ระทึก ถึงวันเลือกตั้ง! ฮิลลารี-ทรัมป์ ปิดฉากหาเสียงแล้ว มั่นใจต้องชนะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 8 พ.ย. 2559 12:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/777112

 

การรอคอยใกล้สิ้นสุด ใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ… ฮิลลารี คลินตัน และโดนัลด์ ทรัมป์ ปิดฉากหาเสียงก่อนถึงวันเลือกตั้งในรัฐ‘สวิง สเตท’ ด้วยความมั่นใจกันเต็มร้อย พร้อมกับเรียกร้องให้ชาวอเมริกันออกมาใช้สิทธิให้มากๆ

เมื่อ 8 พ.ย.59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใกล้สิ้นสุดการรอคอย เมื่อชาวอเมริกันจะถึงเวลาออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งกันตั้งแต่เช้าวันที่ 8 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อตัดสินว่าพวกเขาจะเลือกใครมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ และเป็นคนที่ 45 ของประเทศ ระหว่าง นางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจาพรรครีพับลิกัน

ข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ก่อนเวลาของการรณรงค์หาเสียงจะสิ้นสุดลง ฮิลลารี และ ทรัมป์ ได้มุ่งหาเสียงในรัฐที่เรียกว่า ‘แบทเทิล กราวด์ สเตท’ หรือ ‘สวิง สเตท’ ซึ่งเป็นรัฐที่ไม่มีฐานเสียงแน่ชัดว่าสนับสนุนพรรคใด โดย นางฮิลลารี ได้เน้นหาเสียงที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งมีนักร้องศิลปินชื่อดังอย่าง บอง โจวี่ และ บรูซ สปริงส์ทีน มาร่วมโชว์บนเวทีด้วย จากนั้น ฮิลลารี ได้ไปหาเสียงที่เมืองราลีจห์ รัฐนอร์ท แคโรไลนา ซึ่งถือเป็นการขึ้นเวทีหาเสียงครั้งสุดท้าย โดยมี เลดี้ กากา นักร้องหญิงคนดังมาร่วมร้องเพลงบนเวที ก่อนที่การหาเสียงจะสิ้นสุดลงในเวลาเที่ยงคืน ก่อนจะเข้าสู่วันที่ 8 พ.ย. ซึ่งเป็นวันเลือกตั้ง


ประธานาธิบดีบารัค โอบามา มาให้กำลังใจฮิลลารี คลินตัน หาเสียงวันสุดท้าย

ฮิลลารี คลินตัน มีบิล คลินตัน สามีเคียงข้างให้กำลังใจตลอด

ฮิลลารี ซึ่งมีคะแนนนิยมเหนือกว่าทรัมป์อยู่ไม่มากนัก ได้เรียกร้องให้ชาวอเมริกันที่มีสิทธิเลือกตั้ง ออกมา ‘Get Out Vote’ ใช้สิทธิใช้เสียงกันมากๆ โดยก่อนหน้านี้ ฮิลลารี ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุช่องหนึ่ง บอกว่าถ้าเธอชนะเลือกตั้ง ก็อยากขอร้องให้ทรัมป์ควรเล่น ‘ในบทที่สร้างสรรค์’ เพื่อช่วยให้ประเทศชาติก้าวไปด้วยกัน


โดนัลด์ ทรัมป์ ยังมั่นใจในชัยชนะแม้โพลคะแนนนิยมยังตามหลัง

ส่วน โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ไปหาเสียงที่เมืองสแครนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันที่ 7 พ.ย. พร้อมกับยืนยันอย่างมีกำลังใจต่อชัยชนะในการเลือกตั้ง แม้ผลโพลออกมาคะแนนนิยมยังตามหลังฮิลลารีอยู่ก็ตามว่า ตอนนี้มีแรงเหวี่ยงกับการหาเสียงของเขา จากนั้น ทรัมป์ ได้ไปหาเสียงครั้งสุดท้ายบนเวทีที่เมืองแกรน เรปิดส์ รัฐมิชิแกน เป็นการสั่งลาการหาเสียงศึกชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ ที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นดุเดือดอย่างยิ่ง

 

พ้นข้อครหา คะแนนตีตื้น เชื่อคลินตัน เฉือนทรัมป์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

พ้นข้อครหา คะแนนตีตื้น เชื่อคลินตัน เฉือนทรัมป์

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/776862

 

ผลโพลชี้ “ฮิลลารี คลินตัน” จะ เอาชนะ “โดนัลด์ ทรัมป์” ในศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกาได้ไม่ยาก โดยเฉพาะ หลังจากเอฟบีไอออกมาการันตีผลสอบสวน ว่าที่ ผู้นำหญิงไม่มีความผิดในคดีอีเมลฉาว ส่งผลคะแนนนิยมดีดขึ้นทันที ด้าน “ทรัมป์” โวยแหลก ชี้ขี้โกงเป็นระบบ พร้อมเรียกร้องให้ชาวอเมริกันช่วยกันสร้างความยุติธรรมที่คูหาลงคะแนน ขณะที่บ่อนพนันใหญ่ในอังกฤษเผยวงเงินพนันทายผลผู้นำสหรัฐฯในครั้งนี้ทะยานไปอยู่ที่ 4,550 ล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นทั่วโลกก็ขานรับขยับตัวสูงขึ้นถ้วนหน้า

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 7 พ.ย.หรือ 1 วันก่อนการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 ซึ่งเป็นการขับเคี่ยวระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเมืองกว่า 30 ปี กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจจอมมุทะลุผู้อื้อฉาว ซึ่งไม่เคยรับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ อีกทั้งจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 ที่นั่ง สมาชิกวุฒิสภา 34 ที่นั่ง หรือประมาณ 1 ใน 3 ของทั้งหมด 100 ที่นั่ง ผู้ว่าการรัฐอีก 12 รัฐ ไปจนถึงการเลือกตั้งท้องถิ่น และมีการลงประชามติรับ-ไม่รับข้อเสนอต่างๆในหลายรัฐกว่า 70 ข้อเสนอนั้น

