ม็อบต้าน ทรัมป์ ที่พอร์ตแลนด์ คลั่ง ก่อรุนแรง ตร.ต้องยกระดับเป็นจลาจล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 พ.ย. 2559 18:32

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/780627

 

ม็อบต้านโดนัลด์ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน บานปลาย เกิดเหตุรุนแรง จนตำรวจต้องประกาศยกระดับเป็นการก่อจลาจลแล้ว ขณะที่ ทรัมป์ โต้ เป็นม็อบมืออาชีพที่มีสื่อคอยยุยง

เมื่อ 11 พ.ย.59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์ประท้วงต่อต้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐฯ ในหลายเมืองของสหรัฐฯ ดำเนินติดต่อเป็นคืนที่ 2 โดยที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน เกิดเหตุรุนแรงเมื่อฝูงชนหลายพันคนที่ออกมาเดินขบวนต่อต้านนายทรัมป์ไปตามท้องถนน บริเวณทางตะวันตกของเมือง ได้ก่อเหตุรุนแรง ใช้ไม้และก้อนหิน ทุบทำลายกระจก ร้านค้า กระจกหน้าต่างรถยนต์หลายคัน จุดประทัด และเผาขยะในถังก่อให้เกิดเปลวไฟลุกโชน จนทำให้สถานการณ์ประท้วงในเมืองพอร์ตแลนด์เต็มไปด้วยความรุนแรง

จากสถานการณ์ประท้วงต่อต้านทรัมป์ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในเมืองพอร์ตแลนด์ ทำให้ สำนักงานตำรวจได้ประกาศให้การชุมนุมประท้วงในเมืองพอร์ตแลนด์ เป็นการก่อเหตุจลาจลแล้ว โดยตำหนิผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนคนหนุ่มคนสาวว่า ได้จุดประทัด และทำให้ถังขยะใหญ่เกิดไฟลุกไหม้ จนทำให้การประท้วงทวีความตึงเครียดและรุนแรงมากขี้น ขณะที่มีรายงานตำรวจในสหรัฐฯ ได้จับกุมผู้ก่อเหตุความไม่สงบในเมืองต่างๆระหว่างที่มีการชุมนุมประท้วงต่อต้านทรัมป์แล้ว 29 คน



บีบีซี แจ้งว่าการประท้วงไม่ยอมรับ ทรัมป์ ติดต่อเป็นคืนที่ 2 นี้ มีจำนวนผู้ออกมาชุมนุมน้อยกว่าคืนแรกในคืนวันพุธที่ 9 พ.ย. หลังการประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยผู้ชุมนุมต้านทรัมป์ มองว่า หากทรัมป์ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแล้ว จะยิ่งก่อให้เกิดความแตกแยกร้าวลึกในเรื่องการเหยียดสีผิว และการกีดกันทางเพศในประเทศ อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานเกิดเหตุรุนแรงในการประท้วงต่อต้านทรัมป์ในเมืองอื่นๆ ถึงแม้มีผู้ชุมนุมไม่ยอมรับทรัมป์ในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา ได้ออกมาชุมนุมปิดถนนบริเวณทางหลวงไฮเวย์ แต่ก็ไม่ได้เกิดเหตุรุนแรงแต่อย่างใด



ด้าน ทรัมป์ ได้วิพากษ์วิจารณ์ม็อบต่อต้านตนหลังไปพบกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ทำเนียบขาว โดยได้มีการทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ ว่าเพิ่งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เปิดกว้างมาก และเป็นการเลือกตั้งที่ประสบความสำเร็จผ่านไป แต่ตอนนี้ มีม็อบประท้วงมืออาชีพซึ่งถูกยุยงโดยสื่อ ซึ่งมันเป็นการประท้วงที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย.

 

ใครบ้างเลือก ทรัมป์เป็น ปธน.! 5 สำนักข่าวใหญ่มะกันร่วมสำรวจ ออกมาแล้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 พ.ย. 2559 15:28

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/780407

 

ใครบ้างเลือก โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี …5 สำนักข่าวใหญ่ในสหรัฐฯ จับมือทำโพลสำรวจผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชี้ ทรัมป์ ได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่าฮิลลารี คลินตัน จากชาวอเมริกันผิวขาว ผู้ชาย คนอายุ 45 ขึ้นไป

เมื่อ 11 พ.ย.59 สำนักข่าวบีบีซี รายงานศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 ซึ่งจบลงไปแล้ว ด้วยชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันไปอย่างเหนือความคาดหมาย หลังจากที่ผ่านมา ผลโพลสำรวจคะแนนนิยมออกมาว่า นางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต เป็นฝ่ายมีคะแนนนำมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดความอยากรู้ว่า ใครบ้างในสหรัฐฯ ที่โหวตเลือกทรัมป์ให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ

จากผลวิเคราะห์จากเอดิสัน รีเสิร์จ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของสำนักข่าว ABC News, AP, CBS News, CNN และ NBC News จัดทำโพลสอบถามผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยได้สุ่มสอบถามผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 25,000 คน จากจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งกว่า 120 ล้านคน พบว่า ผู้ชายอเมริกัน โหวตเลือก ทรัมป์ มากกว่านางฮิลลารี อยู่ที่ร้อยละ 53 ต่อ 41 ขณะที่ ผู้หญิง เลือกฮิลลารี มากกว่า อยู่ที่ร้อยละ 54 และเลือกทรัมป์ เพียง 42%


ขณะเดียวกัน ชาวอเมริกันผิวขาว โหวตเลือก ทรัมป์ ถึงร้อยละ 58 ต่อ 37 ขณะที่คนผิวสี สนับสนุนฮิลลารีมากกว่า ถึง 88% และเลือกทรัมป์เพียง 8% เท่านั้น ส่วนชาวอเมริกันเชื้อสายฮิสแปนิก หรือพูดภาษาสเปน เลือกทรัมป์ แค่ 29% และสนับสนุนฮิลลารีถึง 65% ในขณะที่ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ก็เลือกทรัมป์น้อยกว่า เพียงร้อยละ 29 แต่เลือกฮิลลารีถึง 65%

และเมื่อจำแนกตามช่วงอายุพบว่า คนส่วนใหญ่ที่โหวตให้ทรัมป์นั้นเป็นคนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป จนถึง 65+ ส่วนคลินตันนั้นเป็นขวัญใจคนหนุ่มคนสาว เพราะผลสำรวจออกมาว่า คนในช่วงอายุ 18-29 ปี เลือกทรัมป์เพียง ร้อยละ 37 และเลือกฮิลลารีร้อยละ 55 ขณะที่อายุ 30-44 เลือกทรัมป์ ร้อยละ 42 และเลือกฮิลลารี ร้อยละ 50 แต่ช่วงอายุ 45-64 ปี เลือกทรัมป์ 53% คลินตัน 44% และอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปเลือก ทรัมป์ 53% และคลินตัน 45%


สำหรับนโยบายสุดโต่งของทรัมป์ โดยเฉพาะการสร้างกำแพงกั้นชายแดนติดเม็กซิโกเพื่อป้องกันคนลักลอบเข้าเมือง ปรากฏว่า ร้อยละ 10 ของผู้ที่สนับสนุนความคิดของทรัมป์ในเรื่องนี้โหวตเลือกนางฮิลลารี ขณะที่ ร้อยละ 5 ของผู้ที่คิดว่าประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐฯ ควรดำเนินตามนโยบายของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้โหวตเลือกทรัมป์

ขณะเดียวกัน คะแนนเสียงหลักที่สนับสนุนนางฮิลลารี ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 1,750,000 ล้านบาทต่อปี) เลือกนางฮิลลารีอยู่ที่ร้อยละ 52 ต่อ 41 ส่วนชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่อปีสูงกว่า 50,000 ดอลลาร์ เลือกทรัมป์ 49% ต่อ 47%


นอกจากนั้น ยังเกิดการสวิงของคะแนน ชาวอเมริกันที่ไม่จบการศึกษาระดับมัธยมปลาย ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ เพราะปรากฏว่า คนไม่จบชั้น ม.ปลาย เลือก ทรัมป์ มากกว่า อยู่ที่ร้อยละ 51 ต่อ 45 หลังจาก 4 ปีก่อน คนไม่จบ ม.ปลาย เลือกโอบามา จากพรรคเดโมแครต ถึง 64% และเลือกนายมิตต์ รอมนีย์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันชิงประธานาธิบดีแค่ 35% เท่านั้น ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ยังพบว่า ทรัมป์ได้คะแนนในเขตชนบท มากกว่านางฮิลลารี อยู่ที่ 62% ต่อ 34% ส่วน ชานเมือง เลือกทรัมป์ 50% ต่อ 45% ในขณะที่คลินตัน ชนะในพื้นที่เขตเมือง มากกว่าทรัมป์ อยู่ที่ 59% ต่อ 35%.

