ล้วงตับเรื่องลับดำมืด “เทย์เลอร์ สวิฟต์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย มิสแซฟไฟร์ 16 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/664354

 

ขึ้นแท่นเป็นคนดังที่รวยที่สุดของโลกไปแล้ว สำหรับป๊อปดีวาร์สุดจี๊ด “เทย์เลอร์ สวิฟต์” แซงหน้าแชมป์เก่าทั้งหลายอย่างราบคาบ จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ประจำปี 2016 เฉพาะปีที่แล้วนักร้องสุดฮอตมีรายได้สูงถึง 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยส่วนใหญ่มาจากการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก และค่าขนมโฆษณาแบรนด์สินค้าใหญ่ๆ อย่างไดเอ็ต โค้ก, รองเท้าเคดส์ และค่ายแอปเปิล มิน่าล่ะถึงได้อัพนมเปลี่ยนแฟน เปลี่ยนลุคเซ็กซี่ระเบิดดีแท้ แถมมีข่าวแซ่บว่าแฟนหนุ่ม

คนล่าสุด “ทอม ฮิดเดิลสวิฟต์” กำลังวางแผนขอนางแต่งงาน หลังเปิดตัวแค่เดือนเดียว

กว่าจะมาไกลสุดกู่ขนาดนี้ เทย์เลอร์เป็นน้องนางบ้านนานักร้องคันทรี เติบโตที่ไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย ก่อนจะย้ายไปอยู่เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ตอนอายุ 14 เพื่อตามหาความฝันที่อยากเป็นนักร้อง ในที่สุด “เทย์เลอร์” ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงบิ๊กแมชีนเรเคิลส์สมใจ และกลายเป็นนักแต่งเพลงอายุน้อยที่สุดที่ค่ายโซนี่เคยปลุกปั้น เพลง “Our Song” ของเทย์เลอร์ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ดเพลงคันทรีอันดับหนึ่ง และได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ครั้งแรกในปี 2008 สาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม

จากสาวบ้านนาแนวคันทรี “เทย์เลอร์” ผลักดันตัวเองไปสู่การเป็น ป๊อปดีวาร์ไฮโซๆ ด้วยการออกอัลบั้มชุดสอง “Fearless” ผลตอบรับดีเกินคาดซะด้วย เพราะคว้ารางวัลแกรมมี่ถึง 4 รางวัล และทำลายสถิตินักร้องอายุน้อยสุดที่ได้รางวัลแกรมมี่ สาขาอัลบั้มเพลงแห่งปี ความแรงของเทย์เลอร์ยังไม่ตก เมื่อออกอัลบั้มชุดสาม “Speak Now” ในปี 2010 ทำยอดขายได้มากกว่า 1 ล้านแผ่น เพียงสัปดาห์แรกหลังวางจำหน่ายในอเมริกา แม้จะออกอัลบั้มมาถึงชุดที่ห้า แต่ความดังของนางก็ยังกระหึ่ม ขึ้นหิ้งศิลปินคนแรกและคนเดียวที่มียอดขายเปิดตัวอัลบั้มมากกว่า 1
ล้านแผ่นในสัปดาห์แรกถึง 3 อัลบั้ม

อย่างไรก็ดี เพราะกำลังดังเป็นพลุแตก เลยถูกจับจ้องหาเรื่องกำจัด จุดอ่อน มีการรวบรวมความลับดำมืดของเทย์เลอร์ออกมาแฉให้สะพรึงเป็นระยะๆ มีแต่คนพยายามสร้างภาพว่าสวยเลือกได้ แต่ “เทย์เลอร์” กลับชอบบอกใครๆว่านางอาภัพรัก ตกเป็นเหยื่อของความรัก และฝังใจเจ็บกับรักครั้งเก่า อันที่จริงคนใกล้ชิดรู้ดีว่า เธอชอบดราม่าเรื่องอกหักรักคุด เพื่อบิ๊วต์อารมณ์หาสตอรี่มาแต่งเพลง ถ้าคิดเพลงใหม่ไม่ออกเมื่อไหร่ เทย์เลอร์ก็จะกลับไปหาบรรดากิ๊กเก่าที่ชะเง้อคอยื่นคอยาว ขาประจำที่เป็นเหยื่อของนางก็มีทั้งจอห์น เมเยอร์, แจ๊ค กิลเลนฮัล และแฮร์รี สไตล์ส

เห็นหน้าแบ๊วๆอย่างนี้ “เทย์เลอร์” เกลียดการถูกละเมิดลิขสิทธิ์เป็นชีวิตจิตใจ ถึงขนาดตั้งทีมปราบปรามพวกเทปผีซีดีเถื่อน รวมถึงการตามล่าพวกก๊อบปี้ไอเดียเพลง แค่มีกลิ่นคล้ายๆ นางก็ไม่ปล่อยให้ลอยนวล เพราะแต่งเพลงเองร้องเอง ต้องใช้สมองและหยาดเหงื่อแรงกายเยอะ เรื่องอะไรจะให้คนอื่นฉกไปง่ายๆ

แม้จะพยายามสร้างภาพว่าเพื่อนเยอะ และมักโพสต์รูปตัวเองอยู่ท่ามกลางเพื่อนสาวฝูงใหญ่ แต่เอาเข้าจริงๆ เพื่อนสาวของ “เทย์เลอร์” แอบไปเม้าท์ลับหลังบ่อยๆว่า เซ็งจิตที่ต้องคอยเป็นวอลเปเปอร์ให้นักร้องดัง โดนจิกให้ทำโน่นทำนี่ เพื่อออกสื่อเรียกกระแส ก็หลงตัวเองระดับเบอร์ห้า ไม่มีใครเกิน “เทย์เลอร์ สวิฟต์” นางปลื้มเรียวขาสวยของตัวเองมาก ถึงขั้นทำประกันขา 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

หน้าใส ดูสวยหมดจดอย่าง “เทย์เลอร์ สวิฟต์” มีโจทก์แค้นฝังหุ่นเต็มวงการไปหมด เพราะนางเป็นขาวีนตัวแม่คนหนึ่ง คู่อาฆาตอันดับหนึ่งคือ “เคที เพอร์รี” และ “Diplo” เจอกันที่ไหนเป็นวงแตกทุกที

แอบจิต ชอบทำตัวเป็นผู้นำคลั่งลัทธิคือ ความลับที่ “เทย์เลอร์” แอบเก็บงำมาตลอด นักร้องคนดังมักจะตั้งโจทย์แปลกๆให้แฟนเพลงคลั่งทำตาม เพื่อพิสูจน์ความเป็นสาวก ล่าสุด นางท้าแฟนเพลง 19 คน ให้ตอกไข่ดิบใส่หัว แล้วโพสต์คลิปลงโซเชียล แลกกับการฟอลโลว์ Tumblr ของนักร้องคนโปรด ช่างน่ารักกันซะเหลือเกิน

สวยและรวยมากระดับ “เทย์เลอร์ สวิฟต์” เคยถูกผู้ชายปฏิเสธหน้าหงายมาแล้ว เจ็บใจจำถึงวันนี้ เพราะโดนพระเอกรุ่นใหญ่ “แบรดลีย์ คูเปอร์” หักหน้า เทย์เลอร์อ้อนให้นางเอกดัง “เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนส์” แนะนำให้รู้จักกับพระเอกในฝัน แต่ฝ่ายชายปฏิเสธไม่ชอบควงเด็ก เทย์เลอร์ตามสืบจนรู้ว่าแบรดลีย์มีแฟนเด็กมาหลายคน แต่ที่ไม่กล้าออกเดตกับนาง เพราะกลัวความเด่นดังจะบดบังรัศมี…อืมม์ คิดไปเองหรือเปล่า.