ในโค้งสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงยังมีจุดพลิกผันเกิดขึ้นไม่หยุด สืบเนื่องจากคดีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมลอื้อฉาวของนางคลินตันที่ใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวแทนเซิร์ฟเวอร์ของรัฐบาล ที่ตามหลอกหลอนเธอมาตลอด เมื่อนายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ซึ่งประกาศเมื่อ 11 วันก่อนวันเลือกตั้งว่า เอฟบีไอได้เปิดการสอบสวนคดีอีเมลนี้อีกครั้ง จนสร้างความปั่นป่วนไปทั่วนั้น ได้ส่งจดหมายแจ้งสภาคองเกรส เมื่อวันที่ 6 พ.ย. หรือ 2 วันก่อนการเลือกตั้งว่าผลสอบสวนล่าสุดก็ไม่พบว่านางคลินตันทำผิดกฎหมายใดๆ

นายโคมีย์ระบุว่า ทีมสอบสวนของเอฟบีไอทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ตรวจเช็กอีเมลชุดใหม่ประมาณ 650,000 ฉบับ ซึ่งค้นพบเมื่อต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ไม่พบว่ามีการทำผิดกฎหมายใดๆ เช่นเดียวกับข้อสรุปครั้งก่อนเมื่อเดือน ก.ค.ปีนี้ จึงไม่มีเหตุผลใดๆที่จะเปลี่ยนแปลงผลประเมินครั้งก่อนที่ว่าไม่ควรตั้งข้อหาคดีอาญาต่อนางคลินตัน

ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ เผยต่อสื่อมวลชนว่า ทีมสอบสวนของเอฟบีไอสรุปว่าอีเมลที่พบใหม่นั้นเป็นเพียงอีเมลส่วนตัว หรือสำเนาอีเมลที่เอฟบีไอเคยตรวจสอบแล้ว แต่นายแฮรี รีด ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภายังชี้ว่า การสรุปของเอฟบีไอเน้นย้ำอีกครั้งให้เห็นถึงการไร้ความรับผิดชอบของนายโคมีย์

ส่วนนางคลินตันกล่าวระหว่างไปหาเสียงที่เมืองแมนเชสเตอร์ รัฐนิวแฮมเชียร์ เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ว่า ประเทศชาติกำลังเผชิญกับ “ห้วงเวลาแห่งการใคร่ครวญ” ชาวอเมริกันต้องเลือกระหว่างความแตกแยกกับเอกภาพ แต่ยังไม่ให้ความเห็นเรื่องผลสรุปของเอฟบีไอรอบใหม่ แต่ทีมหาเสียงของเธอแถลงว่า “ดีใจ” ที่เรื่องยืดเยื้อนี้จบลง มั่นใจมาตลอดว่านางคลินตันจะได้รับการเคลียร์ให้พ้นข้อกล่าวหา ส่วนผู้สนับสนุนนางคลินตันก็มั่นใจว่าเธอกำลังก้าวสู่ชัยชนะ คนใกล้ชิดของนางคลินตันคนหนึ่งถึงกับส่งเครื่องหมาย “อิโมจิ” เป็นรูปเฉลิมฉลองชัยชนะ

ด้านนายทรัมป์ออกอาการโวยวายหลังทราบผลสรุปของเอฟบีไอ โดยยืนยันในที่ชุมนุมหาเสียงที่เขตสเตอร์ลิง ไฮต์ส ชานเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ว่า เป็นไปไม่ได้ที่เอฟบีไอจะตรวจสอบอีเมลถึง 650,000 ฉบับในเวลาสั้นๆเช่นนี้ และกล่าวหาว่าขณะนี้นางคลินตันได้รับการปกป้องจากระบบขี้โกง เป็นระบบขี้โกงโดยสิ้นเชิง ซึ่งตนพูดเรื่องนี้มานานแล้ว นางคลินตันทำผิด เธอก็รู้ เอฟบีไอก็รู้ ประชาชนก็รู้ ขณะนี้ขึ้นอยู่กับชาวอเมริกันที่จะสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นที่คูหาลงคะแนนในวันที่ 8 พ.ย.นี้

ทรัมป์ยังประกาศว่า การสอบสวนจะดำเนินต่อไป สายสืบพิเศษของเอฟบีไอทั้งระดับล่างและระดับสูงจะไม่ปล่อยให้นางคลินตันลอยนวลจากอาชญากรรมร้ายแรงที่เธอก่อขึ้น ขณะที่นายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า นางคลินตันเชื่อว่าตนเองอยู่เหนือกฎหมาย มักทำตามกฎของตัวเอง และว่าการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายโคมีย์ประกาศว่าเอฟบีไอได้เปิดการสอบสวนคดีอีเมลหลังพบหลักฐานใหม่ เป็นอีเมลประมาณ 650,000 ฉบับ ในคอมพิวเตอร์ของนายแอนโธนี ไวเนอร์ อดีตสมาชิกสภาคองเกรส สามีที่แยกกันอยู่ของนางฮูมา อาเบดีน คนสนิทของนางคลินตัน ระหว่างที่เอฟบีไอสอบสวนอีกคดีที่นายไวเนอร์ส่งภาพลามกอนาจารไปให้เด็กหญิงวัย 15 ปี การรื้อฟื้นคดีอีเมลทำให้คะแนนนิยมของคลินตันที่เคยนำห่างลดลงจนถูกทรัมป์ไล่จี้ติด แม้เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เอฟบีไอสรุปว่านางคลินตัน “ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง” ในการจัดการกับอีเมลในช่วงเป็น รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ในปี 2552-2556 แต่ไม่ได้กระทำผิดทางอาญา

ดังนั้น เมื่อวันที่ 7 พ.ย.ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียง ทั้งนางคลินตันและทรัมป์ยังเดินหน้าลุยหาเสียง รวมทั้งในรัฐ “แบทเทิลกราวด์ สเตท” หรือ “สวิง สเตท” ซึ่งไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคใดชัดเจน ต้องแย่งชิงกันสูง และจะเป็นตัวตัดสินผลการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยคลินตันเริ่มต้นที่รัฐมิชิแกน ฐานเสียงของพรรคเดโมแครตที่ทรัมป์พยายาม เจาะชิงให้ได้ จากนั้นไปที่รัฐฟิลาเดลเฟีย ซึ่งที่นั่นมีประธานาธิบดี บารัค โอบามา นางมิเชล โอบามา สตรีหมายเลข 1 อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน สามีของนางคลินตัน และบรู๊ซ สปริงส์ทีน นักร้องเพลงร็อกชื่อดังไปช่วยหาเสียงด้วย ก่อนไปปิดฉากการชุมนุมหาเสียงที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา ในช่วงเที่ยงคืน กระตุ้นผู้สนับสนุนให้ออกมาลงคะแนนมากๆ