ที่มา : BBC

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตื่นมานึกว่าฝันไป ทรัมป์เป็นปธน. ช็อก ดีใจ เสียใจ คนไทยในUS คิดอย่างไร

 

เครียด!เรือพิฆาตรัสเซียไล่เรือดำน้ำดัตช์ แอบสอดแนมเรือAdmiral Kuznetsov

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 พ.ย. 2559 11:53

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/780226

 

(ภาพประกอบ เรือดำน้ำของเนเธอร์แลนด์)

กองกำลังรัสเซีย ส่งเรือพิฆาต 2 ลำ กดดันและขับไล่เรือดำน้ำดัตช์ แอบเข้ามาป้วนเปี้ยนสอดแนม ใกล้เรือบรรทุกเครื่องบินลำยักษ์ Admiral Kuznetsov ของกองทัพเรือรัสเซีย หลังเพิ่งถูกส่งมายังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนสร้างความฮือฮา และทำให้ชาติตะวันตกและสหรัฐฯ กังวลใจต่อการแสดงแสนยานุภาพทางทหารของรัสเซีย

เมื่อ 11 พ.ย. 59 สำนักข่าวบีบีซีรายงาน เกิดเหตุระทึกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนระหว่างรัสเซียกับชาติตะวันตก เมื่อเรือพิฆาตต่อต้านเรือดำน้ำของรัสเซีย 2 ลำ คือ Severomorsk (เซเวโรมอร์สก์) และ Vice-Admiral Kulakov (พลเรือโทคูลาคอฟ) ต้องถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจขับไล่เรือดำน้ำของเนเธอร์แลนด์ (ดัตช์) ลำหนึ่ง ที่แอบเข้ามาสอดแนมใกล้กับเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่มาก ‘Admiral Kuznetsov’ (จอมพล คูซเนตซอฟ) ซึ่งกองทัพเรือรัสเซียเพิ่งส่งมาปฏิบัติภารกิจพร้อมกับกองเรือรบในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อเดือนก่อน ซึ่งคาดว่าเพื่อเข้าร่วมในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในซีเรีย

กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงการณ์ เรือพิฆาตของกองทัพเรือรัสเซีย 2 ลำ ได้ปฏิบัติการไล่เรือดำน้ำของเนเธอร์แลนด์ขณะอยู่ห่างจากเรือบรรทุกเครื่องบิน Admiral Kuznetsov ประมาณ 20 กม. ขณะที่องค์กรสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) อ้างถึงกรณีที่เรือดำน้ำเนเธอร์แลนด์ กำลังสอดแนมกองเรือรบและเรือบรรทุกเครื่องบิน Admiral Kuznetsov ว่าเป็นไปตามมาตรการและแนวทางที่ต้องรับผิดชอบ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่ง แย้มว่า กองทัพของบรรดาพันธมิตรชาติตะวันตกไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่บอกว่าได้มีการสังเกตการณ์กองเรือรบของรัสเซียมาเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์แล้ว


เรือบรรทุกเครื่องบิน ‘Admiral Kuznetsov’

บีบีซี ระบุว่า หลังจาก กระทรวงกลาโหมรัสเซีย ออกมาแถลงข่าวดังกล่าว แต่กองทัพเนเธอร์แลนด์ได้ทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ ไม่แสดงความเห็นใดๆ ต่อปฏิบัติการของเรือดำน้ำของเนเธอร์แลนด์ ขณะที่ บีบีซี สื่อยักษ์ใหญ่ในอังกฤษ แจ้งว่าไม่สามารถให้ความกระจ่างชัดได้เกี่ยวกับบริเวณที่เรือพิฆาตรัสเซียไล่เรือดำน้ำรัสเซีย แต่มีรายงานช้ินหนึ่งระบุว่า เกิดขึ้นขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบิน Admiral Kuznetsov อยู่ห่างจากท่าเรือของเมืองลาตาเกีย ในประเทศซีเรีย ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 100 กม.


เรือบรรทุกเครื่องบิน ‘Admiral Kuznetsov’ขณะมุ่งหน้ามายังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อ18 ต.ค.59

ด้านอิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ยังเผยรายละเอียดด้วยว่า เรือพิฆาตต่อต้านเรือดำน้ำทั้ง 2 ลำของรัสเซีย สามารถระบุหาตำแหน่งของเรือดำน้ำที่เข้ามาสอดแนมได้อย่างง่ายดาย ขณะอยู่ห่างจากเรือบรรทุกเครื่องบิน Admiral Kuznetsov 20 กิโลเมตร โดยใช้ระบบที่ติดตั้งอยู่บนเรือ และข้อมูลที่ได้จากเฮลิคอปเตอร์ต่อต้านเรือดำน้ำ และพบว่าเรือดำน้ำของเนเธอร์แลนด์พยายามติดตามเรือบรรทุกเครื่องบิน Admiral Kuznetsov เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว จึงจำเป็นต้องกดดันให้ออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่ โฆษกระทรวงกลาโหมรัสเซียยังประณามภารกิจของเรือดำน้ำเนเธอร์แลนด์ว่า เป็นการกระทำที่เซ่อซ่าและเป็นอันตราย

ที่มา : BBC

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

ระทึก! เรือบรรทุกเครื่องบินลำมหึมา รัสเซีย ผ่านช่องแคบอังกฤษ ไปซีเรีย

 

นย.สหรัฐฯ เผชิญปัญหาฝูงบิน เอฟ/เอ-18 มีเครื่องไม่พอใช้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 พ.ย. 2559 10:58

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/779921

 

นย.สหรัฐฯ เผชิญปัญหาฝูงบิน เอฟ/เอ-18 มีเครื่องไม่พอใช้ หลังเกิดอุบัติเหตุสูญเสียอย่างต่อเนื่อง โดยกระทบต่อความพร้อมในการรบแล้ว หลังบางฝูงบินแทบไม่มีเครื่องบินไว้ปฏิบัติการ ขณะที่นักบินได้ทำการบินเพียงคนละ 4-6 ชม.ต่อเดือน…

เมื่อเวลา 11.43 น. วันที่ 9 พ.ย. 2559 ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ที่เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เครื่องบินขับไล่โจมตีแบบ เอฟ/เอ-18 ซี ฮอร์เน็ต (F/A-18C Hornet) จำนวน 2 ลำของกองบินนาวิกโยธินสหรัฐฯ (USMC.) จากฝูงบินนาวิกโยธินที่ 3 สถานีการบินนาวิกโยธินมิราม่า (MCAS Miramar) ประสบอุบัติเหตุบินชนกันเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างการฝึกบิน โดยนักบินของเครื่องบินลำแรก สามารถประคองเครื่องร่อนลงจอดฉุกเฉินที่สถานีการบินทหารเรือ นอร์ทไอส์แลนด์ได้อย่างปลอดภัย ส่วนเครื่องบินอีกลำเสียหายหนัก นักบินไม่สามารถควบคุมเครื่องได้ ต้องดีดตัวออกมาอย่างปลอดภัย โดยเขาลอยคออยู่กลางทะเล และได้รับการช่วยเหลือจากเฮลิคอปเตอร์กู้ภัย MH-60 ที่ปฏิบัติการใกล้ๆ กับเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส.คาร์ล วินสัน โดยนักบินได้รับการช่วยเหลือขึ้นจากทะเล หลังจากลอยคออยู่ในน้ำราว 1 ชั่วโมง


อุบัติเหตุครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 4 แล้วสำหรับ ฝูงบินเอฟ/เอ-18 ของทหารเรือ โดยในปีนี้ ทร.สหรัฐ สูญเสียเครื่องบินชนิดนี้ไปแล้วถึง 8 ลำ ในจำนวนนี้ 4 ลำเป็นของ นย.สหรัฐ

ก่อนหน้านี้ เมื่อ 25 ต.ค. 2559 เอฟ/เอ-18 ซี ฮอร์เน็ต ของฝูงบิน VMFA-251 ‘ธันเดอร์โบลด์’ ตกกระแทกพื้น ขณะกำลังร่อนลงจอดที่สนามบิน Twentynine Palms Strategic Expeditionary Landing Field


เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2559 เอฟ/เอ-18 ซี ฮอร์เน็ต ของฝูงบิน VMFA-232 ‘เรดเดวิล’ แต่นักบินสามารถดีดตัวได้อย่างปลอดภัย เฉพาะฝูงนี้ตกมาแล้วรวม 3 เครื่อง อีก 2 เครื่อง เอฟ/เอ-18 ซี ฮอร์เน็ต ตกขณะบินขึ้นจากฐานทัพอากาศเลคเทนฮีด ในอังกฤษ เมื่อเดือน ต.ค.ปี 2015 ก่อนที่เอฟ/เอ-18 ซี อีกลำ ตกที่ Twentynine Palms Strategic Expeditionary Landing Field เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ปี 2016 ทั้ง 2 เหตุการณ์นี้นักบินเสียชีวิต