มิสแซฟไฟร์

 

อวสานโลกสวย 10 อาชีพเสี่ยงสูญพันธุ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย มิสแซฟไฟร์ 9 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/658126

 

จากสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่า ภายในปี 2024 อาชีพที่จะสูญพันธุ์ไปจากโลกเป็นอาชีพแรกคือ “บุรุษ ไปรษณีย์” โดยคาดการณ์ว่า ในอีก 8 ปีข้างหน้า จะมีพนักงานไปรษณีย์ตกงานถึง 28% อาชีพอื่นก็ใช่จะปลอดภัย เพราะการถือกำเนิดของอินเตอร์เน็ต และดิจิตอล ยังแผ่รังสีทำลายล้างไปทุกหนแห่ง ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เช่นเดียวกับการพลิกโฉมโครงสร้างเศรษฐกิจสังคม 10 อาชีพเสี่ยงสูญพันธุ์ไปจากโลกในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า มีอะไรบ้าง เขียนเองยังรู้สึกใจหายว้าบ!! แต่ความจริงก็คือความจริง รู้ไว้ซะเนิ่นๆจะได้เตรียมตัวเตรียมใจล่วงหน้า เผื่อหาทางหนีทีไล่เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นได้ทัน

“โอปะเรเตอร์” ด่านหน้าคอยรับโทรศัพท์ ต่อสายโอนสาย และให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับบริษัท กำลังจะกลายเป็นอาชีพเสี่ยงสูญพันธุ์ ปัจจุบันมีโอปะเรเตอร์ในอเมริกา 13,100 ตำแหน่ง คาดว่าในอีก 8 ปีข้างหน้า จะลดลงถึง 42.4% เหลือแค่ 7,500 ตำแหน่ง

“ตำรวจจราจร พนักงานแจกใบสั่ง” อาชีพนี้รายได้ดีเป็นกอบเป็นกำ ปีละไม่ต่ำกว่า 36,530 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตกเดือนละแสนกว่าบาท เทียบไม่ได้เลยกับตำรวจจราจรเมืองไทย น่าเสียดายที่จะสูญพันธุ์ จากสถิติปี 2014 มีการจ้างงานตำแหน่งนี้ 9,400 ตำแหน่ง คาดว่าในปี 2024 จะลดจำนวนลง 20.8% เหลือ 7,400 ตำแหน่ง

“สาวโรงงานทอผ้า” จะตกงานเป็นเบือ อันเป็นผลมาจากการย้ายฐาน ผลิตไปประเทศกำลังพัฒนา ในอเมริกาสาวโรงงานทอผ้ามี เงินเดือนปีละ 26,870 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตกเดือนละ 78,380 บาท หาเลี้ยงครอบครัวสบายๆ ปัจจุบันมีการจ้างงานราว 26,000 ตำแหน่ง คาดว่าจะลดลง 21.7% เหลือแค่ 20,300 คน ในอีก 8 ปีข้างหน้า

เมื่อเทคโนโลยีก้าวล้ำทันสมัย มนุษย์ก็ถูกแทนที่ด้วยเครื่องมือไฮเทค “ช่างตัด-พับ-เจาะ-เชื่อม-อัดโลหะและพลาสติก” มีความเสี่ยงตกงานสูง คาดว่าตำแหน่งงานจะลดลง 20.6% ภายในปี 2024 จาก 192,200 ตำแหน่ง เหลือ 152,700 ตำแหน่ง อาชีพนี้มีรายได้ปีละ 31,280 ดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยเดือนละ 91,200 บาท

“ช่างซ่อมนาฬิกา” อาชีพที่ต้องอาศัยทักษะความชำนาญสูง กำลังจะถูกเก็บเข้ากรุพิพิธภัณฑ์ ในอเมริกาช่างซ่อมนาฬิกามีอยู่แค่ 2,700 คน คาดว่าจะลดลงเหลือ 2,000 คน ในปี 2024 หรือคิดเป็น 25.7% ชะตาเดียวกันคือ “ช่างทำรองเท้า” แม้จะมีอยู่แค่ 3,500 คน ทั่วอเมริกา ก็ยังตกเป็นเป้าเสี่ยงสูญพันธุ์ โดยมีการทำนายว่าจำนวนช่างทำรองเท้าจะลดลง 30.5% ในปี 2024 เหลือเพียง 2,500 คน

“ช่างทำแพตเทิร์นเสื้อผ้า” ก็เป็นอาชีพที่ไม่อยู่ในสายตาชาวมะกัน เพราะสมัยนี้จิ้มคอมพิวเตอร์ไม่กี่ทีก็วาดแพตเทิร์นและวางเลย์เอาต์ได้ตามใจปรารถนา อาชีพนี้เป็นอาชีพรายได้ดี มีเงินเข้ากระเป๋าปีละถึง 43,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตกเดือนละ 128,000 บาท ปัจจุบันมีแรงงานอยู่ในตลาด 5,400 ตำแหน่ง คาดว่าจะลดลง 26% เหลือ 4,000 ตำแหน่ง ใครทำงานในแวดวงสิ่งทอและเสื้อผ้าก็เตรียมตกงานเลย

อย่างที่เกริ่นไว้แต่แรกว่าบุรุษไปรษณีย์คืออาชีพเสี่ยงสูญพันธุ์ “พนักงานไปรษณีย์” ก็มีอนาคตริบหรี่ไม่แพ้กัน เพราะโลกมันเปลี่ยนจนไม่จำเป็นต้องพึ่งบริการ พนักงานไปรษณีย์ในอเมริกามีอยู่มากกว่า 69,600 คน คาดว่าจะลดลง 26.2% ภายในปี 2024 คงเหลือ 51,300 คน ตกงานเมื่อไหร่คงหางานอื่นยากที่จะชดเชยรายได้ปีละ 58,280 ดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยเดือนละ 170,860 บาท

“พนักงานเรียงพิมพ์” น้ำตาจะไหลแทนคนอาชีพนี้ที่ต้องสูญพันธุ์ไปกับเขาเหมือนกัน เพราะโลกมันเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิตอลเต็มพิกัด ในอเมริกาคนทำอาชีพนี้รายได้สูงกว่าตำรวจจราจร มีเงินเข้ากระเป๋าปีละ 39,840 ดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเงินไทยเดือนละ 116,200 บาท ปัจจุบันมีการจ้างงานอยู่ 14,800 ตำแหน่ง คาดว่าในอีก 8 ปีข้างหน้า จะลดลง 21% คงเหลือเพียง 11,700 ตำแหน่ง.

มิสแซฟไฟร์

ยุทธการสละคาน ตามหารักแท้สักครั้งในชีวิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย มิสแซฟไฟร์ 2 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/652107

 

มีเพื่อนรอบตัวเป็นโสดขึ้นคานกันเยอะ ทั้งๆที่หลายคนก็สะสวย และนิสัยดี๊ดี แต่ทำไมกลับไม่มีหนุ่มๆมาจีบสักที แค่จะหาคนคุยด้วยขำๆยังยากเต็มทน ผิดกับคนที่ฮอตปรอทแตก ถึงจะมีเจ้าของแล้ว ก็ยังมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เวียนมาขายขนมจีบร่ำไป

ใครอยากมีรักแท้สักครั้งในชีวิต อยากให้ลองทำตาม “ทฤษฎีเพียงถ้าคุณ…” ของ “แดร็ค แบร์” คอลัมนิสต์รุ่นใหม่ไฟแรงแห่งเว็บไซต์เทคอินไซเดอร์ ที่ทุ่มเทเวลาศึกษาเรื่องแรงดึงดูดของชายหญิงที่ทำให้ปิ๊งรัก จนค้นพบสูตรลับ

เพียงถ้าคุณเป็นพวกรักธรรมชาติและใส่ใจสิ่งแวดล้อม เชื่อหรือไม่ว่าพฤติกรรมการช็อปปิ้งสามารถบ่งบอกถึงทัศนคติด้านความรักได้อย่างแม่นยำ คนที่เลือกซื้อของที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีแนวโน้มจะมองหาความสัมพันธ์ระยะยาว ตรงกันข้ามกับพวกบ้าแบรนด์เนม และชอบของหรูหราฟุ่มเฟือย กลุ่มนี้ต้องการแค่ความรักประเดี๋ยวประด๋าว ไม่จีรังยั่งยืน ถ้าอยากได้รักแท้มั่นคง ก็ต้องไปหาจากหนุ่มหัวใจสีเขียว

เพียงถ้าคุณเข้าข่ายสวยเรื่องมาก เข้าถึงได้ยาก ผู้ชายกรุ้มกริ่มมักมีแนวโน้มชอบผู้หญิงที่จีบยาก เพราะท้าทายดี แต่อย่าเล่นตัวมากเกินไป เพราะจะทำให้หนุ่มๆหมดอารมณ์ และหันเหความสนใจไปทางอื่น

เพียงถ้ารู้จักแอ๊บโลกสวย มีความสุขลั้ลลา สาวๆ ที่ยิ้มเก่งช่างพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะ มักถูกตาต้องใจหนุ่มๆมากกว่าคนหน้าบูดหน้าบึ้ง ผลจากการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คนเมื่อปี 2011 พบว่า หนุ่มๆจะปิ๊งสาวที่ยิ้มแย้มดูมีความสุขมากกว่าสาวๆที่ดูเย่อหยิ่งจองหอง แต่สำหรับสาวๆแล้ว พวกเธอชอบหนุ่มมาดขรึม มากกว่าหนุ่มหน้าเป็นยิ้มแป้นทั้งวัน