ส่วนทรัมป์ไปหาเสียงที่ “สวิง สเตท” สำคัญๆ ทั้งฟลอริดา นอร์ทแคโรไลนา และฟิลาเดลเฟีย ก่อนปิดฉากที่เมืองแกรนด์ แรพพิดส์ รัฐมิชิแกน ขณะที่มีรายงานว่า ในรัฐที่อนุญาตให้มีการลงคะแนน เสียงล่วงหน้า มีผู้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนแล้วเกือบ 42 ล้านคน และในรัฐสวิง สเตท สำคัญ เช่นฟลอริดา นอร์ทแคโรไลนา และเนวาดา มีผู้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนล่วงหน้ามากเป็นประวัติการณ์

อย่างไรก็ดี ผลโพลเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ก่อนเอฟบีไอสรุปผลการสอบสวนคดีอีเมลรอบใหม่ ส่วนใหญ่ชี้ว่า นางคลินตันนำทรัมป์อยู่ 4-5 เปอร์เซ็นต์ โดยโพลระดับชาติของ “รอยเตอร์ส/อิปซอส” ระบุว่า คลินตันนำ 44 ต่อ 39 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5 จุด แต่ในรัฐสวิง สเตท เช่นฟลอริดา และนอร์ทแคโรไลนา คะแนนนิยมของทรัมป์ตีตื้นมาอยู่ในระดับสูสียากจะคาดเดา แต่รอยเตอร์ส/อิปซอส ยังประเมินว่าคลินตันมีโอกาสชนะการเลือกตั้งถึง 90 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ข่าว “บีบีซี” ซึ่งรวบรวมโพลหลายสำนักเพื่อหาค่าเฉลี่ย ระบุคะแนนนิยมของทั้งคู่เสมอกันที่ 45 เปอร์เซ็นต์

วันเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ด้วยเหตุที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งนี้มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและคาดเดายากนั้น ได้ส่งผลให้เงินไหลเข้าบ่อนพนันมหาศาล โดยเฉพาะที่อังกฤษและไอร์แลนด์ อย่างบริษัทรับพนันออนไลน์ “เบตแฟร์” ระบุว่า หัวข้อพนันว่าใครจะเป็นประ-ธานาธิบดีสหรัฐฯคนต่อไป มีโอกาสกลายเป็นหัวข้อพนันที่มีผู้ลงเงินแทงมากที่สุดนับตั้งแต่เปิดรับพนันมา โดยยอดรวมล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 4,550 ล้านบาท ต่างกับการเลือกตั้งสหรัฐฯ 4 ปีก่อน ที่ยอดพนันอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1,750 ล้านบาท ส่วนบริษัทพนันแลดโบรค และแพดดี พาวเวอร์ ระบุว่ายอดพนันหัวข้อผู้นำสหรัฐฯคนต่อไป อยู่ที่ประมาณ 4-6 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 140-210 ล้านบาทตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทพนันทั้งสามแห่งดังกล่าว ยังระบุด้วยว่าความน่าจะเป็นที่นางฮิลลารี คลินตัน จะชนะการเลือกตั้งอยู่ที่ 83 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มจากวันก่อนหน้า 2-3 เปอร์เซ็นต์ หลังเอฟบีไอออกแถลงการณ์ไม่พบว่านางฮิลลารีทำผิดกฎหมายใดๆ

ส่วนสำนักข่าวเอพีรายงานว่า หลังจากเอฟบีไอ ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับนางฮิลลารี ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นในเอเชียพากันขยับตัวสูงขึ้น โดยตลาดหุ้นนิเคอิ 225 ของญี่ปุ่นเพิ่ม 1.6 จุด ปิดที่ 17,177.21 ตลาดหุ้นเกาหลีใต้กอสปิ เพิ่ม 0.79 จุด ปิดที่ 1,997.58 ตลาดหุ้นฮ่องกงฮั่งเสง เพิ่ม 0.7 จุด ปิดที่ 22,801.40 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเอส แอนด์ พี เอเอสเอ็กซ์/200 เพิ่ม 1.35 จุด ปิดที่ 5,250.80 เช่นเดียวกับตลาด หุ้นในไต้หวันและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มสูงเช่นกัน ยกเว้นตลาดหุ้นในฟิลิปปินส์ที่ตกลง 0.7 จุด นอกจากนี้ กระแสหุ้นล่วงหน้าในสหรัฐฯก่อนตลาดเปิดวันจันทร์ที่ 7 พ.ย. ก็ขยับตัวสูง โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่ม 1.1 จุด อยู่ที่ 17,999 ขณะที่ดัชนีเอส แอนด์ พี 500 เพิ่ม 1.4 จุด อยู่ที่ 2,108.25

 

ช็อก! งูเป็นๆ โผล่ห้องโดยสารบินเม็กซิโก ต้องลงจอดฉุกเฉิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 8 พ.ย. 2559 05:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/776806

 

ผู้โดยสารบนเครื่องบินพาณิชย์ของประเทศเม็กซิโก ต้องเผชิญเหตุระทึกขวัญกลางอากาศ หลังมีงูตัวหนึ่งหลุดเข้ามาภายในห้องโดยสาร ทำให้กัปตันต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินเพื่อนำงูออกไป…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า งูตัวเป็นๆ ถูกพบในห้องโดยสารของเครื่องบินโดยสารเที่ยวบินที่ 231 ของสายการบิน ‘แอโรเม็กซิโก’ ระหว่างที่เครื่องบินลำนี้เดินทางจากเมืองทอร์เรออน รัฐโกอาวีลา ไปยังกรุงเม็กซิโกซิตี เมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ 6 พ.ย. ทำให้นักบินต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินเพื่อให้เจ้าหน้าที่พิทักษ์สัตว์ป่าขึ้นมาจับงูตัวนี้

ผู้โดยสารบนเครื่องบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวเอาไว้ได้และเผยแพร่ลงบนโลกออนไลน์ โดยภาพแสดงให้เห็นงูสีเขียวสดโผล่ออกมาจากเพดาน หลังช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะ ก่อนจะตกลงมาบนห้องโดยสาร

