สวิสยึดรถหรูรอง ปธน. อีเควทอเรียล กินี 11 คัน สอบคดีคอร์รัปชัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 พ.ย. 2559 06:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/773297

 

เจ้าหน้าที่ของสวิตเซอร์แลนด์ ดำเนินการยึดรถยนต์หรูนับสิบคัน ของรองประธานาธิบดีแห่งประเทศ อีเควทอเรียล กินี ในแอฟริกา หลังจากเขาถูกกล่าวหาว่าฟอกเงิน…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อัยการของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ดำเนินการยึดรถยนต์ยี่ห้อดังราคาแพงจำนวน 11 คัน ของนายทีโอโดโร เอ็นเกมา โอบิยง มงเก รองประธานาธิบดี และเป็นลูกชายของ ประธานาธิบดี ทีโอโดโร โอบิยง เอ็นเกมา เอ็มบาโซโก แห่งประเทศอีเควทอเรียล กินี เพื่อการสืบสวนคดีทุจริตคอร์รัปชัน หลังจากเขาถูกกล่าวหาว่าฟอกเงิน

อัยการในนครเจนีวา กล่าวว่า นายมงเก ฉ้อโกงประเทศซึ่งอุดมไปด้วยน้ำมันของตัวเอง เพื่อนำเงินมาซื้อรถหรูนับสิบคัน รวมทั้งเครื่องบินส่วนตัว และสิ่งของต่างๆ ที่เคยเป็นของไมเคิล แจ็คสัน ราชาเพลงป๊อป โดยรถยนต์ที่ถูกยึดยังรวมไปถึงรถยนต์ปอร์เช มูลค่ามากว่า 830,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 29 ล้านบาท) และรถยนต์ บูกัตติ เวย์รอน มูลค่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 69.9 ล้านบาท)

ทั้งนี้ นายมงเกวัย 47 ปี มีกำหนดการขึ้นศาลฝรั่งเศสจากข้อหาคอร์รัปชันและยักยอกเงินในปีหน้า แต่เขาปฏิเสธข้อกล่าวหา รวมทั้งบอกให้ฟ้องร้องเขาที่ศาลของสหประชาชาติ จึงเชื่อว่าเขาจะไม่ไปปรากฏตัวในศาลฝรั่งเศส

 

หมัดน็อก ‘ฮิลลารี’!? FBI รื้อคดีอีเมลสอบเพิ่ม เซอร์ไพรส์ก่อนเลือกตั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 พ.ย. 2559 05:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/773285

 

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้ เป็นการเลือกตั้งที่มีสีสันที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ เลยก็ว่าได้ เพราะเต็มไปด้วยจุดพลิกผันมากมายนับตั้งแต่เริ่มการหยั่งเสียงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังถูกเล่นงานด้วยความปากเปราะของตัวเองอยู่เลย หลังสื่อเผยแพร่คลิปวิดีโอจากเทปรายการโทรทัศน์ที่อัดไว้เมื่อหลายปีก่อน แสดงให้เห็นมหาเศรษฐีจากนิวยอร์กผู้นี้ พูดจาดูหมิ่นผู้หญิง จนถูกประณามจากทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายเดียวกัน

แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับเป็นฝ่ายฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครต ที่กำลังตกที่นั่งลำบาก หลังจากเอฟบีไอขุดคดีที่นางคลินตันใช้อีเมลส่วนตัวของเธอในการรับ-ส่งข้อมูลราชการ สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งน่าจะจบลงไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือน ก.ค. กลับมาสอบสวนใหม่ กลายเป็นจุดหักเหล่าสุดในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้


ฮิลลารี คลินตัน

จุดเริ่มต้นกรณีอีเมลฉาว ฮิลลารี คลินตัน

จุดเริ่มต้นของเรื่องอื้อฉาวที่อาจเป็นตัวบ่อนทำลาย ฮิลลารี คลินตัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้นั้น ต้องย้อนกลับไปในช่วงก่อนที่เธอจะสาบานตนรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ในรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา สมัยแรกเมื่อปี 2009 โดยในครั้งนั้น นางคลินตัน ได้ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์อีเมลที่บ้านของเธอในเมืองชัปปากัว ในรัฐนิวยอร์ก

จากนั้นเธอก็ใช้เซิร์ฟเวอร์ตัวนี้สำหรับการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ตลอด 4 ปีที่อยู่ในตำแหน่ง นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า นางคลินตัน สร้างที่อยู่อีเมลบนเซิร์ฟเวอร์ตัวนี้ เพื่อมอบให้แก่ นางฮูมา อเบดิน ผู้ช่วยที่ทำงานด้วยกันมานาน และ นางเชอร์รีล มิลส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ด้วย

นางคลินตัน รับและส่งอีเมลด้วยเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว จำนวน 62,320 ฉบับ ระหว่างที่เธอดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ในจำนวนนี้ 30,490 ฉบับ หรือประมาณ 55,000 หน้า เป็นข้อความราชการ แต่เธอไม่เคยใช้ หรือเข้าไปใช้งานอีเมลบัญชี ‘state.gov’ ซึ่งอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ที่บริหารและเป็นเจ้าของโดยรัฐบาลสหรัฐฯ แม้แต่ครั้งเดียว

ประเด็นเรื่องการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวในการรับ-ส่งข้อมูลทางราชการของนางคลินตัน กลายเป็นข่าวครึกโครมระดับชาติในช่วงสัปดาห์แรกของเดือน มี.ค. ปี 2015 เมื่อสำนักข่าวนิวยอร์ก ไทมส์ รายงานข่าวเนื่องนี้ และระบุว่า การตรวจสอบกระทรวงของคลินตันอาจผิดข้อกำหนดแห่งกฎหมายของประเทศ