เพียงถ้าคนที่มาจีบไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดกับเขายังไง ความสงสัยงงงวยทำให้ดีกรีความชอบยิ่งทวีคูณขึ้นหลายเท่าตัว สาวๆ จะคลั่งหนุ่มมากที่สุดก็ตอนที่ไม่รู้ว่าเขาคิดกับเรายังไง ตอนก้ำๆกึ่งๆ นี่แหละมันคือจุดพีคสุดของคนจีบกัน ถ้ารักเขาข้างเดียวก็แห้วสิคะ แต่ถ้าเขามีใจรักตอบ มันก็สุขจนล้นปรี่เลยล่ะ

เพียงถ้าคุณหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงแฟนเก่าหรือแฟนปัจจุบัน หนุ่มๆมักมีสเปกสาวในดวงใจอยู่แล้ว เมื่อไหร่เจอคนที่ใช่ เคมีในร่างกายจะพลุ่งพล่าน อันนี้เป็นแรงดึงดูดโดยไม่รู้ตัว ลองกลับไปดูรูปแฟนเก่า แล้วจะต๊กใจว่าทำไมช่างถอดแบบกันมาเปี๊ยบเลย

เพียงถ้าคุณมีนิสัยใจคอเหมือนกับเขาเปี๊ยบ ชนิดมองตาก็รู้ใจ คุณพบคู่แท้เข้าแล้ว สมัยก่อนคนมักเชื่อในทฤษฎี แรงดึงดูดของขั้วตรงข้าม หมายถึงคนที่แตกต่างกันมากๆมักจะมีแรง ดึงดูดอย่างประหลาดให้มารักกัน ทฤษฎีนี้เอาต์ไปนานแล้ว เพราะเอาเข้าจริงๆ คู่รักที่จะอยู่กันได้ดีมักมีนิสัยใจคอและบุคลิกคล้ายคลึงกัน ยิ่งเหมือนกันมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจหัวอกของกันและกัน

เพียงถ้าจ้องตากันได้ 2 นาที จะตกหลุมรักทันที ผลการวิจัยของ “โจน เคลเลอร์แมน” นักจิตวิทยาชื่อดังจากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตต์ ที่ทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างนักเรียน 72 คน เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีเก่าแก่ดังกล่าว ได้ผลลัพธ์น่าทึ่งว่า หลังจ้องตากันนาน 2 นาที พวกเขารู้สึกตกหลุมรักกันอย่างประหลาด หรืออย่างน้อยก็รู้สึกดีต่อกัน ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อน ระวังให้ดีอย่าไปเล่นเกมจ้องตากับใครเด็ดขาด เดี๋ยวจะเป็นเรื่องใหญ่

เพียงถ้าคุณเหมือนแม่ของเขา หรือเขาละม้ายคล้ายพ่อของคุณ มีแนวโน้มสูงที่คนเราจะรู้สึกถูกชะตากับคนที่เหมือนพ่อแม่ของเรา ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และบุคลิกนิสัยใจคอ กระนั้นผลการศึกษาของ “เดวิด เพอร์เรตต์” นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์สพบว่า ผู้หญิงที่เกิดจากพ่อแม่อายุมาก มักจะชอบผู้ชายที่มีอายุมากกว่า ตรงข้ามกับผู้หญิงที่เกิดจากพ่อแม่อายุน้อย มีแนวโน้มถูกใจผู้ชายที่ละอ่อนกว่า เพราะเป็นความฝังใจตั้งแต่ลืมตาดูโลก.

มิสแซฟไฟร์

 

อ่านคนให้ออกดูคนให้เป็น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย มิสแซฟไฟร์ 25 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/646034

 

(ภาพAFP)

คนสมัยนี้สร้างภาพเก่งชนิดหาตัวจับยาก จะกะเทาะเปลือกให้เห็นตัวตนแท้จริง ต้องอาศัยเทคนิคการสังเกตละเอียดถี่ถ้วน การล่วงรู้จิตใจคนอื่นว่าเขาคิดอะไร ด้วยการอ่านภาษากายและท่าทางอย่างมีชั้นเชิง ช่วยให้เราอ่านคนออกดูคนเป็น ไม่ตกหลุมพรางพวกลวงโลกง่ายๆ

ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคนซัส เพื่อทำนายนิสัยใจคอจากอากัปกิริยาต่างๆ นำเสนอว่า เทคนิคการอ่านคนให้ออกภายในเสี้ยววินาทีคือ การสังเกต “วิธีปฏิบัติตัวต่อคนที่ด้อยกว่า เช่น พนักงานเสิร์ฟ, รปภ. และพนักงานต้อนรับ” คนส่วนใหญ่มักสุภาพอ่อนน้อมต่อคนที่เหนือกว่า แต่กับคนฐานะด้อยกว่า ปฏิกิริยาที่แสดงออกจะบ่งบอกทัศนคติแท้จริง ถ้าอยากรู้จักนิสัยใครสักคน ลองชวนไปทานอาหารกลางวันสักมื้อ แค่นี้ก็จะได้เห็นธาตุแท้ชัดๆแล้ว บางทีคุณอาจจะอึ้ง เมื่อได้รู้ความจริงว่าหนุ่มที่เพิ่งออกเดตด้วยช่างเห็นแก่ตัวและกดขี่คนอื่น ทั้งๆที่เวลาอยู่ต่อหน้าคุณเอาอกเอาใจสารพัด

“นิสัยการใช้โทรศัพท์มือถือ” เป็นอีกหนึ่งภาษากายที่สำคัญมาก ไม่มีอะไรหยาบคายเท่าการควักมือถือขึ้นมาใช้ระหว่างพูดคุยสนทนากับคนอื่น พฤติกรรมนี้บ่งบอกชัดว่าเขาคนนั้นไม่ให้เกียรติคนอื่น, เป็นนักฟังที่แย่ และขาดพลังความมุ่งมั่น ยกเว้นกรณีฉุกเฉินจริงๆ ทางที่ดีอย่าหยิบมือถือขึ้นมาใช้ระหว่างการสนทนาเด็ดขาด เพราะภาพลักษณ์ของคุณจะติดลบทันที

“พฤติกรรมเคยชินแย่ๆที่ติดเป็นนิสัย” หลายคนติดนิสัยเคยชินไม่ดี เช่น ชอบนั่งเขย่าขา, กัดเล็บ, บีบจมูก หรือม้วนผมเล่น ซึ่งล้วนแต่เป็นพฤติกรรมทำลายบุคลิกภาพ อาการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวล และควบคุมตัวเองไม่ได้ โดยผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนบ่งชี้ว่า มักเกิดกับคนที่บ้าความสมบูรณ์แบบ เวลากังวลใจ, เบื่อหน่าย หรืออารมณ์ไม่ดี ก็จะเผลอล้วงแคะแกะเกาไม่รู้ตัว

“อ่านนิสัยจากการตั้งคำถามระหว่างสนทนา” เวลาพูดคุยกับใครสักคน ลองสังเกตว่าพวกเขาชอบพูดถึงตัวเองตลอดเวลา หรือมักตั้งคำถามเพื่อเปิดโอกาสให้คุณได้พูด คนที่เอาแต่จ้อเรื่องตัวเองบอกนิสัยว่าชอบเป็นผู้รับมากกว่าผู้ให้ ตรงข้ามกับคนที่ตั้งคำถามและเปิดโอกาสรับฟังคู่สนทนา คนเหล่านี้จะมีนิสัยถ่อมเนื้อถ่อมตัว และชอบเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ การให้และรับที่สมดุลเท่านั้นจะทำให้สามารถคบหากันได้ยืนยาว

“ลักษณะการเช็กแฮนด์” ฝรั่งทักทายกันด้วยการเช็กแฮนด์ จึงเชื่อว่าอากัปกิริยาในการเช็กแฮนด์สามารถบ่งบอกนิสัยใจคอทันทีที่เจอ คนที่จับมือเช็กแฮนด์หลวมๆบ่งบอกว่าเป็นคนเชื่องช้า เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้น ตรงข้ามกับคนที่เช็กแฮนด์หนักแน่นเต็มไม้เต็มมือ พวกเขาเหล่านี้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และกล้าแสดงออก

เคยได้ยินไหมคะ “ลายมือบอกอุปนิสัยแท้จริงได้แม่นเหลือเชื่อ” แค่อ่านลายมือก็มองทะลุว่าคุณเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว หรือเป็นคนเข้าสังคมเก่ง คนที่เขียนหนังสือตัวผอมๆมักเป็นคนอ่อนไหวจิตใจเปราะบาง และชอบเก็บตัว ไม่มั่นใจในตัวเอง ส่วน คนที่เขียนหนังสือตัวอ้วนๆเป็นคนมองโลกแง่ดี ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ใจดีชอบช่วยเหลือคน สำหรับคนเขียนหนังสือตัวบางไม่มีน้ำหนักชัดเจนเป็นคนช่างคิด สุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กล้าเผชิญหน้า ตรงข้ามกับคนที่เขียนหนังสือตัวโตน้ำหนักชัด จะเชื่อมั่นในตัวเองสูง ใจกว้างมีน้ำใจ เข้ากับคนได้ทุกระดับ ยิ่งถ้าตัวหนังสือเป็นตัวเหลี่ยม ยิ่งแข็งกร้าวเอาจริงเอาจังทุกเรื่อง แต่ต้องเขียนเป็นระนาบตรงกันไม่โย้เย้ขึ้นลง เพราะพวกที่เขียนหนังสือโย้เย้ไม่สม่ำเสมอ นิสัยเป็นเด็กชอบตามใจตัวเอง ส่วนลายมือหวัดๆแบบพวกหมอ เป็นตัวแทนของนักคิดนักวางแผน พวกนี้จีเนียส แต่โลกส่วนตัวสูง

“การสบตาคน” ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจจริงแท้แน่นอน คนที่คุยกับคนอื่นแล้วหลบตา ไม่ยอมสบตาด้วย ขอให้รู้ไว้เลยว่าพวกเขามีอะไรซ่อนเร้นไม่จริงใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายยืนยันว่า คนที่โกหกมักมองไปทางซ้ายเพื่อพยายามหลบสายตา เช่นเดียวกับการแตะจมูกถูจมูก และเกาเปลือกตา ล้วนบ่งชี้ว่าเขาหรือเธอกำลังโกหกและปิดบังความจริง.

