คว้าเก้าอี้ปธน.สหรัฐคนที่45 ‘แทมมี’สาวเลือดไทยซิวส.ว.
ช็อกโลก! “โดนัลด์ ทรัมป์” คว้าเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 ได้สำเร็จเหนือความคาดหมาย หักปากกาเซียนการเมืองนานาชาติ และแหกผลโพลทุกสำนัก “ฮิลลารี คลินตัน” คู่แข่งตัวฉกาจยอมรับความพ่ายแพ้ ยกหูต่อสายคุยทันที ผู้นำทั่วโลกพากันแสดงความยินดีกับชัยชนะของทรัมป์ ขณะที่อีกส่วนเริ่มวิตกกังวลกับนโยบายแข็งกร้าวทางเศรษฐกิจและต่างประเทศแบบสุดโต่ง ส่วนนักลงทุนพากันตื่น ตระหนก ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วน ร่วงกราวรูดตัวแดงยกแผง เงินดอลลาร์อ่อนค่า แต่ทองคำพุ่งสวนทาง ด้าน “ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ” ส.ส.อเมริกันเชื้อสายไทย ตัวแทนพรรคเดโมแครต คว้าชัยการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ แต่พรรครีพับลิกัน ยังคงรักษาฐานอำนาจกุมเสียงส่วนใหญ่ไว้ได้ทั้งสองสภา
กลายเป็นกระแสช็อกโลก หลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เกิดปรากฏการณ์พลิกล็อกขึ้น เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะท่วมท้น เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของประเทศสหรัฐฯ โดยมีคะแนนนำทิ้งห่างนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครต ชนิดหักปากกาเซียนการเมืองระหว่างประเทศ และยังแหกผลโพลทุกสำนักที่เคยฟันธงตรงกันว่านางฮิลลารี ซึ่งมีคะแนนการหยั่งเสียงนำโด่งมาตลอดในช่วงการหาเสียง 18 เดือน จะชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก แต่เมื่อผลออกมาว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้ใช้ สไตล์การหาเสียงแบบมุทะลุดุดัน พูดจาโผงผางออกแนวลูกทุ่ง ชนะใจประชาชนชาวอเมริกันค่อนประเทศ ส่งผลให้เกิดความหวั่นไหวไปทั่วโลก เนื่องจากเกรงว่านายทรัมป์จะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและต่างประเทศแบบแข็งกร้าวสุดโต่งตามที่ได้หาเสียงไว้
“ทรัมป์” ครองบัลลังก์พญาอินทรี
ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ดุเดือดเข้มข้นมาตั้งแต่ต้นปี 2559 ได้มาถึงบทสรุปแล้ว หลังเสียงประชาชนอเมริกันนับล้านชี้ชัด เลือกนายโดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ มหาเศรษฐีปากจัดวัย 70 ปี จากพรรคฝ่ายค้านรีพับลิกัน เป็นผู้นำคนที่ 45 ของประเทศ สืบทอดอำนาจต่อจากนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครัฐบาลเดโมแครต ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศเกาะติดสถานการณ์ตั้งแต่การเริ่มลงคะแนนพื้นที่แรกในหมู่บ้านดิกซ์วิลล์ นอตซ์ รัฐนิวแฮมพ์เชียร์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ไปถึงพื้นที่สุดท้ายในหมู่เกาะตะวันตก รัฐอลาสกา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ จนกำหนดปิดหีบอย่างเป็นทางการ ตรงกับเวลาราว 08.00 น.วันที่ 9 พ.ย. ตามเวลาประเทศไทย
เผยขั้นตอนและวิธีการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 225 ล้านคน ซึ่งการลงคะแนนจะไม่ใช่การกาเบอร์เลือกนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน หรือนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครตโดยตรง แต่เป็นการลงคะแนนให้ “คณะผู้เลือกตั้ง” ที่แต่ละพรรคแต่งตั้งมา ไปทำหน้าที่โหวตรับรองประธานาธิบดีแทนประชาชนในวันที่ 19 ธ.ค. จุดชี้ขาดของการเลือกตั้งสหรัฐฯ คือในแต่ละรัฐ จะมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน หากพรรคใดครองรัฐที่มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งสูงก็จะมีโอกาสชนะมากกว่า ประกอบกับระบบเรียกว่า “ผู้ชนะกินรวบ” ที่หากในรัฐนั้นๆคะแนนเสียงเทไปยังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่า พรรคก็จะได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งประจำรัฐไปทั้งหมด ไม่มีการแบ่งสัดส่วน ยกเว้นในรัฐเมนและเนบราสกา โดยคณะผู้เลือกตั้งทั่วประเทศมีทั้งหมด 538 เสียง จำนวนมากน้อยในแต่ละรัฐขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใดได้คะแนนคณะผู้เลือกตั้งเกิน 270 เสียงถือว่าได้รับชัยชนะ