นางคลินตันเคยออกมาแก้ตัวว่า สาเหตุที่เธอทำเช่นนี้เพราะการใช้อีเมลเดียว และโทรศัพท์เครื่องเดียวนั้นสะดวกสบายกว่า แต่หลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตว่า เหตุผลที่แท้จริงของเธอคือการสร้างระบบอีเมลของตัวเอง เพื่อให้เธอสามารถควบคุมการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยสมบูรณ์ ทำให้เธอกลายเป็นผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียวว่า อะไรควรหรือไม่ควรส่งให้รัฐบาล, เปิดเผยสู่สาธารณะผ่านคำร้องให้เปิดเผยข้อมูลด้วยสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (freedom of information)


โดนัลด์ ทรัมป์

แล้วใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวส่งข้อมูลราชการผิดกฎหมายหรือไม่?

ตามการวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศ เช่น บีบีซี กรณีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวของนางคลินตัน อยู่ในพื้นที่สีเทาของกฎหมายการบันทึกข้อมูลแห่งชาติปี 1950 ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เธอมีความผิดหรือไม่ก็ได้ อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนแปลงการตีความกฎหมายดังกล่าวหลายครั้งในยุคของนางคลินตัน โดยแต่เดิมกฎหมายนี้กำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อีเมลส่วนตัว ต้องรับประกันว่าข้อมูลการติดต่อทางราชการด้วยอีเมลส่วนตัว จะถูกส่งให้แก่รัฐบาล แต่เพียง 10 เดือนหลังนางคลินตันรับตำแหน่ง ก็มีการออกกฎข้อบังคับใหม่ โดยอนุญาตให้ใช้อีเมลส่วนตัวได้ หากมีการเก็บรักษาข้อมูลราชการไว้ในระบบเก็บรักษาข้อมูลของรัฐอย่างเหมาะสม

นางคลินตัน เคยระบุว่า เธอทำตามข้อกำหนดในกฎหมายนี้แล้ว เนื่องจากอีเมลส่วนใหญ่จากบัญชีผู้ใช้ส่วนตัวของเธอถูกส่ง หรือฟอร์เวิร์ดไปถึงข้าราชการที่ใช้อีเมลของรัฐบาล ข้อมูลจึงถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ ส่วนอีเมลอื่นๆ ก็ถูกส่งให้เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศหมดแล้ว หลังจากพวกเขายื่นเรื่องร้องขอต่อเธอ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอีกหลายคนก่อนหน้าเธอ ในเดือน ต.ค. 2014

เมื่อเดือน พ.ย. 2014 ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ลงนามแก้กฎหมายการบันทึกข้อมูลแห่งชาติใหม่ โดยกำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องฟอร์เวิร์ดอีเมลติดต่อทางราชการใดๆ ให้แก่รัฐบาลภายใน 20 วัน แต่บทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนยังคงเป็นระดับโทษทางการบริหาร ไม่ใช่คดีอาญา และนางคลินตันก็ไม่มีความผิดอาญาจริงๆ ตามรายงานของเจ้าหน้าที่สืบสวนกระทรวงต่างประเทศ ที่เผยแพร่ในเดือน พ.ค. 2016 แม้การสืบสวนจะพบว่า การใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวของนางคลินตันละเมิดนโยบายของรัฐบาล

เดือนต่อมา เจมส์ โคเมย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ก็เปิดเผยผลการสอบสวนของพวกเขา ซึ่งได้ข้อสรุปว่า มีหลักฐานของความเป็นไปได้ที่จะเกิดการละเมิดกฎหมายอาญาเพื่อปกปิดการจัดการข้อมูลลับอย่างผิดพลาด แต่การตัดสินของพวกเขาไม่มีเหตุผลพอควรให้อัยการสั่งฟ้อง พวกเขาจึงส่งเรื่องนี้ให้กระทรวงยุติธรรม ซึ่งปิดคดีของนางคลินตันและผู้ช่วยของเธอโดยไม่มีการตั้งข้อหา


เจมส์ โคเมย์ ผบ.เอฟบีไอ

เอฟบีไอประกาศสอบสวนคดีอีเมลฉาวของนางคลินตันใหม่

นางคลินตัน ผ่านพ้นข่าวฉาวกรณีอีเมลส่วนตัวมาได้ในเดือน ก.ค. เธอเดินหน้าหาเสียง, ทำผลงานได้ดีในการดีเบตทั้ง 3 ครั้ง ขณะที่คู่แข่งอย่างมหาเศรษฐี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็เผชิญฝันร้ายจากอดีตอย่างวิดีโอเทปเก่าที่เขาเคยพูดจาดูถูกผู้หญิง จนทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แม้แต่เพื่อนรวมพรรครีพับลิกันหลายคนยังตีตัวออกห่าง คะแนนของทรัมป์ในผลโพลสำรวจความคิดเห็นก็ตกลงเรื่อยๆ ทุกอย่างกำลังเข้าทางคลินตัน

