.ตีตกคำร้อง'วัฒนา เมืองสุข' ดิ้นขอวินิจฉัย ปมใช้พยานที่ได้มามิชอบ

ศาลรธน.ตีตกคำร้อง’วัฒนา เมืองสุข’ ดิ้นขอวินิจฉัย ปมใช้พยานที่ได้มามิชอบ

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.31 น.

ศาลรธน.ตีตกคำร้อง”วัฒนา เมืองสุข” ดิ้นขอวินิจฉัย ปมศาลฎีกาอาญานักการเมือง ใช้พยานที่ได้มามิชอบมาพิจารณาลงโทษ ชี้คดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่มีสิทธิ์ยื่นร้อง

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นักโทษคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ผู้ร้อง ขอให้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 213 โดยอ้างว่า การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ถูกร้องที่ 1 และศาลฎีกา ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่นำพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบเข้าสู่การพิจารณาคดีของผู้ร้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 และการพิพากษาลงโทษผู้ร้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับขณะผู้ร้องกระทำความผิดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรคหนึ่ง มาตรา 29 วรรคหนึ่ง มาตรา 188 และมาตรา 194 วรรคสอง โดยศาลฯ เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบ เป็นเรื่องที่ศาลอื่นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้ว ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47(4) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 213

อย่างไรก็ตาม ก่อนการพิจารณาคำร้องนี้ก่อนพิจารณาคำร้องนี้ นายจิรนิติ หะวานนท์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขอถอนตัวจากการพิจารณาคดีเนื่องจากเคยทำหน้าที่กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)

ในการสอบสวนเรื่องนี้ แม้ว่า คตส.จะสอบสวนยังไม่สิ้นสุดและโอนคดีให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการสอบสวนและทำความเห็นส่งฟ้องต่ออัยการสูงสุด (อสส.) ต่อไปที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วไม่อนุญาตให้ถอนตัว เนื่องจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพิจารณานี้

‘สุวัจน์’ชี้การเมืองเข้าสู่‘ยุค 3 ขั้ว’ พรรคเล็กเสียเปรียบ เปิด 4 เหตุผล‘ชาติพัฒนา’เว้นวรรค

‘สุวัจน์’ชี้การเมืองเข้าสู่‘ยุค 3 ขั้ว’ พรรคเล็กเสียเปรียบ เปิด 4 เหตุผล‘ชาติพัฒนา’เว้นวรรค

‘สุวัจน์’ชี้การเมืองเข้าสู่‘ยุค 3 ขั้ว’ พรรคเล็กเสียเปรียบ เปิด 4 เหตุผล‘ชาติพัฒนา’เว้นวรรค

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.25 น.

‘สุวัจน์’ชี้การเมืองเข้าสู่‘ยุค 3 ขั้ว’ พรรคเล็กเสียเปรียบ เปิด 4 เหตุผล‘ชาติพัฒนา’เว้นวรรค

18 ธันวาคม 2568 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา เป็นประธานการประชุมกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคชาติพัฒนา (ชพน.) เพื่อสรุปสถานการณ์การเมืองและเหตุผลไม่ส่งผู้สมัครเลือกตั้ง 2569 (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘ชาติพัฒนา’เว้นวรรค! ไม่ส่งผู้สมัคร สส.สู้เลือกตั้ง69 เปิดทาง‘อดีตสส.’ย้ายสังกัด)

นายสุวัจน์ เปิดเผยมติที่ประชุมว่า 1.ด้วยสถานการณ์การเมืองเข้มข้นผิดปกติ นับตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา การเลือกตั้งไทยมักเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองใหญ่ถึง 3 พรรค ทำให้การเมืองเข้าสู่ลักษณะ “สามขั้ว” ซึ่งคาดว่าจะมีความดุเดือดเข้มข้นสูง มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก ทั้งบ้านใหญ่และบ้านเล็ก รวมถึงการย้ายพรรคจำนวนมาก สะท้อนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มุ่งสู่ชัยชนะเพื่อจัดตั้งรัฐบาลอย่างชัดเจน ส่งผลให้พรรคการเมืองขนาดเล็กเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น

