อินเดีย-ปากีฯ ปิด ร.ร.แคว้นแคชเมียร์ หลังปะทะหลายวัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 3 พ.ย. 2559 01:55

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/772077

 

เมื่อ 2 พ.ย. โรงเรียนในแคว้นแคชเมียร์หลายร้อยแห่งถูกสั่งปิดอย่างไม่มีกำหนด หลังเกิดการสู้รบปะทะกันระหว่างกองกำลังฝ่ายอินเดียและฝ่ายปากีสถานในช่วง 2 วันที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้พลเมืองเสียชีวิต 14 คน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่อินเดียในเขตพื้นที่ควบคุมที่แคว้นแคชเมียร์เผยว่า มีคำสั่งให้โรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชนเกือบ 300 แห่งปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่น

ส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปากีสถานเผยว่า มีโรงเรียนที่ต้องปิด 25 แห่ง ส่งผลถึงระบบการศึกษา ซึ่งกระทบเป็นวงกว้างไปแล้วที่เมืองเอกศรีนคร เขตปกครองของฝั่งอินเดีย

ทั้งนี้ แคว้นแคชเมียร์ถูกแบ่งแยกการปกครองระหว่างอินเดียกับปากีสถานนับแต่สิ้นสุดการปกครองของอังกฤษเมื่อปีพ.ศ. 2490 โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างความชอบธรรมในการครอบครองโดยสมบูรณ์.

 

มะกันรวบผู้ต้องสงสัย ก่อเหตุซุ่มโจมตีตร.รัฐไอโอวา ดับ 2 นาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 พ.ย. 2559 23:30

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/772071

 

ตำรวจสหรัฐฯ สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อเหตุซุ่มยิงตำรวจในรัฐไอโอวา จนเสียชีวิตคารถสายตรวจ 2 นายเมื่อเช้ามืดวันพุธได้แล้ว แต่ยังไม่ทราบมูลเหตุจูงในของคนร้าย…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของสหรัฐอเมริกาสามารถจับกุมตัวนาย สกอตต์ ไมเคิล กรีน อายุ 46 ปี ผู้ต้องสงสัยก่อเหตุลอบยิงตำรวจรัฐไอโอวาในลักษณะของการซุ่มโจมตี จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นายเมื่อช่วงเช้ามืดวันพุธ (2 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น ได้แล้ว ที่เมืองดิมอยส์ เมืองเอกของรัฐไอโอวา


สกอตต์ ไมเคิล กรีน ผู้ต้องสงสัยซุ่มยิงตำรวจเสียชีวิต 2 นาย

เมื่อช่วงเช้าวันพุธ สำนักงานตำรวจหลายแห่งในรัฐไอโอวาได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุยิงกันบริเวณแยกถนนหมายเลข 70 กับถนน ออโรรา อเวนิว ในเขตเออร์บันเดล ในเวลาประมาณ 1:06น. ตามเวลาท้องถิ่น และเมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงที่เกิดเหตุเขาก็พบตำรวจนายหนึ่งถูกยิงได้รับบาดเจ็บในรถสายตรวจ ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากนั้นในเวลา 1:26น. ตำรวจอีกนายหนึ่งที่ออกลาดตระเวนตามหาเบาะแสเหตุยิงเจ้าหน้าที่ก่อนหน้านี้ ก็ถูกยิงเสียชีวิตในรถสายตรวจใกล้แยกถนนเมอร์เล เฮย์ กับถนน เชอริแดน อเวนิว

สิบเอก พอล พาริเซค เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองดิมอยส์ บอกกบับผู้สื่อข่าวว่า “จากสภาพการณ์ตอนนี้ ดูไม่เหมือนว่าเกิดการปฏิสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 นาย กับเจ้าขี้ขลาดคนนี้ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ที่ยิงพวกเขาขณะที่กำลังนั่งอยู่บนรถ” สิบเอกพาริเซคเสริมด้วยว่า “ดูเหมือนว่า ตำรวจทั้ง 2 นายจะถูกซุ่มโจมตี”