ทางสายการบินแอโรเม็กซิโก ระบุในแถลงการณ์ว่า เครื่องบินได้รับอนุญาตให้ลงจอดก่อนกำหนดที่กรุงเม็กซิโกซิตี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะจับงูตัวนั้นลงจากเครื่อง โดยไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ และขณะนี้กำลังสืบสวนว่างูขึ้นมาบนเครื่องบินได้อย่างไร


http://www.thairath.co.th/clip/84112

แคนาดาเชื่อ นักดำน้ำพบระเบิดนิวเคลียร์มะกันที่หายไปเมื่อปี 1950

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 8 พ.ย. 2559 02:35

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/776776

 

แบบจำลองระเบิดนิวเคลียร์ที่หายไป จัดแสดงในประเทศแคนาดา (ภาพจาก ROYAL AVIATION MUSEUM OF WESTERN CANADA)

ทางการแคนาดาเผย นักดำน้ำอาจค้นพบระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ที่หายไปเมื่อกว่า 60 ปีก่อนโดยบังเอิญ ในขณะที่เขาดำน้ำนอกชายฝั่งรัฐบริติช โคลัมเบีย โดยรัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบแล้ว…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ว่า ฌอน สมีริชินสกี นักดำน้ำอาชีพเปิดเผยว่า เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. เขาลงดำน้ำบริเวณนอกเกาะพิตต์ (Pitt Island) ใกล้กับ ไฮดาไกว หรือ หมู่เกาะควีนชาร์ลอตต์ ชายฝั่งทางเหนือของรัฐบริติช โคลัมเบีย เพื่อหาปลิงทะเล ก่อนที่เขาจะพบกับอุปกรณ์ทำจากเหล็กขนาดใหญ่ และมีรูปร่างคล้ายกับจานบิน

นายสมีริชินสกีพบอุปกรณ์ดังกล่าวในจุดที่ห่างไกล ทำให้เขาต้องใช้เวลา 2-3 วันกว่าจะเดินทางกลับถึงฝั่งเพื่อหาผู้เชี่ยวชาญมาดูว่าเขาค้นพบอะไร เขายังพูดติดตลกกับเพื่อนนักดำน้ำหลังกลับถึงฝั่งด้วยว่า “ผมพบอะไรบางอย่างที่ประหลาดมากๆ ผมคิดว่ามันคือยูเอฟโอ” และเพื่อนคนหนึ่งของเขา ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ในท้องที่ก็ล้อเล่นกลับไปว่า “บางทีคุณอาจพบนิวเคลียร์ลูกนั้นที่หายไปเมื่อยุคปี 1950 ก็ได้”

แต่เรื่องตลกอาจกลายเป็นความจริง เมื่อกระทรวงกลาโหมแคนาดาระบุว่า พวกเขาได้หารือกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แล้ว และเชื่อว่า วัตถุปริศนาที่นายสมีริชินสกีค้นพบอาจเป็นระเบิดนิวเคลียร์จากเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-36 ของสหรัฐอเมริกา ที่หายไปใกล้กับรัฐบริติช โคลัมเบียในปี 1950 แล้ว แต่พวกเขาไม่คิดว่าระเบิดลูกนี้จะมีวัสดุนิวเคลียร์ และได้ส่งเรือของกองทัพหลายลำไปยังจุดที่พบวัตถุต้องสงสัยแล้ว เพื่อยืนยันว่าใช่ระเบิดที่หายไปจริงหรือไม่ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า ระเบิดลูกนี้หากเป็นของจริงก็ไม่น่าใช้การได้ หรือทำอันตรายใครได้

อนึ่ง เรื่องราวของระเบิดนิวเคลียร์ที่หายไปลูกนี้เป็นปริศนาในประวัติศาสตร์ทางทหารของโลกมานานกว่าครึ่งศตวรรษ โดยเมื่อปี 1950 เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-36 หมายเลข 075 ตกใกล้กับรัฐบริติช โคลัมเบีย ระหว่างกำลังเดินทางไปยังฐานทัพอากาศคาร์สเวลล์ ในรัฐเทกซัส

เครื่องบินลำนี้กำลังทำภารกิจลับในการจำลองการโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์ และบรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ ‘มาร์ก โฟร์’ ของจริงบนเครื่อง เพื่อดูว่าบี-36 สามารถบรรทุกมันได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลายชั่วโมงหลังขึ้นบิน เครื่องยนต์ของบี-36 ลำนี้ก็ติดไฟ ก่อนจะตก มีผู้เสียชีวิต 5 คน จากลูกเรือ 17 คน ส่วนที่เหลือสามารถกระโดดร่มออกจากเครื่องได้ทัน

หลังเกิดเหตุ กองทัพสหรัฐฯ ออกมากล่าวว่า ระเบิด มาร์ก โฟร์ ไม่มีพลูโตเนียม แต่บรรจุสารตะกั่วและทีเอ็นทีเอาไว้ ดังนั้นมันจึงไม่มีขีดความสามารถของระเบิดนิวเคลียร์ ขณะที่ลูกเรือที่รอดชีวิตเปิดเผยว่า เครื่องบินถูกควบคุมโดยระบบนักบินอัตโนมัติ และถูกตั้งให้ตกกลางทะเล แต่ 3 ปีต่อมา ก็มีการพบซากเครื่องบินตกบริเวณภูเขา โคโลเกต ลึกเข้าไปในแผ่นดินหลายร้อย กม. ซึ่งลูกเรือที่รอดชีวิตยอมรับว่า พวกเขาทิ้งระเบิดมาร์ก โฟร์ ลงทะเลเพราะเกรงว่าระเบิดอาจระเบิดขึ้น

 

มอนเตเนโกรโบ้ยรัสเซียคลั่งชาติซุ่มแผนโค่นรบ.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 พ.ย. 2559 01:40

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/776642

 

ตำรวจมอนเตเนโกรจับผู้ต้องสงสัยเมื่อ 16 ต.ค.