มิสแซฟไฟร์

 

สูตรลับไดเอต ซุป’ตาร์พันล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย มิสแซฟไฟร์ 18 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/640823

 

เกิดเป็นดาราต้องแข่งกันขายรูปร่างหน้าตา ซุป’ตาร์ดังๆจึงมีเคล็ดลับดูแลรูปร่างที่อะเมซซิ่งชวนตะลึง โดยเฉพาะสูตรการไดเอตช่างสรรหาเทคนิคแปลกๆมาไม่ซ้ำ ทำตามได้จริงรับรองหุ่นปิ๊งออร่ากระจาย

เห็นสะโพกดินระเบิดขนาดเนี้ย แต่เอวเป็นเอว นมเป็นนม ไม่มีอ้วนเผละ เพราะเจ้าแม่อาร์แอนด์บี “บียอนเซ่” ลงทุนฟิตหุ่นให้เฟิร์มปั๊กๆทุกครั้งก่อนออกอัลบั้ม และขึ้นเวทีคอนเสิร์ตใหญ่ โดยสูตรไดเอตเร่งรัดของนักร้องผิวสีมีชื่อว่า “Master Cleanse” วันๆไม่กินอะไร นอกจากน้ำมะนาวใส่เมเปิ้ลไซรัป และพริกแดงป่นละเอียด “คาเยน เปปเปอร์” ทำติดกัน 3-5 วัน เป็นสูตรล้างพิษลดน้ำหนักที่ได้ผลชะงัด

ส่วนนางเอกแอ๊บแบ๊ว “รีส วิทเธอร์สปูน” หน้าเด็กหุ่นเป๊ะด้วยสูตรไดเอต “Baby Food” ซึ่งคิดค้นโดยเทรนเนอร์ดาราชื่อดัง “เทรซี แอนเดอร์สัน” เคล็ดลับอยู่ที่การรับประทานอาหารเด็กวันละ 14 กระปุก สลับกับอาหารแคลอรีต่ำหนึ่งมื้อ กินแบบนี้ไม่ผอมก็ให้มันรู้ไป

ไอดอลของสาวๆยุคใหม่อย่าง “เทย์เลอร์ สวิฟต์” เชื่อมั่นในพลังของ “เมล็ดเจีย” สุดๆ เช่นเดียวกับสาวครึ่งค่อนโลกที่กำลังคลั่งธัญพืชมหัศจรรย์ชนิดนี้ ลักษณะคล้ายเมล็ดแมงลักที่เราคุ้นเคยกันดี นักร้องคนดังพกเมล็ดเจียไปโรยสลัด และทานผสมกับเครื่องดื่มทุกชนิด จิบแทนข้าวได้ทั้งวันไม่มีมึน เพราะเมล็ดเจียอัดแน่นไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทั้งไฟเบอร์, โอเมกา 3 และ 6, แคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ต้องกลัวโรคขาดสารอาหารถามหา

อวบอิ่มมานานสองนาน จู่ๆก็รีดน้ำหนักลงสำเร็จ จนแฟนๆถามให้แซ่ดว่า “เคที เพอร์รี” มีสูตรลดน้ำหนักยังไง เจ้าตัวยิ้มกริ่มกระซิบว่า สูตรไดเอตสุดเจ๋งที่ทำให้หุ่นสวยคือ “Mushroom Diet” ทำแค่ 14 วันเห็นผลทันตา เพราะทั้ง 14 วัน ต้องกินแต่
เห็ดสดไม่ผ่านกรรมวิธีการปรุงแต่ง โดยรวบตึงกินได้วันละมื้อเดียว นางยืนยันว่าเห็ดช่วยลดหุ่นให้เพรียวเฉพาะจุด ทำให้เอวคอดลง สะโพกและต้นขาเล็กกระชับ แต่นมยังอึ๋มเหมือนเดิม

สวยฮอตระเบิดอย่างนางฟ้าวิกตอเรียส์ ซีเคร็ต “มิแรนดา เคอร์” ก็ต้องดูแลตัวเองอย่างหนักเพื่อให้รูปร่างสมบูรณ์แบบทุกสัดส่วน เธอมีเคล็ดลับง่ายๆแค่ใช้ “น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น” ทั้งอาบทั้งกินชะโลมผิวไปทั้งตัว สูตรนี้มาจากแนวคิดลดน้ำหนัก
ของ “Atkins Diet” มีหลักการว่า ต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กระตุ้นร่างกายให้หลั่งอินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อการสะสมไขมัน หากงดกินแป้งและกินแต่ไขมันจากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ไขมันจะเข้าไปกดความอยากอาหาร น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ยังช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ซุปเปอร์โมเดลคนดังมักทานน้ำมันมะพร้าวคู่กับอาหารแบบโลว์คาร์บ โดยผสมในน้ำสลัดหรือซอส วันละ 2-3 ช้อนโต๊ะ

แปลกกว่านี้มีอีกไหม? มีค่ะ…เป็นสูตรไดเอตพิสดารของนักร้องสุดแซ่บ “คริสตินา อากีเลรา” ตั้งชื่อว่า “Seven-day Color Diet” มุ่งเน้นการทานอาหาร 7 วัน 7 สี เพื่อรีดน้ำหนัก เริ่มต้นวันแรกด้วยสีขาว ตามมาด้วยสีแดง, เขียว, ส้ม, ม่วง, เหลือง และวันที่เจ็ดทานผสมกันให้ครบทุกสี

เห็นผอมแห้งแรงน้อยแบบเนี้ยมาตั้งแต่สาวๆ แต่นางเอกฝีมือดี “กวินเน็ธ พัลโทรว์” ก็ดูแลตัวเองเว่อร์สุดๆ โดยมื้อเช้าของนางคือ สมูทตี้ปั่นผสมสะเก็ดฝุ่นจากโลกพระจันทร์ “Moon Dust” สนนราคาแก้วละ 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ นางยืนยันว่าดื่มแล้วกระปรี้กระเปร่า มีสมาธิ สงบเยือกเย็น และช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ

อยากหุ่นเซียะแบบดารารุ่นใหญ่ “อีวา เมนเดส” ก็จัดไปเลยกับสูตรไดเอต &lldquo;The 5-Factor Diet” เหมาะกับคนช่างกิน เพราะเน้นการกินเป็นมื้อย่อยๆวันละ 5 มื้อ ทานทีละน้อย ให้นึกถึงการทานเหมือนนก เวลาทานไม่ควรเกิน 80% ของความอิ่ม ที่สำคัญแต่ละมื้อควรเป็นอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้, เนื้อปลา, ของนึ่งของต้ม หลีกเลี่ยงของทอดของมัน แนวนี้น่าสนเพราะเข้ากับชีวิตจริง.

มิสแซฟไฟร์

 

จัดบ้านเป็น ชีวิตมีแต่สุขทุกด้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย มิสแซฟไฟร์ 11 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/636028

 

สนุกสนานกันดีไหม กับประสบการณ์ใหม่เปลี่ยนชีวิตด้วยการจัดบ้าน บอกตามตรงว่ามันส์มากที่ได้ทิ้งๆๆทุกอย่างที่ขวางหน้า หลังจากตั้งหน้าตั้งตาเก็บๆๆมาครึ่งค่อนชีวิต พอรื้อข้าวของออกมากองรวมกันถึงกับตะลึงว่าเราเก็บขยะไว้มากมายขนาดนี้เชียวเหรอ ของที่เคยคิดว่ามีค่าเก็บไว้เผื่อได้ใช้ กลายเป็นอนุสรณ์แทนความไร้สาระขาดวิ่นของชีวิต…ฉันเก็บของพวกนี้ไว้ทำไม?!!