จากอุบัติเหตุครั้งล่าสุด ทำให้มีการเพ่งเล็งไปที่ผลกระทบที่ส่งผลต่อความพร้อมของฝูงบินเครื่องบินเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ต เนื่องจากมีชั่วโมงบินที่ลดลง ที่กระทบต่อการปฏิบัติงานของฝูงบินอย่างมาก แม้ว่าจะไม่ได้มีการนำเอาประเด็นเรื่องอายุการใช้งาน มาเป็นเรื่องที่น่าห่วงของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ และ กองบินนาวิกโยธินสหรัฐฯ คือการพยายามแก้ปัญหาการขาดแคลนเครื่องบิน และรักษาเครื่องที่มีอยู่ให้มีความสมบูรณ์ทั้ง เอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ตรุ่นเก่าและ เอฟ/เอ-18 อี/เอฟ ซุปเปอร์ฮอร์เน็ตรุ่นใหม่

พลเรือโทจอห์น เดวิส รองผู้บัญชาการกองบินนาวิกโยธินสหรัฐ (USMC.) ได้กล่าวต่อสภาคองเกรสเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า กองบินนาวิกโยธินมีเครื่องบินเอฟ/เอ-18 ฮอร์เน็ต เพียง 87 ลำ ที่ใช้ปฏิบัติภารกิจได้ในปัจจุบัน จากความต้องการเครื่องบินตามแผนงานจำนวน 276 ลำ โดยยังต้องการเพิ่มอีกเป็น 174 ลำ ถึงจะเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน


เมื่อ 18 เดือนก่อน นย.สหรัฐฯ มีฝูงบิน เอฟ/เอ-18 เอ-ดี รวมทั้งหมด 12 ฝูง แต่ละฝูงมีประมาณ 12 เครื่อง และมีอีกกว่า 30 เครื่องที่ใช้ในฝูงฝึกบิน แต่เวลานี้ต้องลดเหลือเพียง 10 ฝูงบิน โดยแต่ละฝูงต้องจัดลำดับความสำคัญ แบ่งเครื่องบินให้กับฝูงที่มีการวางกำลังพลที่ต้องใช้งาน และเหลือให้ฝูงที่ไม่ได้ออกปฏิบัติการไว้ฝึกบินไม่กี่เครื่อง

เดวิส กล่าวอีกว่า มีเครื่องเหลือให้ฝึกบินไม่มากนักในแต่ละวัน ทำให้นำมาซึ่งเวลาในการบินที่ลดลง และการฝึกอบรมที่ต้องสั้นลงกว่าเดิม และที่สำคัญมากกว่านั้นนักบินต้องมานั่งรอเพื่อทำชั่วโมงบิน กระทบต่อความพร้อมรบของนักบิน บางฝูงเราสามารถให้นักบินได้บินแค่ 4-6 ชั่วโมงต่อเดือนเท่านั้น.

ที่มา : combataircraft

 

ไม่ยอมรับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 พ.ย. 2559 08:14

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/779977

 

ฝูงชนในนครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ชูป้ายทรัมป์ ไม่ใช่ประธานาธิบดีของฉัน เช่นเดียวกับในเมืองอื่นๆอย่างฟิลาเดลเฟีย บอสตัน ลอสแอนเจลิส ภายหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีปากจัดกลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45.

 

ต้านทรัมป์ลามหนัก เผารถตร.!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 พ.ย. 2559 07:13

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/779936

 

ไม่อยากได้-ผู้นําเผด็จการ ฮิลลารีให้อยู่ในความสงบ ‘อาเบะ’ไปสหรัฐขอนัดพบ

หลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯออกมาแบบพลิกความคาดหมาย ม็อบต้าน “โดนัลด์ ทรัมป์” ขยายไปกว่า 10 เมืองทั่วสหรัฐฯ ไม่เว้นแม้กระทั่งมหานครนิวยอร์กประชาชนหลายพันคนรวมตัวไปประท้วงถึงหน้าตึกทรัมป์ ทาวเวอร์ ย่านฟิฟธ์ อเวนิว จนเอฟเอเอประกาศห้ามบินชั่วคราวเหนือพื้นดิน 2,999 ฟุต ครอบคลุมย่านแมนฮัตตัน บรู๊คลินและย่านควีนส์ ถึงวันที่ 21 ม.ค. หลังพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดี 1 วัน ขณะที่นางฮิลลารีรับความพ่ายแพ้ วอนผู้สนับสนุนให้อยู่ในความสงบ ส่วนผู้นำหลายประเทศในเอเชีย-โอเชียเนีย ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย กลัวทิศทางด้านต่างประเทศสหรัฐฯเปลี่ยน ต่อสายตรงพูดคุยกับ “ทรัมป์” แล้ว ขณะที่ “อาเบะ” นายกฯญี่ปุ่น จะบิน ตรงไปหาที่สหรัฐฯอาทิตย์หน้า ควันหลงการพลิกล็อกบ่อนไอริชสูญเงินเป็นประวัติศาสตร์ถึง 5 ล้านยูโร ส่วนรัฐบาลไทยยังนิ่งดูสถานการณ์ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รมว.ต่างประเทศ เชื่อความสัมพันธ์ 183 ปี ยังแน่นแฟ้นเหมือนเดิม

จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 ที่เกิดการพลิกล็อกครั้งมโหฬาร เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน ที่คะแนนเป็นรองนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตมาตลอดการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งจากโพลทุกสำนัก และผลคะแนนการดีเบตระหว่างนายทรัมป์และนางฮิลลารีทั้ง 3 ครั้ง ที่คนอเมริกันเทคะแนนนางฮิลลารีชนะทุกครั้ง แต่หลังจากประชาชนชาวอเมริกันเข้าคูหาเลือกตั้ง ผลการลงคะแนนเสียงจริงออกมา ปรากฏว่า นายทรัมป์กวาดคะแนนเสียงเกิน 270 เสียง แซงหน้านางคลินตันชนิดไม่ต้องรอลุ้นถึงการนับคะแนนรัฐท้ายๆ สร้างความตื่นตะลึงให้กับชาวอเมริกันที่สนับสนุนนางฮิลลารี และชาวโลกที่จับตามองผลการเลือกตั้งของชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาอย่างใจจดใจจ่อ

“ทรัมป์” เข้าสาบานตนวันที่ 20 ม.ค.

ความคืบหน้าเมื่อวันอังคาร 8 พ.ย. ตามเวลาสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน คว้าชัยชนะเหนือนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต นายทรัมป์คว้าคะแนนคณะผู้เลือกตั้งจากทั้งหมด 538 เสียง ได้ถึงเกณฑ์เกินกว่าครึ่งหนึ่งก่อนคือ 270 เสียง ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 279 เสียง ส่วนนางฮิลลารี คลินตัน ได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 228 เสียง ทำให้นายทรัมป์ชนะได้รับเลือกตั้งดำรงตำแหน่ง “ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ” คณะผู้เลือกตั้งจะไปทำหน้าที่ลงมติเลือกประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่อย่างเป็นทางการวันที่ 19 ธ.ค. และประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่จะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า

ฝ่ายต้านหลายพันคนประท้วง

ชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อให้เกิดกระแสการประท้วงในหลายเมืองทั่วประเทศสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงคืนวันพุธ 9 พ.ย. ไล่ตั้งแต่ที่มหานครนิวยอร์ก ผู้คนจำนวนหลายพันคนต่างพากันเดินขบวนไปยังอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ตึกสูงทรัพย์สินของนายทรัมป์บนถนนย่านฟิฟธ์ อเวนิว ซึ่งคาดหมายว่า อาคารแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่นายทรัมป์ใช้รับมอบการถ่ายโอนอำนาจตำแหน่งประธานาธิบดี ผู้ประท้วงต่างพากันตะโกนต่อต้านนโยบายของนายทรัมป์หลายเรื่อง ตั้งแต่นโยบายด้านผู้อพยพ นโยบายสิทธิเสรีภาพกลุ่มคนรักร่วมเพศ นโยบายสิทธิการทำแท้งและอื่นๆ ทำให้ตำรวจต้องตั้งแนวสกัดกั้นผู้ประท้วงและเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยทั่วพื้นที่ นอกเหนือจากนั้นจับกุมผู้ประท้วงก่อความรุนแรง 15 คน

ที่โอ๊กแลนด์จุดไฟเผารถตำรวจ

ส่วนที่นครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย กลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านชัยชนะของนายทรัมป์ พากันเคลื่อนขบวนประท้วงบนถนนกลางย่านธุรกิจทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก ขณะที่การประท้วงในเมืองโอ๊กแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีผู้ประท้วงราว 7,000 คน บางส่วนขว้างปาขวดน้ำและประทัดเข้าใส่ตำรวจ ทั้งมีรายงานผู้ประท้วงจุดไฟเผารถตำรวจเสียหาย 2 คัน เช่นเดียวกับที่นครชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ผู้ประท้วงต่างพากันไปชุมนุมบริเวณอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ในนครชิคาโก พร้อมตะโกนคำต่อต้านนายทรัมป์ไม่ใช่ประธานาธิบดีของพวกตน ทั้งตะโกนคำพูดไม่ยอมรับผู้นำเหยียดสีผิวและเชื้อชาติ และไม่ต้องการผู้นำเผด็จการในสหรัฐอเมริกา ผู้ประท้วงบางส่วนแสดงท่าทีต้องการปฏิรูประบบการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้งหรือ Electoral College อ้างว่าระบบการเลือกตั้งแบบนี้น่าขัน

ประท้วงลามกว่า 10 เมืองทั่วสหรัฐฯ

นอกจากการเคลื่อนไหวประท้วงชัยชนะของนายทรัมป์ต่อนางคลินตัน ยังเกิดขึ้นในอีกหลายเมืองตั้งแต่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย นครบอสตัน รัฐแมสซาชูเสตต์ นครซีแอตเติ้ล รัฐวอชิงตัน รวมแล้วมากกว่า 10 เมือง แต่การประท้วงส่วนใหญ่ดำเนินไปอย่างสงบ ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงในเขตกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.มีการจุดเทียนแสดงความอาลัยบริเวณหน้าทำเนียบขาวด้วย

เอฟเอเอห้ามบินเหนือทรัมป์ทาวเวอร์

ขณะเดียวกัน สำนักงานการบินพลเรือนสหรัฐฯ (เอฟเอเอ) ประกาศเขตห้ามบินชั่วคราวเหนือน่านฟ้าอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในมหานครนิวยอร์ก ครอบคลุมย่านแมนฮัตตัน บรู๊คลิน และย่านควีนส์ เพื่อความปลอดภัย ห้ามอากาศยานทุกชนิดบินต่ำกว่าระดับความสูงเหนือพื้นดิน 2,999 ฟุต ยกเว้นอากาศยานของกองทัพสนับสนุนภารกิจของตำรวจลับ และอากาศยานของตำรวจกับอากาศยานฉุกเฉิน มาตรการนี้ให้มีผลบังคับใช้ไปจนถึง 21 ม.ค.ปีหน้า เนื่องจากห้วงเวลาดังกล่าวจะมีการใช้น่านฟ้าเคลื่อนขบวนเหล่าบุคคลสำคัญของประเทศ ทั้งนี้ตามปกติสำนักงานการบินพลเรือนสหรัฐฯสามารถออกประกาศจำกัดเขตห้ามบินชั่วคราวได้ทุกสถานการณ์พิเศษ หรือช่วงเวลาหวั่นเกิดภัยอันตราย

“ฮิลลารี” วอนผู้สนับสนุนอยู่ในความสงบ

ก่อนหน้านี้นางฮิลลารี คลินตัน ผู้พ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกแถลงที่มหานครนิวยอร์ก ประกาศยอมรับชัยชนะของนายทรัมป์ ทั้งเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนเธออยู่ในความสงบ และให้ โอกาสนายทรัมป์ได้ทำหน้าที่ตำแหน่งประธานาธิบดี ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวปราศรัยระบุเรียกร้องถึงชาวอเมริกันให้ยอมรับสนับสนุนนายทรัมป์ขึ้นทำหน้าที่ผู้นำประเทศ ทั้งเชื้อเชิญนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 พร้อมกับนางเมลาเนีย ทรัมป์ ภริยาเข้าพบหารือที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน และเพื่อให้นางเมลาเนีย ทรัมป์ พบเจอกับนางมิเชล โอบามา สตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ

หลังรับตำแหน่งเร่งฟื้นฟูสาธารณูปโภค

ส่วนท่าทีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศหลังทราบผลชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อช่วงเช้าวันพุธ 9 พ.ย.ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ระบุให้คำมั่นจะเร่งเยียวยาบาดแผลความแตกแยกภายในประเทศในฐานะประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน ทั้งระบุถึงชาวอเมริกันทุกคนล้วนต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ ทั้งนี้นายทรัมป์และทีมงานมีห้วงเวลาราว 10 สัปดาห์ก่อนถึงพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯอย่างเป็นทางการวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า เพื่อเตรียมขั้นตอนกระบวนการถ่ายโอนอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ หัวหน้าทีมงานดำเนินการเรื่องนี้คือ นายคริส คริสตี้ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ขณะที่ภาระหน้าที่ นายทรัมป์จะเร่งดำเนินการภายหลังจากรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯอย่างเป็นทางการคือ เร่งปรับปรุงฟื้นฟูเครือข่ายระบบสาธารณูปโภคทั่วประเทศ เร่งสร้างงานและเร่งกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เผยชื่อคณะทำงานประธานาธิบดี

ทั้งนี้ ภาระหน้าที่ของว่าที่ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ต้องดำเนินการลักษณะเดียวกันกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา คือต้องได้รับฟังสรุปงานด้านข่าวกรองของประเทศทุกวันจากเครือข่ายหน่วยงานด้านข่าวกรองของสหรัฐฯทั้งหมด 17 หน่วยงาน อย่างไรก็ตาม คณะทำงานของนายทรัมป์ยังไม่ชัดเจนว่าจะแต่งตั้งผู้ใดบ้างขึ้นดำรงตำแหน่งคณะผู้บริหารอาวุโส รวมถึงตำแหน่งหัวหน้าคณะทำงาน แต่คาดว่าผู้ที่จะมีบทบาทสำคัญในคณะทำงานของนายทรัมป์จะรวมถึงนายคริส คริสตี้ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ นายนิวต์ กิงริช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร นายรูดี้ กุยลิอานี อดีตนายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก

บ่อนไอร์แลนด์เจ๊งเป็นประวัติศาสตร์

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ชัยชนะของนายทรัมป์ ทำให้บ่อนพนันออนไลน์หลายแห่งสูญเสียเงินจำนวนมาก บางแห่งจ่ายเงินล่วงหน้าให้ผู้แทงนางคลินตันซึ่งเป็นผู้แพ้เพราะคาดว่าเธอต้องชนะ โฆษกเว็บไซต์รับพนันออนไลน์ “แพ็ดดี้ พาวเออร์” ในกรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ แถลงว่า สูญเสียเงินไปประมาณ 5 ล้านยูโร (ประมาณ 192.5 ล้านบาท) นับเป็นการสูญเสียเงินพนันทางการเมืองของบริษัทนี้ที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา และเงินจำนวนหนึ่งจ่ายล่วงหน้าให้ผู้พนันนางคลินตัน อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเปิดรับแทงพนันนายทรัมป์ต่อไป โดยพนันว่า เขาจะชนะการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ในปี 2563 หรือไม่ในอัตรา 4 ต่อ 1 รับพนันว่า เขาจะถูกรัฐสภาดำเนินกระบวนการถอดถอนสำเร็จหรือไม่ ในอัตรา 10 ต่อ 1 และเขาจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนกับเม็กซิโกได้จริงตามที่สัญญาไว้หรือไม่ในอัตรา 20 ต่อ 1

กระแสแรงหนังสือยังยอดขายพุ่ง

เอพียังรายงานว่า หลังนายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง หนังสือเกี่ยวกับตัวเขาในเว็บไซต์ซื้อขายสินค้าออนไลน์ “Amazon” มียอดขายพุ่งขึ้นอย่างมาก รวมทั้งหนังสือชื่อ “The Art of the Deal” (ศิลปะในการทำข้อตกลง) ยอดขายพุ่งขึ้นจากอันดับ 1,107 มาอยู่ที่ 24 ส่วนหนังสือ “Great Again” (ยิ่งใหญ่อีกครั้ง) ขึ้นจากอันดับ 5,340 มาอยู่ที่อันดับ 172

นายกฯออสเตรเลียเผยคุยกับทรัมป์แล้ว

ส่วนความเคลื่อนไหวของนานาชาติ หลังนายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีมัลคอล์ม เทิร์นบูล แห่งออสเตรเลียแถลงว่า ตนได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายทรัมป์อย่างอบอุ่นและเปิดเผย และว่านายทรัมป์มีพันธกรณีเสริมสร้างและรักษากำลังอำนาจทางทหารในเอเชีย รัฐบาลออสเตรเลียยังรีบให้สัตยาบันข้อตกลงปารีสเพื่อลดภาวะโลกร้อนในวันเดียวกัน หลังนายทรัมป์เคยประกาศจะยกเลิกข้อตกลงนี้ ส่วนธนาคารกลางนิวซีแลนด์ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.75% อ้างว่าเพราะสถานการณ์โลกไม่แน่นอนหลังนายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง

“อาเบะ” รีบไปสหรัฐฯกลัวทีพีพีล่ม

ส่วนโฆษกของนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ แห่งประเทศญี่ปุ่น แถลงว่า นายอาเบะโทรศัพท์หารือกับนายทรัมป์ราว 20 นาที และเขาจะเดินทางไปพบนายทรัมป์ที่นครนิวยอร์กด้วยในสัปดาห์หน้า วันเดียวกัน สภาผู้แทนฯญี่ปุ่นลงมติอนุมัติให้ญี่ปุ่น เข้าร่วมกลุ่มความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) ซึ่งสหรัฐฯเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง แต่นายทรัมป์ประกาศจะล้มเลิกเช่นกัน

เกาหลีเหนือขู่ “ทรัมป์” เปลี่ยนนโยบาย

ด้านประธานาธิบดีปัก กึน-เฮ แห่งเกาหลีใต้ โทรศัพท์หารือกับนายทรัมป์ ซึ่งสัญญาว่าสหรัฐฯจะยึดมั่นในพันธกรณีปกป้องเกาหลีใต้ตามข้อตกลงพันธมิตรด้านความมั่นคง ขณะที่หนังสือพิมพ์โนดอง ชินมุนของรัฐบาลเกาหลีเหนือ เตือนว่า รัฐบาลของนายทรัมป์ต้องเปลี่ยนนโยบายต่อเกาหลีเหนือที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง และว่าการผลักดันให้เกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์นั้นเป็นภาพลวงตาที่ล้าสมัยแล้ว

เม็กซิโกยันไม่ร่วมจ่ายค่าสร้างกำแพง

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างนักวิเคราะห์ว่า การที่นายทรัมป์ขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ทำให้ปากีสถานหวั่นกลัวว่าสหรัฐฯจะเปลี่ยนนโยบายไปกระชับสัมพันธ์กับอินเดีย คู่อริของปากีสถานแทน ส่วนคิวบาซึ่งเพิ่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐฯก็หวั่นวิตกว่า จะเกิดความไม่แน่นอน ด้านประธานาธิบดีเอนริเก เปนญา นีเอโต แห่งเม็กซิโก แถลงว่า จะร่วมทำงานกับนายทรัมป์เพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ แต่ย้ำว่าเม็กซิโกจะไม่ออกค่าใช้จ่ายในการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐฯดังที่นายทรัมป์ประกาศไว้

“แอมเนสตี้” กังวลเรื่องสิทธิมนุษยชน

ซาลิล เช็ตตี้ เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล แถลงหลังผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปรากฏว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกัน เป็นฝ่ายชนะ เตรียมขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 ในปี 2560 ข้อความดังต่อไปนี้ “ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ปลุกปั่นให้เกิดความน่ากลัวอย่างมากหลายครั้งตลอดการหาเสียงของเขา ส่งผล ให้เรากังวลอย่างมาก และไม่รู้ว่าจะคาดหวังเกี่ยวกับ ความตั้งใจจริงด้านสิทธิมนุษยชนในอนาคตจากเขาได้มากน้อยแค่ไหน ตอนนี้เขาต้องทิ้งเรื่องเหล่านี้ไว้ข้างหลัง ตลอดจนรับรองและปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯทั้งในและต่างประเทศ”

ร้องหยุดเหยียดเพศ–เชื้อชาติ

ด้านมาร์กาเรต หวง ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐฯ กล่าวว่า ช่วงก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ได้ฟังคำปราศรัยที่น่ากวนใจและรุนแรงจากว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์และคนอื่นๆคำพูดเหล่านั้นต้องไม่กลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาล การเหยียดเชื้อชาติ เหยียดเพศ และคำพูด ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอื่นๆของนายทรัมป์ไม่ได้รับการยอมรับในฐานะรัฐบาล ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องประกาศต่อสาธารณะว่า จะยึดถือในสิทธิมนุษยชนอันปราศจากการเลือกปฏิบัติ ตั้งแต่ค่ายกักกันไปจนถึงการทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เราได้เห็นตัวอย่างหายนะของผู้นำที่เลือกจะละเมิดพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯมาแล้วมากมาย ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งทุกคนควรตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้บริหารระดับสูงหรือสมาชิกสภาเมือง

“บิ๊กโด่ง” ไม่ตกใจ “ทรัมป์” เป็น ปธน.

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 10 พ.ย. ที่สถาบันป้องกันประเทศ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรรุ่นที่ 59 ตอนหนึ่งว่า “การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯหลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า จะกระทบประเทศไทยเพราะเห็นภาพผู้นำคนใหม่ที่น่าตกใจ แต่ผมขอบอกว่า อย่าตกใจไป ถ้าติดตามจะเห็นว่า ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่มีการเปลี่ยนแปลงบุคลิกที่มีความสุขุมรอบคอบดูแล้วไม่น่าวิตกใดๆ ฉะนั้นการเมืองระหว่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า การปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆของชาติมหาอำนาจจะมีความเกี่ยวพันกับความมั่นคงในชาติ”

เชื่อสัมพันธ์ไทย–สหรัฐฯดีเหมือนเดิม

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่า ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ 183 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนเรามีความคุ้นเคยกัน เพียงแต่ในช่วงนี้คนสนใจนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะที่เป็นบุคคลจากอีกวงการหนึ่งซึ่งเข้ามาสู่การเมืองและมีสีสัน จากการแสดงท่าทีที่ไม่เป็นแบบนักการเมืองปกติ แต่มาจากมุมมองด้านธุรกิจ หากไปดูรายการดิแอพเพรนติส ที่ทรัมป์เคยจัดจะรู้ว่ามีวิธีบริหารจัดการคนอย่างไร เป็นส่วนหนึ่งที่คาดว่า จะถูกนำมาใช้ในการบริหารประเทศต่อไป เท่าที่ฟังนโยบายที่พูดมามีอะไรน่าสนใจเยอะ รวมถึงในสหรัฐฯเองที่เคยไปลงทุนที่อื่น แต่เชื่อว่าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้นำอย่างไรก็มีเจตนาที่ดีต่อประเทศชาติ ประชาชน และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.พูดว่า เราจะสามารถไปช่วยเหลือสร้างงานให้เขาได้บ้างหรือไม่ เพราะการลงทุนของไทยขณะนี้เป็นเรื่องสองทาง คือทั้งเอาคนของเขามาลงทุนและเอาคนของเราออกไปลงทุน ดังนั้นต่อไปในอนาคตสิ่งที่เห็นคงเป็นไปในทางที่ดีเหมือนในอดีต โดยเฉพาะถ้ามีความเคารพซึ่งกันและกัน

แนะคนไทยอยู่สหรัฐฯอย่าล่องลอย

เมื่อถามว่า นโยบายแข็งกร้าวต่อผู้อพยพจะส่งผลกระทบกับคนไทยที่เข้าไปอยู่ในสหรัฐฯอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ นายดอนตอบว่า เมื่อไปอยู่ในสังคมใด ทุกคนต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ ถ้าเราทำตัวให้เป็นประโยชน์ มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน และทำให้เกิดประโยชน์กับสังคมของเขาจะยอมรับ แต่ไม่ใช่ไปล่องลอยทำอะไรไม่เกิดคุณค่า หรือทำผิดกฎหมาย อาจเป็นเป้าได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องเหล่านี้เป็นที่รับรู้กันมานานแล้ว ขอให้ทุกคนปรับตัว

“อภิสิทธิ์” ชี้เหตุ “ทรัมป์” พลิกชนะ

ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเลือกนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชี้ให้เห็นว่าในที่สุดคนอเมริกันจำนวนมากมีความรู้สึกว่าไม่ได้รับประโยชน์ อะไรจากความก้าวหน้า และมีความรู้สึกสูญเสียสิ่งที่เคยมีบางสิ่งบางอย่างเช่น มีความรู้สึกว่าเมืองนี้ เคยเป็นเมืองอุตสาหกรรม เคยมีสถานที่ประกอบการจ้างงานต่างๆแต่สูญเสียไปให้ต่างชาติ นายทรัมป์มาเล่นกับความรู้สึกตรงนี้ว่า ตัวเองเป็นเจ้าของประเทศ และพูดถึงคนผิวขาวที่ยังมีลักษณะเหยียดผิวและเพศอยู่จำนวนหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่านายทรัมป์เล่นกับ กระแสความรู้สึกแบบนี้ คนจำนวนมากคิดว่าคนที่มีความรู้สึกแบบนี้เหลือน้อยแล้ว ล้าสมัย ตกยุคไปแล้วต้องมาทบทวนใหม่ อย่าลืมว่าจนถึงนาทีสุดท้ายนายทรัมป์ที่ใครๆบอกว่า ตอนเริ่มต้นไปพูดพาดพิงในเชิงดูถูกไม่น่าเป็นที่ยอมรับ จนถึงแทบจะวันสุดท้ายก็ไม่มีการปรับเลย แต่รักษากระแสและคะแนนเสียงของตัวเองไว้ได้ แต่เมื่อนายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีแล้วต้องติดตามต่อว่า จะปรับท่าทีที่ดุดันนี้หรือไม่ เพราะเท่าที่ฟังการปราศรัยครั้งแรกหลังจากชนะก็พยายามจะลดโทนลง ถ้าคนส่วนใหญ่ยังไม่สามารถรู้สึกได้ว่าเขาได้ประโยชน์ด้วย ในที่สุด จะมีปฏิกิริยาโต้กลับ

ชี้ไม่ยึดกรอบเดิมเป็นผลบวกกับไทย

นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า เมื่อนายทรัมป์เป็นประธานาธิบดีแล้ว จะมีผลต่อโลกอย่างไรบ้าง คงต้องขึ้นอยู่กับตัวนโยบายเมื่อเข้าไปทำงาน เพราะในที่สุดต้องมีเรื่องของผลประโยชน์ที่สอดคล้องและขัดแย้งกันบ้าง ถ้าจะมองว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งเป็นโอกาส แต่ประสบการณ์ที่น้อยของนายทรัมป์อาจเป็นทั้งจุดแข็งก็ได้ จุดอ่อนก็ได้ ขึ้นอยู่ว่าจะเล่นกับมันอย่างไร ส่วนจะมีผลกับเอเชียหรือกับประเทศไทยอย่างไร ตนคิดว่าอาจจะบวกขึ้นคือ นายทรัมป์อาจจะไม่ค่อยยึดติดกับเรื่องของกรอบเดิมๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองไทยในสายตาตะวันตก หลุดไปจากกรอบของเขาคือ มีปฏิวัติ มีการเดินขบวน บอยคอตเลือกตั้ง แล้วเขาไม่ได้มารู้รายละเอียดทั้งหมด ตนจึงคิดว่านายทรัมป์จะไม่ค่อยติดกรอบตรงนี้ ในแง่นี้อาจจะเป็นบวกก็ได้ อาจจะมาสร้างความสัมพันธ์โดยไม่ต้องสนใจการเมืองไทยเท่าไหร่ แต่อีกด้านถ้านายทรัมป์มีความเชื่ออย่างที่เคยพูดว่า สหรัฐฯเสียเปรียบเพราะว่าประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายเอาเปรียบ อย่างนั้นน่าจะเจอกับปัญหาการกีดกันทางการค้า ต้องดูว่าเขาจะไปแนวไหน

พท.ผวาแทนจี้หาทางรับมือ “ทรัมป์”

วันเดียวกัน ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต ทีม สำนักเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ต้องรีบทำคือ การศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย เตรียมมาตรการรองรับไว้แต่เนิ่นๆ เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศตัวชัดเจนว่า จะกวาดล้างชาวต่างชาติหลบหนีเข้าเมืองโดยผิด กฎหมาย ที่อาจมีคนไทยรวมอยู่ด้วย พล.อ.ประยุทธ์ ต้องสั่งให้เร่งตรวจสอบตัวเลขคนไทยที่อยู่ในสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมายเพื่อเตรียมช่วยเหลือแต่เนิ่นๆ อย่ารอจนเกิดปัญหาแล้วมาโอดครวญว่า ไม่มีปัญญาที่จะแก้ และต้องเตรียมรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯอาจออกมาตรการกีดกันทางการค้า เพราะนักวิเคราะห์เชื่อว่าสหรัฐฯจะมีมาตรการแข็งกร้าวกับจีนที่อาจส่งผลกระทบต่อไทย กระทรวงการต่างประเทศอย่าให้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างภาพคอยแก้ตัว เวลาถูกชาวโลกประณามว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือสั่งเจ้าหน้าที่ทูตไปล็อบบี้ให้เชิญไปประชุมเพื่อลดปมด้อย และที่ยังน่าสงสัยคือ เบื้องหลังการล็อบบี้นั้นนำผลประโยชน์ของประเทศไปแลกมาด้วยหรือเปล่า

แขวะต้องเร่งกลับสู่ประชาธิปไตย

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับชาวสหรัฐฯ ที่เลือกนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ชนิดหักปากกาเซียน แสดงให้เห็นว่า ประชาชนสหรัฐฯต้องการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เพราะเชื่อว่านายทรัมป์จะบริหารเศรษฐกิจได้ดีกว่า สหรัฐฯน่าจะมีนโยบายให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น และเอาใจมิตรประเทศน้อยลง ส่วนประเทศไทยควรจะต้องกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย เร็วขึ้น เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก เพราะความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯน่าจะดีขึ้นหลังจากไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คนไทยคงคิดไม่ได้แตกต่างกับคนสหรัฐฯ ที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงและมีผู้นำที่มีแนวคิดใหม่ๆในการพัฒนาประเทศ และอยากจะออกจากวังวนเดิม รัฐบาล ต้องทำตัวให้เล็กลงประชาชนต้องใหญ่ขึ้น งบประมาณต้องถึงมือประชาชนไม่ใช่เข้ากระเป๋าคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

อยากเห็นคนไทยใจกว้างรับความจริง

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.ต่างประเทศ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือพลิกล็อก พรรคเดโมแครตบริหารประเทศมา 8 ปีแล้ว อาจไม่ได้ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอเมริกันดีขึ้น จึงต้องการความเปลี่ยนแปลง หรือต้องการทดลองให้ได้ผู้นำที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจจนร่ำรวยมาบริหารประเทศ นอกจากนี้ อาจต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารตามนโยบายหลักของพรรครีพับลิกัน ที่ให้ความสำคัญกับกิจการภายในประเทศมากกว่ากิจการด้านการต่างประเทศ คนอเมริกันจะเปิดโอกาสให้คนที่จะเป็นผู้นำคนใหม่ได้บริหารงานจนครบ 4 ปีตามวาระ จะไม่มานั่งคอยแย่งชิงตำแหน่งหรือจ้องทำลายใส่ร้ายกันเอง ตนอยากเห็นนักการเมือง ข้าราชการ และคนไทยนำมาเป็นแบบอย่าง อยากให้คนไทยเปิดใจกันให้กว้าง ยอมรับความจริงและยึดมั่นในขบวนการความยุติธรรมที่แท้จริง

“ทักษิณ” ตั้งตารอร่วมงาน “ทรัมป์”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ย. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ส่งจดหมายแสดงความยินดีถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ชนะการเลือกตั้งชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯว่า ขอแสดงความยินดีต่อชัยชนะอันเป็นประวัติศาสตร์ ขอส่งความปรารถนาดีสำหรับความสำเร็จของท่าน ในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี เชื่อมั่นว่าความรู้ความสามารถของท่าน จะสามารถนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่สหรัฐอเมริกา และสามารถนำพาสหรัฐฯไปสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง และยังเชื่อมั่นอีกว่า ภายใต้การนำประเทศของท่าน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาจะยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นไปอีก พวกเรายังตั้งตารอคอยที่จะประสานงานกับรัฐบาลของท่านในอนาคตอันใกล้

“ปู” เชื่อสัมพันธ์ 2 ปท.แน่นแฟ้นขึ้น

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ส่งจดหมายถึงนายทรัมป์ใจความว่า ขอแสดงความยินดีต่อชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของท่าน สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยมีความแน่นแฟ้น ต่อกันมายาวนาน ทั้งทางด้านการค้าระหว่างประเทศ การลงทุน สาธารณสุข วัฒนธรรม และความมั่นคง เชื่อมั่นว่า ภายใต้การเป็นผู้นำของท่าน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาจะยิ่งแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น อันจะนำไปสู่ประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ขอส่งความปรารถนาดีให้ท่านสำเร็จในการนำพาสหรัฐอเมริกาเติบโตอย่างมั่งคั่ง

ตำรวจไม่พบการประท้วงผลเลือกตั้งสหรัฐฯ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากการตรวจสอบด้านการข่าวจนถึงขณะนี้ยังไม่พบการประท้วงต่อต้านลักษณะรุนแรงในประเทศ ไทย ประเทศไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ประมาท และมีการเฝ้าระวังด้านการข่าวตลอด มีการจัดกำลังดูแลสถานที่เชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเท่านั้น แต่ดูแลสถานที่สำคัญทุกแห่ง ตลอดจนจับตาดูพลเมืองของสหรัฐฯ ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวหรือพำนักที่ประเทศ ไทยด้วย ขอให้ประชาชนอย่าเป็นห่วง เพราะตอนนี้ เป็นเรื่องของการเมืองในประเทศนั้นๆ ส่วนกรณีหน่วยงานความมั่นคงของไทยแจ้งเตือนการก่อวินาศกรรมเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ขอย้ำว่าการแจ้งเตือนดังกล่าวเป็นการแจ้งตามปกติ แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนตลอดจนนักท่องเที่ยวมาโดยตลอด

 

โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำใหม่อเมริกา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 พ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/779146

 

2 ผู้ชนะ–นายโดนัลด์ ทรัมป์ (ขวา) ประกาศชัยชนะ พร้อมจับมือนายไมค์ เพนซ์.

ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ได้ประธานาธิบดีคนใหม่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจวัย 70 ปี ตัวแทนพรรครีพับลิกัน พลิกล็อกชนะนางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต

ทรัมป์ยังเป็นนักธุรกิจมหาเศรษฐีคนแรกที่ได้เป็นประธานาธิบดีทั้งที่ไม่เคยมีตำแหน่งทางการเมืองมาก่อน และเป็นประธานาธิบดีที่แก่ที่สุดในวัย 70 ปี พอๆกับนายโรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนที่ 40 สังกัดพรรครีพับลิกันเช่นกัน

โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ เกิดเมื่อ 14 มิ.ย. 1946 เขตควีนส์โบโร นครนิวยอร์ก นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จนกลายเป็นมหาเศรษฐี มีทั้งโรงแรม, คอนโดมิเนียม และกาสิโนหลายแห่งทั่วโลก แถมยังมีธุรกิจด้านบันเทิงและเจ้าของสิทธิ์การประกวดมิสยูนิเวิร์ส

เขาเป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวน 5 คนของนายเฟรด ทรัมป์ เศรษฐีนักพัฒนาที่ดินในนครนิวยอร์ก ทำให้เจริญรอยตามบิดา หลังจบการศึกษาด้านธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ซึ่งตอนนั้นมีสถาบันไม่กี่แห่งในสหรัฐฯ ที่สอนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เขาได้รับปริญญาสาขาเศรษฐศาสตร์ และเข้าทำงานให้บริษัทเอลิซาเบธ ทรัมป์ แอนด์ซันของพ่อ และเป็นผู้สืบทอดกิจการหมายเลข 1 ของบิดา จนเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น ทรัมป์ ออร์แกไนเซชั่น ในปี 1971

จากนั้นเขาได้ขยายธุรกิจของครอบครัวไปทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในแมนฮัตตัน ซึ่งผลงานชิ้นแรกได้แก่ การแปลงสภาพโรงแรมเก่าคอมโมดอร์ โฮเทล ให้เป็นโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท นิวยอร์ก ที่มีความทันสมัยและสร้างทรัมป์ ทาวเวอร์ อาคารที่พักอาศัยสูง 68 ชั้น รวมทั้งขยายธุรกิจไปเรื่อยๆทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากประสบความสำเร็จจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว เขามีอาณาจักรธุรกิจบันเทิง เป็นเจ้าของการจัดงานประกวดนางงามเวทีต่างๆ ทั้งมิสยูนิเวิร์ส, มิสยูเอสเอ และมิสทีนยูเอสเอ ส่วนในปี 2003 เขาเปิดตัวรายการเรียลลิตี้ทางโทรทัศน์ ดิ แอพเพรนทิช เพื่อชิงตำแหน่งงานฝ่ายบริหารในทรัมป์ ออร์-แกไนเซชั่น รายการนี้จัดต่อเนื่องกว่า 10 ซีซั่น มีคำที่เขาพูดติดปากว่า คุณถูกไล่ออก จนเป็นเอกลักษณ์

กระนั้นชีวิตช่วงหนึ่งของเขาเคยประสบวิกฤติทางการเงินถึงขั้นถูกฟ้องล้มละลาย จากหนี้ที่เกิดขึ้นจากทัจ มาฮาล กาสิโน และอื่นๆ แม้ทรัมป์ขอผ่อนผันเลื่อนการชำระหนี้ได้ แต่ในปี 1991 หนี้ที่เพิ่มขึ้นทำให้ทรัมป์ต้องล้มละลาย แต่กลับมาฟื้นสถานะได้ในช่วงปลายปีเดียวกัน

ด้าน นิตยสารฟอร์บส์ ซึ่งชอบจัดอันดับบุคคลร่ำรวย ประเมินว่าทรัมป์มีทรัพย์สินสุทธิประมาณ 4.5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1.6 แสนล้านบาท แต่เจ้าตัวกลับบอกว่า เขามีทรัพย์สินมากกว่านั้น คือมีมูลค่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 3.6 แสนล้านบาท

ทว่ามีข่าวค้นพบว่า เขาเลี่ยงภาษีนาน 18 ปี โดยระบุตัวเลขการขาดทุน 916 ล้านดอลลาร์ ในปี 1995 ทำให้เป็นข้ออ้างไม่ต้องเสียภาษีได้นานถึง 18 ปี แต่ข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นเพียงการโจมตีเขาก็ได้

นายทรัมป์ผ่านการแต่งงาน 3 ครั้ง โดยภรรยาแต่ละคนมักเป็นดาราหรือนางแบบ อย่างภรรยาคนแรก อีวานนา เซลนิกโควา เป็นนักกีฬาและนางแบบชาวเช็ก มีลูกด้วยกัน 3 คน ได้แก่ โดนัลด์ ทรัมป์จูเนียร์, อีวานกา, เอริค แล้วก็หย่า ส่วนภรรยาคนที่ 2 มาร์ลา เมเปิลส์ เป็นนักแสดง มีลูกสาวชื่อ ทิฟฟานี ด้วยกัน

หลังหย่าจากภรรยาคนที่ 2 ก็มีภรรยาคนที่ 3 นางเมลาเนียนางแบบชาวสโลวีเนีย มีบุตรชายชื่อ บารอน วิลเลียม อายุแค่ 10 ขวบ

ในหนังสือที่เขาเขียน ทรัมป์บอกว่า เขาเสียใจที่ไม่มีโอกาสจีบเจ้าหญิงไดอานา เพราะเธอเป็นสุภาพสตรีในฝัน

ด้วยวัย 70 ปี ย่อมถูกตั้งคำถามว่า ยังไหวอยู่ไหมปู่? ทำให้นายทรัมป์เผยผลการตรวจสุขภาพจากแพทย์ประจำตัว นายแพทย์ฮาโรลด์ บอร์นสไตน์ ยืนยันว่า เขาแข็งแรงดี และไม่มีประวัติว่าคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจหรือมะเร็ง

ด้าน คู่ชิงรองประธานาธิบดีของทรัมป์ ได้แก่ นายไมค์ เพนซ์ ผู้ว่าการรัฐอินเดียนา วัย 57 ปี ถูกมองในฐานะบุคคลที่เชื่อมือได้ มีมุมมองที่แตกต่างจากนายทรัมป์บ้าง และมีความอนุรักษนิยมมากกว่า แต่เขาจะช่วยเยียวยาพรรคที่แตกแยกให้กลับมารวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง

นายทรัมป์ นักธุรกิจจากนิวยอร์ก จึงเลือกนายเพนซ์ จากบัญชีรายชื่อที่มีไม่มากนัก ในนั้นรวมถึง 2 ตัวเลือกสุดท้าย ได้แก่นิวต์ กิงริช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และคริส คริสตี ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์

ประธานทีมงานหาเสียงเลือกตั้งของนายทรัมป์ สนับสนุนนายไมค์ เพนซ์ อย่างมาก โดยเห็นว่าเป็นผู้ที่ไว้วางใจได้,เป็นที่เคารพนับถือ และเป็นคนที่ทีมงานควบคุมได้.

ทีมข่าวต่างประเทศ

 

เบลเยียมสั่งผู้เลี้ยงเฝ้าระวังสัตว์ปีก หวั่นติดเชื้อไข้หวัดนก H5N8

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 11 พ.ย. 2559 03:55

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/779856

 

สำนักงานความปลอดภัยของห่วงโซ่อาหารเบลเยียม ออกประกาศแจ้งเตือนให้ผู้เลี้ยงสัตว์ปีกทุกชนิดเฝ้าระวังและจำกัดพื้นที่สัตว์ปีกทั้งหมด หวั่นติดเชื้อไข้หวัดนก H5N8

เมื่อวันที่ 10 พ.ย.59 บุญธง ก่อมงคลกูล ผู้สื่อข่าวไทยรัฐประจำเบลเยียม รายงานว่า สำนักงานความปลอดภัยของห่วงโซ่อาหารเบลเยียม (L’agence fédérale de la sécurité de la chaîne alimentaire -AFSCA) ออกประกาศแจ้งเตือนให้ผู้เลี้ยงสัตว์ปีกทุกชนิดต้องทำการจำกัดพื้นที่ของสัตว์เลี้ยงในครอบครอง โดยนายวิลลี่ บอร์ซุส รัฐมนตรีเกษตรเบลเยียมได้ตัดสินใจออกคำสั่งดังกล่าวภายหลังมีการตรวจพบไวรัสไข้หวัดนก H5N8 ในประเทศข้างเคียงเบลเยียมและหลายประเทศในยุโรป

จากแถลงการณ์ของ AFSCA ระบุว่า มีการตรวจพบนกป่าจำนวนหลายสิบตัว ติดเชื้อไข้หวัดนกตายในประเทศฮังการี เยอรมนี โปแลนด์ ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ โครเอเซีย และเนเธอร์แลนด์ เชื้อไวรัสไข้หวัดนกติดต่อได้ง่ายมาก หากยังไม่มีการตรวจพบในเบลเยียม พาหะนำเชื้อไวรัสไข้หวัดนกคือ บรรดานกย้ายถิ่นที่บินมาจากไซบีเรีย หลังจากอาศัยอยู่ในช่วงฤดูร้อนและกำลังบินมุ่งหน้า ลงทางใต้เพื่อหลีกเลี่ยงฤดูหนาว

จากการที่เบลเยียมเป็นเส้นทางผ่านของบรรดานกป่าย้ายถิ่นที่อาจจะนำพาเชื้อไวรัสมาติดสัตว์ปีกได้อย่างง่ายดาย รัฐมนตรีเกษตรเบลเยียมจึงได้ออกคำสั่งตามข้อเสนอแนะของสำนักงานความปลอดภัยด้านห่วงโซ่อาหารเบลเยียม และผู้เพาะเลี้ยงสัตร์ปีกให้มีการจำกัดพื้นที่สัตว์ปีกของผู้ประกอบการในประเทศเบลเยียมทั้งหมด ยกเว้นนกกระจอกเทศ และแนะนำให้ประชาชนที่เลี้ยงสัตว์ปีกระวังสัตว์เลี้ยงของตนให้ห่างไกลจากนกป่าด้วย นอกจากนั้น ผู้เพาะเลี้ยงอาชีพและสมัครเล่นจะต้องให้อาหารและน้ำดื่มภายในโรงเลี้ยงที่ปิดเท่านั้น ห้ามให้น้ำบนพื้นผิวตามธรรมชาติ และไม่ผ่านการกลั่นกรองแก่สัตว์ปีก

นายบอร์ซุส รัฐมนตรีเกษตรเบลเยียม ระบุว่า “ขอยืนยันว่า ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหรือไข่ของสัตว์ปีกที่สามารถบริโภคได้อย่างมั่นใจ”.

 

รายงานมะกันชี้ โจมตีทางอากาศในซีเรีย-อิรักทำพลเรือนตายน้อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 11 พ.ย. 2559 02:25

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/779736

 

เมื่อ 9 พ.ย. กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน เปิดเผยข้อมูลที่อ้างอิงจากเซนต์คอม หน่วยบัญชาการทหารประจำตะวันออกกลางของสหรัฐฯ ซึ่งตรวจทานทั้งรายงานและฐานข้อมูลมานานหลายเดือนกับเหตุโจมตีทางอากาศ 24 ครั้งของสหรัฐฯ ในอิรักและซีเรียนับแต่ปี 2557 ระหว่างสู้รบกับกลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) อาจมีพลเมืองเสียชีวิต 119 คน ซึ่งถือว่าต่ำกว่าองค์กรตรวจสอบหลายแห่งประเมินไว้

ทั้งนี้ กลุ่มเอ็นจีโอ แอร์เวย์ส ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ประเมินเหตุระเบิดจากกองกำลังพันธมิตรเพื่อหวังทำลายกลุ่มไอเอส ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ส.ค.ปี 2557 คร่าชีวิต 1,787 ราย ขณะที่องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเมินเหยื่อเฉพาะที่ซีเรียจากเหตุโจมตีของกองกำลังพันธมิตรไม่ต่ำกว่า 300 ศพ ซึ่งตัวเลขความเสียหายและสูญเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นับแต่เริ่มแผนโจมตีภาคพื้นดินของกองกำลังพันธมิตรในช่วงปลายปี 2558 เพื่อยึดคืนฐานที่มั่นของไอเอสทั้งที่เมืองโมซุล ของอิรักและเมืองรักกา ของซีเรีย

ขณะเดียวกัน กลุ่มเฝ้าสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนซีเรียเผยว่า กองกำลังพันธมิตรโจมตีทางอากาศหมู่บ้านอัลเฮชา ที่มั่นของกลุ่มไอเอส ห่างจากเมืองรากาไปทางเหนือราว 40 กม. ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิต 20 ศพ บาดเจ็บอีก 32 คน ขณะที่กองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (เอสดีเอฟ) ซึ่งมีสหรัฐฯ สนับสนุนออกมาปฏิเสธว่าไม่มีพลเมืองเสียชีวิต.

 

แบรด พิตต์ โล่ง ผลสอบ ไม่พบทำผิดต่อลูกชาย ตามข้อกล่าวหา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 10 พ.ย. 2559 19:44

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/779576

 

แบรด พิตต์ โล่งอก ผลสอบสวนจาก จนท.กองกิจการเด็กและครอบครัวในลอสแอนเจลิส ไม่พบกระทำความผิดใดๆ กับลูกชายบนเครื่องบิน หลังโดนข้อกล่าวหาก่อนแองเจลินา โจลี จะฟ้องหย่าวันเดียว

เมื่อ 10 พ.ย.59 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ผลการสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่กองกิจการเด็กและครอบครัวลอสแอนเจลิส เคาตี้ (DCFS) ในนครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐฯ ไม่พบว่า แบรด พิตต์ พระเอกคนดังฮอลลีวูด กระทำความผิดใดๆ กับบุตรชายคนหนึ่งของเขาตามข้อกล่าวหา หลังจากเรื่องนี้โด่งดังขึ้นมา เมื่อแองเจลินา โจลี ยื่นฟ้องขอหย่าพิตต์ จนเป็นข่าวใหญ่สะท้านโลก

สำหรับ ข้อกล่าวหาของแบรด พิตต์ อาจพูดจาไม่ดีกับลูกชาย ระหว่างที่เขาอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวกับลูก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานั้น เป็นข่าวออกมาเพียงหนึ่งวัน ก่อนแองเจลินา โจลี ดาราหญิงฮอลลีวูดคนดัง จะยื่นฟ้องหย่าแบรด พิตต์ หลังจากทั้งคู่ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันนานถึง 12 ปี และเพิ่งเข้าพิธีวิวาห์จดทะเบียนสมรสกันเมื่อ 2 ปีก่อน อีกทั้งยังมีลูกด้วยกัน 6 คน


สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ อ้างแหล่งข่าวคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับแบรด พิตต์ เผยว่า หลังโดนข้อกล่าวหาอาจทำร้ายลูกบนเครื่องบินแล้ว แบรด พิตต์ เครียดมาก และเขาก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ DCFS เป็นอย่างดี โดยจากการสอบสวนที่ออกมาว่า พิตต์ไม่ได้กระทำความผิดใดๆ กับลูก ทำให้เขาสามารถได้รับอนุญาตให้มาเยี่ยมลูกทั้ง 6 ซึ่งขณะนี้อยู่ในความดูแลของแองเจลินา โจลี

ซีเอ็นเอ็น ยังรายงานด้วยว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน แบรด พิตต์ ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้ร่วมเลี้ยงดูลูกๆ ทั้ง 6 คนด้วย โดยตามคำบอกเล่าของทนายความโจลี ระบุ ตอนนี้ โจลี และแบรด พิตต์ ได้ทำตามข้อตกลงที่ว่า ลูกๆ 6 คนของพวกเขาอยู่ในความดูแลเลี้ยงดูของโจลี และจะได้รับ ‘การเยี่ยมบำบัด’ กับพ่อของพวกเขาเท่านั้น

ทั้งนี้ โจลีกำลังยื่นฟ้องต่อศาลขอหย่ากับแบรด พิตต์ รวมทั้งจะขอเป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูลูกทั้ง 6 แต่เพียงผู้เดียว โดยข้อสรุปของ DCFS ที่ไม่พบว่า แบรด พิตต์ กระทำผิดใดๆ กับลูก ออกมาหนึ่งวัน หลังจากพิตต์ ปรากฏตัวในที่สาธารณะหลังโดนโจลี ฟ้องหย่าจนตกเป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วโลกเมื่อ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

เบื้องลึกปิดฉากชีวิตรัก12 ปี! ทำไม แองเจลินา โจลี ฟ้องหย่าแบรด พิตต์ ?