“ฮิลลารี” คว้าชัยมาได้ 182 เสียง
สำหรับผลการนับคะแนน นางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครต เริ่มคว้าชัยชนะในรัฐทางพื้นที่ตะวันออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงของเดโมแครต ไม่ว่ารัฐนิวยอร์ก (คณะผู้เลือกตั้ง 29 เสียง) นิวเจอร์ซีย์ (14 เสียง) แมสซาชูเสตต์ (11 เสียง) แมรีแลนด์ (10 เสียง) คอนเนกติกัต (7 เสียง) โรดไอแลนด์ (4 เสียง) เดลาแวร์, เวอร์มอนต์ และเขตวอชิงตัน ดี.ซี. (พื้นที่ละ 3 เสียง) จนถึงพื้นที่ฝั่งตะวันตก อย่างแคลิฟอร์เนีย (55 เสียง) วอชิงตัน (12 เสียง) โคโลราโด (9 เสียง) โอเรกอน (7 เสียง) เนวาดา (6 เสียง) นิวเม็กซิโก (5 เสียง) และฮาวาย (4 เสียง) รวมเบื้องต้น 182 เสียง
“ทรัมป์” ตามติดสูสีได้ 180 เสียง
ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะจากพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ ฐานที่มั่นของรีพับลิกัน ตั้งแต่รัฐเท็กซัส (38 เสียง) จอร์เจีย (16 เสียง) เทนเนสซี อินเดียนา (พื้นที่ละ 11 เสียง) มิสซูรี (10 เสียง) อลาบามา, เซาท์ แคโรไลนา (พื้นที่ละ 9 เสียง) เคนตักกี, หลุยเซียนา (พื้นที่ละ 8 เสียง) โอกลาโฮมา (7 เสียง) ไอโอวา, แคนซัส, ยูทาห์, อาร์คันซอ (พื้นที่ละ 6 เสียง) เวสต์-เวอร์จิเนีย, เนบราสกา (พื้นที่ละ 5 เสียง) ไอดาโฮ (4 เสียง) อลาสกา, มอนตานา, นอร์ทดาโกตา, เซาท์ดาโกตา และไวโอมิง (พื้นที่ละ 3 เสียง) รวมเบื้องต้น 180 เสียง
“สวิงสเตท” ตัวตัดสินชี้ขาด
ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. ของวันเดียวกัน ตามเวลาประเทศไทย ผลการนับคะแนนเริ่มเห็นความแตกต่างขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของนางฮิลลารีในที่สุด โดยคะแนนคณะผู้เลือกตั้งในรัฐ “สวิงสเตท” หรือรัฐตัวแปรที่ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคใดพรรคหนึ่งชัดเจน ต้องแย่งชิงกันสูง ปรากฏว่า ตกเป็นของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะรัฐฟลอริดา (29 เสียง) เพนซิลเวเนีย (20 เสียง) โอไฮโอ (18 เสียง) นอร์ทแคโรไลนา (15 เสียง) อริโซนา (11 เสียง) หรือกระทั่งวิสคอนซิน (10 เสียง) ที่เป็นฐานเสียงของเดโมแครตมานาน ทำให้คะแนนพุ่งเกินกำหนดคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 270 เสียง ขณะที่นางฮิลลารีได้เพิ่มมาจากรัฐอิลลินอยส์ (20 เสียง) เวอร์จิเนีย (13 เสียง) และรัฐเมน (3 เสียง) คะแนนหยุดอยู่ที่ 218 เสียงเท่านั้น ผิดความคาดหมายของบรรดาสำนักผลสำรวจความคิดเห็นหรือโพลต่างๆที่ก่อนหน้าการเลือกตั้ง ชี้มาตลอดว่านางฮิลลารีมีคะแนนนำห่างนายทรัมป์อยู่ 3-5 เปอร์เซ็นต์
จูงลูกเมียขึ้นเวทีประกาศชัยชนะ
จากนั้นสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นและเอ็นบีซีของสหรัฐฯ รายงานอ้างการเปิดเผยของทีมหาเสียงเดโมแครตว่า นางฮิลลารีได้โทรศัพท์หานายทรัมป์ และประกาศยอมถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้ว ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. นายทรัมป์ได้ขึ้นเวทีประกาศชัยชนะที่โรงแรมมิดทาวน์ ฮิลตัน ย่านแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ พร้อมกับนางเมลาเนีย ทรัมป์ ภริยา รวมถึงลูกๆคือ ด.ช.บาร์รอน ทรัมป์ และ น.ส.ทิฟฟานี ทรัมป์ โดยกล่าวว่า “ขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุกๆคน และขอโทษที่ทำให้รอเพราะมันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสลับซับซ้อน ผมขอให้สัญญาต่อพลเมืองบนแผ่นดินนี้ว่าจะเป็นประธานาธิบดีของทุกๆคน ถือเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนผู้ที่เลือกไม่สนับสนุนผม ซึ่งมีจำนวนน้อยนั้น ผมขอความช่วยเหลือและคำแนะนำจากพวกคุณ เพื่อเราจะทำงานไปด้วยกันและสร้างความเป็นเอกภาพแก่ชาติบ้านเมือง”