นายมิลิโวจ คัตนิค หัวหน้าอัยการพิเศษของมอนเตเนโกร แถลงเมื่อ 7 พ.ย.ว่า กลุ่มผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับช่วงวันเลือกตั้งที่มีขึ้นเมื่อ 16 ต.ค. ที่ผ่านมาราว 20 คนซึ่งในจำนวนนี้มี 14 คนยังถูกคุมขัง ได้วางแผนบุกเข้าไปในรัฐสภาเพื่อชูรัฐบาลที่สนับสนุนรัสเซียขึ้นสู่อำนาจแทน รวมทั้งมีแผนให้นักแม่นปืนลอบยิงสังหารนายกรัฐมนตรีมิโล ดจูคาโนวิช โดยมีพวกคลั่งชาติจากรัสเซียอยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหาร แม้ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ารัสเซียเกี่ยวข้อง แต่อัยการมีหลักฐานว่ามีนักชาตินิยม 2 คนจากรัสเซียเป็นหัวโจกวางแผน

การกวาดล้างผู้ต้องสงสัยดังกล่าว เป็นปฏิบัติการร่วมกันของมอนเตเนโกรกับเซอร์เบียซึ่งยังพบเงินสดจำนวนหนึ่งและชุดยูนิฟอร์ม ทั้งนี้ หลังแยกเอกราชจากเซอร์เบียเมื่อปี 2549 มอนเตเนโกรพยายามเข้าเป็นรัฐภาคีของสหภาพยุโรป (อียู) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ซึ่งถูกคัดค้านทั้งจากรัสเซียและชาวมอนเตเนโกรจำนวนมากที่ยังขุ่นเคืองที่ถูกกองทัพนาโตโจมตีช่วงสงครามโคโซโวเมื่อปี 2542 ส่วนการเลือกตั้งเมื่อ 16 ต.ค. พรรคการเมืองของนายมิโลชนะเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ครองเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จซึ่งเขาหวังใช้เป็นอาณัติเพื่อกระชับสัมพันธ์กับตะวันตก.


นายกรัฐมนตรีมิโล ดจูคาโนวิช
 

ยากสุดหิน!ทหารอิรัก-นักรบเปชเมอร์กาเครียด โดนไอซิสโต้หนัก ไม่ปล่อยโมซูล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 7 พ.ย. 2559 18:44

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/776507

 

กองกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษของอิรักและนักรบเปชเมอร์กา เจอภารกิจสุดหิน ในการบุกตีเมืองโมซูลคืนจากไอซิส โดนตอบโต้อย่างดุเดือดทั้งด้วยปืนใหญ่ที่กระสุนบรรจุแก๊สพิษคลอรีนและมัสตาร์ด ไปจนถึงคาร์บอมบ์พลีชีพ โดรนติดระเบิด และสไนเปอร์ อีกทั้งกลุ่มไอซิสยังใช้วิธีฝังตัวปะปนอยู่กับพลเมืองชาวอิรักในตัวเมือง คอยซุ่มโจมตี ปลิดชีพ

เมื่อ 7 พ.ย.59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์ กองกำลังอิรักและนักรบชาวเคิร์ด เปชเมอร์กา บุกตีเมืองโมซูล เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรัก จากการยึดครองของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือไอซิส มาตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม ว่าเมื่อวันจันทร์ที่ 7 พ.ย. นักรบเปชเมอร์กาได้เกิดการปะทะต่อสู้กับกลุ่มไอซิสอย่างดุเดือด บริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองโมซูล เพื่อพยายามจะเข้าเคลียร์พื้นที่ในเมืองบาชิกา ซึ่งถูกกลุ่มไอซิสยึดครองด้านนอกของเมืองเอาไว้ ระหว่างที่กองกำลังอิรักและทหารชุดปฏิบัติการพิเศษต่อต้านก่อการร้ายของอิรักก็กำลังสู้รบกับกลุ่มไอซิสอย่างดุเดือดอยู่ภายในเมืองโมซูล

รอยเตอร์แจ้งว่า นักรบเปชเมอร์กาสุดแกร่ง ประมาณ 2,000 นาย ได้บุกเข้าไปในเมืองบาชิกา ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองโมซูลประมาณ 13-15 กม. ทั้งด้วยยานหุ้มเกราะ รถฮัมวี รวมถึงการเดินเท้าเข้าไปในเมือง พร้อมกับมีการระดมยิงปืนใหญ่ และได้รับการสนับสนุนการโจมตีทางอากาศจากเครื่องบินรบกองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ขณะเดียวกันกลุ่มไอซิสได้พยายามตอบโต้ทั้งด้วยโดรนติดระเบิด, ปืนใหญ่ซึ่งกระสุนปืนใหญ่บรรจุแก๊สพิษคลอรีนและแก๊สมัสตาร์ด รวมทั้งพลแม่นปืน หรือสไนเปอร์มือฉมังที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี


นักรบเปชเมอร์กาเตรียมยิงปืนใหญ่โจมตีกลุ่มไอซิส ที่ยึดครองเมืองบาชิกา

ข่าวแจ้งว่า นักรบไอซิสซึ่งพยายามต่อสู้อย่างสุดฤทธิ์ หวังขัดขวางกองกำลังนักรบเปชเมอร์กาสามารถเข้าไปในเมืองโมซูลให้ช้าลง ด้วยการใช้ระเบิดติดรถยนต์แบบพลีชีพโจมตี โดยผู้บัญชาการกองกำลังอิรักคาดว่า มีคาร์บอมบ์อยู่บริเวณเขตแนวหน้าทางตะวันออกของเมืองบาชิกา ร่วมร้อยคัน และทางใต้อีกราว 140 คัน โดยการพยายามบุกเข้าไปในเมืองบาชิกา ถือเป็นภารกิจที่อันตรายที่สุดในการผลักดันกลุ่มไอซิสออกจากพื้นที่ดังกล่าว

สำหรับภารกิจบุกตีเมืองโมซูลคืนจากไอซิสที่ครองเมืองมานานกว่า 2 ปี ถือว่าได้ชะลอลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากกองกำลังทหารอิรักได้บุกเข้าไปถึงย่านใจกลางเมืองโมซูลที่มีประชากรอยู่หนาแน่นแล้ว จึงทำให้การโจมตีไอซิสต้องทำด้วยความระมัดระวัง อีกทั้งตอนนี้ บริเวณเขตตะวันออกของเมืองโมซูล ซึ่งทหารชุดปฏิบัติการพิเศษของอิรักได้บุกเข้าไปถึงตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ปรากฏว่า กลุ่มไอซิสได้ใช้ยุทธวิธีฝังตัวปะปนอยู่กับชาวเมือง เพื่อคอยซุ่มโจมตีและแยกกองกำลังทหารชุดปฏิบัติการพิเศษออกจากกัน  โดยโฆษกกำลังทหารชุดปฏิบัติการพิเศษของอิรักถึงกับกล่าวว่า เป็นปฏิบัติการสู้รบในย่านชุมชนที่ยากลำบากมากที่สุดในโลก


ทหารอิรักและนักรบเปชเมอร์กา ต้องเจอภารกิจสุดหินในการตีเมืองโมซูลคืนจากไอซิส

ทั้งนี้ ภารกิจยึดเมืองโมซูลคืนจากไอซิส นับเป็นปฏิบัติการทางทหารที่มีความสลับซับซ้อนมากที่สุด โดยมีการระดมกำลังทหารนับ 100,000 นาย ทั้งจากกองทัพอิรัก นักรบชาวเคิร์ด นักรบชาวอิรักนิกายชีอะห์ พร้อมกับได้รับการสนับสนุนปฏิบัติการโจมตีทางอากาศจากเครื่องบินรบของกองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับกลุ่มมุสลิมนิกายสุหนี่หัวรุนแรง กลุ่มไอซิส

ขณะเดียวกัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา กบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ยังได้ประกาศจะบุกตีเมืองรักกา ซึ่งถูกสถาปนาให้เป็นเมืองหลวงของไอซิสในซีเรีย คืนจากการยึดครองของไอซิสแล้ว ซึ่งคาดว่าหากสามารถทำสำเร็จจะถือเป็นการสิ้นสุด การประกาศเขตแดนปกครองตนเองในเมืองรักกา ของซีเรีย และเมืองโมซูลในอิรัก ในรูปแบบรัฐคอลิฟะห์ โดยนายอาบู บาการ์ อัลบักห์ดาดี หัวหน้ากลุ่มไอซิส มาตั้งแต่ปี 2557.

 

ฮิลลารี ยิ้มออก! โพลชี้คะแนนนิยมเหนือทรัมป์ โอกาสชนะเลือกตั้งมากกว่า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 7 พ.ย. 2559 16:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/776361

 

โพลสำรวจคะแนนนิยมระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์-ฮิลลารี คลินตัน จัดทำโดยรอยเตอร์ ล่าสุด วันเดียวก่อนถึงเลือกตั้งประธานาธิบดี ออกมา ฮิลลารี เป็นฝ่ายนำทรัมป์ อยู่ 5 จุด ได้คะแนนนิยม ร้อยละ 44 ต่อ 39 ขณะที่เว็บคาดการณ์แนวโน้มผลเลือกตั้ง ฟันธง ฮิลลารี มีโอกาสชนะได้เป็นปธน.สหรัฐฯ สูงถึง 66.9%

เมื่อ 7 พ.ย.59 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานผลโพลสำรวจคะแนนนิยมของสองผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ และนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครต ก่อนถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 8 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ว่า ผลโพลของสำนักข่าว Reuters/Ipsos ล่าสุด ออกมาว่า คะแนนนิยมของนางฮิลลารี พุ่งขึ้นมานำเหนือกว่า ทรัมป์ มหาเศรษฐีรัฐนิวยอร์ก อยู่ 5 จุด โดยได้คะแนนร้อยละ 44 ต่อ 39 ขณะที่การแข่งขันในรัฐ ‘สวิงสเตท’ ซึ่งไม่มีฐานเสียงแน่ชัด ของทั้งสองผู้สมัคร ทั้งในรัฐฟลอริดา และนอร์ท แคโรไลนา ยังเป็นไปอย่างคู่คี่สูสี

ด้านเว็บไซต์ projects.fivethirtyeight.com รายงานการทำนายว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯออกมาว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 7 พ.ย. ตามเวลาในไทย นางฮิลลารี เป็นฝ่ายที่มีโอกาสจะชนะการเลือกตั้ง สูงถึง 66.9% ทิ้งห่างทรัมป์ ที่มีโอกาสจะชนะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่แค่ 33.0% เท่านั้น


เว็บไซต์ดังกล่าว ยังระบุว่า คาดว่า ฮิลลารี จะได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 294.3 เสียง จากคะแนนคณะผู้เลือกตั้งที่จำเป็นสำหรับผู้ที่จะได้เป็นประธานาธิบดีอย่างต่ำอยู่ที่ 270 เสียง ขณะที่คาดว่าทรัมป์จะได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 242.8 เสียง ส่วนคะแนนป็อปปูลาร์โหวต หรือคะแนนของผู้ที่มาใช้สิทธิลงคะแนน คาดว่า นางฮิลลารีจะได้คะแนนสูงถึง 48.4% ส่วนทรัมป์ได้ 45.3%

 

ผวา! แผ่นดินไหว 5.0 เขย่าโอกลาโฮมา ศูนย์กลางที่เมืองคลังเก็บน้ำมันใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 7 พ.ย. 2559 15:13

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/776277

 

อเมริกันตระหนก…เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 5.0 เขย่ารัฐโอกลาโฮมา ในสหรัฐฯ ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนจำนวนหนึ่งในเมืองคัสชิง ศูนย์กลางธรณีพิโรธ ได้รับความเสียหาย ขณะที่แรงสั่นสะเทือนรับรู้ได้ไกลถึงรัฐเทกซัส

เมื่อ 7 พ.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 5.0 เขย่าตอนกลางของรัฐโอกลาโฮมา ประเทศสหรัฐฯ เมื่อเวลา 19.44 น. ของวันที่ 6 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับช่วงสายของวันที่  7 พ.ย.ตามเวลาของประเทศไทย ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนจำนวนหนึ่งได้รับความเสียหาย โดยสำนักธรณีวิทยาสหรัฐฯ ระบุ จุดเหนือศูนย์กลางธรณีพืโรธอยู่ที่เมืองคัสชิง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองโอกลาโฮมา ซิตี้ รัฐโอกลาโฮมา ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 80 กม. ขณะที่แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวรับรู้ได้ไกลถึงรัฐเทกซัสเลยทีเดียว

เจ้าหน้าที่ในเมืองคัสชิง เผยว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ สร้างความเสียหายแก่อาคารบ้านเรือนในเมืองคัสชิงพอสมควร ขณะที่ทางการได้ประกาศปิดโรงเรียนทั้งหมดในเมืองนี้ในวันจันทร์ที่ 7 พ.ย. เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบอาคารในโรงเรียนต่างๆ ว่าได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวหรือไม่

บีบีซี รายงานว่า ตามข้อมูลของสำนักธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS) ระบุ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดแผ่นดินไหวในรัฐโอกลาโฮมาถึง 19 ครั้ง หลังจากเดือนกันยายนได้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.6 ในรัฐโอกลาโฮมา จนยิ่งสร้างความกังวลใจถึงการเกิดคลื่นไหวสั่นสะเทือนในบริเวณดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับการสะสมพลังในการเกิดแผ่นดินไหว

ทั้งนี้ เมืองคัสชิง เป็นเมืองที่มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 7,900 คน และเป็นหนึ่งในเมืองที่มีคลังเก็บน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสหรัฐฯ.

 

“มรดกโอบามา” สำเร็จหรือล้มเหลว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 7 พ.ย. 2559 14:18

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/775967

 

(แฟ้มภาพประธานาธิบดี บารัค โอบามา ของสหรัฐฯ นั่งทำงานในห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โอบามาจะหมดวาระดำรงตำแหน่งในเดือน ม.ค.ปีหน้าหลังครองอำนาจครบ 2 สมัย)

ช่วงนี้ชาวอเมริกันกำลังลุ้นได้ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ ส่วนจะเป็นใครระหว่างนาง ฮิลลารี คลินตัน ผู้แทนพรรคเดโมแครตและนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แทนพรรครีพับลิกัน อีกไม่นานก็คงได้รู้กันแล้ว ขณะที่ผู้กำลังจะก้าวลงจากอำนาจหลังอยู่ยาวนาน 2 สมัยครบ 8 ปี อย่างประธานาธิบดี บารัค โอบามา ทิ้งผลงานชิ้นโบดำโบแดงทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลวอะไรไว้บ้างมาเอกซเรย์ดูกันเลย

โอบามาก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯสมัยแรกในปี 2551 ขณะอายุ 47 ปี สร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้นำผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ พร้อมสโลแกน “ความเปลี่ยนแปลง” (change) มุ่งขจัดความแตกแยกและยุติสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน มรดกตกทอดจากยุคอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู.บุช และยังชนะเลือกตั้งอีกสมัยในปี 2555

ส่วนที่เขียนจั่วหัวไว้เรื่องผลงานที่ทำสำเร็จและไม่สำเร็จนั้น…โอบามายังไม่ทันได้โชว์ฝีมืออะไรมากและเพิ่งขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่กี่เดือน แต่คณะกรรมการพิจารณาตัดสินรางวัลโนเบลก็ได้มอบโนเบล สาขา “สันติภาพ” ให้ จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก ส่วนใหญ่ค้านเหตุผลของคณะกรรมการโนเบลและเห็นว่าให้รางวัลโนเบลโอบามาเร็วเกินไป

และเมื่อเข้าทำเนียบขาวแล้ว หนังโฆษณาที่ฉายไว้ล้วนกลายเป็นปัญหาติดๆขัดๆ ทั้งภาวะคนตกงาน สงครามในสมรภูมิอิรักและอัฟกานิสถาน ส่วนเรื่องการเมือง ซีก รีพับลิกัน กับเดโมแครต ยังชิงดีชิงเด่นกันไม่หยุด

โดยเฉพาะช่วงปลายปี 2556 คาบเกี่ยวปี 2557 เล่นการเมืองกันซะจนทำเอาประเทศเกือบเป็นอัมพาต รีพับลิกันและเดโมแครตเถียงไม่ยอมกันจน ก.ม.ปรับขยายเพดานหนี้คลอดเกือบไม่ทันกำหนดเส้นตายรวมทั้ง ก.ม.งบ-ประมาณแผ่นดิน โดยมี ก.ม.หลักประกันสุขภาพหรือ โอบามาแคร์ นโยบายระดับมาสเตอร์พีซของโอบามา เป็นเรื่องหลักที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน

ช่วงนั้นคนอเมริกันต้องลุ้นใจหายใจคว่ำกับความเสี่ยงภาวะ “ชัตดาวน์” หน่วยงานรัฐไม่มีงบสนับสนุน เจ้าหน้าที่ภาครัฐเสี่ยงกินแกลบ ประเทศเองก็เสี่ยงชักดาบจ่ายหนี้สาธารณะ กว่าจะผ่านมาได้ เล่นเอาเสียวกันทั้งโลก

ส่วนมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณทางการเงินหรือคิวอี อัดฉีดเงินเข้าระบบกระตุ้นเศรษฐกิจของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในยุคโอบามา ตัวเลขจีดีพียังเดินต้วมเตี้ยมโตไม่ชัด เศรษฐกิจจึงมีแต่ทรงกับทรุด

ขณะที่สเตตัส “มหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลก” ของสหรัฐฯก็มาสะเทือนในยุคโอบามา ถูกทาบบารมีกันเห็นๆจากการผงาดขึ้นเป็นใหญ่ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน และประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ต่างกระชับอำนาจได้ทั้งภายในและเวทีระดับโลก

ดวงเมืองของจีนกับรัสเซียจึงข่มดวงเมืองสหรัฐฯได้เกือบมิด

ตัวอย่างจุดอ่อนชัดที่สุดของโอบามาคือ สงครามกลางเมืองซีเรีย ไม่รู้เป็นเพราะมีโนเบลสันติภาพค้ำคออยู่หรือเปล่า ทำให้โอบามาเลือกไม่ แทรกแซง เอง แต่เลือกเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุนฝ่ายกบฏต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ทำให้เกิดสงครามตัวแทนที่อีกฝ่ายได้รับการสนับสนุนจาก รัสเซีย การสู้รบยิ่งยืดเยื้อ ผู้คนล้มตายและอพยพพลัดถิ่นเรือนแสนเรือนล้าน และยังทำให้กลุ่มนักรบจีฮัดโดยเฉพาะ กองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ฉวยโอกาสช่องว่างสุญญากาศ แผ่ขยายอิทธิพลกลายเป็นภัยคุกคามทั่วโลกในปัจจุบันจนคนลืมไปแล้วว่ายุคโอบามาเคยได้เด็ดชีพผู้นำเครือข่ายก่อการร้ายอัลเคดา อย่าง โอซามา บินลาดิน มาแล้ว

นโยบาย “ปักหมุดเอเชีย” ของโอบามายิ่งแล้วใหญ่ จีนแผ่อิทธิพลล้ำหน้าไปหลายขุม ล่าสุดสหรัฐฯยังถูกพันธมิตรเก่าที่ใครหลายคนเคยมองเป็นลูกแหง่ของสหรัฐฯอย่าง ฟิลิปปินส์ มาในยุคประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตร์เต กลับด่าเช้าด่าเย็นไม่ไว้หน้าลูกพี่เก่าเลย

บ่งบอกมนต์ขลังมหาอำนาจเริ่มเสื่อม!

ส่วนเรื่องที่ดูเป็นความสำเร็จของโอบามาชัดที่สุดเห็นจะเป็นข้อตกลงสู้โลกร้อนฉบับใหม่ “ข้อตกลงปารีส” ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา เป็นความสำเร็จอย่างเท่ที่ได้ร่วมผลักดันแผนกู้โลกจากความเปลี่ยน

แปลงสภาพอากาศ แต่ถ้าการเมืองสหรัฐฯพลิกขั้ว ฝ่ายรีพับลิกันขึ้นมาเป็นใหญ่แทน ความร่วมไม้ร่วมมือในข้อตกลงปารีสที่สหรัฐฯในยุคของโอบามาได้ให้สัญญาไว้ก็อาจเป็นหมัน

ขณะที่กรณีนางคลินตันได้ประกาศจะเดินหน้าทำนโยบายเก่าของโอบามา หากชนะเลือกตั้ง แม้ได้ใจชาวอเมริกันฝ่ายเสรีนิยม แต่สำหรับกลุ่มคนหัวอนุรักษนิยมแล้ว! คงไม่อยากเห็นสหรัฐฯตกเป็นเบี้ยล่างใครอื่นอีกแล้ว.

ทีมข่าวต่างประเทศ

 

รีพับลิกันจวก FBI ! เคลียร์ ฮิลลารีพ้นมลทิน 2 วันก่อนเลือกตั้งปธน.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 7 พ.ย. 2559 12:11

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/776032

 

แกนนำรีพับลิกัน ดาหน้าโจมตี ฮิลลารี คลินตัน หลังพ้นมลทิน FBI เคลียร์ข้อกล่าวหาเรื่องอีเมลส่วนตัวเพียง 2 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง ปธน. ชี้ FBI ทำงานภายใต้แรงกดดันมหาศาลทางการเมือง ส่วน พอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนฯ จวก ฮิลลารี มักเชื่อตัวเองอยู่เหนือกฎหมาย ด้าน ทรัมป์ แขวะไม่มีใครสามารถตรวจสอบอีเมล 6.5 แสนฉบับได้เสร็จใน 8 วัน

เมื่อ 7 พ.ย. 59 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ที่สถานการณ์ได้เปรียบพลิกกลับมาอยู่ฝ่าย นางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต อีกครั้ง ขณะเหลือเพียง 2 วันจะถึงวันเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย. ทันทีที่ นายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) แถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น กรณีเข้ามาสอบสวนอีเมลเพิ่มเติมของนายแอนโธนี ไวเนอร์ ส.ส.รัฐนิวยอร์ก สังกัดพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นสามีที่แยกกันอยู่กับนางฮูมา อเบดิน ที่ปรึกษาระดับสูงของนางฮิลลารี ที่อาจเชื่อมโยงกับนางฮิลลารี โดยเอฟบีไอได้ส่งหนังสือถึงสภาคองเกรส ขอยืนตามข้อสรุปเดิมของเอฟบีไอเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาว่า จะไม่ตั้งข้อหาคดีอาญาต่อ นางฮิลลารี คลินตัน กรณีใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวขณะดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามานั้น

รอยเตอร์แจ้งว่า นายพอล ไรอัน ประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสูงสุดในเวลานี้ ได้กล่าวถึงนางฮิลลารีว่า เธอมักเชื่อตัวเองว่าอยู่เหนือกฎหมาย และมักเล่นตามกฎกติกาของเธอเองอยู่เสมอ ขณะที่ นายเรียนซ์ ไพรบุส ประธานคณะกรรมาธิการแห่งชาติของพรรครีพับลิกัน กล่าวถึงข้อสรุปของเอฟบีไอที่จะไม่ตั้งข้อหาคดีอาญาเล่นงานนางฮิลลารี ว่า ที่ผ่านมา มีหลักฐานว่านางฮิลลารีฝ่าฝืนกฎหมาย โกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับชาวอเมริกัน กับการกระทำที่ไม่ไตร่ตรองของเธอในเรื่องนี้


พอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ

ด้าน นายนิวต์ กิงริช อดีตผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ และชูธงสนับสนุนพร้อมทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้เป็นตัวแทนพรรคชิงประธานาธิบดีครั้งนี้ ได้ทวิตข้อความทางทวิตเตอร์ว่า นายโคมีย์ ผอ.เอฟบีไอ ต้องทำงานภายใต้แรงกดดันมหาศาลทางการเมือง จึงได้ข้อสรุปออกมาเช่นนี้ และได้ประกาศผลการสอบสวนออกมาในเรื่องที่เขาไม่มีทางจะรู้ได้



เจมส์ โคมีย์ ผอ.เอฟบีไอ

ส่วน ทรัมป์ ได้กล่าวระหว่างไปหาเสียงที่เมืองสเตอริง ไฮจต์ส รัฐมิชิแกน ในเรื่องนี้ ‘คุณไม่สามารถจะตรวจสอบอีเมลใหม่ จำนวน 650,000 ฉบับในเวลาเพียงแค่ 8 วันได้หรอก คุณไม่มีวันจะทำได้,เรื่องหลอกเด็ก’ ทรัมป์ พูดโจมตี พร้อมกับกล่าวว่า ฮิลลารี คลินตัน ทำความผิด เธอรู้ดี เอฟบีไอก็รู้ ประชาชนก็รู้ และตอนนี้ถึงเวลาที่ชาวอเมริกันต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม ในการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งวันที่ 8 พ.ย.นี้

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘ฮิลลารี’ โล่ง! FBI สรุปไม่ตั้งข้อหา กรณีพบอีเมลชุดใหม่

ฮิลลารีมึน! FBI สอบคดีใช้อีเมลส่วนตัวรับ-ส่งข้อมูลราชการอีกรอบ