สิบเอก พอล พาริเซค เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองดิมอยส์

หลายชั่วโมงหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จับกุมตัวนายกรีน ในฐานะผู้ต้องสงสัยก่อเหตุสังหารตำรวจทั้ง 2 นาย โดยสิบเอก แชด อันเดอร์วูด โฆษกตำรวจเขตเออร์บันเดล ของเมืองดิมอยส์ แถลงว่า นายกรีนซึ่งเป็นชายผิวขาว ถูกจับไม่กี่ชั่วโมงหลังจากก่อเหตุฆาตกรรมต่อเนื่อง โดยเขายอมจำนนอย่างไม่ขัดขีน ส่วนสิบเอกพาริเซค ระบุว่า นายกรีนถูกจับขณะเดินอยู่บนถนน

อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่เปิดเผยรายละเอียดว่าเจ้าหน้าที่สืบสวนสามารถระบุตัวนายกรีนในฐานะผู้ต้องสงสัยได้อย่างไร โดยบอกเพียงว่า คนร้ายถูกระบุตัวจากข้อบ่งชี้กับการสืบเบาะแสหลายอย่าง และพวกเขามีข้อมูลสำคัญสำหรับใช้ไขคดีนี้

 

วัล คิลเมอร์ โต้ ไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็งลำคอ ตามที่ไมเคิล ดักลาสบอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 พ.ย. 2559 19:50

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/772016

 

วัล คิลเมอร์ ดาราชายชื่อดังแห่งฮอลลีวูด ออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ยืนยัน ไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็งที่คอ ตามที่ไมเคิล ดักลาส เพื่อนดารารุ่นเก๋าเผยผ่านสื่อ

เมื่อ 2 พ.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน วัล คิลเมอร์ ดาราชายชื่อดัง ชาวอเมริกัน วัย 56 ปี ออกโรงปฏิเสธผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เขาไม่ได้เป็นมะเร็ง ตามที่ไมเคิล ดักลาส บอกกับสื่อ โดยได้กล่าวว่า “ฉันรักไมเคิล ดักลาส แต่เขาแจ้งข้อมูลผิด” วัล คิลเมอร์ เขียนข้อความบนเฟซบุ๊ก พร้อมระบุว่า เขาอยู่ระหว่างการทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง จากอาการลิ้นบวม แต่ไม่ได้เป็นมะเร็ง

‘ผมได้พบ ไมเคิล ดักลาส ครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อเกือบสองปีที่แล้ว เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัย ก้อนเนื้อที่พบก้อนหนึ่งในลำคอ’ วัล คิลเมอร์ ชี้แจง พร้อมกับบอกว่า เขาไม่ได้ใช้ทีมแพทย์ที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, ลอสแอนเจลิส (UCLA) แล้ว และไม่พบมะเร็งแต่อย่างใด


ไมเคิล ดักลาส

ทั้งนี้ ไมเคิล ดักลาส ได้สร้างความวิตกให้แก่บรรดาแฟนๆ ภาพยนตร์ของวัล คิลเมอร์ ซึ่งหายหน้าหายตาไปนาน หลังจากออกมาเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาขณะร่วมงานกรุงลอนดอนว่า สาเหตุที่วัล คิลเมอร์ หายหน้าหายตาไป เพราะต้องรักษาโรคมะเร็งที่คอ ซึ่งเป็นโรคเดียวกับที่ไมเคิล ดักลาส ดารารุ่นเก๋าเคยเป็นเมื่อปี 2553.