ขนาดเป็นคนช่างเก็บและมีระเบียบพอควร ยังอดต๊กใจไม่ได้กับขยะกองโตท่วมหัว ตอนทิ้งมันสนุกสนานดีอยู่หรอก เพราะได้กำจัดสิ่งที่เราไม่ต้องการออกจากบ้านทีเดียวรวด แต่พอนึกถึงตอนเก็บข้าวของให้เข้าที่เข้าทางนี่สิ บอกตามตรงว่ามืดแปดด้าน ไม่รู้จะเก็บอะไรไว้ที่ไหน และเก็บอย่างไรให้บ้านไม่กลับมารกรุงรังอีก

“คนโด มาริเอะ” ผู้เชี่ยวชาญการจัดบ้านมือหนึ่งของโลก ช่วยเราได้!! เธอแนะนำเคล็ดลับการจัดเก็บข้าวของในบ้านเพื่อเปลี่ยนชีวิตไว้อย่างน่าสนใจ ตามอ่านได้จากหนังสือ “ชีวิตดีขึ้นทุกๆด้าน ด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว” โดย “มาริเอะ” บอกเล่าว่า กุญแจสำคัญดอกแรกคือ ต้องกำหนดตำแหน่งตายตัวให้ข้าวของภายในบ้าน หลังกลับจากที่ทำงาน กิจวัตรที่เธอทำทุกวันคือ หยิบข้าวของทั้งหมดในกระเป๋าถือออกมา แล้วทยอยเก็บเข้าที่เดิม เริ่มจากเอาใบเสร็จทั้งหมดเก็บลงถุงใบเสร็จ เก็บกระเป๋าสตางค์เข้าลิ้นชัก เก็บนาฬิกาข้อมือใส่กล่อง เก็บเครื่องประดับในถาดเครื่องประดับ สุดท้ายคือเก็บกระเป๋าถือใส่ถุงผ้า และวางตรงชั้นบนของตู้เสื้อผ้า ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ยิ่งทำเป็นกิจวัตรประจำวัน รับรองว่าเราจะรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้อัตโนมัติ จนกลายเป็นนิสัยติดตัว

สาเหตุที่ต้องกำหนดตำแหน่งตายตัวให้ข้าวของต่างๆ ก็เพื่อให้ของแต่ละชิ้นมีที่อยู่ชัดเจน หลักการสำคัญคือ จงตัดสินใจว่าของชิ้นใดควรอยู่ตรงไหน และเมื่อใช้งานเสร็จก็นำไปเก็บให้ตรงจุด ทำได้ แบบนี้คุณจะเลิกซื้อของมากเกินความจำเป็น ข้าวของที่มีอยู่จะไม่เพิ่มจำนวนขึ้น แต่น่าจะลดลงเสียมากกว่า

หลักการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพคือ ต้องเรียบง่ายที่สุด เพื่อให้มองเห็นข้าวของในแวบเดียวว่ามีอะไรแค่ไหน ยิ่งเก็บข้าวของซับซ้อนหายากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างความรกรุงรัง อีกหนึ่งเทคนิคเด็ด จงอย่าเก็บของกระจัดกระจายเด็ดขาด ให้เก็บข้าวของในหมวดหมู่เดียวกันไว้ที่เดียวกันเสมอ และอย่ามีพื้นที่เก็บของกระจัดกระจายไปทั่ว เช่น เสื้อผ้าต้องอยู่กับหมวดหมู่เสื้อผ้า เครื่องสำอางต้องมีพื้นที่เก็บเฉพาะ เช่นเดียวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าควรจัดเก็บไว้รวมกัน

มีบางครอบครัวนิยมจัดเก็บข้าวของตามพฤติกรรมการใช้งาน ซึ่ง ถือเป็นกับดักอันตรายมาก!! ทำให้ข้าวของกระจายทั่วบ้าน เพียงเพราะอ้างว่าจะได้สะดวกต่อการหยิบใช้ อันที่จริงเราควรคำนึงถึงความสะดวกในการเก็บของเข้าที่มากกว่าความสะดวกในการหยิบใช้ ถ้าเป้าหมายคือบ้านที่เป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งสำคัญคือการออกแบบพื้นที่เก็บของให้มองเห็นง่าย ไม่ใช่มัวแต่กังวลว่าใครในบ้านจะทำอะไร ตรงไหน เมื่อไหร่

ถ้าไม่อ่านหนังสือเล่มนี้ไม่มีทางรู้ว่า การวางของทับกันเป็นกองจะทำให้กินพื้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด นักจัดบ้านมือทองย้ำว่า ให้เลิกวางของทับกันซะ แล้วหันมาเก็บของในแนวตั้ง ใช้ได้กับทุกอย่างทั้งหนังสือ, เอกสาร, เสื้อผ้า หรือแม้แต่ผักผลไม้ในตู้เย็น อีกหนึ่งข้าวของมีค่าที่กินพื้นที่มากๆคือ กระเป๋าถือแบรนด์เนมทั้งหลาย “มาริเอะ” แนะนำว่า ควรเปลี่ยนวิธีรักษาทรงกระเป๋าด้วยการยัดกระดาษ มาเป็นการเก็บกระเป๋าใบเล็กกว่าซ้อนลงในกระเป๋าใบใหญ่ เพื่อรักษารูปทรงกระเป๋าโดยไม่กินพื้นที่

คนที่ไม่ยอมตัดใจทิ้งข้าวของในบ้าน และปล่อยให้โต๊ะทำงานรกรุงรังทั้งปีทั้งชาติ นอกจากจะสะท้อนความไร้ระเบียบวินัย ยังบ่งบอกถึงความเป็นคนขลาดเขลาไม่กล้าเผชิญหน้าความจริง คนพวกนี้มักยึดติดกับอดีต และกังวลใจถึงอนาคต อันที่จริงการถามตัวเองว่าเราอยากเป็นเจ้าของสิ่งใดคือ การถามว่าคุณอยากใช้ชีวิตอย่างไร การต้องคัดเลือกของทิ้งอาจเป็นสิ่งเจ็บปวด เพราะมันบีบให้เราเผชิญหน้ากับความบกพร่องของตัวเอง รวมถึงการตัดสินใจโง่ๆที่เคยทำ หลายครั้งที่การจัดบ้านทำให้เรารู้สึกละอายใจกับการตัดสินใจในอดีตของตัวเอง แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าเราก้าวข้ามผ่านจุดนี้ไปได้ มุมมองชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะชีวิตต่อจากนี้จะเหลือแต่สิ่งที่สำคัญกับเราจริงๆเท่านั้น และข้าวของเหล่านี้ก็จะได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดจากเราจริงๆ ไม่ต่างจากการจัดระเบียบความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง เพื่อกรองหามิตรแท้และคนที่มีความหมายกับเราจริงๆ.

มิสแซฟไฟร์

 

จัดบ้านแค่ครั้งเดียว พลิกชีวิตหน้ามือเป็นหลังมือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/631088

โดย มิสแซฟไฟร์ 4 มิ.ย. 2559 05:01

 

การจัดบ้านส่งผลต่อชีวิตมากกว่าการปรับฮวงจุ้ย การพกหินนำโชค และเครื่องรางสารพัด เพราะเวทมนตร์แห่งการจัดบ้านเปลี่ยนชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนมีระเบียบ หรือรกรุงรัง ชีวิตจะดีขึ้นได้ในทุกๆด้าน ด้วยการจัดบ้านอย่างชาญฉลาดแค่ครั้งเดียว!! ไม่ได้โม้นะคะ แต่นักจัดบ้านมือหนึ่งของโลก “คนโด มาริเอะ” รวบรวมประสบการณ์การจัดบ้านที่สั่งสมมาทั้งชีวิตไว้ในหนังสือเล่มเดียว อ่านแล้วทึ่งจริงๆ

“มาริเอะ” ค้นพบตัวเองตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกว่าเกลียดความรกรุงรัง และชอบจัดข้าวของในบ้านให้เป็นระเบียบ โดยงานอดิเรกวัยเด็กของนักจัดบ้านมือทองคือ การอ่านนิตยสารสำหรับแม่บ้าน เพื่อรวบรวมเคล็ดลับการทำงานบ้านให้เอี่ยมอ่อง แต่กว่าจะพบวิธีจัดบ้านอย่างฉลาดจริงๆ เธอต้องเสียเวลาครึ่งค่อนชีวิตไปกับการจัดบ้านผิดๆ เพราะติดความเชื่อเก่าที่ให้ค่อยๆจัดบ้านไปวันละนิด สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความรกรุงรังมิรู้จบ

คนเราไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยได้ ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีคิดเสียก่อน แต่การควบคุมความคิดตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คำแนะนำที่ต้องปักหมุดก็คือ แทนที่จะทำไปทีละนิด ให้หันมาจัดบ้านแบบรวดเดียวจบ!! แล้วความคิด จะเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ การตะลุยจัดบ้านแบบรวดเดียวจบ คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้บ้านไม่กลับมารกอีกเลยตลอดชีวิต

หลักสำคัญในการจัดบ้านอย่างเปี่ยมประสิทธิภาพมีเพียง 2 ขั้นตอนคือ “การกำจัดของที่ไม่ต้องการ” และ “การตัดสินใจว่าจะเก็บอะไรไว้ที่ไหน” เริ่มต้นด้วยการทิ้งให้เกลี้ยงแบบรวดเดียวจบ!! เพราะถ้าไม่กล้าทิ้งข้าวของที่ไม่ต้องการ ก็อย่าคิดเรื่องจัดเก็บให้เป็นระเบียบ

การทิ้งเป็นเรื่องสนุก พอๆกับน่าหนักใจ เกณฑ์สำคัญในการคัดเลือกว่าจะโยนอะไรทิ้ง คือรวบรวมของทุกชิ้นในหมวดหมู่เดียวกันจากทุกที่ในบ้านมากองรวมไว้ที่พื้น จากนั้นจึงค่อยพิจารณาทีละชิ้นว่ามันปลุกเร้าความสุขได้ไหม ถามตัวเองว่าทำไมเราต้องเก็บของชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

กุญแจสำคัญของการทิ้งให้เป็น คือต้องทิ้งตามหมวดหมู่ ไม่ใช่ตามพื้นที่ การทำให้เสร็จทีละหมวดหมู่ช่วยให้กระบวนการจัดบ้านโดยรวมเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น โดยลำดับการทิ้งอย่างมีประสิทธิภาพให้เริ่มจากของที่ตัดใจง่ายสุดไปสู่ของตัดใจยากสุด นั่นคือ เสื้อผ้า ตามด้วยหนังสือ, เอกสาร, ข้าวของจิปาถะ และของที่มีคุณค่าทางจิตใจ เมื่อทิ้งของไม่จำเป็นกับชีวิตแล้ว คนส่วนใหญ่จะเหลือข้าวของเพียง 25-35%

การจัดบ้านให้ดีต้องมีลำดับ ไม่ใช่จัดตามอำเภอใจ สำหรับหมวดหมู่แรก “เสื้อผ้า” ควรเริ่มจากชิ้นบนคือเสื้อทุกประเภท ไม่คำนึงถึงฤดูกาล, ชิ้นล่าง เช่น กระโปรง และกางเกง, เสื้อผ้าที่ควรใช้ไม้แขวน อย่างเสื้อสูท, แจ็กเก็ต และโค้ต, ถุงเท้า, ชุดชั้นใน, กระเป๋า, เข็มขัด-หมวก, เสื้อผ้าโอกาสพิเศษ เช่น ชุดว่ายน้ำ แล้วจบด้วยรองเท้า นำของทุกชิ้นในแต่ละหมวดหมู่กองรวมไว้ที่พื้น แล้วหยิบขึ้นพิจารณาทีละชิ้นว่าจะอยู่หรือจะไป

การทิ้งของในหมวดหมู่ “หนังสือ” อาจเป็นเรื่องยาก แต่การนำหนังสือทุกประเภทกองรวมไว้ที่พื้นจะช่วยให้แยกแยะง่ายขึ้น หนังสือไม่ต่างจากเสื้อผ้าหรือข้าวของอื่นๆ ที่จะเข้าสู่ช่วงหลับใหลหากถูกทิ้งไว้นานๆ หนังสือที่เก็บไว้ว่า “สักวันจะอ่าน” ก็คือ “หนังสือที่ไม่มีวันอ่าน” ใส่กล่องบริจาคซะ!! สำหรับ “การคัดแยกเอกสาร” ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก เพราะเจ้าแม่จัดบ้านแนะนำว่าทิ้งให้เกลี้ยง!! ถ้าไม่เข้าข่ายกำลังใช้งานอยู่, ต้องเก็บเป็นหลักฐานช่วงเวลาหนึ่ง และต้องเก็บไว้ตลอดไป ประเภทใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายและคู่มือเครื่องใช้ไฟฟ้า ทิ้งเลยไม่ต้องลังเลใจ

หมวด “ข้าวของจิปาถะ” ที่มักเก็บไว้เผื่อใช้ เช่น กิ๊บติดผม, ยางลบ, กระดุมสำรอง, โบ, พวงกุญแจ, เครื่องสำอางขนาดทดลองและอะไหล่เครื่องใช้ไฟฟ้า สร้างความรกให้บ้านอย่างเหลือร้าย เพราะมักถูกวางระเกะระกะไปหมด ทั้งๆที่ของเหล่านี้แทบไม่มีความสำคัญต่อชีวิตเรา อย่ามัวแต่เสียดาย กวาดทิ้งให้หมดในพริบตา แล้วเก็บพื้นที่ไว้ให้ “ของที่มีคุณค่าทางจิตใจ” น่าจะมีความหมายกับชีวิตมากกว่า

เนื้อที่หมดซะแล้ว อาทิตย์หน้ามาเล่าต่อถึงเทคนิคของการจะเก็บอะไรไว้ที่ไหน และจัดเก็บอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ไม่มีวันกลับมารกรุงรังอีกตลอดชีวิต.
มิสแซฟไฟร์

ปรับนาฬิกาชีวิต พิชิตโรคร้าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/626583

โดย มิสแซฟไฟร์ 28 พ.ค. 2559 05:01

 

ต่อเนื่องจากอาทิตย์ก่อน เขียนค้างไว้เรื่องการทำนายโรคจากดวงเกิด เพื่อให้รู้เท่าทันโรคเท่าทันตัวเอง แพทย์แผนจีนเชื่อค่ะว่า อวัยวะตันทั้งห้า คือ หัวใจ, ตับ, ม้าม, ปอด และไต มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับอวัยวะกลวงทั้งหก คือ ถุงน้ำดี, กระเพาะอาหาร, ลำไส้เล็ก, ลำไส้ใหญ่, กระเพาะปัสสาวะ และอกกับช่องท้อง นั่นก็หมายความว่า หัวใจสัมพันธ์กับลำไส้เล็ก, ตับสัมพันธ์ถุงน้ำดี, ม้ามสัมพันธ์กระเพาะอาหาร, ปอดสัมพันธ์ลำไส้ใหญ่ และไตสัมพันธ์กับกระเพาะปัสสาวะ ถ้าเกิดความผิดปกติกับอวัยวะใดก็ย่อมสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงซึ่งกันและกัน

ตามตำรับตำราของ “อาจารย์โหลวจงเลี่ยง” นายกสมาคมเวชศาสตร์และสุขภาพ แพทย์แผนจีนแห่งไต้หวัน ถอดรหัสชีวิตว่า คนที่เกิดปี ค.ศ.ลงท้ายด้วยเลข 0 และ 7 “ตับ” เป็นอวัยวะอ่อนแอสุด จึงเสี่ยงเป็นโรคตับและถุงน้ำดีแต่กำเนิด นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน, ภาวะเลือดจาง, เส้นประสาทอักเสบ, โรคต่อมไทรอยด์, เนื้องอกในมดลูก รวมถึงโรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ ลองว่าตับอ่อนแอแล้ว โรคสารพัดก็รุมเร้า

คนเกิดปี ค.ศ.ลงท้ายด้วยเลข 1 และ 4 จุดอ่อนอยู่ที่ “ไต” สัมพันธ์กับ “กระเพาะปัสสาวะ” โดยไตมีหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโต, การสืบพันธุ์, การทำงานของไขกระดูก, ไขสันหลัง, สมอง, เส้นผม, หู, กระดูก และฟัน คนที่ไตไม่แข็งแรงมีแนวโน้มบวมน้ำ เป็นโรคไตอักเสบ และกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เสี่ยงเป็นโรคระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเอสแอลอี และข้ออักเสบรูมาตอยด์ รวมถึงโรคเลือดต่างๆ เช่น ภาวะเลือดจาง, หลอดเลือดอุดตัน และทาลัสซีเมีย

สำหรับคนเกิดปี ค.ศ.ลงท้ายด้วยเลข 2 และ 9 เฝ้าระวัง “ม้าม” ให้ดี ปัญหาพบบ่อยเกี่ยวข้องกับโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งในกระเพาะและลำไส้ นอกจากนี้ร่างกายยังเผาผลาญช้า มีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม เช่น นิ่ว, เบาหวาน, โรคเกาต์ และโรคระบบประสาท