2.กติกาการเลือกตั้งเอื้อพรรคใหญ่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกติกาการเลือกตั้งปัจจุบัน พรรคการเมืองขนาดเล็กเสียเปรียบอยู่แล้ว โดยเฉพาะการไม่ได้รับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำให้โอกาสในการแข่งขันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

3.การยุบสภากะทันหัน เวลาจำกัด การยุบสภาในช่วงเดือนพฤษภาคมเกิดขึ้นค่อนข้างกะทันหัน ทำให้พรรคการเมืองมีเวลาจำกัดอย่างมาก ตั้งแต่ขั้นตอนการสมัครผู้สมัครในวันที่ 8 รวมถึงกระบวนการต่าง ๆ ในระดับจังหวัด เป็นสถานการณ์ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่างหนัก

4.ประเทศเผชิญวิกฤติรอบด้าน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความผันผวนของโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สงครามการค้า และปัญหาภาษี รวมถึงวิกฤติเศรษฐกิจภายในประเทศ และปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นปัญหาทั้งภายนอกและภายในที่รุมเร้าประเทศ

“ข้อสรุป สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ และการเมืองที่เข้มแข็งเพียงพอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการเมืองและประชาชน ด้วยเหตุผลทั้ง 4 ประการข้างต้น พรรคจึงมีมติว่าจะไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งนี้” นายสุวัจน์ กล่าว

นายสุวัจน์ ระบุว่า อดีต สส.ของพรรคชาติพัฒนา แต่ละคนแต่ละทีม ทั้ง จ.นครราชสีมา จ.ปราจีนบุรี เราก็ทำงานเต็มที่เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงสิทธิประโยชน์  จะเป็นการตัดสินใจของแต่ตัวละบุคคลเอง แต่แนวโน้มความเคลื่อนไหว สส.แต่ละบุคคลมีแนวโน้มจะย้ายซบพรรคเพื่อไทย

ทบ.ย้ำเป้าหมาย ผบ.ทบ. คืบหน้าทิศทางบวก สถานการณ์อยู่ในการควบคุม

ทบ.ย้ำเป้าหมาย ผบ.ทบ. คืบหน้าทิศทางบวก สถานการณ์อยู่ในการควบคุม

ทบ.ย้ำเป้าหมาย ผบ.ทบ. คืบหน้าทิศทางบวก สถานการณ์อยู่ในการควบคุม

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.21 น.

ทบ.ย้ำเป้าหมาย ผบ.ทบ. สถาปนาความมั่นคงชายแดน-ทำลายขีดความสามารถทหารกัมพูชา คืบหน้าทิศทางบวก สถานการณ์อยู่ในการควบคุม

จากกรณีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 เวลา 13.00 น.ฝ่ายข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งชาติกัมพูชา ได้เผยแพร่ภาพอินโฟกราฟฟิก กล่าวหาว่ากองกำลังฝ่ายไทยดำเนินสงครามทำลายล้างต่อกัมพูชา และก่อให้เกิดผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ถนน สะพาน และสิ่งปลูกสร้างสำคัญ ตลอดจนสร้างความเสียหายต่อแหล่งมรดกโลกและโบราณสถานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม นั้น

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริงและเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง กองทัพบกยืนยันว่า การปฏิบัติการของฝ่ายไทยมุ่งโจมตีเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยมีข้อมูลและข้อพิสูจน์ประกอบ ซึ่งอาจจะนำเสนอให้ในโอกาสและช่วงเวลาที่เหมาะสม

สำหรับกรณีโบราณสถานหรือสิ่งปลูกสร้างต่างๆ กองทัพบกขอยืนยันว่า เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารทั้งในทางตรง และทางอ้อมอย่างชัดเจน ในกรณีผลกระทบต่อโบราณสถาน ฝ่ายกัมพูชาคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ เพราะการใช้สถานที่ดังกล่าวเพื่อกิจกรรมทางทหารใช้คุกคามฝ่ายไทย ย่อมส่งผลให้สถานที่นั้นๆ เสียสิทธิ์ในการถูกคุ้มครองในทันที