 

เกิดอะไรขึ้นบนMH370! ช็อก รายงานใหม่ ชี้ ดิ่งสู่ม.อินเดีย ไร้นักบินขับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 พ.ย. 2559 17:41

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/771911

 

ออสซี่เผยรายงานใหม่โศกนาฏกรรม MH370 จากผลวิเคราะห์ดาวเทียม และซากเครื่องบินที่พบ ชี้เครื่องบินโดยสารมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ดิ่งลงสู่มหาสมุทรอินเดีย ด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีนักบินควบคุม อีกทั้งปีกของซากเครื่องบินที่พบ ยังไม่อยู่ในตำแหน่งสำหรับลงจอด

เมื่อ 2 พ.ย.59 สื่อต่างประเทศรายงาน สำนักงานความปลอดภัยขนส่งของออสเตรเลีย (ATBS) ซึ่งเป็นแกนนำในการไขปริศนาโศกนาฏกรรมเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 (เอ็มเอช 370) กัวลาลัมเปอร์-ปักกิ่ง หายไปอย่างลึกลับตั้งแต่ มี.ค.57 พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 ชีวิต ได้เสนอรายงานใหม่จำนวน 28 หน้า เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ระบุจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียม บ่งชี้เพิ่มเติมว่า เครื่องบินโดยสารมาเลเซีย แอร์ไลน์สลำนี้ บินในระดับสูงและดิ่งลงด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบไร้การควบคุม สู่มหาสมุทรอินเดีย

สำนักงานความปลอดภัยขนส่งของออสเตรเลีย ระบุด้วยว่า ซากชิ้นส่วนปีกเครื่องบินของเที่ยวบิน MH370 ส่วนที่เรียกว่า ‘wing flap’ สำหรับช่วยเพิ่มแรงยก ซึ่งติดตั้งตั้งอยู่ที่ชายปีกหลังด้านใน ติดกับลำตัวเครื่องบิน คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่สืบสวนให้ความสนใจ เพราะซากปีกส่วนนี้ที่พบไม่อยู่ในตำแหน่งสำหรับการลงจอดของเครื่องบิน


ทั้งนี้ รายงานใหม่ของ ATBS ในครั้งนี้ ถือเป็นการสนับสนุนการตั้งข้อสันนิษฐานของสำนักงานแห่งนี้ที่มีมานานแล้วว่า เครื่องบินโดยสารมาเลเซีย แอร์ไลน์สดิ่งลงสู่มหาสมุทรอินเดียด้วยความเร็วสูง โดยไม่มีนักบินควบคุม หลังจากน้ำมันหมด

ขณะที่ บีบีซีระบุว่า รายงานดังกล่าวของ ATBS ได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียม, การจำลองเส้นทางบิน และการวิเคราะห์ซากชิ้นส่วนที่คาดว่าเป็นของ MH370 โดยรายงานนี้ได้ถูกนำเสนอต่อสาธารณชนระหว่างที่ทีมเจ้าหน้าที่การบินนานาชาติและผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารมาประชุมกันที่กรุงแคนเบอร์รา เพื่อหารือถึงขั้นตอนต่อไปในการค้นหาเที่ยวบิน MH370.

 

พี่สาว มีแกน มาร์เคิล จัดหนัก! จวกน้องยับ นิสัยแย่ อยากจะเป็นเจ้าหญิง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 พ.ย. 2559 16:42

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/771847

 

(เจ้าชายแฮร์รี่ทรงตกเป็นข่าวมีความรักครั้งใหม่กับมีแกน มาร์เคิล)

ราชวงศ์อังกฤษคงตกใจ..พี่สาวแท้ๆ ของมีแกน มาร์เคิล ดาราหญิงมะกันที่กำลังมีความรักหวานชื่นกับเจ้าชายแฮร์รี่ พูดจวกน้องสาวแบบไม่มียั้ง เผย มีแกน อยากเป็นเจ้าหญิงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชี้ความประพฤติ-นิสัยใจคอแย่ ไม่เหมาะเป็นสมาชิกราชวงศ์ เพราะเป็นคนหลงตัวเองและเห็นแก่ตัว

เมื่อ 2 พ.ย. เว็บไซต์ เดอะ มิร์เรอร์ รายงานความคืบหน้าความรักครั้งใหม่ของเจ้าชายแฮร์รี่แห่งอังกฤษ กับ มีแกน มาร์เคิล ดาราหญิงชาวอเมริกันวัย 35 ปี ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากผู้คนที่ชื่นชมเจ้าชายแฮร์รี่อยู่ในขณะนี้ว่า ดูเหมือน มีแกน มาร์เคิล คงต้องรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเส้นทางรักของเธอกับเจ้าชายแฮร์รี่ ต้องมาโดนขัดขวางเสียแล้ว และคนที่มาเป็น ‘ขวากหนาม’ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นนางซาแมนธา มาร์เคิล พี่สาวแท้ๆ ของเธอเอง

นางซาแมนธา มาร์เคิล หญิงอเมริกันวัย 51 ซึ่งพำนักอยู่ที่รัฐฟลอริดา ได้กล่าวกับนักข่าวของเดอะ ซัน สื่อในอังกฤษ เมื่อคืนวันที่ 1 พ.ย. ที่ฟังแล้วคงต้องอึ้งว่า มีแกน มาร์เคิล ใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าหญิงมาตลอด พร้อมยังบอกว่า ความประพฤติของมีแกนไม่เหมาะสมที่จะได้เป็นสมาชิกราชวงศ์อังกฤษ เนื่องจากมีแกน น้องสาวของเธอเป็นคนหลงตัวเอง และเป็นคนเห็นแก่ตัว ซึ่งเธอคิดว่าราชวงศ์อังกฤษคงรู้สึกตกใจที่ได้ยินเช่นนี้


เจ้าชายวิลเลียม เจ้าหญิงแคเธอรีน และเจ้าชายแฮร์รี่ แห่งราชวงศ์อังกฤษ

ขณะที่ นางซาแมนธา คุณแม่ลูก 3 ยังเผยกับเดอะ ซันว่า ทอม มาร์เคิล ผู้เป็นพ่อรู้เรื่องราวของ มีแกน กำลังออกเดตกับเจ้าชายแฮร์รี่มาตั้งแต่ 5 เดือนก่อนแล้ว แต่เก็บไว้เป็นความลับ ทั้งนี้ เรื่องราวความรักครั้งใหม่ของเจ้าชายแฮร์รี่ตกเป็นที่สนใจของสื่อในอังกฤษ หลังจากแหล่งข่าวใกล้ชิดออกมาเปิดเผยว่า ทรงออกเดตแบบลับๆ กับมีแกน มาร์เคิล อีกทั้งยังทรงหลงรักดาราหญิงคนนี้เข้าแล้ว.

ที่มา : mirror

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

หวานมาก! เจ้าชายแฮร์รี่ ใช้พระนามแฝง กดติดตามอินสตาแกรม ‘มาร์เคิล’

สาวๆใจสลาย! สื่อเผย เจ้าชายแฮร์รี่ ทรงออกเดทลับๆกับ‘มาร์เคิล’ดารามะกัน

 

สุดอึ้ง! หญิงญี่ปุ่น ไฟไหม้ท่วมตัว ระหว่างผ่าตัดด้วยเลเซอร์ เพราะ ‘ตด’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 พ.ย. 2559 13:50

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/771597

 

โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยการแพทย์โตเกียว รายงานสรุปสาเหตุ คนไข้หญิงโดนไฟไหม้ท่วมร่าง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างเข้ารับการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ หลายเดือนก่อน เป็นเพราะผายลมออกมา และไปทำปฏิกิริยากับแสงเลเซอร์ จนเกิดประกายไฟลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อ 2 พ.ย.59 สื่อต่างประเทศรายงานเหตุร้ายแรงที่เกิดกับหญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง (ไม่ขอเปิดเผยชื่อ) อายุประมาณ 30 กว่าปี ต้องโดนไฟไหม้ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส มาจากสาเหตุคาดไม่ถึง เพราะระหว่างที่เธอเข้ารับการผ่าตัดบริเวณปากมดลูก ด้วยการใช้เลเซอร์ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยการแพทย์โตเกียว ในกรุงโตเกียวอยู่นั้น พอดี หญิงผู้นี้เกิดผายลมออกมา จนทำให้ลมเกิดทำปฏิกิริยากับแสงเลเซอร์ และเกิดประกายไฟลุกพึ่บ จนไฟได้ไหม้ร่างของคนไข้หญิงรายนี้เกือบทั้งหมดในเวลารวดเร็ว

ตามรายงานของเว็บไซต์ นสพ.อาซาฮี ในญี่ปุ่นเมื่อ 30 ตุลาคม ระบุว่า การผ่าตัดด้วยเลเซอร์ให้แก่หญิงคนดังกล่าว เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 เมษายน ที่ผ่านมา โดยระหว่างนั้น เธอได้ผายลมออกมา และลมได้ไปทำให้แสงเลเซอร์เกิดประกายไฟ จนเผาไหม้ร่างกายของเธอเกือบทั้งตัว รวมทั้งเอว และขา จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากทางโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยการแพทย์โตเกียว ได้เผยแพร่รายงานเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม สรุปสาเหตุของเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้ จากคณะผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกที่เข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นในห้องผ่าตัด พบว่า ไม่มีวัตถุอื่นๆที่สามารถติดไฟภายในห้องผ่าตัดในช่วงนั้น และอุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่าตัดก็ยังปกติดี

“เมื่อแก๊สที่อยู่ในลำไส้ของคนไข้หญิงถูกผายลมออกมาในห้องผ่าตัด ได้ไปทำปฏิกิริยากับแสงเลเซอร์ และเกิดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จนทำให้คนไข้รายนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากไฟไหม้เกือบทั้งตัว” นี่คือรายงานการตรวจสอบของคณะผู้เชี่ยวชาญในเหตุการณ์ครั้งนี้.

 

ทหารปฏิบัติการพิเศษอิรักใจเด็ด ตะลุยบุกเข้าเมืองโมซูล เจอไอซิสโต้หนัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 พ.ย. 2559 11:54

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/771472

 

สวมหัวใจสิงห์..กำลังทหารชุดปฏิบัติการพิเศษอิรัก พยายามขยับรุกคืบเข้าสู่ใจกลางเมืองโมซูล แม้จะโดนตอบโต้หนักจากไอซิส ที่ขนอาวุธสารพัดแบบระดมยิงใส่จากหลายทิศทาง พร้อมทั้งยังฝังกับระเบิดในอุโมงค์ลับใต้ดิน เข้าสู่ใจกลางเมืองที่ไอซิสขุดไว้หลบระเบิด โดนเครื่องบินรบสหรัฐฯ โจมตีทางอากาศ หลังจากยึดเมืองโมซูลได้ 2 ปีก่อน

เมื่อ 2 พ.ย.59 สำนักข่าวบีบีซี รายงานสถานการณ์คืบหน้ากองกำลังอิรักบุกตียึดเมืองโมซูล ทางภาคเหนือ คืนจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือไอซิส และสามารถบุกเข้าไปยังบริเวณชานเมืองโมซูลเป็นครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ที่ 30 ตุลาคมว่า กำลังทหารชุดปฏิบัติการพิเศษต่อต้านการก่อการร้ายชั้นหัวกะทิของกองทัพอิรัก (Counter-Terrorism Service) หรือ CTS  สามารถยึดสถานีโทรทัศน์ของทางการได้แล้วในเขตอุตสาหกรรม คุกจาลี เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกองกำลังทหารอิรักพร้อมรถถังได้บุกเข้าไปยังชานเมืองโมซูล ด้านตะวันออก แม้จะต้องเผชิญกับการถูกตอบโต้จากนักรบไอซิสอย่างดุเดือด

นักข่าวบีบีซีซึ่งฝังตัวไปกับกองกำลังอิรัก รายงานว่า กองกำลังทหารชุดปฏิบัติการพิเศษได้บุกเข้าไปยังชานเมืองโมซูลอีกครั้งเมื่อวันอังคารที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเข้าไปให้ถึงเขตคุกจาลีให้ได้ โดยนักข่าวบีบีซี ระบุว่า กองกำลังทหารอิรักเหล่านี้มีความพยายามที่จะเคลื่อนเข้าไปยังพื้นที่ข้างหน้ามากเกินกว่าที่ทุกคนคาดคิด กว่าจะมาถึงจุดนี้ ที่สามารถยึดเขตคุกจาลี คืนจากไอซิสได้ และมีชาวอิรักในพื้นที่กรูเข้ามาหาทหารอิรักด้วยความดีใจ ขณะที่บางคนก็โบกธงสีขาว กระทั่งล่วงเข้าถึงตอนเที่ยง กำลังทหารอิรักได้เข้าไปถึงเขตคารามา แต่การรุกคืบก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะนักรบไอซิสได้ตั้งแท่งปูนคอนกรีตขวางถนนที่จะเข้าไปยังเขตคารามา พร้อมทั้งยังฝังกับระเบิดไว้ด้วย


ชาวอิรักยืนอยู่บนด้านหลังรถบรรทุกที่หยุดจอดบริเวณด่านตรวจ ใกล้เมืองคายารา ขณะที่บ่อน้ำมันในเมืองได้ถูกจุดไฟเผาจนเกิดควันดำทะมึน

บีบีซีรายงานว่า ปฏิบัติการของกองกำลังทหารอิรักชุดปฏิบัติการพิเศษ นำโดยผู้บังคับบัญชาชื่อดัง พลตรีซามิ อัล-เออร์ดี โดนตอบโต้จากนักรบไอซิสอย่างหนัก โดยได้ใช้อาวุธหลากหลายชนิดโจมตีจากหลายทิศทาง ขณะที่กองกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษไ้ด้ตอบโต้ด้วยจรวด RPG, ปืนกล และพลแม่นปืนหรือสไนเปอร์ ที่ใช้อาวุธหนัก พร้อมทั้งยังขอให้เครื่องบินรบพันธมิตรช่วยปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มไอซิสด้วย

ทั้งนี้ เมื่อช่วงวันที่ 27 ต.ค. กำลังทหารชุดปฏิบัติการพิเศษของอิรักยังพบอุโมงค์ลับใต้ดินในเมืองโมซูล ที่ถูกสร้างโดยกลุ่มไอซิส เพื่อใช้ในการหลบซ่อนจากการถูกโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินรบของกองกำลังพันธมิตร นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งอุโมงค์ลับเหล่านี้ นักรบไอซิสยังได้ฝังกับระเบิดจำนวนมากเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูของกลุ่มไอซิสสามารถเข้าไปยังใจกลางเมืองโมซูล

นอกจากนั้น เมื่อ 30 ต.ค. ขณะที่กองกำลังอิรักนับ 50,000 นายที่ผนึกกำลังกับกองกำลังนักรบชาวเคิร์ด ‘เปชเมอร์กา’ นักรบนิกายสุหนี่และชีอะห์ ได้บุกโจมตีเพื่อพยายามยึดเมืองโมซูลคืนผ่านมาได้ 2 สัปดาห์ และกำลังเตรียมจะบุกเข้าไปในเมืองนั้น นายกรัฐมนตรีไฮเดอร์ อัล-อาบาดี ของอิรัก ซึ่งคาดว่ามีนักรบไอซิสอยู่ในเมืองโมซูลราว 3,000-5,000 คน หลังจากได้ยึดเมืองโมซูลมาตั้งแต่ มิ.ย.2557 ได้พูดเตือนไปยังนักรบไอซิสเหล่านี้ว่า ไม่มีทางจะหนีออกจากเมืองได้ และต้องเลือกว่าจะยอมจำนน หรือ ความตาย

 

รถโรงเรียนพุ่งชนบัสโดยสารในบัลติมอร์ ดับ 6 เจ็บ 10 คน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 2 พ.ย. 2559 05:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/771211

 

เกิดอุบัติเหตุรถบัสโรงเรียนวิ่งชนรถบัสโดยสารในเมืองบัลติมอร์ ทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันอังคาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และบาดเจ็บอีก 10 คน…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุรถบัสโรงเรียนซึ่งไม่มีนักเรียนอยู่บนรถ พุ่งเข้าชนรถบัสโดยสารที่กำลังวิ่งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ ของสหรัฐฯ ในชั่วโมงเร่งด่วน เมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ 1 พ.ย. เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 10 คน

นายที.เจ. สมิธ โฆษกตำรวจเมืองบัลติมอร์ระบุในงานแถลงข่าวว่า รถบัสโรงเรียนสีเหลืองคันหนึ่งวิ่งไปชนท้ายรถยนต์คันหนึ่ง ระหว่างเดินทางไปรับนักเรียน ก่อนจะเสียหลักไปชนเสาต้นหนึ่ง และพุ่งเข้าชนรถบัสโดยสารของสำนักงานขนส่งแมรีแลนด์ที่วิ่งสวนมาอย่างแรง จนซากรถอยู่ในสภาพเหมือนได้รับความเสียหายจากระเบิด


ภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นสภาพที่เกิดเหตุในมุมสูง

ทั้งนี้ อุบัติเหตุทำให้ผู้โดยสาร 5 จาก 13 คนบนรถบัสโดยสาร และคนขับรถบัสโรงเรียน เสียชีวิต ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 10 คน รวมทั้งคนขับรถยนต์ที่ถูกชนเป็นคันแรก และทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว โดยมีผู้บาดเจ็บอาการสาหัส และอาการวิกฤติอย่างละ 1 คน

คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ (เอ็นทีเอสบี) ของสหรัฐฯ ระบุว่า พวกเขาได้ส่งทีมสืบสวนไปยังเมืองบัลติมอร์แล้ว ขณะที่ ตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการสืบหาสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุสลดครั้งนี้

 

ทรัมป์-คลินตันอัดกันเละหลัง FBI รื้อคดีอีเมล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 2 พ.ย. 2559 04:00

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/771012

 

หลังนายเจมส์ โคเมย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) แจ้งสภาคองเกรสเมื่อ 28 ต.ค. หรือแค่ 11 วัน ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใน 8 พ.ย.ว่า เอฟบีไอจะสอบสวนคดีอีเมลอื้อฉาวของนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครต หลังพบข้อมูลใหม่นั้น เมื่อ 31 ต.ค. นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันชี้ว่า เอฟบีไอพบ “ขุมแร่ใหญ่” ของอีเมลที่หายไปของคลินตัน หวังว่าจะกู้อีเมล 33,000 ฉบับที่ถูกลบทิ้งไปได้ ส่วนคลินตันยืนยันว่าไม่มีอะไรต้องปกปิด ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯแถลงว่าจะไม่แทรกแซงเรื่องนี้

ทรัมป์ยังใช้เรื่องนี้โจมตีคลินตันอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ว่าคลินตันเป็นภัยคุกคามประเทศ ถ้าชนะเลือกตั้งจะก่อให้เกิด “วิกฤติรัฐธรรมนูญ” เพราะการสอบสวนคดีอีเมลซึ่งอาจกินเวลาหลายปีจะบดบังตลอดวาระผู้นำของคลินตัน

ส่วนคลินตันเตือนว่าถ้าทรัมป์ซึ่งมีอารมณ์ฉุนเฉียวแปรปรวนชนะและได้ควบคุมปุ่มกดอาวุธนิวเคลียร์ จะเป็นอันตรายมหันต์ ทีมงานของคลินตันยังโจมตีโคเมย์ว่ามี “สองมาตรฐาน” ชัดแจ้ง ทั้งที่เมื่อ 7 ต.ค. เขาเคยคัดค้านไม่ให้เผยแพร่รายงานของกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิและหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ที่ระบุว่ารัสเซียแฮ็กข้อมูลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เพื่อช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง

ส่วนโพลล่าสุดของรอยเตอร์ส/อิปซอส ระบุคลินตันนำทรัมป์ 5% โพลของเอบีซี นิวส์/เซอร์เวย์ มังคีย์ คลินตันนำ 6%.

 

โพลล่าสุดชี้ ‘ทรัมป์’ พลิกนำ ‘คลินตัน’ หลัง FBI จ่อสอบคดีอีเมลฉาวใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 1 พ.ย. 2559 23:10

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/771002

 

ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ ล่าสุดชี้ โดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนสนับสนุนขึ้นนำนาง ฮิลลารี คลินตัน เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ขณะที่เหลือเพียงสัปดาห์เดียวจะถึงวันเลือกตั้งแล้ว…

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน มีเสียงสนับสนุนแซงหน้านางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครตแล้ว ตามข้อมูลในผลการสำรวจความคิดเห็นล่าสุดที่เปิดเผยในวันอังคารที่ 1 พ.ย. ทั้งที่ราว 2 สัปดาห์ก่อน นางคลินตันยังมีคะแนนนำนายทรัมป์อยู่ถึง 12% ในขณะที่เหลือเวลาอีกเพียง 7 วันก็จะถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้นำคนใหม่ของแดนลุงแซมแล้ว

ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง (Tracking Poll) ล่าสุดของ วอชิงตัน โพสต์-เอบีซี นิวส์ ซึ่งจัดทำโดยสมาคมวิจัยแลงเจอร์ ชี้ว่า ผู้รับการสำรวจ 46% จะลงคะแนนโหวตให้นายทรัมป์ ขณะที่ผู้รับการสำรวจ 45% จะโหวตให้นางคลินตัน นับเป็นการขึ้นนำในการสำรวจความนิยมครั้งแรกของนายทรัมป์ นับตั้งแต่เดือน พ.ค.

เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านี้ นางคลินตันยังมีคะแนนความนิยมนำห่างนายทรัมป์ ซึ่งกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากกรณีถูกเปิดเผยเทปวิดีโอที่เขาพูดจาดูถูกผู้หญิง และถูกผู้หญิงหลายคนออกมากล่าวหาว่าเขาลวนลามพวกเธอ โดยในวันที่ 22 ต.ค. ผลสำรวจความคิดเห็นของ วอชิงตัน โพสต์-เอบีซี นิวส์ เจ้าเก่าชี้ว่า นางคลินตันมีคะแนนความนิยมนำนายทรัมป์ที่ 50% ต่อ 38%

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 28 ต.ค. นายสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางแห่งชาติสหรัฐฯ หรือเอฟบีไอ ส่งจดหมายแจ้งสภาคองเกรสสหรัฐฯ ว่าจะเปิดการสอบสวนรอบใหม่ กรณีการใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (อีเมล) ของนางคลินตัน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องการตรวจสอบเบาะแสเพิ่มเติมในคอมพิวเตอร์ของนายแอนโธนี ไวเนอร์ อดีต ส.ส.นิวยอร์ก สามีของนางฮูมา อาเบดิน ผู้ช่วยระดับสูงของนางฮิลลารีผู้ช่วยระดับสูงนางฮิลลารี ว่ามีอะไรที่เป็นความลับทางราชการหรือไม่ ถือเป็นการเปิดแผลเก่าของนางคลินตันที่น่าจะปิดไปแล้วหลังเอฟบีไอมีข้อสรุปเมื่อเดือนก.ค.

จากนั้นสำนักจัดทำโพลต่างๆ ก็จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นใหม่ และพบว่า คะแนนของผู้สมัครทั้งสองคนขยับเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่นอกจาก วอชิงตัน โพสต์-เอบีซี นิวส์ แล้ว โพลของสำนักอื่นๆ ยังให้นางคลินตันนำนายทรัมป์อยู่เล็กน้อย เช่น เรียลเคลียร์โพลิติกส์ (RealClearPolitics) ให้นางคลินตันที่ 2.5% ส่วนโพลของ ฮัฟฟิงตันโพสต์ ให้อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศผู้นี้นำ 5.6%