กร้าวนำอเมริกาคืนความยิ่งใหญ่
นายทรัมป์ยังกล่าวว่า “อเมริกามีศักยภาพมากมาย ผมใช้ชีวิตนั่งบนรถเมล์มองศักยภาพที่ซ่อนอยู่มาตลอด จากนี้มันจะเป็นสิ่งสวยงามมาก เราจะสร้างอุโมงค์ ทางด่วน สะพาน โรงเรียน เราจะสร้างงานให้คนนับล้าน และเราจะดูแลทหารผ่านศึกของพวกเรา นอกจากนี้ ผมคาดหวังจะสร้างสัมพันธ์อันดีกับนานาประเทศ ไม่มีความฝันหรืออุปสรรคใดๆที่ใหญ่เกินไป อเมริกาหลังจากนี้จะไม่ยอมรับอะไรที่ครึ่งๆกลางๆ ต้องได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ต้องฝันให้ใหญ่ ต้องกล้าและท้าทาย เราจะเอาโชคชะตาของประเทศชาติกลับคืนมา และผมจะยึดถืออยู่ตลอดว่าอเมริกาต้องมาก่อน”
กองเชียร์ฮิลลารีร่ำไห้เสียใจ
ด้านนายจอห์น โพเดสตา ที่ปรึกษาอาวุโสของนางฮิลลารี กล่าวที่สำนักงานหาเสียงในนครนิวยอร์กว่า อยากให้ผู้สนับสนุนได้รับรู้ว่าทุกเสียงมีค่า ขอขอบคุณที่สนับสนุนพวกเราตลอดมา และขอกล่าวว่าราตรีสวัสดิ์ ขอให้ทุกคนกลับบ้านไปนอนหลับพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันใหม่ โดยนางฮิลลารีจะแถลงอย่างเป็นการในวันที่ 10 พ.ย. ตามเวลาไทย ซึ่งทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าสลด ผู้สนับสนุนจำนวนมากต่างโผเข้ากอดปลอบใจกัน บางคนถึงกับร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ระบุเป็นเรื่องฝันร้าย ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นความจริง บางส่วนถึงขั้นกล่าวว่า รู้สึกอับอาย ขยะแขยง และขอโทษทุกๆคนที่การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นคะแนนโหวตของพวกผิวขาวไร้การศึกษา นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่า เลดี้ กาก้า นักร้องหญิงชื่อดัง ถึงกับแอบไปร้องไห้หลังเวทีเมื่อทราบข่าวความพ่ายแพ้ของนางฮิลลารี
ปลุกกระแสต้าน ปธน.ทรัมป์
ขณะที่ความเคลื่อนไหวบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์ ผู้ใช้ที่ประกาศตัวสนับสนุนนางฮิลลารีจำนวนมาก ต่างพยายามจุดกระแสต่อต้านนายทรัมป์ โดยใช้ข้อความแฮชแท็กว่า #เขาไม่ใช่ประธานาธิบดีของฉัน #HesNotMyPresident พร้อมมีผู้สนับสนุนจากรัฐแคลิฟอร์เนียบางส่วนพยายามตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐแคลิ– ฟอร์เนียจะขอแยกตัวจากสหรัฐอเมริกา เหมือนที่อังกฤษขอแยกตัวจากสหภาพยุโรป ส่วนในพื้นที่แคลิฟอร์เนีย เบย์ ได้เกิดเหตุชุมนุมต่อต้านนายทรัมป์ มีการจุดไฟเผาทำลายหุ่นนายทรัมป์ พร้อมทั้งทุบกระจกห้างร้านในบริเวณนั้น เช่นเดียวกับที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย นักศึกษารวมตัวเดินขบวนปิดถนน
ชี้เหตุ “ฮิลลารี” พ่ายแพ้ “ทรัมป์”
โพลสุ่มถามความคิดเห็นของชาวอเมริกัน 35,000 คน ในวันเลือกตั้งของสำนัก “รอยเตอร์ส/ อิปซอส” ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะนางฮิลลารี คลินตัน อาจมาจากหลายสาเหตุประกอบกัน รวมทั้งยุทธศาสตร์การหาเสียงแบบดุดันตรงไปตรงมาของทรัมป์ การควบคุมสื่อสังคมออนไลน์ที่เหนือกว่า การส่งสารต่อต้านรัฐบาลกลางและนักการเมืองแบบเก่าๆ และชูการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ชาวอเมริกันจำนวนมากยังขุ่นเคืองไม่พอใจในสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ ไปลงคะแนนด้วยความโกรธแค้นในทิศทางของประเทศ โดยผู้ถูกสุ่มถามถึง 60% รู้สึกว่าประเทศชาติกำลังเดินไปผิดทิศทาง และ 58% เห็นว่าพวกตนไม่สามารถระบุได้มากขึ้นเรื่อยๆว่าสหรัฐอเมริกากำลังเป็นอะไรอยู่ และ 75% บอกว่าสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องมีผู้นำที่เข้มแข็งเพื่อยึดประเทศชาติกลับคืนมาจากพวกคนรวย ซึ่งในกลุ่มผู้ที่เห็นว่าประเทศชาติกำลังเดินผิดทิศทาง ลงคะแนนเลือกทรัมป์มากกว่าคลินตันถึง 3 เท่า โพลยังระบุด้วยว่า สิ่งที่ชาวอเมริกันวิตกกังวลมากที่สุด 3 ประการในยุคนี้ คือ เรื่องเศรษฐกิจ การก่อการร้าย และการประกันสุขภาพ