และกรณีฝ่ายไทยมีการดำเนินการทางทหารต่อเป้าหมายทางทหารนั้นๆ ก็จะเป็นไปในลักษณะดำเนินการเฉพาะจุดที่เกี่ยวข้อง ตามความจำเป็น หรือเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องจริง ยืนยันไม่มีผลกระทบต่อพลเรือนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เพื่อการจำกัดวงความเสียหายให้เกิดขึ้น เท่าที่จำเป็นเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ใช่ทำลายในลักษณะแบบเหมารวมทั่วทั้งบริเวณ ซึ่งอยู่ในกรอบหลักกฎหมาย และหลักมนุษยธรรมของสากล

ในส่วนของสถานการณ์ล่าสุด โฆษกกองทัพบก ระบุว่า ภาพรวมเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ และขณะนี้ยังไม่มีประเด็นที่น่ากังวล โดยที่หมายสำคัญทางทหารต่างๆ ที่อยู่ในแผนตามเป้าหมายของกองทัพบก ส่วนใหญ่บรรลุผลเป็นไปตามเป้าหมายแล้ว เหลือเพียงบางส่วนซึ่งอยู่ในความพยายามที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อจำกัดความสูญเสียของฝ่ายเราให้ได้มากที่สุด ตามนโยบาย และความห่วงใยของผู้บัญชาการทหารบก

ปัจจุบันเป้าหมายตามที่ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบไว้ คือการสถาปนาแนวชายแดนตามแนวเส้นปฏิบัติการไทย การเร่งทำลายขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายกัมพูชาที่ส่งผลเป็นภัยคุกคามต่อฝ่ายไทยนั้น จนถึงขณะนี้ในภาพรวมของการปฏิบัติการทางทหาร อยู่ในลักษณะมีแนวโน้มที่ดี ถึงแม้จะยังคงมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมของผลลัพธ์ที่ได้ยังคงมีลักษณะที่เป็นบวกต่อฝ่ายไทย

ศาลรธน.ยกคำร้อง‘บิ๊กโจ๊ก’ อ้างเลือก‘ประธาน ป.ป.ช.’ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลรธน.ยกคำร้อง‘บิ๊กโจ๊ก’ อ้างเลือก‘ประธาน ป.ป.ช.’ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลรธน.ยกคำร้อง‘บิ๊กโจ๊ก’ อ้างเลือก‘ประธาน ป.ป.ช.’ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

วันพฤหัสบดี ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568, 16.16 น.

ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้อง”บิ๊กโจ๊ก” อ้างเลือก”ประธาน ป.ป.ช.”ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ชี้ไม่เข้าช่องร้อง ต้องไปฟ้องที่ศาลอื่น

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ ประชุมพิจารณาคดีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 โดยกล่าวอ้างว่า การดำเนินกระบวนการและมีมติเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช.ของ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข (ผู้ถูกร้องที่ 2) นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ (ผู้ถูกร้องที่ 3) นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ (ผู้ถูกร้องที่ 4) นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง (ผู้ถูกร้องที่ 5) นายประภาส คงเอียด (ผู้ถูกร้องที่ 6) นายวิทยา อาคมพิทักษ์ (ผู้ถูกร้องที่ 3) และนางสุวณา สุวรรณจุฑะ (ผู้ถูกร้องที่ 8) ไม่เป็นไปตามหลักทั่วไปของการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้อง ความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน

และการกระทำของผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานกรรมการ ป.ป.ช.และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ร้องถูกกล่าวหา เป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 25 มาตรา 26 และมาตรา 32

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบปรากฏว่า ผู้ร้องโต้แย้งการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งแปดซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการและมีมติเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช. ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 14 วรรคสาม และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องที่ผู้ร้องถูกกล่าวหาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย

หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ ผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลอื่นได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม เป็นกรณีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยืนคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย