กระสุนปริศนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 พ.ย. 2559 06:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/781506

 

ผู้ชุมนุมที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เข้ามาช่วยเหลือผู้ประท้วงรายหนึ่งที่ถูกยิงเข้าที่ขา ระหว่างร่วมชุมนุมต่อต้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ โดยยังไม่รู้ว่ากระสุนมาจากฝ่ายใด.

 

ยิงม็อบเจ็บ1 ล้อมจับนับร้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 พ.ย. 2559 06:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/781536

 

ถล่มใส่ทั้งแก๊สนํ้าตา-พริกไทย ทรัมป์เล็งปรึกษา‘บิล คลินตัน’

ชาวอเมริกันประท้วงชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ติดต่อกันคืนที่ 3 แต่ความรุนแรงเริ่มทุเลา ทีมงานนายทรัมป์เร่งเตรียมกระบวนการถ่ายโอนอำนาจจากรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา ส่วนนายทรัมป์เริ่มเดินสายออกสื่อแสดงทัศนะการทำงาน ประกาศจะยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพของรัฐบาลโอบามา ทั้งเร่งสร้างงาน จัดการปัญหาผู้อพยพ ตามแนวชายแดนและปฏิรูปภาษี

สถานการณ์ในหลายเมืองทั่วสหรัฐอเมริกายังไม่สงบ ภายหลังทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร 8 พ.ย.ตามเวลาสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แทนพรรครีพับลิกัน คว้าชัยชนะเหนือนางฮิลลารี คลินตัน ผู้แทนพรรคเดโมแครต ทำให้นายทรัมป์อยู่ในสถานะ “ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45” โดยคณะผู้เลือกตั้งจะไปทำหน้าที่ลงมติเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่อย่างเป็นทางการวันที่ 19 ธ.ค. และประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า ท่ามกลางการประท้วงต่อต้านชัยชนะของนายทรัมป์อย่างต่อเนื่องในหลายเมือง เป็นคืนที่ 3 เมื่อวันศุกร์ 11 พ.ย.ตามเวลาสหรัฐฯ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ระบุกลุ่มผู้ประท้วงนายทรัมป์หลายพันคนเคลื่อนไหวอยู่ในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ ไล่ตั้งแต่เมืองไมอามี รัฐฟลอริดา เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย มหานครนิวยอร์ก นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ รัฐเทนเนสซีและเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน โดยสถานการณ์ประท้วงรุนแรงที่สุดยังอยู่ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน โดยผู้ประท้วงไม่พอใจนโยบายของนายทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงปัญหาผู้อพยพ ปัญหากีดกันชาวมุสลิมและปัญหาสิทธิสตรี ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประท้วงได้ปิดกั้นถนนสายหลัก ขว้างปาสิ่งของเข้าใส่ตำรวจ ทั้งทุบทำลายกระจกร้านค้าและทำลายข้าวของ ทำให้ตำรวจต้องตอบโต้ด้วยการยิงแก๊สน้ำตาและแก๊สพริกไทยเข้าใส่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ โดยมีรายงานผู้ถูกจับกุมมากกว่า 26 ราย

ส่วนการประท้วงที่นครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้ชุมนุมหลายร้อยคนเดินขบวนปิดกั้นถนน ทั้งตะโกนคำต่อต้านไม่ยอมรับนายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งระบุหากนายทรัมป์ได้ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า พลเมืองชาวอเมริกันจะได้รับผลกระทบ เรื่องสิทธิพลเมืองอย่างแน่นอน โดยผู้ประท้วงบางส่วนระบุจะตามไปประท้วงต่อต้านนายทรัมป์ในวันที่เขาเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่อย่างเป็นทางการด้วย การเคลื่อนไหวประท้วงในเขตนครลอสแอนเจลิส มีรายงานผู้ถูกจับกุมมากกว่า 200 คน

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานระบุกลุ่มคนผิวขาวสายสุดโต่งหลายกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มเคเคเค หรือคู คลักซ์ แคลน ต่างแสดงความยินดีที่นายทรัมป์คว้าชัยชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่วนกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนรายงานระบุนับตั้งแต่นายทรัมป์คว้าชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี สหรัฐฯเมื่อวันอังคาร 8 พ.ย. มีรายงานเหตุรุนแรงเกิดขึ้นแก่ชนกลุ่มน้อยมากขึ้น ขณะที่นายทรัมป์อ้างมาตลอดว่าไม่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเคเคเค

กลุ่มเคลื่อนไหวประท้วงนายทรัมป์ประกาศจะดำเนินการประท้วงนายทรัมป์อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยจะไปชุมนุมกันบริเวณหน้าอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในมหานครนิวยอร์ก สถานที่พำนักของผู้คนตระกูลทรัมป์ และบริเวณทรัมป์ อินเตอร์แนชนัล โฮเทล ธุรกิจโรงแรมแห่งใหม่ของตระกูลทรัมป์ตั้งอยู่ใกล้ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นอกเหนือจากการชุมนุมบริเวณหน้าอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์

ส่วนความเคลื่อนไหวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้าพบหารือกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ทำเนียบขาวแล้ว หลังทราบผลชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯถึงกระบวนการถ่ายโอนอำนาจสู่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ขณะที่ทีมงานเตรียมการถ่ายโอนอำนาจประธานาธิบดีของนายทรัมป์ นำโดยนายไมค์ เพนซ์ ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ และนายคริส คริสตี ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์

ขณะเดียวกัน โทรทัศน์ซีบีเอส เตรียมเผยแพร่การให้สัมภาษณ์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาระหน้าที่ ที่จะเร่งดำเนินการทันทีหลังรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ คือยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงกฎหมายประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” ของรัฐบาลโอบามา โดยอ้างว่าตนจะทำให้ชาวอเมริกันได้รับการดูแลด้านสาธารณสุขดีขึ้นโดยใช้ค่าใช้จ่ายน้อยลง ทั้งระบุถึงแผนประกันสุขภาพของนายโอบามาคือหายนะ แต่ไม่เปิดเผยถึงกระบวนการดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปในทิศทางใด ทั้งนี้ หากกฎหมายโอบามาแคร์ถูกยกเลิกจะส่งผลกระทบถึงชาวอเมริกันมากราว 22 ล้านคน จะไม่มีระบบประกันสุขภาพโดยสิ้นเชิง นอกจากนั้น นายทรัมป์ยังเปิดเผยว่า จะเร่งดำเนินการทันทีเมื่อขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่คือ เร่งสร้างงาน จัดการปัญหาผู้อพยพตามแนวชายแดนและปฏิรูปภาษี

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานในเวลาต่อมา ระบุเหตุประท้วงต่อต้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน คืนที่ 3 เมื่อวันศุกร์ที่ 11 พ.ย.ตามเวลาท้องถิ่น มีผู้ถูกยิงบาดเจ็บ 1 ราย ผู้เคราะห์ร้ายถูกกระสุนปืนเข้าที่ขา แต่ยังไม่ชัดเจนว่า กระสุนปืนมาจากที่ใดและฝ่ายไหนยิง ส่วนที่มหานครนิวยอร์ก บริเวณหน้าอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ มีผู้ชุมนุม มากราว 4,000 คน ซึ่งมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่าย ต่อต้านนายทรัมป์ แต่ไม่มีรายงานเหตุรุนแรง

ขณะเดียวกัน มีรายงานจากโทรทัศน์ซีบีเอสระบุระหว่างการอัดเทปสัมภาษณ์นายโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันศุกร์ที่ 11 พ.ย. เพื่อนำออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 13 พ.ย.นี้ นายทรัมป์ระบุว่า เขากำลังพิจารณาขอคำปรึกษาบางเรื่องจากอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน สามีนางฮิลลารี คลินตัน คู่ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ทั้งยังเปิดรับคำปรึกษาจากประธานาธิบดี บารัค โอบามา ด้วยในบางเรื่อง

 

คำมั่นสัญญาเขย่าโลก!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 13 พ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/781107

 

ยี้ผู้นำใหม่ – กลุ่มผู้ประท้วงชูป้ายขนาดใหญ่ ต่อต้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าท่ีประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ที่หน้าศูนย์ “สเตเปิล เซนเตอร์” บนท้องถนนใจกลางนครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย (รอยเตอร์)

นายโดนัลด์ ทรัมป์ อภิมหาเศรษฐีจอมบ้าบิ่น ว่าที่ประธานาธิบดีใหม่ คนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา เคยประกาศนโยบายหวือหวาน่าตกตะลึงไว้มากมายในช่วงหาเสียง

ในส่วน “นโยบายต่างประเทศ” เรื่องใหญ่ๆที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งโลก รวมทั้งการประกาศว่าภายใน 100 วันแรกหลังขึ้นครองตำแหน่ง จะยกเลิก “ข้อตกลงปารีส” ว่าด้วยสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เพื่อลดโลกร้อน ซึ่งมีภาคีเกือบ 200 ประเทศ โดยสหรัฐฯ ร่วมลงนามและให้สัตยาบันด้วย เพิ่งมีผลใช้บังคับเมื่อ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา

เขายังสัญญาจะหยุดให้งบฯ หลายพันล้านดอลลาร์สนับสนุนโครงการ “พลังงานสะอาด” และข้อริเริ่มเรื่องสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) โดยจะนำเงินมาปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของสหรัฐฯ แทน ทรัมป์ยืนยันว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่าโลกร้อนขึ้นเพราะน้ำมือมนุษย์นั้นเป็น “นวนิยาย” ที่ถูกกุขึ้นโดย “จีน” เพื่อลดศักยภาพในการแข่งขันของอุตสาหกรรมสหรัฐฯ และยืนยันจะส่งเสริมพลังงานฟอสซิล ทั้งน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินต่อไป เพื่อเศรษฐกิจของชาติ

แต่การจะทำอย่างนั้น ทรัมป์ต้องเจออุปสรรคด้านกฎหมายและกระบวนการต่างๆ โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ว่าชาติที่ให้สัตยาบันข้อตกลงปารีสต้องรออย่างน้อย 4 ปีจึงจะขอยกเลิกหรือปรับแก้ได้ แต่ถ้าทรัมป์จะเลิกซะอย่าง โลกคงได้แต่มองตาปริบๆ และชาติอื่นๆอาจทำตาม ข้อตกลงปารีสอาจ “แท้ง” กลางคัน

ทรัมป์ยังขู่จะล้มเลิกข้อตกลงการค้าเสรีต่างๆ รวมทั้งข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) ร่วมกับแคนาดาและเม็กซิโก ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) โดยชี้ว่าทำให้คนอเมริกันตกงาน ทั้งยังขู่ถอนตัวจากองค์การการค้าโลก (WTO) จะตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนถึง 45% และ 35% จากบริษัทสหรัฐฯ ที่ปลดคนงานและย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ รวมทั้งเม็กซิโก

ทรัมป์ยังขู่จะขึ้นบัญชีให้ “จีน” เป็นประเทศที่แทรกแซงค่าเงิน ซึ่งถ้าทำเรื่องเหล่านี้จริง จะเป็นการเปลี่ยนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อทั้งโลกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ส่งผลกระทบกว้างขวางรุนแรง

ด้านความมั่นคง ทรัมป์โจมตีว่าสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (เนโต) เสาหลักด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ มากว่า 60 ปีนั้น “ล้าสมัย” สมาชิกเนโตอื่นๆ ในยุโรปส่วนใหญ่แบมือพึ่งพาเงินอุดหนุนจากสหรัฐฯ มากไป ไม่ทำตามเงื่อนไขจัดสรรเงินอย่างน้อย 2% ของจีดีพีของชาติมาช่วยเนโต ซึ่งถ้าสหรัฐฯ ตีจากเนโต ชาติในยุโรปตะวันออกโดยเฉพาะโปแลนด์ ที่เนโตใช้เป็นกำแพงต้านอิทธิพลของ “รัสเซีย” จะกระทบหนักที่สุด

ในส่วนเอเชีย ทรัมป์ชี้ว่า “ญี่ปุ่น” และ “เกาหลีใต้” พันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ ก็พึ่งพาสหรัฐฯมากเกินไป ควรรับผิดชอบตัวเองมากกว่านี้ ถ้าทำไม่ได้ สหรัฐฯอาจถอนทหารออกไป เขาถึงขั้นเปรยว่าทั้งสองประเทศนี้น่าจะมีอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น จะเกิดการแข่งขันสร้างสมอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชีย

แต่กรณี “เกาหลีเหนือ” ชาติอันตรายซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์ ทรัมป์ยังไม่ระบุชัดว่าจะแก้ปัญหาที่รัฐบาลก่อนๆแก้ไม่ตกยังไง แต่เคยพูดว่า คิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือเป็น “ไอ้เลว” แม้จะแย้มว่าอาจยอมเจรจากันโดยตรง หลายฝ่ายกลัวว่าถ้าทรัมป์กับคิม จอง-อึน ซึ่งต่างเป็นผู้นำที่คาดเดาลำบากทั้งคู่เกิดปะทะกัน โลกสุ่มเสี่ยงเกิดสงครามนิวเคลียร์หรือไม่? คาบสมุทรเกาหลีจึงเป็นจุดอันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง

ที่น่าจับตามองอีกอย่างคือความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซีย ซึ่งตกต่ำสุดๆในยุคโอบามา โดยเฉพาะในสงครามซีเรียซึ่งยืนอยู่คนละข้างกัน แต่ทรัมป์เชื่อว่าจะสามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียให้ดีขึ้น และชมประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ซึ่งโฆษกของปูตินก็เด้งรับลูก แถลงหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้งว่า ทรัมป์และปูตินมองโลกคล้ายกันมาก จึงน่าติดตามว่าความสัมพันธ์จะหวานชื่นหรือขื่นขมในท้ายที่สุด

ส่วนความสัมพันธ์กับจีน ถึงแม้อาจงัดข้อกันเรื่องการค้า แต่จีนคงหวังอยู่ลึกๆว่าจะดีขึ้น สหรัฐฯจะมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ เลิกแทรกแซงกิจการภายในและขัดแย้งกับจีนน้อยลง

กรณีข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ 6 ชาติมหาอำนาจบรรลุข้อตกลงกับ “อิหร่าน” นำไปสู่การยกเลิกคว่ำบาตรอิหร่าน ทรัมป์ชี้ว่าเป็นข้อตกลงที่แย่ที่สุดที่เคยเห็น และจะล้มเลิกข้อตกลงนี้ และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับ “คิวบา” ผลงานชิ้นโบแดงของโอบามา ก็อาจถูกทรัมป์ล้มเลิกเช่นกัน

ส่วนเรื่องภายในประเทศ ทรัมป์ประกาศจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนกับเม็กซิโกมูลค่า 13,000 ล้านดอลลาร์เพื่อสกัดผู้ลักลอบเข้าเมือง จะเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมายและผู้มีประวัติอาชญากรรม 2 ล้านคน จะคัดกรองผู้เข้าสู่สหรัฐฯ สุดเข้มงวด ไม่ออกวีซาให้คนจากประเทศที่มีมาตรการคัดกรองต่ำ เพื่อป้องกันผู้ก่อการร้าย

นอกจากนี้ จะยกเลิกโครงการประกัน สุขภาพ “โอบามาแคร์” ของโอบามา ซึ่งอาจทำได้เพราะพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา จะแก้รัฐธรรมนูญจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของ ส.ส. และ ส.ว. จะห้ามเจ้าหน้าที่รัฐบาลเป็น “ล็อบบี้ยิสต์” จะลดภาษีขนานใหญ่เพื่อสร้างงานเพิ่มอย่างน้อย 25 ล้านตำแหน่ง และจะยกเลิก “คำสั่งประธานาธิบดี” ของโอบามาทั้ง 32 ฉบับ รวมทั้งคำสั่งยกเลิกคว่ำบาตรเมียนมา ฯลฯ

คำมั่นสัญญาของทรัมป์ยังมีอีกเพียบ แค่ทำได้ส่วนใหญ่ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั้งโลก แต่จะเป็นแค่ “ราคาคุย” ใช้หาเสียง หรือทำได้จริงแค่ไหน ไม่นานก็รู้!

ทีมข่าวต่างประเทศ

 

นทท.มากเกิน-ค่าที่พักกระฉูด ชาวเมืองเวนิส ท้วงทางการรีบแก้ ก่อนย้ายหนีหมด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 พ.ย. 2559 04:50

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/781557

 

ชาวเมืองเวนิสสุดทน นัดชุมนุมประท้วงทางการอ้าแขนรับแต่นักท่องเที่ยวแห่แหนมาเยือน จนทำราคาที่พักอาศัยในเมืองเวนิสพุ่งกระฉูด ส่งผลชาวเมืองเวนิส ต้องย้ายออกจากเมืองกันไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งเมื่อเทียบกับ 60กว่าปีก่อน

เมื่อ 13 พ.ย. 59 สำนักข่าวบีบีซี รายงาน ชาวเมืองเวนิส ในประเทศอิตาลี หลายร้อยคนรวมตัวประท้วงทางการเน้นแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยว จนทำให้ชาวเมืองต้องพากันย้ายหนีออกจากเมืองแห่งนี้กันไปเรื่อยๆ เพราะสู้กับค่าที่พักอาศัยที่แพงขึ้นไม่ไหว แถมยังเจอปัญหาบ้านพักขาดแคลน อีกทั้งอพาร์ตเมนต์ต่างๆ ในเมืองยังถูกเช่าไว้สำหรับรองรับบรรดานักท่องเที่ยวเพื่อจะได้เรียกเก็บค่าที่พักในราคาที่สูงขึ้นมาก

ผู้ประท้วงได้นำป้ายเขียนข้อความ #VENEXODUS มาแขวนไว้บนสะพานรีอัลโต สะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองเวนิส และเดินแบกกระเป๋าเดินทาง เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าจะย้ายออกจากเมืองเวนิสกันไปหมดแล้ว

สำหรับปัญหาของชาวเมืองเวนิส ที่คาดไม่ถึงคือ จำนวนชาวเมืองได้ลดลงจาก 175,0000 คนในปี 2494 เหลือเพียงแค่ 55,000 คนเท่านั้น ในปัจจุบัน โดยนายแมตทีโอ เซคชี ผู้นำสมาคม Venessia.com ซึ่งเป็นแกนนำในการจัดประท้วงครั้งนี้กล่าวถึงปัญหาชาวเมืองเวนิสย้ายออกไปจากเมืองว่า แต่ละปี  มีชาวเมืองย้ายออกจากเวนิส เฉลี่ยแล้ว ปีละ 1,000 คน ซึ่งหากเราไม่มีรีบแก้ไข ต่อไปเมืองเวนิส ก็จะเหมือนกับเมืองปอมเปอี นครโบราณของอิตาลี ที่มีแต่คนไปเที่ยวชม แต่กลับไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย


ผู้ประท้วงได้นำป้ายเขียนข้อความ #VENEXODUS มาแขวนไว้บนสะพานรีอัลโต

ผู้ประท้วงเดินแบกกระเป๋าเพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าจะออกจากเมืองเวนิส

ทั้งนี้ เมืองเวนิส ซึ่งเป็นเมืองเอกเของแคว้นเวเนโต ในประเทศอิตาลี ได้รับฉายาว่า ‘ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก’ และ ‘เมืองแห่งสายน้ำ’ โดยเสน่ห์ของเมืองเวนิสที่ใช้เรือเป็นพาหนะในการเดินทางเที่ยวชมความสวยงามทัศนียภาพของเมืองโบราณแห่งนี้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวแห่มาเที่ยวเมืองเวนิสกันอย่างล้นหลาม โดยในช่วงฤดูท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเมืองเวนิสสูงสุดถึงวันละ 60,000 คน และปัญหานี้ได้ส่งผลกระทบต่อชาวเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีชาวเมืองเวนิส พยายามใช้เรือเล็กขวางเรือนักท่องเที่ยว ไม่ให้เทียบท่าเรือ ด้วยความไม่พอใจ


ชายคนหนึ่งขอเสื้อยืดประกาศว่าเขาเป็น คนเวนิช 100% ขณะที่หลายคนรู้สึกแออัดจนจะออกจากเมือง

ชายคนหนึ่งขอเสื้อยืดประกาศว่าเขาเป็น คนเวนิช 100% ขณะที่หลายคนรู้สึกแออัดจนจะออกจากเมือง

ป้ายประท้วงบริเวณริมน้ำ
 

บึมโหด ถล่มมัสยิด นิกายซูฟีย์ ในปากีฯ ดับสลดแล้ว 52 เจ็บเกิน100

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 พ.ย. 2559 01:53

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/781446

 

ระเบิดสุดเหี้ยม ถล่มมัสยิดของชาวมุสลิมนิกายซูฟีย์ ในปากีสถาน ดับสลดอย่างน้อย 52 เจ็บเกือบร้อย ขณะที่มีผู้นับถือนิกายซูฟีย์จากทั่วปากีสถาน และจากประเทศอิหร่าน มายังมัสยิดแห่งนี้เพื่อร่วมในพิธีสำคัญ

12 พ.ย. 59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เกิดเหตุระเบิด ที่มัสยิด ชาห์ นูรานี ของชาวมุสลิมนิกายซูฟีย์ ในเมือง คูซดาร์ แคว้นบาลูจิสถาน ประเทศปากีสถาน เมื่อวันที่ 12 พ.ย. เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 52 ศพ บาดเจ็บกว่า 100 ราย เนื่องจากขณะเกิดเหตุมีผู้นับถือนิกายซูฟีย์จากทั่วประเทศปากีสถาน รวมทั้งจากอิหร่าน ประเทศเพื่อนบ้าน เดินทางมายังมัสยิดแห่งนี้เพื่อร่วมในพิธีสำคัญของนิกายซูฟีย์


ด้านนายกรัฐมนตรีนาวาซ ชารีฟแห่งปากีสถาน ได้กล่าวประณามคนร้ายที่ลงมือโจมตีชาวปากีสถานที่นับถือศาสนาอิสลาม นิกายซูฟีย์อย่างเหี้ยมโหด พร้อมกับเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เร่งให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างเร่งด่วน ขณะที่มีรายงานว่า ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุระเบิดได้ถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลในนครการาจี ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลถึงประมาณ100กม.

ทั้งนี้ นิกายซูฟีย์ เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาอิสลาม ที่บูชาพระเจ้าโดยใช้เสียงดนตรี จนถูกต่อต้านจากชาวมุสลิมสุดโต่ง รวมทั้งกลุ่มตาลีบัน ที่มองว่าเป็นนิกายนอกรีต ขณะที่ในปากีสถาน มีประชาชนที่นับถือ นิกายซูฟีย์จำนวนถึงหลายล้านคน

 

เดือด ม็อบต้านทรัมป์ ที่พอร์ตแลนด์ โดนยิงเจ็บ 1 ตร.ต้องใช้แก๊สน้ำตาสลาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 13 พ.ย. 2559 00:56

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/781551

 

ม็อบต้านทรัมป์ ที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน โดนยิงเจ็บ 1 แต่คนร้ายสามารถหลบหนีไปได้ ขณะที่เหตุจลาจลในเมืองรุนแรงถึงขั้นผู้ชุมนุมโยนวัตถุมีเปลวไฟใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเกิดการเผชิญหน้า จึงต้องสลายม็อบด้วยแก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย

เมื่อ 12 พ.ย. 59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ม็อบประท้วงต่อต้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ขยายวง ลุกลามไปทั่วประเทศ โดยมีประชาชนหลายพันคนทั่วสหรัฐฯ ออกมาเดินประท้วงต้านทรัมป์ด้วยความไม่พอใจ ไปตามท้องถนนในหลายเมืองเป็นคืนที่ 3 อาทิ นครลอสแอนเจลิส เมืองนิวเฮเวน เมืองใหญ่อันดับ 2 ของรัฐคอนเนกติกัต เมืองออร์แลนโดในรัฐฟลอริดา และนครชิคาโก ตั้งแต่ค่ำวันศุกร์ที่ 11 พ.ย. ไปจนตลอดคืน เข้าสู่เช้าของวันเสาร์ที่ 12 พ.ย.ตามเวลาท้องถิ่น แต่การประท้วงรุนแรงที่สุดจนกลายเป็นเหตุจลาจล อยู่ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน และเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องถึงขั้นยิงแก๊สน้ำตา ฉีดสเปรย์พริกไทยสลายม็อบ


มีฝูงชนราว 4,000 คนออกมาเดินขบวนต้านโดนัลด์ ทรัมป์ ในเมืองพอร์ตแลนด์ เมื่อคืนวันที่ 11-เช้าวันที่ 12 พ.ย.59

ซีเอ็นเอ็นแจ้งว่า ที่เมืองพอร์ตแลนด์ ยังเกิดเหตุรุนแรง ระหว่างที่มีม็อบเดินขบวนต้านทรัมป์ไปตามถนนเมื่อช่วงเช้าตรู่วันเสาร์ที่ 12 พ.ย.ด้วย เมื่อมีชายผู้หนึ่งถูกยิงได้รับบาดเจ็บบริเวณบนสะพานมอริสสัน โดยผู้ต้องสงสัยก่อเหตุ คาดว่าอยู่ในรถยนต์คันหนึ่งที่เผชิญหน้ากับคนผู้หนึ่งในม็อบ บนสะพาน โดยหลังเกิดเหตุ ตำรวจเมืองพอร์ตแลนด์ได้ออกแถลงการณ์ว่า ชายผู้ต้องสงสัยได้ลงมาจากรถและยิงปืนหลายนัด ก่อนจะหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ ส่วนเหยื่อที่โดนคมกระสุน ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ขณะที่พยานในที่เกิดเหตุ เล่าว่า หนุ่มที่ลงมือก่อเหตุมีลักษณะเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน และน่าจะมีอายุประมาณ 20 ปี


ตำรวจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาสลายม็อบ

ม็อบต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ในช่วงเช้าวันที่ 12 พ.ย. 59

ข่าวแจ้งว่า การประท้วงที่เมืองพอร์ตแลนด์ เมื่อคืนวันที่ 11 พ.ย.ความตึงเครียดได้ทวีมากขึ้น เมื่อม็อบต่อต้านทรัมป์ยังปิดถนน ที่บริเวณด้านนอกศาลาว่าการเมืองพอร์ตแลนด์ ย่านใจกลางเมือง ขณะที่ตำรวจพยายามจะสลายม็อบ แต่ไม่ได้ผล โดยผู้ชุมนุมต้านทรัมป์ยังได้ขว้างวัตถุที่มีเปลวไฟใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย และยังเกิดการเผชิญหน้ากันจนทำให้ตำรวจต้องตัดสินใจยิงแก๊สน้ำตา ใช้สเปรย์พริกไทยสลายฝูงชน

อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเช้า-เย็นวันเสาร์ที่ 12 พ.ย. สถานการณ์ในเมืองพอร์ตแลนด์ได้กลับคืนสู่ความสงบ หลังการประท้วงต้านทรัมป์ในค่ำคืนที่ผ่านมา ได้ยกระดับเป็นจลาจล ขณะที่มีฝูงชนราว 4,000 คนได้ออกมาชุมนุมไม่ยอมรับทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐฯ.

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ม็อบต้าน ทรัมป์ ที่พอร์ตแลนด์ คลั่ง ก่อรุนแรง ตร.ต้องยกระดับเป็นจลาจล

 

หนุ่มสาวรัสเซียติดเครื่องยนต์ เริงรักในรถ สูดก๊าซท่อไอเสียกลายเป็นศพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 12 พ.ย. 2559 18:23

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/781327

 

ภาพจาก ทวิตเตอร์

คู่รักหนุ่มสาวรัสเซีย กลายเป็นศพสภาพเปลือยในรถ จากการสูดก๊าซท่อไอเสีย หลังบรรเลงเพลงรักในรถที่ติดเครื่องยนต์ จึงลืมอันตรายที่จะเกิดขึ้น ครอบครัวตามหา มาเจอในโรงเก็บรถ ถึงกลับช็อก…

เมื่อวันที่ 11 พ.ย. บุญธง ก่อมงคลกูล ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำเบลเยียม รายงานว่า คู่รักหนุ่มสาว อาร์เทมและแอนนา สิ้นใจคารถยนต์ในสภาพเปลือยกายและกอดกันกลมที่เมืองอูฟา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย จากทั้งคู่ต้องตกเป็นเหยื่อของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากรถยนต์ที่กำลังใช้เป็นสถานที่เริงรัก

อาร์เทม วัย 18 ปี และแอนนาวัย 20 ปี ได้หมดสติและเสียชีวิตลงจากภาวะขาดอากาศ เนื่องจากควันก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากรถยนต์ Skoda Felicia หลังจากที่อาร์เทม พาคู่รักเข้าไปในโรงเก็บรถที่เขากำลังซ่อมรถยนต์คันดังกล่าว ซึ่งจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัด อาร์เทมจึงได้ติดเครื่องรถยนต์เพื่ออาศัยความร้อนจากเครื่องทำความร้อนของรถ แล้วทั้งสองก็บรรเลงเพลงรักกัน โดยลืมนึกถึงอันตรายจากก๊าซพิษ ทั้งสองได้หมดสติลงหลังจากการสูดก๊าซจากท่อไอเสีย

ทางด้านครอบครัวอาร์เทม มีความวิตกกังวลจึงได้ออกค้นหา จนกระทั่งพบร่างของคู่ในสภาพเปลือยกายกอดกันกลมภายในรถยนต์ ทั้งนี้ เขาเคยใฝ่ฝันที่จะเปิดอู่ซ่อมรถยนต์เก่าเป็นของตนเอง.

 

โดนัลด์ ทรัมป์ ทำเต็มร้อยโลกพินาศแน่ ค.ศ.2018 ปีชี้ชะตา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 12 พ.ย. 2559 05:40

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/779486

 

เมื่อ strong together พ่าย make american great again บน ผืนแผ่นดินแห่งเสรีภาพ และการยอมรับเสียงส่วนใหญ่

ผลที่ตามจึงเกิด…

not my president

….เหตุใด สุภาพสตรี ที่ว่ากันว่า หากจะมีผู้หญิงคนใดในสหรัฐอเมริกา ที่จะสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด ได้นั่งบัลลังก์ทำเนียบขาวเป็นคนแรก สุภาพสตรีผู้นั้น จะต้องเป็น…

ฮิลลารี รอดดัม คลินตัน เธอผู้นี้เท่านั้น!

สตรี…ผู้ยอมกลืนเลือด ถึงขนาดข่มใจอยู่กินฉันสามีภรรยาต่อไป กับ สามีผู้มักมาก สร้างเรื่องอื้อฉาว กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วทั้งทำเนียบขาว เพียงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ ภรรยาผู้แสนดี และครอบครัวที่แสนจะรักใคร่กัน รวมไปจนกระทั่งถึง การยอมเสียเวลารอถึง 8 ปี แถมในจำนวนนี้ ยอมย่อกายมาเป็นลูกน้อง คู่แข่งคนสำคัญที่ดับฝันเธอ ขึ้นชิงเก้าอี้ผู้นำที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของโลก ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาที่ว่า หากเธอยอมแพ้ นายบารัค โอบามา ในการคัดเลือกผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จากพรรคเดโมแครต ที่แสนยืดยื้อและยาวนาน ในปี ค.ศ.2008 เธอก็จะได้รับ ตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯเป็นการตอบแทน ซึ่งแม้จะทำให้เสียเวลาไปบ้าง แต่สิ่งที่ได้รับมา ระหว่างปี ค.ศ.2009-2013 ก็คือ เธอ จะได้เฉิดฉายให้สปอร์ตไลท์ทุกดวงในโลก จับจ้องมาที่เธอ เวลาตระเวนไปตามประเทศต่างๆ กว่า 112 ประเทศ รวมระยะทางเกือบ 1 ล้าน ไมล์ เพื่อพบ บรรดาคนเด่นคนดังจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อบ่มเพาะให้เป็น ผู้ที่แสนจะคู่ควรเสียเหลือเกิน สำหรับการได้เข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯคนต่อไป


ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ผู้เสียเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐให้แก่โดนัลด์ ทรัมป์

ฮิลลารี รอดดัม คลินตัน ทำมาหมดแล้ว เพื่อเป้าหมายเดียวที่ต้องการ

ผู้หญิงคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพ ภราดรภาพ และการยอมรับเสียงส่วนใหญ่

หากแต่….สิ่งที่เธอรอคอยมาตลอดชีวิต และน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้แล้ว ก็กลับพังทลายลงต่อหน้าต่อตา แพ้แม้กระทั่ง…คู่แข่งที่อ่อนด้อยกว่าทางการเมือง ชนิดไม่น่าจะเทียบได้ แม้แต่กระทั่ง เงาของเธอ …แถมยังมีบุคลิกที่ทำให้คนกว่าครึ่งโลก รู้สึก…หวาดหวั่นในท่าที

โดนัลด์ ทรัมป์

ตัวแทนของความสุดโต่ง ขวาจัด ผู้ที่กล้าพูด ในสิ่งที่คนอเมริกันส่วนใหญ่ อยากจะพูด แต่บางคนทำได้เพียงพูดในใจ เพราะเกรงว่าหาก พูดออกไปดังๆ อาจจะทำให้ตัวเองดู “เขลาเกินไป” และ “เห็นแก่ตัว”

276 ต่อ 218 คือ ตัวเลข ที่ ฮิลลารี รอดดัม คลินตัน คงต้องจดจำไปตลอดทั้งชีวิต เพราะมันคือ ตัวเลขที่ทำลายล้าง ทุกความเชื่อมั่นที่มีในตัวเองไปทั้งหมด ลงอย่างสิ้นเชิง!


โดนัลด์ ทรัมป์

เหตุใด strong together ถึงพ่ายแพ้ make american great again?

เหตุใด สุภาพสตรี ผู้ทรงภูมิปัญญา และเจนจบเทพยุทธทางการเมือง จึงพ่ายแพ้ให้กับ ลุงบ้านนอก เพลย์บอยปากพล่อยแถมหัวรุนแรง แบบหมดรูป?

วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะค้นหาทุกๆ คำตอบเหล่านั้น มาย่อยสลายให้แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ทุกท่าน ได้พิจารณา ผ่านทัศนะของ รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย ผู้คร่ำหวอดการเมืองแดนลุงแซม

วิเคราะห์ลงลึก อะไรที่ทำให้ ฮิลลารี แพ้ ทรัมป์ ชนะ?

“ส่วนตัวผม คิดว่า ง่ายๆ เลย คนอเมริกันชื่นชอบนโยบาย ของ ทรัมป์ ก็เลย เลือก ทรัมป์ แค่นั้นคือจบ!”

จากนั้น นายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย ได้วิเคราะห์ลงไปถึงประเด็นคำถามนี้ต่อไปว่า …ประเด็นสำคัญอีกเรื่อง น่าจะอยู่ที่ ฮิลลารี ยังคงพูดนโยบายเรื่องเดิมๆ ไม่ต่างจาก 8 ปี ที่ผ่านมา ที่ เดโมแครต ครองทำเนียบขาว นอกจากนี้ ความพยายามสื่อสารของ ฮิลลารี ยังล้มเหลว ตรงที่ไม่สามารถสื่อให้คนระดับรากหญ้าเข้าใจได้มากนัก คือ พูดง่าย ๆ ยังพูดเชิงวิชาการที่ฟังไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม

“แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เธอยังไม่สามารถสร้างภาพให้คนอเมริกัน เชื่อได้ว่า มีบารมี มากพอที่จะเป็น ประธานาธิบดี เพื่อนำพาประเทศสหรัฐอเมริกาได้”

ผิดแผก ไปจาก ทรัมป์ ที่พูดอะไรเข้าใจได้ง่าย และมันตรงใจกับชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ที่กำลังทนทุกข์จากปัญหาเศรษฐกิจ ภายใต้การนำรัฐนาวา ของ เดโมแครต มานานถึง 8 ปี ซึ่งแทบไม่มีอะไรดีขึ้น เหมือนดั่งที่ นายบารัค โอบามา ได้หาเสียงเอาไว้


โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016

เหตุใด คนอเมริกัน ถึง ไม่ชอบ ทั้ง ฮิลลารี และทรัมป์?

“เบื่อการเมือง” คน อเมริกัน กำลัง “เบื่อนักการเมือง” รศ.ดร.ประภัสสร์ ใช้นำเสียงละเหี่ยใจในการตอบคำถามนี้ ก่อนกล่าวต่อไปว่า

นั่นเป็นเพราะ 8 ปี ที่ผ่านมา ภายใต้นักการเมือง ไม่สามารถทำให้สหรัฐอเมริกาดีขึ้นได้ พอ ฮิลลารี ที่มาสืบทอด ต่อจาก โอบามา ก็กลับไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเลย ไม่ได้มีบารมีมากพอ หรือ อย่างน้อยที่สุด ควรจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ฉะนั้น คนอเมริกัน จึงไม่ชอบ เธอ

ส่วนถามว่าเหตุใดถึง เกลียด ทรัมป์ นั่นก็เพราะนโยบายหาเสียงของเค้า มันสุดโต่งมากเกินไป ชนชั้นที่มีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา จึงมองว่า ทรัมป์ กำลังจะเข้ามาทำให้ประเทศปั่นป่วน เกิดไปทำตามนโยบายที่หาเสียงเอาไว้ขึ้นมาจริงๆ


ชาวอเมริกันหลายรัฐรวมตัวประท้วง หลังทราบผลเลือกตั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีใหม่

ชัยชนะโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อเหตุประท้วงหลายรัฐในอเมริกา

“ฉะนั้นโดยสรุป จริงๆ คือ ทั้ง 2 คน ไม่ได้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับ อเมริกันชน เอาเสียเลย”

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อถึงคราวต้องเลือก จากตัวเลือกที่มีอยู่เพียงแค่นี้ การโผไปหา สิ่งที่คนอเมริกันคิดว่า อย่างน้อยที่สุดก็ยังจะทำให้ เกิดความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง จึงเกิดขึ้น

ใครคือผู้อยู่เบื้องหลัง ทำให้ เกิดเหตุการณ์ ผลการเลือกตั้งช็อกชาวโลก

กุญแจสำคัญ น่าจะอยู่ที่ กลุ่มคนผิวขาวขวาจัด และชนชั้นกรรมาชีพ ที่ได้รับความเดือดร้อน อย่างหนัก จากนโยบายเปิดเสรี ของ เดโมแครต

แสดงว่า 8 ปี ของ บารัค โอบามา สหรัฐอเมริกา ยัง CHANGE ไม่พอ?

เอากันจริง ๆ ผมว่า ……… มันไม่เห็นจะ CHANGE อะไรเลยนะ!

แล้วที่สำคัญ ไอ้ที่บอกว่า CHANGE นั่นล่ะ เป็นการ CHANGE ที่ผิดทางเสียด้วยซ้ำไป เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา เล่นไปเปิดเสรีนิยมทุกอย่าง ยอม ประเทศจีน ยอม ประเทศพันธมิตร ยอม ให้แรงงานเถื่อนเข้ามาแย่งงานคนในชาติตัวเอง แถมยังจะให้สัญชาติกับเค้าเสียอีก ด้วยเหตุนี้ คนอเมริกันรากหญ้า จึงเกิดความรู้สึกว่า ….รับไม่ได้ ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวอย่างหนักแน่น


โดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ

OBAMACARE ไม่ใช่ ประชานิยม เอาใจรากหญ้า ชาวมะกัน หรอกหรือ?

OBAMACARE (นโยบายประกันสุขภาพ) ส่วนตัวมองว่า มันทำให้คะแนนเดโมแครต ในสายตาชาวรากหญ้า ดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แถมยังทำให้ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีเอาเสียด้วยว่า การนำงบประมาณจำนวนมหาศาลไปใส่ในโครงการนี้ ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ย่ำแย่ลงไปอีก

อะไรจะเกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกา เมื่อ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ขึ้น นั่งบัลลังก์

“ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการส่งสัญญาณ จากคนอเมริกันในเวลานี้ ว่า พวกเค้ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ฉะนั้น ผลการเลือกตั้งที่ช็อกโลกนี้จึงเท่ากับ สิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ พูดในระหว่างการหาเสียง ก็คือ สิ่งที่ คนอเมริกัน กำลังคิด อยู่ ณ เวลานี้”

นั่นก็คือ สหรัฐอเมริกา กำลังจะมีนโยบายใหม่ นั่นก็คือ การสร้างกำแพงล้อมตัวเอง กางกั้นทั้งคน เงินทุน และภาษี เพื่อโดดเดี่ยวตัวเอง

ซึ่งหาก ประธานาธิบดีคนที่ 45 แห่งสหรัฐอเมริกา สามารถทำได้จริงแบบที่พูดและหาเสียง…..จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ครั้งมโหฬารในประวัติศาสตร์ของประเทศพญาอินทรี และจะมีผลกระทบต่อโลก อย่างมากมายมหาศาล


ผู้ประท้วงลุกฮือ เดินขบวนต่อต้าน โดนัลด์ ทรัมป์ ในหลายเมืองทั่วประเทศ

ชาวอเมริกันหลายพันคนรวมตัวหน้าอาคารทรัมป์ประท้วงต่อต้านชัยชนะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น …..ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า สิ่งที่ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถเอาชนะใจคนอเมริกัน มันเริ่มต้นมาจาก การมองว่า สหรัฐอเมริกา กำลังเสื่อมโทรมลงในทุกๆ ด้าน ไม่ว่า จะเป็น ทั้งเศรษฐกิจไม่ดี มีคนตกงานจำนวนมาก สังคมก็แย่ โครงสร้างพื้นฐานก็เสื่อมโทรม ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นเพราะ มีการเปิดเสรีและเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับชาวบ้านเค้า มากเกินไป พูดง่ายๆ คือ ….

“เล่นไปเปิดประตูให้ชาวบ้านเค้าไปหมด ในขณะที่ ชาวบ้านเค้ากลับปิดประตูไม่ให้ตัวเองเข้าไป นอกจากนี้ การทุ่มเทงบประมาณทางการทหารจำนวนมากถึง 7 แสนล้านเหรียญต่อปี ไปเที่ยวช่วยชาวบ้านเค้าทั่วไปหมด จนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวและซ้ำร้ายสหรัฐอเมริกา ไม่ได้อะไรขึ้นมา ซึ่งทั้งหมดนี้ มันตรงกับที่คนอเมริกันบางคน มองว่า นี่คือการเอาเปรียบ สหรัฐอเมริกา อย่างยิ่ง”

พูดง่ายๆ คือ ทรัมป์ โทษว่าสาเหตุที่ทำให้อเมริกาตกต่ำ มาจาก ภายนอก ทั้งหมด

ฉะนั้น เพื่อให้แคมเปญ make american great again เป็นจริงได้ จึงต้องจัดการ ปัญหา ภายนอก ที่ว่านั่นให้ได้ทั้งหมด

แล้ว ปัญหาภายนอก ที่ ท่านผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ หมายจะจัดการให้ได้ มีอะไรบ้างล่ะ?

เอากันง่ายๆ เลย ก็คือ ทรัมป์ จะ “ปิดประเทศ” ยกเลิกเขตการค้าเสรีทั้งหมด จะไม่ส่งเสริมให้บริษัทสัญชาติสหรัฐฯไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อให้กลับมาลงทุนในประเทศตัวเอง โดยหวังให้เกิดการจ้างงาน คนอเมริกันจะได้มีงานทำ นอกจากนี้ อาจเลยไปถึงการทำสงครามการค้า กับ ประเทศ ที่ผู้นำคนที่ 45 ของ สหรัฐฯ มองว่า เอาเปรียบ เช่น ประเทศจีน ที่ ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้า และบ่มเพาะปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของชาวมะกัน มาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ บรรดาประเทศพันธมิตร ด้านความมั่นคงต่างๆ จะต้องช่วยเหลือตัวเอง เรื่องงบประมาณด้านการทหาร โดยที่สหรัฐฯ จะไม่ช่วยโอบอุ้มอีกต่อไป และที่น่าจะเป็นประเด็นมากที่สุดก็คือ จะมีทั้งการขับไล่แรงงานเถื่อนและผู้อพยพ ออกนอกประเทศ รวมถึง การสร้างกำแพงล้อมประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้ เข้ามาทำมาหากินในดินแดนแห่งเสรีภาพ อีกต่อไป


ชาวอเมริกันหลายพันคนรวมตัวหน้าอาคารทรัมป์ประท้วงต่อต้านชัยชนะ และในหลายเมืองของสหรัฐก็มีการชุมนุมประท้วงเช่นกัน

แบบนี้ก็ได้หรือ? ว่าแต่…ท่านว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ จะทำได้จริงสักกี่เปอร์เซ็นต์?

มันก็ตอบยากนะ!….รศ.ดร.ประภัสสร์ ทอดเวลาสักครู่ ก่อนกล่าวต่อไปว่า ….แต่ส่วนตัวคิดหยาบๆ เอาไว้ว่า ทรัมป์ น่าจะทำได้สักครึ่งหนึ่ง หรือ 50 เปอร์เซ็นต์ ของที่ได้หาเสียงไว้ เพราะขืนทำทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับ ประเทศสหรัฐอเมริกา จะฆ่าตัวตาย ซึ่งคงจะเป็นไปไม่ได้ หรือ จะไม่ทำเสียเลย 0 เปอร์เซ็นต์ ก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะมิเช่นนั้น คนอเมริกัน ก็คงไม่ต้องไปเลือก ทรัมป์ ไปเลือก เสาไฟฟ้า แทนก็ได้

ทำครึ่งหนึ่งเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ ทำอย่างไร?

ก็อย่างเช่น แทนที่จะสุดโต่งถึงขนาด ปิดประเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ค้าขายกับใครเลย ก็มาเป็น เปิดประตูแง้มๆ ค้าขายกับประเทศอื่นๆ อยู่บ้าง เพียงแต่…สหรัฐฯ จะมีมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มมากขึ้น พูดง่าย ๆ คือ จะเคี่ยวมากขึ้นเวลาทำการค้ากับชาวบ้าน เพื่อบีบคั้นประเทศคู่ค้าให้ยอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ มากขึ้นๆ เป็นต้น

หรือ ด้าน นโยบายด้านความมั่น ที่สุดโต่ง ถึงขนาด จะถอนทหารที่ประจำการอยู่ในต่างประเทศทั้งหมดและไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นใดๆ เลย แบบนั้น ก็คงไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะขืนทำแบบนั้นจริง ดุลอำนาจในโลกก็คงเปลี่ยนไปทั้งหมด ซึ่ง ประเทศแบบสหรัฐอเมริกา ที่ยึดติดกับภาพลักษณ์มหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก คงยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งในประเด็นนี้ หากทำเพียงสัก 50 เปอร์เซ็นต์ ของที่หาเสียงไว้ ก็น่าจะออกมาในรูปที่ว่า สหรัฐฯ คงจะไปบีบให้บรรดาประเทศพันธมิตร ด้านความมั่นคงต่างๆ ช่วยกัน ลงขันเรื่องงบประมาณ สำหรับการดูแลตัวเองให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่


ผิดหวัง หลังทราบผลเลือกตั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีใหม่

ปิดประเทศ เห็นแก่ตัวมากขึ้น ใครจะยอมคบกับ สหรัฐอเมริกา ต่อไปล่ะ?

…..มีแน่นอน! รศ.ดร.ประภัสสร์ ตอบเสียงดังฟังชัดอย่างมั่นใจ

…เพราะทุกประเทศในโลกนี้ อย่างไรเสียก็ต้องจำยอม งอนง้อ สหรัฐอเมริกา ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในแง่ของความมั่นคง ในทวีปเอเชีย หากประเทศในภูมิภาคนี้ เกิดไปขัดใจกับ ประเทศจีน โดยไม่มี สหรัฐอเมริกา จะทำอย่างไร? หรือ อย่างในทวีปยุโรป หากไม่มี พี่เบิ้มอย่างสหรัฐค้ำจุน ใครจะกล้าไป งัดข้อ กับ รัสเซีย แบบนี้เป็นต้น

เป็นไปได้ไหม ทรัมป์ จะกลายเป็นต้นแบบเทรนด์โลก ประโยชน์ของประเทศตัวเองต้องมาก่อน

โมเดล America First (อเมริกาต้องมาก่อน) ที่ ทรัมป์ ใช้จนประสบความสำเร็จ น่าจะกลายเป็น เทรนด์ของชาติตะวันตก ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากจำได้ การที่ชาวอังกฤษ ลงประชามติ ขอถอนตัวออกจาก สหภาพยุโรป หรือ อียู ก็เริ่มต้นมาจากแนวคิด มองโลกในแง่ร้าย ที่ว่า ชนชาติอื่นกำลังเข้ามาแย่งงานของตัวเอง รวมทั้งมี บางส่วน ที่หวังเข้ามาก่อความไม่สงบด้วย

4 ปี ภายใต้การกุมบังเหียนสหรัฐอเมริกา ของ โดนัลด์ ทรัมป์ โลกจะต้องเผชิญอะไร?

หาก ทรัมป์ ทำตามที่หาเสียงไว้ 100 เปอร์เซ็นต์ โลกพินาศแน่ หรือ หากมองในแง่โลกสวย ทำเพียง 50 เปอร์เซ็นต์ แค่นั้น โลกก็น่าจะวุ่นวายแล้ว โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจ คงจะเพิ่มขึ้นเยอะ ซึ่งคงจะเป็นทิศทางที่ไม่ดีนักของโลกเราเท่าไหร่

“ซึ่งประเด็นนี้ เอากันจริงๆ นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2018 เป็นต้นไป ทรัมป์ จะมีการเดินหน้าตามนโยบายเต็มสูบ นั่นแหล่ะ ที่คนทั้งโลกจะต้องจับตามองชนิดห้ามกะพริบตา”


ชาวอเมริกันประท้วง หลังทราบผลเลือกตั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีใหม่

สุภาพสตรีอเมริกันคนต่อไป ที่เก่งมากพอ จะขึ้นท้าชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ คนต่อไป?

คอนโดริซา ไรซ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในสมัย ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีและโดดเด่นมากพอ

นโยบายสุดโต่ง ของ ผู้นำคนที่ 45 แห่ง สหรัฐอเมริกา ที่ชาวโลกต้องติดตามใกล้ชิด

การแก้ไขปัญหาเรื่องการค้าขายกับต่างประเทศ

ทบทวนข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ

ถอนสหรัฐอเมริกา ออกจากข้อตกลง หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP (Trans-Pacific Partnership) ที่ประกอบด้วยสมาชิก 12 ประเทศ คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น แคนาดา ชิลี เม็กซิโก เปรู ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม

ตั้งกำแพงภาษีทางการค้า 45% กับประเทศจีน หากยังดื้อดึงไม่ยินยอม เปลี่ยนแปลง กลยุทธ์ตัดราคาเพื่อขจัดคู่แข่ง

ขึ้นภาษี 35% กับ บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ที่มีการไล่คนงาน หรือ เคลื่อนย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศและนำสินค้ากลับมาขายในสหรัฐอเมริกา

การแก้ไขปัญหาผู้อพยพ

ทุ่มเงิน 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สร้างกำแพงล้อมชายแดนระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา และเม็กซิโก
เนรเทศ ผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และเข้ามาก่อปัญหาอาชญกรรม
ลงโทษจำคุก ผู้ที่ทำผิดกฎหมายเข้าเมืองซ้ำซาก
เพิ่มมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น สำหรับ ผู้ที่จะเข้ามาขอลี้ภัย หรือ เข้ามาเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา
ยุติการออกวีซ่าแก่ผู้ที่มาจากประเทศที่มีการคัดกรองไม่ดีพอ


หลังจากชัยชนะโดนัลด์ ทรัมป์ เกิดเหตุประท้วงหลายรัฐในอเมริกา

นโยบายต่างประเทศ

ทบทวนข้อตกลงที่ทำไว้ กับ กลุ่มสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต
ถอนทหารออกจากทวีปยุโรป และเอเชีย รวมไปจนกระทั่งถึง ญี่ปุน และเกาหลีใต้ หากบรรดาประเทศพันธมิตร ยังไม่เพิ่มเงินลงขันร่วมกับสหรัฐฯ สำหรับการสร้างมั่นคงในภูมิภาค
ทำลายล้างกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ในอิรัก และซีเรีย ให้สิ้นซาก

การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาการว่างงาน

ใช้เวลา 100 วัน ในการทำงานร่วมกับสภาคองเกรส เพื่อเร่งหามาตรการเพิ่มการจ้างงาน
เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เติบโต ให้ได้ร้อยละ 4 ต่อปี
สร้างตำแหน่งงานใหม่อย่างน้อย 25 ล้านตำแหน่ง จากการลดภาษีครั้งมโหฬาร
เพิ่มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานให้ได้ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายใน 10 ปี

การแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข

ยกเลิก หรือ แทนที่ นโยบายประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ โอบามาแคร์

การปฏิรูปด้านการเมือง

แก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องการจำกัดระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งของสมาชิกในสภาคองเกรส
ยับยั้งการจ้างลูกจ้างของรัฐบาลกลางในทุกตำแหน่ง และจำกัดการจ้างล็อบบี้ยิสต์ รวมถึง การห้ามจ้างล็อบบี้ยิสต์จากต่างประเทศ เพื่อให้เข้ามาระดมเงินช่วงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ

 

ต้าน ‘ทรัมป์’ ลุกลามจลาจล ‘พอร์ตแลนด์’ หนัก ปะทะตร.-ทุบรถ-พังร้านปล้น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 พ.ย. 2559 05:15

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/780821

 

ว่าที่ปธน.พบ‘โอบามา’ชื่นมื่นบิ๊กตู่ลั่นไทยพร้อมรับผันผวน

อเมริกันชนยังป่วนไม่เลิก หลายเมืองรวมตัวกันเดินขบวนประท้วงชัยชนะของ “โดนัลด์ ทรัมป์” อย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน เมืองพอร์ตแลนด์รัฐโอเรกอน วุ่นวายหนักสุด ผู้ประท้วงหลายพันคนก่อเหตุรุนแรงเลยเถิดถึงขั้นจลาจล คว้าท่อนไม้ก้อนหิน จุดประทัดขว้างปาใส่ตำรวจ แถมยังทุบทำลายรถยนต์ ทุบกระจกร้านค้าปล้นชิง ด้านว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 ควงภริยาคนสวยนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเหินฟ้าจากนิวยอร์กมาที่วอชิงตัน ดี.ซี. จับเข่าคุยกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ถึงในห้องรูปไข่ ทำเนียบขาว ต่างฝ่ายต่างอวยกันไปมา ส่งผลให้บรรยากาศการเจรจาชื่นมื่น ขณะที่ “บิ๊กตู่” บอกอย่าไปตกใจ รัฐบาลไทยพร้อมรับมือความผันผวนจากนโยบายใหม่ของพญาอินทรี ย้ำต้องดำเนินการให้สมดุลกับประเทศมหาอำนาจ

สถานการณ์ในหลายเมืองของสหรัฐฯยังวุ่นวาย จากการประท้วง ภายหลังทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 เมื่อวันอังคารที่ 8 พ.ย.ตามเวลาสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แทนพรรครีพับลิกัน คว้าชัยชนะแบบพลิกล็อกช็อกโลกเหนือ นางฮิลลารี คลินตัน ผู้แทนพรรคเดโมแครต นายทรัมป์คว้าคะแนนคณะผู้เลือกตั้งจากทั้งหมด 538 เสียง ได้ถึงเกณฑ์เกินกว่าครึ่งหนึ่งก่อนคือ 270 เสียง โดยคว้าได้ 290 เสียง ส่วนนางฮิลลารีได้คะแนนเพียง 228 เสียง ทำให้นายทรัมป์คว้าเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯไปครอง หลังจากนี้คณะผู้เลือกตั้งจะลงมติเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่อย่างเป็นทางการวันที่ 19 ธ.ค. และนายทรัมป์จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า

ความคืบหน้าเมื่อวันศุกร์ที่ 11 พ.ย.ตามเวลา ประเทศไทย การประท้วงชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังเกิดขึ้นในหลายเมือง แต่ที่รุนแรงที่สุดคือเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน กลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนเคลื่อนไหวเป็นคืนที่ 2 ตำรวจระบุการประท้วงอย่างสงบเปลี่ยนเป็นความรุนแรงขั้นจลาจล เนื่องจากผู้ประท้วงบางส่วนถือไม้ถืออาวุธ และก้อนหินทุบทำลายกระจกหน้าต่างห้างร้านต่างๆ และรถยนต์หลายคัน อีกทั้งยังขว้างปาประทัดเข้าใส่ตำรวจ นอก เหนือจากการจุดไฟเผาถังขยะ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงส่วนใหญ่เป็นเยาวชน ซึ่งเห็นว่าชัยชนะของว่าที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ยิ่งจะสร้างความแตกแยกด้านเชื้อชาติและเพศมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เหตุประท้วงต่อต้านชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในอีกหลายเมืองทั่วสหรัฐฯเริ่มทุเลาลง โดยการประท้วงที่เมืองมินเนอาโปลิส รัฐมินเนโซตา ไม่มีรายงานเหตุรุนแรง แม้กลุ่มผู้ประท้วงพากันปิดถนนสายหลักที่แล่นระหว่างรัฐในช่วงสั้นๆ เช่นเดียวกับการประท้วงนายทรัมป์ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย กลุ่มผู้ประท้วงชุมนุมกันใกล้อาคารที่ว่าการประจำเมือง พร้อมชูป้ายต่อต้านนายทรัมป์ไม่ใช่ประธานาธิบดีของพวกตน รวมถึงป้ายข้อความสร้างอเมริกาให้ปลอดภัยสำหรับทุกคน

ส่วนการประท้วงที่เมืองบัลติมอร์ รัฐแมรีแลนด์ ดำเนินไปอย่างสงบ กลุ่มผู้ประท้วงราว 600 คนพากันเดินขบวนไปทั่วเมือง ส่งผลให้การจราจรติดขัด ขณะที่นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย กลุ่มผู้ประท้วงเป็นนักเรียนระดับมัธยมเคลื่อนไหวโบกธงสีรุ้งและธงชาติเม็กซิโกประท้วงนายทรัมป์ ที่นคร ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ผู้ประท้วงกลุ่มเล็กๆเคลื่อนไหวประท้วงบริเวณหน้าอาคารทรัมป์ ทาวน์เวอร์ ของนายทรัมป์ แสดงความไม่พอใจชัยชนะของนายทรัมป์ ทำให้ผู้สนับสนุนนายทรัมป์คนหนึ่งตะโกนจากรถยนต์ เรียกร้องให้ผู้ประท้วงหยุดการกระทำและยอมรับกระบวนการประชาธิปไตย ขณะที่บริเวณหน้าอาคารทรัมป์ ทาวน์เวอร์ ในมหานครนิวยอร์ก มีผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวต่อต้านชัยชนะของนายทรัมป์เป็นคืนที่ 2 ติดต่อกัน

ด้านความเคลื่อนไหวของว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ภายหลังทราบผลการเลือกตั้งได้ไม่ถึง 36 ชั่วโมง นายโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมนาง เมลาเนีย ทรัมป์ ภริยา ได้เดินทางด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวจากนิวยอร์ก ไปยังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เข้าพบหารือครั้งแรกกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ทำเนียบขาว โดยว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 กับประธานาธิบดีบารัค โอบามา พบพูดคุยกันแบบส่วนตัวในห้องทำงานรูปไข่ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาว การพูดคุยกันใช้เวลาเกือบ 90 นาที ทั้งสองคนพูดคุยกันหลายเรื่อง ทั้งประเด็นภายในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางบรรยากาศเป็นกันเอง ทั้งๆที่ช่วงการหาเสียงเลือกตั้งชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่างฝ่ายต่างกล่าวปราศรัยโจมตีกันอย่างดุเดือด นายทรัมป์ระบุถึงนายโอบามา ว่าเป็นผู้นำอเมริกาแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่นายโอบามาช่วยหาเสียงให้นางฮิลลารี ปราศรัยโจมตีนายทรัมป์ไม่มีคุณสมบัติพอจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ภายหลังการพูดคุยกันนานเกือบ 90 นาที นายทรัมป์กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบพูดคุยกับนายโอบามา ทั้งระบุตั้งความหวังจะได้รับคำปรึกษาจากนายโอบามาต่อไป ขณะที่นายโอบามากล่าวพร้อมให้ความช่วยเหลือการทำงานของนายทรัมป์ อ้างว่าความสำเร็จของนายทรัมป์ก็คือความสำเร็จของประเทศ ซึ่งหลังการพบเจรจา กันอย่างชื่นมื่น นายทรัมป์กับประธานาธิบดีโอบามา ได้จับมือแสดงความยินดีต่อกันด้วย ส่วนนางเมลาเนีย ทรัมป์ ว่าที่สตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ได้พบพูดคุย กับนางมิเชล โอบามา สตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ภายในทำเนียบขาวด้วย ทั้งนี้ นายทรัมป์ได้ส่งข้อความผ่านทวิตเตอร์ในเวลาต่อมาระบุ เขากับนายโอบามาต่างรู้สึกได้ถึงองค์ประกอบทางเคมีที่ต้องกัน เช่นเดียวกับนางเมลาเนียก็รู้สึกดีอย่างมากต่อการได้พบพูดคุยกับนางมิเชล โอบามา

วันเดียวกัน นายทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์อีกครั้ง ระบุเพิ่มเติมว่า “ผมเพิ่งประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งอย่างเสรี แต่กลับถูกบรรดา ผู้ประท้วงมืออาชีพปลุกปั่นโดยพวกสื่อมวลชนมาเดินขบวนต่อต้าน ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”

นายจอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ในนามของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เกี่ยวกับการประท้วงว่า นายโอบามาเชื่อในสิทธิของชาวอเมริกันที่จะประท้วงนายทรัมป์ ด้วยการไม่ใช้ความรุนแรง แต่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจำไว้ว่า ใน 1 วัน หรือ 2 วันแรกหลังการเลือกตั้ง พวกเราแบ่งข้างเป็นเดโมแครตและรีพับลิกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราต่างเป็นชาวอเมริกันผู้รักชาติ นี่คือสารที่นายโอบามาหวังว่าประชาชนส่วนใหญ่จะได้ยิน

ส่วนนายทรัมป์ประกาศระหว่างไปเยือนสภาคองเกรสในวันเดียวกันว่า เรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชน ความมั่นคงปลอดภัยตามพรมแดน และการสร้างงาน คือความสำคัญ 3 อันดับแรกของตนเมื่อขึ้นกุมอำนาจในทำเนียบขาว ด้านหนังสือ พิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่า นายสตีฟ แบนนอน หัวหน้าทีมรณรงค์หาเสียงของทรัมป์ คือตัวเก็งที่จะได้เป็นหัวหน้าคณะผู้ทำงานประจำทำเนียบขาวของนายทรัมป์ แต่นายเรนซ์ พรีบัส ประธานคณะกรรมการพรรครีพับลิกันแห่งชาติ ก็มีสิทธิเช่นกัน ด้านโฆษกรัฐบาลอังกฤษแถลงว่า นายทรัมป์ได้เชิญนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไปพบปะเยี่ยมเยือนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ขณะที่นายเบอร์นี แซนเดอร์ส ส.ว.รัฐเวอร์มอนต์ อดีตผู้สมัครชิงตัวแทนพรรคเดโมแครต คู่แข่งนาง ฮิลลารี คลินตัน กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ที่คนผิวขาวชนชั้นแรงงานนับล้านเลือกนายทรัมป์เป็นการแสดงให้เห็นว่าพรรคเดโมแครตเข้าไม่ถึงคนกลุ่มดังกล่าวอีกต่อไป ถือเป็นเรื่องน่าอับอาย เดโมแครตต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่ใช่มาบอกว่าเรายืนเคียงข้างชนชั้นแรงงาน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีความกล้าพอที่จะไปท้าชนกับกลุ่มนายทุนและกลุ่มตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ทั้งนี้ ตนพร้อมจะทำงานร่วมกับนายทรัมป์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชนชั้นแรงงาน แต่ส่วนตัวเชื่อว่านายทรัมป์เป็นของปลอม หวังว่าตนจะเข้าใจผิดในจุดนี้ ส่วนเรื่องข้อถามว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2563 หรือไม่นั้น มีเวลาอีกตั้ง 4 ปีที่จะตัดสินใจ ตนต้องเจอการเลือกตั้ง ส.ว.ก่อนในปี 2561 ค่อยๆทำไปทีละอย่าง ไม่ตัดความเป็นไปได้อะไรทั้งสิ้น

ส่วนนายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซียกล่าวว่า รัฐบาลมีความหวังว่ายุคที่นายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะทำความสัมพันธ์กับรัสเซียพัฒนาไปในทางดี และตนก็เห็นว่านโยบายต่างประเทศ ของนายทรัมป์มีความคล้ายคลึงกันกับนโยบายต่างประเทศของนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย จึงน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเจรจาใดๆ ในอนาคต นอกจากนี้ จากกรณีที่มีข้อกล่าวหาจากรัฐบาลสหรัฐฯว่า รัสเซียได้เข้ามาพัวพันในการเลือกตั้งสหรัฐฯที่ผ่านมา และแฮกระบบอีเมลของพรรคเดโมแครตนั้น นายเพสคอฟยอมรับว่า ผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลรัสเซียเคยติดต่อทีมหาเสียงของนายทรัมป์ในช่วงก่อนเลือกตั้ง แต่ก็ติดต่อทีมหาเสียงของนางฮิลลารีเช่นกัน ถือเป็นเรื่องปกติ รัสเซียอยากรับรู้จุดยืนของสองขั้วการเมืองที่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม นางโฮป ฮิคส์ โฆษกของนายทรัมป์กล่าวว่า เรื่องการติดต่อจากรัสเซียไม่เคยเกิดขึ้นแต่อย่างใด

นอกจากนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานด้วยว่า ในขณะที่สำนักโพลจำนวนมากต่างประเมินผลการเลือกตั้งครั้งนี้ผิด แต่ยังมีสำนักโพลขนาดเล็กที่ใช้วิธีการทำโพลแบบใหม่ วิเคราะห์สรุปออกมาอย่างถูกต้องว่านายทรัมป์จะชนะ อย่างสำนักโพลชื่อ “แบรนด์สอาย” จากแอฟริกาใต้ ที่ประเมินผลโพลจากข้อความส่วนตัวผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ และนำมาวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์หาค่าความพึงพอใจต่อนักการเมืองหรือสินค้าชนิดนั้นๆ จนทำให้สำนักโพลแห่งนี้ประเมินผลถูกต้อง ตั้งแต่การลงประชามติอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปมาจนถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯที่ผ่านมา

เมื่อเวลา 12.00 น. ที่กระทรวงการคลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมกระทรวงการคลัง และให้เตรียมรับมือความผันผวนจากนโยบาย หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯว่า เราเตรียมการมานานแล้ว ต้องไปดูว่าสิ่งที่ประธานาธิบดีคนใหม่พูดถึงนโยบายหลักๆมี 4 ข้อ มีรายละเอียดปลีกย่อยพอสมควร เราเตรียมมาตรการรองรับสิ่งเหล่านี้อยู่ เพราะไปบังคับใครไม่ได้ ตั้งหลักมานานพอสมควรแล้วอย่าไปตกใจ ตอนนี้นโยบายยังไม่มีผลกระทบอะไรกับเรา ที่ผ่านมาไทยไม่ได้ค้าขายกับเขาแค่ประเทศเดียว เราจะไปแยกตัวจากประเทศอื่นไม่ได้ โลกมีทั้งประเทศเล็กและประเทศใหญ่ มีการเปิดตลาดการค้าใหม่ๆแบบกลุ่มประเทศเพื่อเพิ่มมูลค้า ต้องดำเนินการให้สมดุลกับประเทศมหาอำนาจ รัฐบาลทำแบบนี้มาตลอด 2 ปี

นายกฯกล่าวต่อว่า อย่าไปกลัว เราต้องกล้าคิดและเตรียมการ ถ้ากลัวทุกอย่างก็แตกตื่นกันไปหมด หุ้นจะตก จะไปกลัวทำไม ต้องดูว่าเขาจะทำตามนโยบายที่พูดได้หรือเปล่า ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลก มันจำเป็น แต่ไม่อยากให้คนไทยเอาทุกอย่าง จากภายนอกมาตัดสินภายใน เพราะมันจะลำบาก ไปกันไม่ได้ ต้องมองว่าวันนี้เราอยู่ตรงไหนของเขา ที่ผ่านมาทุกประเทศเป็นแบบเรามา แต่เขาเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้เราอยู่ตรงไหนของเขา ถ้าเอากติกาข้างนอกเข้ามาเล่นตรงนี้ก็สู้เขาไม่ได้ เพราะไม่เข้มแข็งพอ เราต้องแก้ไขของเราว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนของเขา รีบอัพเดตจะได้ต่อรองกันได้ตอนนี้ทำตรงนี้อยู่ ไปเพิ่มการรวมกลุ่มในประเทศก็เช่นเดียวกัน

 

“ปฏิวัติเงียบ” ชูทรัมป์สู่อำนาจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 12 พ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/780112

 

ต้านทรัมป์–กลุ่มผู้ประท้วงชูแผ่นป้ายต่อต้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่หน้าศาลาเทศบาลในนครลอสแอนเจลิส หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ท่ามกลางความไม่พอใจของชาวอเมริกันจำนวนมาก ที่ก่อหวอดประท้วงในหลายเมือง (เอเอฟพี)

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 ทำเอาทั้งกูรูและโพลทุกสำนัก “หน้าแตก” กันถ้วนทั่ว เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งพรรครีพับลิกัน เอาชนะนางฮิลลารี คลินตัน แห่งพรรคเดโมแครต ขาดลอย ทำเอาทั้งโลกงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น!

จากสถิติการเลือกตั้งหนนี้ กลุ่มผู้ชายเทคะแนนให้ทรัมป์ถึง 53% เทียบกับคลินตัน 41% และในหมู่คนผิวขาวซึ่งไปลงคะแนนมากที่สุดราว 70% ของทั้งหมด โหวตให้ทรัมป์ถึง 58% เทียบกับคลินตัน 37% เฉพาะกลุ่มสตรีผิวขาวก็โหวตให้ทรัมป์มากกว่าที่ 53% ต่อ 43% แม้ในหมู่ชนกลุ่มน้อย ทั้งฮิสแปนิก คนผิวดำ คนเอเชียน และคนหนุ่มสาวจะโหวตให้คลินตันมากกว่า แต่ก็น้อยกว่าโหวตให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในปี 2555

นั่นสะท้อนว่า “คนผิวขาว” โดยเฉพาะชนชั้นผู้ทำงานทั้งชายและหญิง คนชนบท และผู้มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี เป็นพลังสำคัญที่อุ้มทรัมป์เข้าวิน แต่สาเหตุใหญ่จริงๆ เป็นเพราะอเมริกันชน “เบื่อหน่าย” รัฐบาลเดโมแครตของประธานาธิบดีบารัค โอบามาที่กุมอำนาจมา 8 ปี บวกกับโกรธเคือง “สถาบันการเมืองหลัก” ในวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็นพวกนักการเมืองชนชั้นสูง ซึ่งนำพาชาติไปผิดทิศทาง ไม่ได้ทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้น เศรษฐกิจแย่ คนว่างงานสูง อิทธิพลบนเวทีโลกก็ลดลง จนจีนและรัสเซียผงาดขึ้นทาบรัศมี

“พลังเงียบ” ของผู้ขุ่นแค้นที่รู้สึกว่าพวกตนถูกทอดทิ้งเหล่านี้เองที่เทคะแนนให้ทรัมป์!

ทรัมป์ซึ่งเป็นนักธุรกิจไม่เคยรับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ยัง “คิดนอกกรอบ” วางยุทธศาสตร์หาเสียงเอง ไม่สนที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญใดๆ โดยเน้นหาเสียงสไตล์มุทะลุดุดัน ชนดะ ไม่เว้นแม้เหล่าแกนนำพรรครีพับลิกันเอง ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาโดดเด่นชัดเจนในฐานะ “คนนอก” ผู้เป็นอิสระจากสถาบันการเมืองหลักน้ำเน่า ผู้อาจสร้าง “ความเปลี่ยนแปลง” (Change) แบบขุดรากถอนโคนได้

สโลแกนหาเสียงของทรัมป์ คือ “สร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง” (Make America Great Again) ก็มีพลังโดนใจชาวบ้านกว่าสโลแกนพื้นๆ “เข้มแข็งขึ้นไปด้วยกัน” (Stronger Together) ของคลินตันเยอะ

แม้มีเรื่องอื้อฉาวนับไม่ถ้วน ทั้งพูดจาดูหมิ่น ลวนลามผู้หญิง ชูนโยบายขับไล่คนต่างด้าวผิดกฎหมาย สร้างกำแพงกั้นพรมแดนกับเม็กซิโก ห้ามชาวมุสลิมเข้าประเทศ จะล้มข้อตกลงปารีสแก้ปัญหาโลกร้อนและข้อตกลงเขตการค้าเสรีต่างๆ ฯลฯ แต่ดูเหมือนชาวอเมริกันมากมายมองข้ามเรื่องแย่ๆ เหล่านี้

ทรัมป์ยังโชว์กึ๋นถึงความเป็นนักธุรกิจชั้นอ๋อง โดยใช้งบฯหาเสียงน้อยเป็นประวัติการณ์แค่ราว 270 ล้านดอลลาร์ หรือไม่ถึง 5 ดอลลาร์ต่อคน ในหมู่ผู้ลงคะแนนให้เขาทั้งหมดกว่า 59 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่าคลินตันเกือบครึ่ง (ราว 521 ล้านดอลลาร์) อีกทั้งใช้กลยุทธ์จุดประเด็นเผ็ดร้อนรายวัน ควบคุมโซเชียลมีเดียจนอยู่หมัด และดึงสื่อกระแสหลักให้ทำข่าวให้เขาฟรีๆ คิดเป็นเงินสูงลิบกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าคลินตันกว่า 2 เท่า ขณะที่คลินตันต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาทางทีวีมหาศาลกว่า 237 ล้านดอลลาร์ ไม่รวมค่าทีมงานหลายร้อยคนอีกกว่า 42 ล้านดอลลาร์

ส่วนคลินตันผู้คร่ำหวอดในวงการการเมืองมากว่า 30 ปี ทั้งเคยเป็น รมว.ต่างประเทศให้โอบามา งานนี้กลับกลายเป็นตัวแทน “สถาบันการเมืองเก่า” ของชนชั้นสูงไปโดยปริยาย ยิ่งคุยว่าตนมีประสบการณ์การเมืองสูงก็ยิ่งเข้าเนื้อ เพราะคนเห็นว่าอยู่มานานก็เท่านั้น ไม่มีผลงานโดดเด่นอะไร เลือกเธอก็เหมือนเลือกโอบามาอีกสมัย

สิ่งที่คนภายนอกมองว่าเป็น “จุดด้อย” ของทรัมป์ และเป็น “จุดเด่น” ของคลินตันที่ว่านี้ จึงส่งผลในทางตรงข้าม นอกเหนือจากจุดด้อยอื่นๆ ของคลินตัน รวมทั้งภาพลักษณ์เป็นคนรวย ห่างเหินคนรากหญ้า และธรรมชาติของเธอก็ไม่ใช่นักรณรงค์หาเสียงมืออาชีพ วาทะบนเวทีก็เรียบๆ ทื่อๆ บางทีดูห่างเหินเย็นชาไม่จริงใจ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่ทำให้แพ้โอบามาในการชิงเป็นตัวแทนพรรคไปชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีปี 2551 มาแล้ว

คลินตันยังมีปัญหาเรื่อง “ความน่าเชื่อถือไว้วางใจ” มาตลอด ไล่ตั้งแต่ช่วยปกป้องสามี อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ในคดีอื้อฉาวคาวกาม การพูดบิดเบือนกรณีสถานกงสุลในเมืองเบงกาซีในลิเบียถูกโจมตีจนทูตสหรัฐฯ เสียชีวิตขณะเป็น รมว.ต่างประเทศ และมูลนิธิคลินตันที่ถูกกล่าวหามีผลประโยชน์ทับซ้อน

ดังนั้น เมื่อมีการเปิดโปงว่าเธอใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมลส่วนตัวแทนของรัฐบาลขณะเป็น รมว.ต่างประเทศในปี 2551-2556 เสี่ยงทำให้ความลับรัฐบาลรั่วไหล เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ แม้เอฟบีไอจะเคลียร์ให้ถึง 2 รอบ แต่ภาพลักษณ์ “ขี้โกง” ยิ่งหนักขึ้น สลัดยังไงก็ไม่หลุด

ที่ชาวอเมริกันเลือกทรัมป์ อาจไม่ใช่เพราะชมชอบ แต่เป็นการ “ประท้วง” ชนชั้นสูงผู้เกาะกุมอำนาจมายาวนาน ซึ่งบางคนมองว่านี่คือ “การปฏิวัติเงียบ” โดยประชาชนผู้ถูกทอดทิ้ง!

ทีมข่าวต่างประเทศ