แต่แล้วในวันที่ 28 ต.ค. หรือ 11 วันก่อนจะถึงวันเลือกตั้งสหรัฐฯ นายโคเมย์ ผอ.เอฟบีไอ เจ้าเก่า กลับส่งจดหมายถึงสภาคองเกรสสหรัฐฯ ระบุว่าพวกเขาจะสอบสวนคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวของนางคลินตันเพิ่มเติม หลังจากค้นพบอีเมลใหม่ที่อาจมีส่วนเชื่อมโยงกับคดีนี้ ระหว่างการสืบสวนคดี นายแอนโธนี ไวเนอร์ อดีต ส.ส.นิวยอร์ก สามีของนางฮูมา อเบดิน ผู้ช่วยระดับสูงของนางคลินตัน ฐานส่งอีเมลข้อความไม่เหมาะสมให้เด็กหญิงอายุ 15 ปีคนหนึ่ง เพื่อหาอีเมลที่พบใหม่ว่ามีข้อมูลที่เป็นความลับหรือไม่

การตัดสินใจของนายโคเมย์ ที่เลือกดำเนินการเรื่องนี้ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้นั้น เรียกเสียงโจมตีอย่างหนักจากพรรคเดโมแครต เช่น นายแฮร์รี รีด ประธานวุฒิสภาฝ่ายเสียงข้างน้อยของสหรัฐฯ ส่งจดหมายถึงนายโคเมย์ ว่าการกระทำของเขาอาจผิดกฎหมายฐานแทรกแซงการเลือกตั้ง ส่วน นางคลินตัน เรียกร้องให้นายโคเมย์เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับอีเมลที่พบออกมา และเชื่อว่าสุดท้ายแล้วผลสอบสวนจะสรุปออกมาว่าเธอไม่มีความผิด

ด้าน โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความลิงโลดอย่างเต็มที่ เขาประกาศเรื่องการสอบสวนใหม่ของเอฟบีไอ ระหว่างการหาเสียงในรัฐไอโอวา เพื่อหยั่งเสียงผู้สนับสนุน และได้รับเสียงเชียร์กึกก้อง “นี่เป็นความหวังของทุกคน ที่ในที่สุดความยุติธรรมก็เกิดขึ้นเสียที” ทรัมป์กล่าวท่ามกลางฝูงชน “เอฟบีไอคงไม่รื้อคดีนี้ขึ้นมาใหม่ในช่วงเวลาเช่นนี้ หากแต่เป็นการกระทำผิดกฎหมายอย่างมหันต์”


ผลกระทบต่อคลินตัน

นักวิเคราะห์ระบุว่า ผู้สนับสนุนนางคลินตันจะใช้เวลา 2-3 วันในการประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ก็เริ่มเห็นผลกระทบบ้างแล้วในผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดยคะแนนเสียงสนับสนุนของนายทรัมป์เริ่มไล่ตามนางคลินตันมาติดๆ โพลของบีบีซี ให้นางคลินตันนำทรัมป์เพียง 2% เท่านั้นที่ 47% ต่อ 45%

ขณะที่ ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง (Tracking Poll) เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ของ วอชิงตัน โพสต์-เอบีซี นิวส์ ซึ่งจัดทำโดยสมาคมวิจัยแลงเจอร์ ทรัมป์ถึงกับขึ้นนำที่ 46% ต่อ 45% นับเป็นการขึ้นนำในการสำรวจความนิยมครั้งแรกของนายทรัมป์ นับตั้งแต่เดือน พ.ค. ทั้งที่เมื่อเกือบ 2 สัปดาห์ก่อน โพลเดียวกันนี้ยังชี้ว่านางคลินตันนำทรัมป์ห่างถึง 12% อยู่เลย

อย่างไรก็ตาม นายแอนโธนี เซอเชอร์ ผู้สื่อข่าวและนักวิเคราะห์ของบีบีซี เชื่อว่า ข่าวอื้อฉาวเรื่องอีเมลของนางคลินตันจะไม่ทำให้เธอเสียคะแนนโหวตในวันเลือกตั้งให้แก่นายทรัมป์มากมายนัก เพราะ ณ จุดนี้แล้ว จำนวนผู้สนับสนุนสองฝ่ายมีความห่างกันมากเกินไป

แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นหมัดน็อกสำหรับคลินตันหรือไม่ สิ่งที่แน่นอนก็คือ แม้ว่าเธอจะชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เธอก็จะถูกหลอกหลอนด้วยฝันร้ายที่ดำเนินมายาวนานนี้ตั้งแต่วันแรกที่เธอรับตำแหน่ง

 

น้ำตาจะไหล! ’บัลเตีย แอร์’ ตั้งมา 27 ปี ไม่เคยส่งผู้โดยสารสักคนเดียว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 พ.ย. 2559 05:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/773292

 

บัลเตีย แอร์ไลน์ส สายการบินในสหรัฐอเมริกา ปลดประจำการเครื่องบินเพียงลำเดียวในฝูงแล้ว ทั้งที่ยังไม่เคยให้บริการเที่ยวบินส่งผู้โดยสารแม้แต่คนเดียวนับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ 27 ปีก่อน…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวของสายการบินเจ้าหนึ่งในสหรัฐอเมริกา คือ บัลเตีย แอร์ไลน์ส ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 โดยมีเป้าหมายจะให้บริการคุณภาพสูงแก่ผู้โดยสาร 3 ระดับชั้น แต่ล่าสุด พวกเขาปลดประจำการเครื่องบินเพียงลำเดียวในฝูงแล้ว หลังจากไม่เคยให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์เลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอด 27 ปีที่ผ่านมา

แรกเริ่มเดิมที บัลเตีย แอร์ไลน์ส ตั้งใจจะให้บริการเพียงเที่ยวบินตรง จากนครนิวยอร์ก ในสหรัฐฯ ไปยังนครเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในรัสเซีย รวมถึงมีแพ็กเกจท่องเที่ยวในวันหยุด, โครงการสะสมไมล์การบิน และบริการพนักงานต้อนรับที่สามารถพูดได้หลายภาษา แต่จนถึงตอนนี้ พวกเขายังไม่เคยขนส่งผู้โดยสารอย่างเป็นทางการเลยแม้แต่คนเดียว

ตามรายงานของสถานีวิทยุ ‘มิชิแกน เรดิโอ’ บัลเตีย แอร์ไลน์ส ซึ่งเดิมให้บริการที่ท่าอากาศยานนานาชาติ จอห์น เอฟ เคนเนดี ในนิวยอร์ก ก่อนจะย้ายไปท่าอากาศยาน วิลโลว์ รัน ในรัฐมิชิแกน อ้างว่า พวกเขายังคงรอใบรับรองมาตรฐานการปฏิบัติการจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (เอฟเอเอ) ของสหรัฐฯ อยู่ แม้เวลาจะผ่านมานาน 27 ปีแล้ว และเคยไม่ผ่านการประเมินถึง 7 ครั้งจากปัญหาการใช้งานสไลด์อพยพก็ตาม


โบอิ้ง 747-200

มิชิแกน เรดิโอ ระบุอีกว่า บัลเตีย แอร์ไลน์ส ไม่มีรายได้เลยนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง และมีหนี้ประมาณ 119 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ พวกเขาประกาศว่าอาจสามารถเริ่มให้บริการเที่ยวบินแรกได้ในปี 2015 แต่เมื่อเดือน มี.ค. พวกเขาก็ประกาศว่ากำลังจะปลดประจำการเครื่องบินโดยสาร โบอิ้ง 747-200 รุ่นคลาสสิก ซึ่งมีอายุ 37 ปีของพวกเขาแล้ว และจะไปหาเช่าเครื่องบินรุ่นใหม่กว่า ประหยัดน้ำมันมากกว่า เผื่อจะส่งผลดีต่อกระบวนการขอใบอนุญาตปฏิบัติการ

อนึ่ง โบอิ้ง 747-200 รุ่นคลาสสิก ของบัลเตีย แอร์ไลน์ส ได้ขึ้นบินเพียงครั้งเดียวเมื่อปีก่อน โดยเดินทางจากสนามบินวิลโลว์ รัน ไปยังศูนย์ซ่อมบำรุงในเมืองออสโคดา รัฐมิชิแกน

นอกจากนี้ เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ในสัปดาห์เดียวกับที่พวกเขาประกาศจะปลดประจำการเครื่องบินของพวกเขา นายแบร์รี แคลร์ ผู้อำนวยการและรองประธานบริหารของบัลเตีย แอร์ไลน์ส ก็ถูกตั้งข้อหาโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ฐานทำตัวเป็นโบรกเกอร์ขายหุ้นของบัลเตียโดยไม่มีใบอนุญาต แต่ทางสายการบินปฏิเสธข้อกล่าวหา และยืนยันว่า นายแคลร์ ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม คดีนี้จบลงเมื่อเดือน ส.ค. โดยแคลร์ยอมจ่ายเงินราว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อไกล่เกลี่ยคดี

ในแถลงการณ์ล่าสุดของบัลเตีย แอร์ไลน์ส เมื่อเดือน พ.ค. ระบุว่า พวกเขายังคงคุยกับกลุ่มลงทุนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อระดมทุนที่จำเป็นสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน และเช่าเครื่องบินลำใหม่ เพื่อเร่งกระบวนการขอใบอนุญาตจากเอฟเอเอให้เร็วขึ้น

 

เรืออพยพ 2 ลำล่มนอกชายฝั่งลิเบีย หวั่นผู้ลี้ภัยดับอื้อ 240 ศพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 พ.ย. 2559 22:45

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/773076

 

เรืออพยพ 2 ลำล่มนอกชายฝั่งประเทศลิเบียเมื่อวันพฤหัสบดี เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือผู้รอดชีวิตได้แล้วหลายสิบคน แต่ยังมีผู้สูญหายอีกกว่า 240 ราย และเกรงว่าพวกเขาอาจจมน้ำเสียชีวิตแล้ว…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 พ.ย. เกิดเหตุเรือขนผู้ลี้ภัย 2 ลำล่มนอกชายฝั่งของประเทศลิเบีย ทำให้มีผู้สูญหายเป็นจำนวนกว่า 240 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่เกรงว่าพวกเขาอาจจะจมน้ำเสียชีวิตแล้ว นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งล่าสุดในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งผู้อพยพพยายามข้ามทะเลเพื่อความทุกข์ยากเข้าสู่ยุโรป

นางแคร์ลอตตา ซามี โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ประจำภูมิภาคยุโรปใต้ ระบุว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยสามารถช่วยเหลือผู้รอดชีวิต 29 คนจากเรือลำแรก แต่ยังมีผู้ลี้ภัยสูญหายอีกกว่า 120 คน ส่วนเรือลำที่ 2 เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้เพียง 2 คน และยังสูญหายอีก 120 คน โดยผู้รอดชีวิตทั้งหมดถูกพาไปยังเกาะเลมเปดูซา ของอิตาลีแล้ว

ทั้งนี้ นายเล็นเนิร์ด ดอยเยิล โฆษกองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (ไอโอเอ็ม) ระบุว่า ในปีนี้ มีผู้อพยพ 4,220 คนเสียชีวิตขณะพยายามเดินทางฝ่าอันตรายข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แซงหน้าสถิติในปี 2015 ที่มีผู้เสียชีวิต 3,777 คนไปแล้ว แม้ในปีนี้จะมีผู้พยายามข้ามเมดิเตอร์เรเนียนเพียง 330,000 คน แต่ปี 2015 มีผู้เดินทางข้ามทะเลมากกว่า 1 ล้านคน