คนเกิดปี ค.ศ.ลงท้ายด้วยเลข 3 และ 6 ต้องจับตา “หัวใจ” ถือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย หัวใจสัมพันธ์กับลำไส้เล็ก คนที่หัวใจอ่อนแอมีแนวโน้มเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจผิดปกติ และยังเสี่ยงโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน และโรคซึมเศร้า อาการบ่งชี้คือนอนไม่หลับ, ฝันบ่อย, ขี้ลืม, เหงื่อออกง่าย, ปัสสาวะกะปริบกะปรอย

คนเกิดปี ค.ศ.ลงท้ายด้วยเลข 5 และ 8 มีจุดอ่อนอยู่ที่ “ปอด” ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบหายใจทั้งหมด และยังสัมพันธ์กับลำไส้ใหญ่ ถ้าปอดอ่อนแอตั้งแต่เกิด ก็เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ใหญ่, โรคในช่องปาก, โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ และโรคภูมิแพ้ต่างๆ

“อาจารย์โหลว” ยังแนะนำเทคนิคบำรุงสุขภาพจากเส้นลมปราณ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินของพลังชีวิต หรือ “ชี่” เป็นพลังชีวิตอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ถ้าที่ใดขาด “ชี่” ก็จะสูญเสียสมรรถภาพ ทำให้อวัยวะส่วนนั้นเจ็บป่วย ร่างกายคนเรามีเส้นลมปราณหลัก 12 เส้น เพียงใช้ชีวิตและพักผ่อนตามกำหนดเวลาการเดินของเส้นลมปราณอย่างเหมาะสม เส้นลมปราณก็จะโปร่งโล่ง ชี่เลือดไหลเวียนได้ดี และไม่เจ็บป่วยง่าย หลักการเดียวกับนาฬิกาชีวิตของโลกตะวันตก

เส้นลมปราณลำไส้ใหญ่เริ่มทำงานเวลาตีห้าถึง 7 โมงเช้า เวลานี้เหมาะแก่การขับถ่ายเพื่อป้องกันอุจจาระตกค้าง ขณะที่เส้นลมปราณกระเพาะอาหารมีพลังสุดตอน 7-9 โมงเช้า ควรกินอาหารเช้า พอถึงเวลา 9 โมงเช้า ถึง 11 โมงเช้า เป็นเวลาทำงานของเส้นลมปราณม้าม ควรหลีกเลี่ยงการนั่งนานๆ เพราะทำให้ชี่เลือดไหลเวียนช้าลง เมื่อนาฬิกาเดินไปที่เข็ม 11 นาฬิกา ถึงบ่ายโมง เส้นลมปราณหัวใจจะโลดเต้นทำงาน จึงเป็นชั่วโมงงีบหลับเพื่อชาร์จแบต

เส้นลมปราณลำไส้เล็กคึกคักที่สุดตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง เป็นเวลากินอาหารกลางวันดีที่สุด ส่วนเวลาบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น ต้องยกให้กระเพาะปัสสาวะ ควรดื่มน้ำมากๆเพื่อขับปัสสาวะ และเป็นเวลาเหมาะแก่การออกกำลังกายด้วย คนที่ไตอ่อนแอควรใส่ใจช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงทุ่มตรง เพราะเป็นเวลาเส้นลมปราณไตทำงาน แนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด หรือเผ็ดร้อนเกินไป การออกกำลังกายเป็นเรื่องดี แต่ห้ามออกกำลังกายหักโหม หรือกินอาหารในช่วงทุ่มตรงถึงสามทุ่ม เพราะเส้นลมปราณเยื่อหุ้มหัวใจกำลังทำงานหนัก

ถ้าเป็นไปได้เข้านอนตั้งแต่สามทุ่ม ไม่เกิน 5 ทุ่ม จะดีเลิศ เพราะเป็นเวลาชี่ของเส้นลมปราณอกกับช่องท้องมีพลัง ยิ่งเป็นคนมีจุดอ่อนอยู่ที่ถุงน้ำดีและตับ ต้องพยายามหลับลึกให้ได้ในช่วง 5 ทุ่มถึงตีหนึ่ง เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเส้นลมปราณตับที่จะเริ่มปรับพลังชี่ของอวัยวะต่างๆในช่วงตีหนึ่งถึงตีสาม การนอนดึกเป็นอันตรายต่อตับ การตื่นนอนกลางดึกก็เป็นอันตรายต่อปอด โดยเฉพาะเวลาตีสามถึงตีห้า ซึ่งเส้นลมปราณปอดกำลังลำเลียงเลือดใหม่ไปเลี้ยงทั่วร่างกาย

ให้เวลาตัวเองสังเกตร่างกายสักนิด แล้วจะรู้ว่าสุขภาพแข็งแรงได้ ถ้ารู้ทันโรค ก็ป้องกันโรคได้.

มิสแซฟไฟร์

ทำนายโรคจากดวงเกิด ศาสตร์ลี้ลับถอดรหัสโรคร้าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/623169

โดย มิสแซฟไฟร์ 21 พ.ค. 2559 05:01

 

สุขภาพดีในมุมมองของแพทย์แผนจีนคือ การดูแลหยินและหยางในร่างกายให้สมดุล ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่อต้องรู้จักสภาพร่างกายของตนเองจริงๆ ไม่ใช่สักแต่ว่ากินผักผลไม้เป็นหลัก และหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพียงเพราะทุกตำราบอกตรงกันว่าดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ห่างไกลมะเร็ง

อยากรู้ไหมว่า ในอนาคตเราจะสุขภาพดี หรือล้มป่วยด้วยโรคอะไร ถ้าทำนายได้ถูกเป๊ะจริงๆก็คงอะเมซซิ่งไม่น้อย เพราะจะได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจป้องกันโรคไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้ ตามศาสตร์การเคลื่อนไหวของพลังจักรวาล “อี้จิง” เชื่อว่าเราสามารถทำนายโรคจากดวงเกิดได้อย่างแม่นยำ โดยเชื่อมโยงทฤษฎีการหมุนเวียนของธาตุทั้งห้ากับชี่ทั้งหก เพื่ออธิบายวิธีค้นหาสภาพร่างกายก่อนกำเนิดตามชะตาลิขิต

ในฐานะปรมาจารย์ตัวจริง “อาจารย์โหลวจงเลี่ยง” นายกสมาคมเวชศาสตร์และสุขภาพ แพทย์แผนจีนแห่งไต้หวัน เขียนตำราเรื่อง “การทำนายโรคจากดวงเกิด” ไว้อย่างน่าสนใจ เพื่อถอดรหัสชีวิต และไขความลับโรคร้ายด้วยตัวเราเอง

โดยอาจารย์โหลวบอกเล่าว่า ตลอด 20 ปีที่ศึกษาด้านการแพทย์แผนจีน พบผู้ป่วยมากมายที่ใช้ชีวิตอย่างมีวินัยและดูแลสุขภาพอย่างดี แต่กลับป่วยเป็นโรคมะเร็งและโรคร้ายแรงต่างๆ ทั้งที่ส่วนมากกินผักผลไม้เป็นหลัก กินเนื้อสัตว์แต่น้อย บางคนกินเจด้วยซ้ำ แต่กลับหนีมะเร็ง

ไม่พ้น เมื่อเริ่มลงมือศึกษาจริงจังจึงรู้ซึ้งว่า สาเหตุของโรคล้วนเกิดจากการ กินแบบผิดๆ เพราะผู้ป่วยไม่รู้จักสภาพร่างกายของตน ความไม่รู้ทำให้กินอาหารตามกระแส โดยไม่คำนึงว่าเหมาะกับสภาพร่างกายแท้จริงของตัวเองหรือเปล่า

เชื่อหรือไหมคะว่า บรรพบุรุษชาวจีนรู้เท่าทันเรื่องนี้ตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน และได้ฝากตำราแพทย์แผนโบราณไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษาค้นคว้าเพื่อคำนวณหาโรคภัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่ได้สนับสนุนให้งมงาย หรือโทษฟ้าโทษฝนนะคะ แต่การรู้จักสภาพร่างกายของตนเอง ทำให้เราฉลาดเท่าทันโรคภัยมากขึ้น รู้จุดเด่นจุดด้อยของสุขภาพ และสามารถแก้ไขป้องกันปัญหาสุขภาพได้อย่างถูกจุด ทั้งในเรื่องการกินอยู่ การพักผ่อน และการออกกำลังกาย โดยเน้นเสริมส่วนที่อ่อนแอ และกำจัดส่วนเกินที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายออกไป

ตามตำราของอาจารย์โหลวบ่งชี้ว่า ร่างกายของคนเราถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เกิดแล้วว่า มีจุดอ่อนจุดแข็งอยู่ตรงไหน หมายความว่าเรามีโรคประจำตัวอะไร ถูกกำหนดมาแล้ว 60% ตั้งแต่เกิด โดยสภาพร่างกายก่อนกำเนิด ซึ่งนอกจากจะถ่ายทอดจากพันธุกรรมพ่อแม่ ยังได้รับอิทธิพลจากลักษณะดินฟ้าอากาศขณะเกิดด้วย ส่วนอีก 40% ที่เหลือเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ตั้งแต่ 4,000 ปีก่อน ชาวจีนค้นพบว่าเวลาเกิดของแต่ละคนคือปัจจัยบ่งชี้ว่าอวัยวะภายในทั้งห้าคือ หัวใจ, ตับ, ม้าม, ปอด และไต ส่วนใดที่อ่อนแอตั้งแต่แรกเกิด ถ้าเราไม่ดูแลอวัยวะอ่อนแอเหล่านี้ให้ดี ก็จะส่งผลให้ป่วยเป็นโรคบางชนิดได้ง่าย ขอแค่รู้ว่าเรามีอวัยวะใดที่อ่อนแอ ก็ทำนายได้แม่นยำว่าเรามีโอกาสป่วยเป็นโรคอะไรในอนาคต

ตามตำราจีนโบราณ หลักพื้นฐานที่แม่นเหลือเชื่อคือการดูจากเลขท้ายของปี ค.ศ.เกิด คนที่เกิดปี ค.ศ.ลงท้ายด้วยเลข 0 จะมีตับเป็นอวัยวะอ่อนแออันดับหนึ่ง ส่วนคนเกิดปีลงท้ายด้วย 1 จะมีจุดอ่อนอยู่ที่ไต คนเกิดปีลงท้ายด้วย 2 อ่อนแอที่ม้าม ถ้าลงท้ายเลข 3 มีจุดอ่อนที่หัวใจ ลงท้ายปีเกิดเลข 4 ต้องระวังโรคไต ลงท้ายเลข 5 ปอดคืออวัยวะอ่อนแอสุด ลงท้ายเลข 6 ต้องใส่ใจดูแลหัวใจ ลงท้ายปีเกิดเลข 7 ตับอ่อนแอที่สุด และลงท้ายเลข 8 กับ 9 ต้องใส่ใจดูแลปอดและม้าม ตามลำดับ

พื้นที่ไม่พอซะแล้ว ไว้มาต่อกันอาทิตย์หน้านะคะ เมื่อรู้แล้วว่าจุดอ่อนของเราอยู่ตรงไหน คราวนี้ก็ต้องมาเจาะลึกหาวิธีป้องกันการจู่โจมของโรคร้าย ฝากทิ้งท้ายไว้นิด…ยาวิเศษสำหรับคนอื่นอาจเป็นยาพิษสำหรับเราก็ได้ ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้ากินตามคำโฆษณาชวนเชื่อ โดยไม่รู้เท่าทันโรค เท่าทันตัวเอง.

มิสแซฟไฟร์

เตือนวอลล์สตรีทใกล้ฟองสบู่แตก?! เทขายหุ้นล้างพอร์ต กอดเงินสดแน่นๆ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/619638

โดย มิสแซฟไฟร์ 14 พ.ค. 2559 05:01

 

จิ้งจกร้องทักยังต้องฟัง นับประสาอะไรกับเสียงดังๆฟังชัดของมหาเศรษฐีพันล้านผู้ทรงอิทธิพลของอเมริกา “คาร์ล ไอคาห์น” เจ้าของฉายานักล่าบริษัทชั้นยอด ที่ออกโรงเตือนแมงเม่าทั้งหลายให้ระวังวิกฤติครั้งใหม่ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท นักลงทุนกำลังเดินเข้าสู่กับดักเดิมๆอีกครั้ง เหมือนเมื่อครั้งที่เจอวิกฤตการณ์ใหญ่ในปี 2007

โดยหนึ่งในสัญญาณเตือนก็คือ การที่คุณปู่คาร์ลตัดสินใจขายหุ้น Apple ทิ้ง 7 ล้านหุ้น มูลค่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อต้นปี คิดเป็น 13% ของหุ้น Apple ในพอร์ต ที่มีมูลค่ารวมกันไม่ต่ำกว่า 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อุ๊ตะ!! เตือนกันขนาดเนี้ยต้องมีหลักฐานสนับสนุนนะ ไม่งั้นเม่าไม่ยอม!! “แอนดรูว์ สมิธเธอร์ส” ประธานบริษัทสมิธเธอร์ส แอนด์ โค. ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ทุกวันนี้ 80% ของหุ้นในวอลล์ สตรีทมีราคาแพงเกินมูลค่าความเป็นจริงไปไกลแล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตรายที่เตือนถึงภาวะฟองสบู่การเงินแตกเหมือนเมื่อปี 1929 และ 1999 สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือ ราคาหุ้นร่วงทะลูด 89% และ 50% ตามลำดับ

แม้แต่ธนาคารแห่งชาติของสกอตแลนด์ยังทำนายว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังอยู่ในจุดเสี่ยงเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์เหมือนเมื่อปี 2008 นายแบงก์ทั้งหลายจึงกระซิบลูกค้าล้างพอร์ตเทขายหุ้นทุกตัว และเก็บเงินสดตุนให้เต็มกระเป๋า เพราะวิกฤติหนนี้ประตูหนีไฟเล็กนิดเดียว แม้แต่หุ้นดาวรุ่งมาแรงอย่าง “Apple” ก็จะร่วงรุ่งริ่งไม่เป็นท่า

ด้าน “เจมส์ เดล เดวิดสัน” กูรูด้านการลงทุน ผู้ก่อตั้งวารสารการเงิน “Strategic Investment” ตอกย้ำว่า จนถึงขณะนี้ มีปัจจัยทางเศรษฐกิจหลักๆ 3 อย่าง ที่บ่งชี้ว่าถึงเวลาต้องเทขายหุ้นด่วนจี๋!! วิกฤติวอลล์สตรีทรอบใหม่กำลังจ่อรอเช็กบิลอยู่หน้าประตู โดยเจมส์คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก 50% ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะดิ่งลง 40% ขณะที่อัตราการว่างงานในอเมริกาจะพุ่งสูงขึ้นอีก 3 เท่าตัว

ออกมาพูดตอนนี้คงไม่มีใครอยากจะเชื่อ เพราะตลาดวอลล์สตรีทกำลังอยู่ในภาวะกระทิง พุ่งขึ้นใกล้ถึงจุดทำนิวไฮ ดอลลาร์ก็แข็งโป๊กฉุดไม่อยู่ ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังบูม แต่ถ้าย้อนไปดูคำทำนายของ “เจมส์ เดล เดวิดสัน” คงต้องเสียวสันหลังวาบ เพราะเขาเคยเตือนถูกเป๊ะมาแล้วว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินใหญ่ในปี 1999 และ 2007 หลังการล่มสลายลงของสหภาพโซเวียต และความตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างกู่ไม่กลับของญี่ปุ่น ต่างกันก็แค่รอบนี้วิกฤตการณ์จะถาโถมเข้ามาอย่างตั้งตัวไม่ทัน!!

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักการเงินดังๆของอเมริกาออกมาส่งเสียงเตือน เพราะมีเสียงเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินชื่อดังมาแล้วอย่างต่อเนื่อง รวมถึง “มาร์ค สปิตซ์นาเกล” ผู้บริหารกองทุนมาร์ค เฟเบอร์ ที่เคยคาดการณ์ว่าโลกจะเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจการเงินได้ถูกต้องในปี 2008 และสามารถทำกำไรมหาศาลจากพายุร้ายดังกล่าว ก็เคยเตือนว่า ตลาดหุ้นโลกจะต้องดิ่งร่วงอย่างแน่นอน อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว เพราะโลกได้มาถึงจุดฟองสบู่ทางการเงินใกล้แตกเต็มที โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทอาจดิ่งร่วงกว่า 50%

แม้แต่นักลงทุนวีไอในตำนานของโลก “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ก็แอบทยอยขายหุ้นทิ้งไปแล้วจำนวนมาก เพราะเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์วิกฤติการเงินครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น!!

แมงเม่าตาดำๆอย่างพวกเราอย่ามัวแต่มองโลกสวย เพราะถึงเวลาเกิดวิกฤติจริง มันเผาเงินเราให้วอดวายอย่างกับไฟลามทุ่ง นักวิเคราะห์ชี้ทางรอดว่า ถ้าวิกฤติที่ว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำเร็วที่สุดคือ รีบเทขายหุ้นทิ้งให้หมด แปรสภาพหุ้นให้เป็นเงิน หรือไม่ก็ยืนงง รอให้หุ้นดิ่งจนเป็นเศษเงินไร้ค่า…อยากเป็นเจ๊กตื่นไฟ หรือหมูไม่กลัวน้ำร้อน ก็ต้องเลือกกันเอาเอง.

มิสแซฟไฟร์