 

สลด! รถไฟโดยสารปากีฯ 2 ขบวน ชนกันสนั่น ตาย 19 เจ็บระนาวเกือบร้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 พ.ย. 2559 19:50

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/772857

 

เกิดอุบัติเหตุรถไฟโดยสารในปากีสถาน 2 ขบวน ชนกันยับใกล้สถานีรถไฟในเมืองการาจี ดับอนาถอย่างน้อย 20 เจ็บระนาวเกือบ 100 ราย คาดพนักงานขับรถไฟคันที่พุ่งชนอีกขบวน ที่จอดที่สถานีอยู่แล้ว ไม่สนใจสัญญาณแจ้งเตือนบนราง

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง รถไฟโดยสารสองขบวนชนกัน ใกล้กับสถานีรถไฟลานธี ในเมืองการาจี ทางตอนใต้ของปากีสถาน เมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 พ.ย. เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย และบาดเจ็บอีก 65 คน ขณะที่รถไฟโดยสารทั้งสองขบวนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และอุบัติเหตุครั้งนี้ ทำให้รถไฟทุกขบวนที่มืองการาจีต้องหยุดการบริการชั่วคราว

นายอัชราฟ ลันจาร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการประจำกระทรวงรถไฟของปากีสถาน เปิดเผยว่า รถไฟซาคาเรีย เอ็กซ์เพรส ซึ่งวิ่งมาจากเมืองมูลตาน ชนเข้าอย่างจังกับรถไฟสายฟารีด เอ็กซ์เพรส จากเมืองลาฮอร์ ซึ่งจอดอยู่ที่สถานีรถไฟลานธีอยู่แล้ว เนื่องจากพนักงานขับรถไฟสาย ซาคาเรีย เอ็กซ์เพรส ไม่สนใจต่อสัญญาณแจ้งเตือนบนราง


อุบัติเหตุครั้งนี้ ส่งผลให้ รถไฟทั้งสองขบวนเกิดเหตุเสียหายอย่างหนักและมีรายงานว่ามีคนติดอยู่ใต้ซากรถไฟที่เสียหายจำนวนมาก เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ทำการตัดถ่างโบกี้รถไฟ เพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารที่ติดอยู่ภายใน และนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง ขณะที่ นายลันจาร์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของกระทรวงรถไฟปากีสถาน ยังกล่าวด้วยว่า รถไฟทั้งสองสายจะให้บริการผู้โดยสารทุก 15 นาทีในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน ตอนเช้า โดยรถไฟซาคาเรีย เอ็กซ์เพรส บรรทุกผู้โดยสารได้จำนวน 1,232 คน และฟารีด เอ็กซ์เพรส บรรทุกได้ 1,320 คน

หลังจากเกิดเหตุ นายคาวาจา ซาอัด ราฟิค รัฐมนตรีกระทรวงรถไฟได้ออกมาทวีตแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยข้อความว่า “ผมได้ติดต่อกับผู้กำกับการรถไฟท้องถิ่นโดยตรงซึ่งเป็นผู้ดูแลสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เศร้าเกินไปกับการสูญเสียจิตวิญญาณที่มีค่า”

นอกจากนี้ยังมีแถลงการณ์ จากสำนักรัฐมนตรีปากีสถาน ว่า นายกรัฐมนตรี นาวาซ ชารีฟ รู้สึกโศกเศร้าและเสียใจมากกับชีวิตที่ต้องสูญเสียไป และได้สั่งการให้ช่วยเหลือและบรรเทาสถานการณ์ทันที เนื่องจากอาจมีผู้บาดเจ็บหรือติดค้างอยู่ภายในซากโบกี้ ทั้งยังสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสืบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ และย้ำว่าผู้ทำกระทำผิดต้องรับผิดชอบ



รบ.อังกฤษเซ็ง เบร็กซิตสะดุด! ศาลสูงตัดสินต้องผ่านลงมติจากสภาก่อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 พ.ย. 2559 19:05

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/772997

 

รัฐบาลอังกฤษผิดหวัง..กระบวนการ ‘เบร็กซิต’ ยูเคถอนตัวจากอียูสะดุด  ศาลสูงอังกฤษตัดสิน รัฐสภาจะต้องมีการลงมติเสียก่อนว่าจะเริ่มกระบวนการเบร็กซิต ตามมาตรา 50 แห่งสนธิสัญญาลิสบอน หรือไม่ เพราะรัฐบาลไม่มีอำนาจที่จะทำการในเรื่องนี้ ขณะที่ส่งผลค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงปรับตัวขึ้นขานรับผลคำตัดสินทันที

เมื่อ 3 พ.ย. สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงาน ศาลสูงอังกฤษ ตัดสิน สมาชิกรัฐสภาอังกฤษจะต้องมีการลงมติในสภาเสียก่อนว่าจะเริ่มต้นกระบวนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ตามมาตรา 50 แห่งสนธิสัญญาลิสบอนหรือไม่ ซึ่งคำตัดสินของศาลสูงอังกฤษเมื่อ 3 พ.ย. หมายถึง รัฐบาลอังกฤษไม่สามารถจะเริ่มต้นกระบวนการถอนตัวจากอียู ตามมาตรา 50 แห่งสนธิสัญญาลิสบอน รวมถึงการเริ่มต้นหารืออย่างเป็นทางการกับอียูในกระบวนการแยกตัวจากอียู ตามความประสงค์ของตนได้

รอยเตอร์รายงานว่า คำตัดสินของศาลสูงที่ออกมาเช่นนี้ ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่นายกรัฐมนตรีเธเรซา เมย์ ที่ต้องการให้ยูเคแยกตัวจากอียู (เบร็กซิต) ทว่ากลับสวนทางกับค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษที่สูงค่าขึ้นทันทีที่รับข่าวนี้ เนื่องจากนักลงทุนจำนวนมากมองว่าคำตัดสินของศาลสูงจะเป็นตัวชะลอนโยบายของรัฐบาลนายกฯ เมย์ในกระบวนการเบร็กซิต และความยุ่งเหยิงทางเศรษฐกิจดูเหมือนจะน้อยลง จากกระบวนการเบร็กซิตที่เป็นไปอย่างยากลำบาก

ข่าวแจ้งว่า คณะผู้พิพากษา ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาอาวุโสสูงสุด 3 คนในประเทศอังกฤษ ตัดสินว่า รัฐบาลอังกฤษไม่สามารถเริ่มต้นกระบวนการตามมาตรา 50 แห่งสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งเป็นขั้นตอนอย่างเป็นทางการในการเริ่มต้นกระบวนการเจรจาเบร็กซิต หากไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน ‘ศาลสูงไม่ยอมรับข้อโต้แย้งของรัฐบาล’ หัวหน้าคณะผู้พิพากษา จอห์น โธมัส อ่านคำตัดสินของคณะผู้พิพากษา ‘ด้วยเหตุผลหลายประการ ทางคณะผู้พิพากษาตัดสินว่ารัฐบาลอังกฤษไม่มีอำนาจที่จะแจ้งกระบวนการที่จะเกิดขึ้นตามมา ตามมาตรา 50 ที่ยูเคจะถอนตัวจากการเป็นสมาชิกของอียู’

ด้านนายเลียม ฟ็อกซ์ รมว.การค้าระหว่างประเทศของอังกฤษกล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษรู้สึกผิดหวังต่อคำตัดสินของศาลสูง และจะพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินกระบวนการอย่างใดต่อไป


นางกินา มิลเลอร์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลงทุน SCM Private และเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาล อ่านแถลงผลคำตัดสินของศาลสูง ที่หน้าศาลสูงทางตอนกลางของลอนดอน

ขณะที่ บีบีซี รายงาน นางกินา มิลเลอร์ วัย 51 ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทลงทุน SCM Private และเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อสู้ทางการกฎหมายในเรื่องนี้ ได้กล่าวที่บริเวณด้านนอกศาลสูง ในกรุงลอนดอนว่า รัฐบาลควรตัดสินใจด้วยความฉลาดว่าจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลสูงหรือไม่ ขณะที่โฆษกรัฐบาลอังกฤษประกาศว่ารัฐบาลจะขอต่อสู้คำตัดสิน เพราะการลงประชามติว่ายูเคจะแยกตัวจากอียู (เบร็กซิต) หรือไม่ เป็นไปตามกฎหมายของรัฐสภา และรัฐบาลตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเคารพผลประชามติที่ออกมา ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจะยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลสูงต่อไป ส่วนทีมทนายความของรัฐบาลยังโต้แย้งด้วยว่าอำนาจสิทธิพิเศษเป็นไปตามวิถีทางกฎหมาย ที่จะให้มีผลต่อความปรารถนาของประชาชน.

 

โอบามาเตือนชะตากรรมสหรัฐฯ-โลกเสี่ยง! ‘อนาคตประเทศอยู่บนบ่าชาวอเมริกัน’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 พ.ย. 2559 16:21

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/772847

 

บารัค โอบามา หาเสียงช่วยฮิลลารี คลินตันเต็มที่ เรียกร้องให้ชาวอเมริกันออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งกันให้มากๆ เตือนชะตากรรมของสหรัฐฯและโลกกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ขณะที่ ทรัมป์ สวนกลับโอบามาควรเลิกช่วยหาเสียงให้กับนางฮิลลารีได้แล้ว และกลับไปตั้งใจทำงานดีกว่า พร้อมเหน็บฮิลลารี คู่แข่ง ‘เสียสติ’ ไปแล้วตั้งแต่ไม่กี่วันที่ผ่านมา

เมื่อ 3 พ.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน การหาเสียงโค้งสุดท้ายของศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีไปอย่างดุเดือด ก่อนถึงวันเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.ว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้เดินทางไปหาเสียง ช่วยนางฮิลลารี คลินตัน ที่รัฐนอร์ท แคโรไลนา เมื่อ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจากนอร์ท แคโรไลนา เป็นหนึ่งในรัฐ ‘สวิง สเตท’ ที่สำคัญ เพราะยังไม่แน่ชัดว่าประชาชนจะเลือกผู้สมัครคนใด โดยประธานาธิบดีโอบามาได้เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตออกมาเลือกตั้งกันให้มากๆ และเลือกนางฮิลลารีให้ได้เป็นประธานาธิบดี พร้อมกับเตือนชะตากรรมของประเทศอเมริกาและโลกกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโอบามา ยังชี้ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน เป็นภัยที่ทำให้สิทธิมนุษยชนได้มาด้วยความเหนื่อยยาก โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า อนาคตของประเทศชาติอยู่บนบ่าของชาวอเมริกัน อนาคตของโลกกำลังอยู่ในความไม่แน่นอน และชาวนอร์ท แคโรไลนา จะต้องช่วยผลักดันให้โลกนี้เดินไปในทางที่ถูกต้อง ตัวเขาเองไม่ได้เป็นผู้สมัครเลือกตั้ง แต่ความเป็นธรรม ความดีงาม ความยุติธรรม ความก้าวหน้าของประชาธิปไตยอยู่การออกเสียงลงคะแนนครั้งนี้ ระบอบประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง


นอกจากนี้ ในการให้สัมภาษณ์ของประธานานาธิบดีโอบามา กับเว็บไซต์ นาวดิสนิวส์ (NowThisNews) ถึงกรณีสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) ได้เข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติมกรณีอีเมลส่วนตัวของนางฮิลลารี เป็นครั้งแรกหลังจากนายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการเอฟบีไอแถลงข่าวนี้เพียง 11 วันจะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯว่า เอฟบีไอ ไม่ควรทำงานบนพื้นฐานการเหน็บแนม เสียดสี และการมีข้อมูลไม่ครบถ้วน

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ ที่หาเสียงอยู่ที่เมืองเพนซาโคลา รัฐฟลอริดา ได้กล่าวฝากไปถึงประธานาธิบดีโอบามาว่า ควรหยุดหาเสียงช่วยนางคลินตันและไปมุ่งโฟกัสกับการบริหารประเทศดีกว่า พร้อมทั้งพูดว่า ‘ขีดเส้นใต้ไว้เลยว่าไม่มีใครต้องการให้โอบามาบริหารประเทศต่อไปอีก 4 ปี’ โดยทรัมป์ยังพูดถึงนางฮิลลารี ได้เสียสติไปแล้วตั้งแต่เมื่อไม่กี่วันมานี้


ส่วนผลโพลล่าสุดคะแนนนิยมของนางฮิลลารี คลินตัน และทรัมป์ ยังคงสูสีกันมาก โดยทั้งคู่ยังคงหาเสียงกันอย่างดุเดือดในรัฐสวิง สเตท เช่น รัฐฟลอลิดา โอไฮโอ และนอร์ทแคโรไลนา เนื่องจากเป็นรัฐใหญ่ที่มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งสูง

 

สุดหวาดเสียว! นักเล่นเซิร์ฟในออสเตรเลีย ไม่รู้ มีฉลามว่ายอยู่ใกล้ๆ (ชมคลิป)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 พ.ย. 2559 14:42

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/772666

 

(ภาพจากยูทูบ Broshar’s Adventures)

ใจหายวาบ..นักเล่นเซิร์ฟหลายคน เล่นกระดานโต้คลื่นอย่างเบิกบานสำราญใจ อยู่ที่ชายหาดในออสเตรเลีย ไม่รู้แม้แต่น้อย มีฉลามตัวหนึ่งว่ายนิ่งๆ อยู่ใต้ทะเล ขณะที่หนุ่มอเมริกันและนักท่องเที่ยวบนหาด พยายามตะโกนบอก แต่ก็ไม่ได้ยิน เพราะลมแรงจัด

3 พ.ย. 59 เว็บไซต์ เดอะ มิร์เรอร์ รายงานเรื่องราวสุดหวาดเสียวของนักเล่นเซิร์ฟหลายคน ซึ่งได้เล่นกระดานโต้คลื่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่ชายหาดอ่าวบีรอน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย โดยหารู้ไม่ว่า มีฉลามตัวหนึ่งว่ายนิ่งๆ อยู่ในระยะใกล้มาก ใต้ท้องทะเลที่พวกเขากำลังเล่นเซิร์ฟโต้คลื่นกันอยู่นั่นเอง เดชะบุญ ฉลามตัวนี้อารมณ์ดี ไม่ได้ทำร้ายนักเล่นเซิร์ฟเหล่านี้แต่อย่างใด

นายดีเร็ก โบรชาร์ นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันได้เห็นเหตุการณ์ชอตนี้พอดี เพราะน้ำทะเลใส โดยได้เปิดเผยกับนักข่าว นสพ. นอร์ธเธิร์น สตาร์ ว่า เขาและนักท่องเที่ยวบริเวณชายหาดได้พยายามตะโกนบอกนักเล่นเซิร์ฟเหล่านั้นว่า มีฉลาม แต่พวกเขาไม่ได้ยิน เพราะลมแรงมาก โดยฉลามตัวนี้ได้ว่ายป้วนเปี้ยนอยู่ใต้คลื่นใกล้ๆ นักเล่นเซิร์ฟประมาณ 90 วินาที ก่อนจะว่ายผละไป หลังจากมีนักเล่นเซิร์ฟคนหนึ่งเล่นกระดานโต้คลื่นผ่านเหนือหัวมันไปพอดี


นายโบรชาร์ ยังบอกว่า เขาและคนเห็นเหตุการณ์คนอื่นๆ ไม่สามารถจะระบุได้ว่าฉลามตัวนี้เป็นฉลามพันธ์ุอะไร และต่อมาก็ได้ยินเสียงนักเล่นเซิร์ฟเหล่านั้นพากันตื่นเต้นตกใจหลังจากเห็นฉลามว่ายอยู่ใกล้ๆ ขณะเดียวกัน นายโบรชาร์ ยังได้ได้ถ่ายวีดิโอเหตุการณ์ระทึกนี้ไว้ และนำไปอัพโหลดลงในยูทูบ Broshar’s Adventures เมื่อวันที่ 1 พ.ย. และปรากฏว่ามีชาวเน็ตเข้ามาดูในยูทูบแล้วกว่า 1.34 แสนวิว เมื่อถึงช่วงบ่ายของวันที่ 3 พ.ย.

ชมคลิป ที่นี่

 

ผู้นำไอซิสโผล่ปลุกระดมนักรบอย่าทิ้งโมซูล โดนทหารอิรักถล่มหนักตีเมืองคืน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 พ.ย. 2559 12:10

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/772486

 

อาบู บาการ์ อัลบักห์ดาดี หัวหน้ากลุ่มติดอาวุธไอซิส โผล่แล้ว พูดปลุกระดมผ่านเทปบันทึกเสียงไปถึงเหล่านักรบไอซิส อย่าทิ้งเมืองโมซูล เพราะจะเป็นความน่าอัปยศอดสู ขณะกำลังโดนกองกำลังทหารอิรัก และนักรบเปชเมอร์กาบุกโจมตีอย่างหนักเพื่อพยายามยึดเมืองคืน หลังยึดครองมานานกว่า 2 ปี

เมื่อ 3 พ.ย. 59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน อาบู บาการ์ อัล บักห์ดาดี หัวหน้ากลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงติดอาวุธ ‘รัฐอิสลาม’ หรือ ไอซิส โผล่แล้ว หลังเก็บเนื้อเก็บตัวมานานร่วมปี มอบหมายให้ฝ่ายสื่อของกลุ่มเผยแพร่เทปบันทึกเสียง พูดปลุกระดมให้บรรดานักรบไอซิส อย่าถอนกำลังออกจากเมืองโมซูล ทางตอนเหนือของประเทศอิรัก ขณะที่กำลังโดนกองกำลังอิรัก รวมถึงกำลังนักรบชาวเคิร์ด เปชเมอร์กา ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางอากาศจากกองกำลังพันธมิตร นำโดยสหรัฐฯ บุกโจมตีตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมที่ผานมา เพื่อพยายามยึดเมืองโมซูลคืนจากกลุ่มไอซิส หลังจากได้ยึดครองเมืองแห่งนี้ ซึ่งถือเป็นเมืองที่ใหญ่สุดเป็นอันดับ 2 ในอิรักมาได้นานกว่า 2 ปีแล้ว

อัลบักห์ดาดี ผู้นำไอซิส กล่าวเรียกร้องให้บรรดานักรบไอซิสในเมืองโมซูล จงรักษาแผ่นดินในเมืองนั้นเอาไว้ ด้วยเกียรติยศที่มีหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าการถอนกำลังออกจากเมืองอย่างน่าอัปยศ ‘ศัตรูของพระผู้เป็นเจ้า มาจากพวกยิว คริสเตียน พวกอเทวนิยม ชีอะห์ ผู้คนที่เลิกศรัทธา และพวกนอกรีต นอกศาสนา ที่โดนกำกับบงการโดยสื่อ เงิน กองทัพ และกระสุนของพวกเขาเหล่านั้น เพื่อนำมาต่อสู้กับมุสลิมและนักรบญีฮัดบนดินแดนของเมืองนีนะเวห์ (เมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยอัสซีเรียโบราณ และปัจจุบัน เรียกว่าเมืองโมซูล) คำพูดของ อัลบักห์ดาดี ที่ได้ปลุกระดมให้นักรบไอซิสอย่าทิ้งเมืองโมซูล ซึ่งถูกนำมาเผยแพร่โดย ‘อัล ฟูร์คาน’ ฝ่ายสื่อของไอซิส หลังจากผู้นำไอซิสได้เงียบหายไปตั้งแต่ปลายปี 2558 ตั้งแต่กลุ่มไอซิสในอิรักและซีเรีย ถูกกองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ โจมตีทางอากาศอย่างหนัก


ซีเอ็นเอ็น ระบุ เบื้องต้น ยังไม่อาจพิสูจน์ยืนยันได้ว่า เสียงในเทปดังกล่าว ซึ่งมีความยาว 32 นาที เป็นเสียงจริงของอัลบักห์ดาดีหรือไม่ ขณะที่ สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานด้วยว่า เนื้อหาในเทป นายอัลบักห์ดาดี ยังเรียกร้องให้นักรบระเบิดพลีชีพของไอซิส เปลี่ยนค่ำคืนของคนที่ไม่ศรัทธาเหล่านี้ เป็นวันแห่งความการทำลายล้างบนแผ่นดิน และให้เลือดของพวกเขาเหล่านี้ไหลนองราวกับแม่น้ำ พร้อมกันนั้น อัลบักห์ดาดียังเรียกร้องให้นักรบไอซิสบุกเข้าไปในประเทศตุรกีด้วย

 

เฟดคงอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิม เชื่อปรับขึ้นเดือน ธ.ค.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 3 พ.ย. 2559 03:50

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/772256

 

เจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ

คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ตัดสินใจยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน โดยจะรอไปอีกระยะหนึ่ง ท่ามกลางการคาดการณ์อย่างกว้างขวางว่า จะมีการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เผยผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) เมื่อวันอังคารและพุธที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายก่อนจะมีการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในวันที่ 8 พ.ย.นี้ โดยคณะกรรมตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไว้ที่ 0.25-0.5% ตามเดิม แต่ส่งสัญญาณว่าพวกเขาจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยฯ ในเดือน ธ.ค.

เอฟโอเอ็มซี ระบุในแถลงการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และการเติบโตของตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง พวกเขายังแสดงความรู้สึกในด้านบวกเกี่ยวกับระดับเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังขยับสู่จุดหมาย 2% และระบุว่า โอกาสที่พวกเขาจะปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เฟดตัดสินใจที่จะรออีกระยะหนึ่งก่อน เพื่อดูหลักฐานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องไปสู่จุดหมายของพวกเขา

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเฟด ยิ่งเพิ่มน้ำหนักในการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์หลายคนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เชื่อว่า เฟดจะตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานในการประชุมช่วงกลางเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายในปี 2016