คนชนบทปลื้ม “ทรัมป์” มากกว่า
ส่วนปัจจัยอื่นๆ “รอยเตอร์ส/อิปซอส” ระบุว่า แม้คลินตันจะเป็นสตรี แต่สตรีที่ลงคะแนนเสียงให้เธอมีมากกว่าทรัมป์แค่ 2% เทียบกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 ในปี 2555 มีสตรีลงคะแนนให้ถึง 7% นอกจากนี้ ชนกลุ่มน้อย ทั้งชาวฮิสแปนิก ชาวแอฟริกัน/อเมริกัน และชาวเอเชียน/อเมริกัน แม้จะลงคะแนนให้คลินตันมากกว่าทรัมป์มาก แต่ก็น้อยกว่าลงคะแนนให้โอบามา ในปี 2555 ซึ่งสูงถึง 96% นอกจากนี้ กลุ่มคนที่มีการศึกษาไม่ถึงขั้นมหาวิทยาลัย ก็ลงคะแนนให้ทรัมป์มากกว่าคลินตันถึง 12% ส่วนคนผิวขาวที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายอิแวนเจลิส ก็เป็นฐานเสียงแข็งแกร่งให้พรรครีพับลิกันมาตลอด ขณะที่ชาวกรุงหรือคนในเมือง ก็เลือกคลินตันมากกว่าทรัมป์แค่ 6% แต่คนในชนบทกลับเลือกทรัมป์มากกว่าคลินตันถึง 27%
อเมริกันชนอพยพหนีทรัมป์
สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า ขณะที่ผลการนับคะแนนปรากฏว่าทรัมป์ชนะในรัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่าเขาจะชนะได้เป็นประ– ธานาธิบดีคนใหม่ ชาวอเมริกันที่เกลียดกลัวนายทรัมป์ต่างเตรียมอพยพไปอยู่ประเทศอื่น โดยเฉพาะแคนาดาเพื่อนบ้าน ชาวอเมริกันแห่เข้าไปค้นหาข้อมูลเรื่องการพำนักอาศัยหรือเป็นพลเมืองของแคนาดาในเว็บไซต์กระทรวงผู้อพยพเข้าเมืองของแคนาดา จนเว็บล่มหลายครั้ง ซึ่งในช่วงหลายเดือนหลัง ชาวอเมริกันจำนวนมากประกาศว่าถ้าทรัมป์เป็นผู้นำจะย้ายไปอยู่ประเทศอื่น ขณะที่สำนักงานพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และรัฐบาลของบางภูมิภาคในแคนาดา ถือโอกาสชักชวนชาวอเมริกันเข้าไปตั้งรกรากหรือลงทุนในแคนาดา
แห่สมัครไปอยู่นิวซีแลนด์
นอกจากนี้ เว็บไซต์ “นิวซีแลนด์ นาว” (New Zealand Now) ของรัฐบาลนิวซีแลนด์ ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาออกวีซ่าผู้พำนักอาศัยและวีซ่านักศึกษาจากต่างประเทศ ก็มีชาวอเมริกันแห่กันเข้าไปคลิกค้นหาข้อมูลจำนวนมากผิดปกติเช่นกัน โดยระหว่างวันที่ 7 ต.ค.-7 พ.ย. มีชาวอเมริกันคลิกเข้าเว็บไซต์นี้เพิ่มขึ้นเกือบ 80% จนมีจำนวนกว่า 41,000 รายแล้ว และตั้งแต่ 1 พ.ย.เป็นต้นมา มีชาวอเมริกันขอแบบฟอร์มออนไลน์สมัครเป็นพลเมืองนิวซีแลนด์แล้ว 1,593 ราย ซึ่งสูงกว่าคำร้องตามปกติในช่วงเวลา 1 เดือนกว่า 50%
หญิงไทยชนะ ส.ว.รัฐอิลลินอยส์
สำหรับผลการเลือกตั้ง ส.ว.ที่รัฐอิลลินอยส์ พบว่า พันโทหญิงแทมมี ลัดดา ดั๊กเวิร์ธ ส.ส.จากพรรคเดโมแครต ชนะ ส.ว.มาร์ค เคิร์ก จากพรรครีพับลิกัน ด้วยคะแนนเสียง 55 ต่อ 40 % ถือเป็นนักการเมืองหญิงคนที่ 2 ต่อจากนางคาโรล มอสเลย์ บราวน์ ซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ชนะการเลือกตั้งเข้าไปนั่งตำแหน่งวุฒิสมาชิกเมื่อปี 2525 และเป็น ส.ส.ลูกครึ่งไทย-อเมริกันคนแรกที่เข้าไปนั่งตำแหน่งวุฒิสมาชิกในสภาสหรัฐฯ ทั้งนี้ ส.ส.หญิง 2 สมัยจากเมืองฮอฟฟ์แมน เอสเตทส์ กล่าวในงานฉลองชัยชนะที่เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ เล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 12 ปีก่อนเฮลิคอปเตอร์ที่ตนนั่งเป็นผู้ช่วยพลขับในอิรักถูกยิงตก จนเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง แต่รอดชีวิตมาได้ ซึ่งต้องขอขอบคุณเพื่อนทหารที่ช่วยกันแบกร่างของเธอที่เกือบเสียชีวิตไปอยู่ในที่ปลอดภัย
ย้ำสัญญาดูแลทหารผ่านศึก
แทมมียังให้คำมั่นสัญญาว่าจะผลักดันแนวคิดการศึกษาระดับวิทยาลัยให้เข้าถึงมาก ถึงการสร้างงานสร้างอาชีพและให้ความมั่นใจต่อทหารผ่านศึกที่จะได้รับการดูแลตามสัญญา โดยช่วงหาเสียง แทมมีให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลือครอบครัวชนชั้นกลาง-ชั้นแรงงาน ซึ่งมักเปรียบเปรยกับเรื่องราวชีวิตตัวเอง ที่ครอบครัวต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดและอาศัยแสตมป์อาหารจากรัฐบาลหลังพ่อต้องตกงาน โดย ส.ว.เคิร์ก โทรศัพท์แสดงความยินดีต่อแทมมี พร้อมเชิญให้ไปสังสรรค์ร่วมดื่มด้วยกัน เพื่อแสดงให้เด็กทั่วรัฐอิลลินอยส์เห็นว่า การเป็นศัตรูคู่แข่งสามารถเลิกเถียงกันได้อย่างสันติหลังการเลือกตั้งที่เข้มข้น และความเป็นหนึ่งเดียวในฐานะชาวอเมริกันย่อมแข็งแรงกว่าการแบ่งแยกกัน เคิร์กยังกล่าวขอโทษแทมมี หลังพูดล้อเลียนเธอเกี่ยวกับเบื้องหลังประวัติชีวิตผู้ลี้ภัยเมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา และจากการให้สัมภาษณ์กับเว็บไซด์วีโอเอ ภาคภาษาไทย แทมมีตั้งใจจะทำงานในฐานะตัวแทนให้กับคนเอเชียทั่วอเมริกา
จากสนามรบสู่สภาคองเกรส
ประวัติชีวิตส่วนตัวของพันโทหญิงแทมมี ลัดดา ดั๊กเวิร์ธ อายุ 48 ปี เกิดที่กรุงเทพฯ แม่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน พ่อเป็นทหารในกองทัพสหรัฐฯ เคยศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนนานาชาติ International School Bangkok จบการศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฮาวาย และระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ช่วงศึกษาระดับปริญญาโท แทมมีสมัครไปเป็นทหาร และเข้าร่วมสงครามอิรักเมื่อปี 2547 กระทั่งประสบเหตุเฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตก ทำให้แทมมีต้องเสียแขน 1 ข้างกับขาทั้งสองข้าง ซึ่งแพทย์สามารถต่อแขนให้ได้ และต้องใช้ขาเทียมนั่งรถเข็น จากนั้นแทมมีสมัครลงเลือกตั้ง ส.ส.เขต 6 ของรัฐอิลลินอยส์เมื่อปี 2549 แต่แพ้การเลือกตั้ง จึงไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกิจการทหารผ่านศึกรัฐอิลลินอยส์ ต่อมาประธานาธิบดี บารัค โอบามา แต่งตั้งให้แทมมีเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงกิจการภายในรัฐบาล ฝ่ายกิจการทหารผ่านศึก ปัจจุบัน แต่งงานมีครอบครัวและลูกสาว 1 คน วัย 2 ขวบ
ประชามติหลายรัฐรับกัญชา
ระหว่างการเลือกตั้งครั้งนี้ ชาวอเมริกันยังลงมติในข้อเสนอและมาตรการต่างๆกว่า 70 ข้อในหลายรัฐด้วย โดยรัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐที่มีประชากรมากที่สุด และรัฐแมสซาชูเสตต์ ประชาชนลงมติรับข้อเสนอให้ผู้ใหญ่ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้อย่างถูกกฎหมาย หลังรัฐอื่นๆรับมาตรการนี้ไปแล้ว รวมทั้งรัฐอลาสกา โคโลราโด โอเรกอน วอชิงตันและวอชิงตัน ดี.ซี. ในรัฐฟลอริดา ประชาชนยังลงมติท่วมท้นรับข้อเสนอให้ใช้กัญชาเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ และที่รัฐมอนตานา ประชาชนก็ลงมติรับข้อเสนอให้ลดความเข้มงวดของกฎหมายควบคุมกัญชาที่มีอยู่ในปัจจุบัน
รับคุมอาวุธปืน–โทษประหาร
ขณะที่ประชาชนใน 4 รัฐ ยังถูกถามว่าจะรับมาตรการเกี่ยวข้องกับการควบคุมอาวุธปืนด้วยหรือไม่ ผลปรากฏว่า ในรัฐแคลิฟอร์เนีย หนึ่งในรัฐที่มีการควบคุมอาวุธปืนเข้มงวดที่สุดอยู่แล้ว ประชาชนได้ลงมติรับ “ข้อเสนอ 63” ห้ามครอบครองแมกกาซีนบรรจุกระสุนปืนขนาดใหญ่ และให้ตรวจเช็กประวัติผู้ขอซื้ออาวุธปืน ส่วนรัฐวอชิงตัน ประชาชนก็ลงมติรับมาตรการให้ผู้พิพากษา มีอำนาจป้องกันบุคคลอันตรายไม่ให้ครอบครองอาวุธปืน และในรัฐแคลิ– ฟอร์เนีย ซึ่งมีนักโทษประหารอยู่ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของทั้งประเทศ ประชาชนปฏิเสธข้อเสนอให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตและให้จำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีทัณฑ์บนแทนด้วย แต่รับ “ข้อเสนอ 66” ให้ปฏิรูปกระบวนการอุทธรณ์เพื่อเร่งรัดการประหารชีวิตให้เร็วขึ้น ขณะที่รัฐโอกลาโฮมา ประชาชนลงมติท่วมท้นรับมาตรการยืนยันให้ใช้โทษประหารชีวิตต่อไป ส่วนในรัฐเนบราสกา ประชาชนลงมติรับข้อเสนอให้นำโทษประหารชีวิตกลับมาใช้อีกครั้ง หลังถูกรัฐสภายกเลิกเมื่อปีที่แล้ว
ให้พระเอกหนังโป๊ต้องใช้ถุงยาง
นอกจากนี้ ประชาชนในรัฐแคลิฟอร์เนียยังลงมติรับข้อเสนอให้ดาราชายที่แสดงหนังสำหรับผู้ใหญ่ ต้องสวมถุงยางอนามัยขณะเข้าฉาก รัฐแคลิฟอร์เนีย ยังเป็นรัฐแรกที่ลงมติรับข้อเสนอห้ามใช้ถุงพลาสติกใส่ของเพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งด้วย ส่วนประชาชนในรัฐโคโลราโด ยังลงมติรับข้อเสนอให้ผู้ป่วยหนักระยะสุดท้ายมีสิทธิ์ยุติชีวิตของตนเองโดยขอความช่วยเหลือจากแพทย์ด้วย เช่นเดียวกับอีก 5 รัฐ รวมทั้งรัฐแคลิฟอร์เนียที่รับมาตรการนี้ไปแล้ว
นานาชาติทั้งยินดีและยี้ “ทรัมป์”
หลังทราบว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา นานาชาติมีปฏิกิริยาหลากหลายแตกต่างกันไป โดยทำเนียบประธานาธิบดีเครมลินของรัสเซียแถลงว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ปูตินแห่งรัสเซีย ได้ส่งโทรเลขถึงนายทรัมป์ แสดงความยินดีในชัยชนะ หวังว่าจะทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์จากสถานะวิกฤติให้ดีขึ้น ร่วมกันแก้ปัญหานานาชาติ รวมทั้งเรื่องความมั่นคงของโลก และว่าการเจรจากันอย่างสร้าง สรรค์จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและประชาคมโลก ส่วนนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น และนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ แห่งสหราชอาณาจักร แถลงแสดงความยินดีกับนายทรัมป์ และว่าทั้งสองประเทศจะคงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดต่อไป ทั้งด้านการค้า การทหารและความมั่นคง
“อียู” แถลงพร้อมร่วมทำงานด้วย
เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี แห่งอิตาลี ที่ส่งสารแสดงความยินดีและว่าความสัมพันธ์ของสองประเทศยังแข็งแกร่ง ด้านประธานาธิบดีโรด-ริโก ดูเตร์เต แห่งฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ก็ส่งสารยินดี และว่าเฝ้ารอทำงานร่วมกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ นางเฟเดอริกา โมเกรินี หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) แถลงว่าอียูกับสหรัฐฯ จะทำงานร่วมกันต่อไป นายกรัฐมนตรีวิคเตอร์ ออร์บัน แห่งฮังการี แถลงแสดงความยินดีในเฟซบุ๊ก และว่าเป็นข่าวดีที่ทรัมป์ชนะ ประชาธิปไตยยังมีชีวิตอยู่ นายไนเจล ฟาราจ ผู้นำพรรคยูคิป หัวหอกนำสหราชอาณาจักร ลงประชามติแยกตัวจากอียูและนางมารีน เลอ แปง ผู้นำพรรคแนวร่วมแห่งชาติฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศสก็ส่งสารยินดีเช่นกัน
“อิหร่าน” วอนให้เคารพข้อตกลง
อย่างไรก็ตาม มีอีกฝ่ายแสดงความผิดหวังที่นายทรัมป์ชนะเลือกตั้ง โดยนายมาร์ติน ชูลซ์ ประธานรัฐสภายุโรปแถลงว่า จะทำงานร่วมกับสหรัฐฯยากขึ้น เมื่อนายทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ส่วนโฆษกประธานาธิบดีมาห์มูด อับบาส แห่งปาเลสไตน์ เรียกร้องให้ทรัมป์ทำงานมุ่งสู่การตั้งรัฐปาเลสไตน์ นางเออร์ซูลา ฟอน เดอ เลเยน รมว.กลาโหมเยอรมนี กล่าวว่า ชัยชนะของนายทรัมป์ สร้างความตกตะลึงใหญ่หลวง ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีซิกมาร์ กาเบรียล แห่งเยอรมนี ชี้ว่าทรัมป์เป็นผู้บุกเบิกขบวนการเผด็จการใหม่ ด้านนายโมฮัมหมัด จาวัด ซาริฟ รมว.ต่างประเทศอิหร่าน เรียกร้องให้ทรัมป์ เคารพข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านด้วย
ตลาดทุนทั่วโลกปั่นป่วนหนัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกปั่นป่วนหนัก หลังผลการนับคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปรากฏว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” มีคะแนนนำ “ฮิลลารี คลินตัน” จนกระทั่งได้รับชัยชนะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 ในที่สุด สั่นคลอนตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก เพราะนักลงทุนกังวลกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น จากนโยบายที่สุดโต่งและต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์ของ “ทรัมป์” ทำให้พากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยง เพื่อโยกเงินไปพักในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงอย่างทองคำ ค่าเงินเยน และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลก และราคาทองคำในประเทศดีดตัวขึ้นร้อนแรง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินชั้นนำ ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างรุนแรง
นักลงทุนแห่เทขายหุ้นร่วงกราว
โดยดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงลึกไปถึง 867 จุด มาที่ 17,418 จุด หรือ 4.7% ก่อนที่จะรีบาวน์ขึ้นมาหลัง “ทรัมป์” ประกาศชัยชนะที่ 17,996 จุด ลดลง 292 จุด ด้านตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดมาร่วงลงทั้งแผง ขณะที่ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียที่สำคัญ ล้วนเรียงหน้าปรับตัวลงทั้งสิ้น โดยดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดดิ่งลงต่ำสุดในรอบ 3 เดือน เช่นเดียวกับตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิเคอิ ปรับลง 919.84 จุด มาที่ 16,251.54 จุด หรือลดลงหนักถึง 5.36% ต่ำสุดในรอบ 3 เดือนเช่นกัน ส่วนตลาดหุ้นจีน ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ปรับตัวลง 0.61% มาที่ 3,128.77 จุด โดยตลาดฟื้นตัวขึ้นหลังร่วงแรงในช่วงแรก
ดอลลาร์อ่อน–เงินบาทแข็งขึ้น
ด้านตลาดหุ้นไทยระหว่างวันติดลบลงไปร่วม 20 จุด ก่อนรีบาวน์กลับขึ้นมา ปิดที่ 1,509.43 จุด ลดลง 0.41 จุด ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 93,328.59 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,629.88 ล้านบาท สำหรับราคาทองคำแท่งในประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตลอดทั้งวันถึง 19 ครั้ง โดยราคาปรับขึ้นไปสูงสุดถึง 700 บาท ต่อหนึ่งบาททองคำ หรือขึ้นไปที่บาทละ 21,900 บาท ก่อนจะค่อยๆปรับตัวลงมาอยู่ที่บาทละ 21,400 บาท เพิ่มขึ้น 200 บาท ด้านตลาดเงิน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดิ่งลงมากกว่า 3% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ญี่ปุ่น ที่แข็งค่าขึ้นมาอย่างมากจนรัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นออกมาเปิดเผยว่า พร้อมแทรกแซงตลาดเงินหากมีความจำเป็น ด้านค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย 0.05-0.06 บาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเคลื่อนไหวมาอยู่ที่ 34.90 บาทต่อดอลลาร์ โดยนักค้าเงินคาดว่าค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นไปที่ 34.50 บาท
คาด “เฟด” ไม่ปรับอัตราดอกเบี้ย
สำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานถึงตลาดการ เงินทั่วโลก หลังชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่พลิกเหนือความคาดหมาย เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในคราวประชุมเดือน ธ.ค.นี้ และทยอยปรับเพิ่มขึ้นทีละน้อยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ผลสำรวจความคิดเห็นของเทรดเดอร์ในตลาดการเงินระบุว่า โอกาสที่เฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยลดลงต่ำกว่า 50% รวมถึงค่าเงินดอลลาร์และการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ร่วงต่ำลง ขณะที่การออกซื้อพันธบัตรและตลาดค้าทองคำกลับพุ่งทะยานสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความหวาดกลัวกับภาวะที่ไม่แน่นอนทั่วโลกไปอีกนานจากนโยบายการทำงานของพรรครีพับลิกัน
เชื่อ ปธ.เฟดลาออกก่อนวาระ
นายทรัมป์ให้คำมั่นว่า จะฉีกหรือเจรจาใหม่เกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดคลื่นแห่งลัทธิคุ้มครองการค้า หรือระบบคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยการจัดเก็บภาษีอากรขาเข้าให้สูงสำหรับสินค้าที่เป็นคู่แข่ง ซึ่งเป็นอันตรายทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลังฟื้นตัวต้องหยุดชะงัก ด้วยแผนเศรษฐกิจของนายทรัมป์ที่ต้องการลดภาษีครั้งใหญ่ นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ประเมินว่าจะผลักดันให้งบประมาณสหรัฐฯขาดดุลอย่างรุนแรง นายมาร์ก ซานดิ หัวหน้ากลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ประจำหน่วยวิเคราะห์ของมูดดีส์ มองว่า เฟดจะไม่มีการเคลื่อนไหวหรือการประชุมใดๆในเดือน ธ.ค.นี้ ชัยชนะของทรัมป์ยังสะท้อนถึงอนาคต นางเจเนต เยลเลน ประธานเฟด เพราะทรัมป์เคยกล่าวหาว่าเฟดตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้ต่ำเพื่อช่วยนายบารัค โอบามา และชี้ให้เห็นว่าเขาอาจหาคนอื่นมาแทนเยลเลน หลังหมดวาระในเดือน ม.ค.2561 จนนำไปสู่การวิเคราะห์ว่าเยลเลนอาจจะชิงลาออกก่อนหรือไม่
เม็กซิโกปรับรับค่าเงินดิ่งลง
ด้านธนาคารกลางเม็กซิโกเตรียมปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานอย่างน้อย 75-150 bps เพื่อพยายามรักษาเสถียรภาพค่าเงิน หลังค่าเงินเปโซอ่อนทำสถิติตกลงไปราว 13 % ทำให้มีการซื้อขายเงินตราแลกเปลี่ยน 20.78 เปโซต่อ 1 ดอลลาร์ จากก่อนหน้าเมื่อเดือน ก.ย. ซื้อขายอยู่ที่ 19.93 เปโซ ซึ่งถือว่าร่วงหนักสุดนับแต่วิกฤติเตกิลลาในปี 2527 โดยทางธนาคารเม็กซิโกจะนัดประชุมเพื่อหารือเรื่องดอกเบี้ยอีกครั้งในวันที่ 17 พ.ย. ขณะที่นายกาเบรียล คาซิลลาส นักเศรษฐศาสตร์ประจำบานอร์เต สถาบันการเงินที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ติดอันดับของเม็กซิโกมองว่า ค่าเงินเปโซจะยังคงเช่นนี้อีกหลายเดือน และอาจส่งผลไปถึงค่าจีดีพีประเทศปี 2559 ลดลง 0.3 %
กระทบราคาน้ำมันทันควัน
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ลดต่ำลง 46 เหรียญ/บาร์เรล ทันทีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างปรากฏการณ์ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45 ทั้งนี้ การซื้อขายน้ำมันดิบเบรนท์ เมื่อเวลา 16.04 น.ของวันพุธที่ 9 พ.ย.ตามเวลาไทย ราคาลดลงไป 47 เซนต์ ไปอยู่ที่ 45.47 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือลดลงเกือบ 4% ซึ่งถือว่าต่ำสุดนับแต่เดือน ส.ค.ของการซื้อขายในเอเชีย สะท้อนถึงเหตุการณ์ที่เหมือนกับการลงประชามติเบร็กซิทของอังกฤษ กับการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนั้นทำให้ค่าเงินปอนด์ลดต่ำกว่า 11 % จนนักวิเคราะห์มองว่า สหรัฐอเมริกากำลังเจอประสบการณ์ในภาคเบร็กซิทของตัวเอง ซึ่งกลุ่มนักลงทุนต่างหวาดผวากับชัยชนะของทรัมป์ ซึ่งตีความได้ถึงความวุ่นวายทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า
ตลาดซื้อขายหุ้นหล่นฮวบ
นอกจากนี้ เว็บไซต์สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นยังรายงานถึงการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียยังกระทบถึงผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ โดยดัชนีซื้อขายในเอเชียปิดตัวลงในรอบวันด้วยตัวเลขสีแดง โดยตลาด หุ้นนิเคอิในญี่ปุ่นลดลง 5.4% ตลาดฮั่งเส็งในฮ่องกงลดลง 2.2% ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ลดลง 0.6% เอเอสเอ็กซ์ของออสเตรเลีย ปิดตัวลงไป 1.9% ส่วนดัชนีหุ้นคอสปิในเกาหลีใต้ก็ปิดในราคาลดลง 2.75% ขณะที่ตลาดซื้อขายหุ้นสหรัฐฯล่วงหน้า ลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งดัชนีดาวโจนส์คาดว่าจะขาดทุนกว่า 4-800 จุดเมื่อเปิดตลาดในวันรุ่งขึ้น ด้านตลาดหลักทรัพย์ในกรุงลอนดอนก็คาดว่าจะขาดทุนกว่า 3%
สื่อคู่กัดเลิกด่าทรัมป์ชั่วคราว
เว็บไซต์สำนักข่าวฮัฟฟิงตัน โพสต์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าจะยกเลิกการใช้คำจำกัดความนายทรัมป์ว่าเป็นคนขี้โกหก เหยียดผิว และเหยียดเชื้อชาติ จากปกติที่เคยใส่ลงไปในข่าวมาตลอดตั้งแต่เดือน ม.ค.ต้นปี โดยนายไรอัน กริม หัวหน้ากองบรรณาธิการระบุว่า ในเมื่อนายทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีก็ถือว่าเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ เราควรให้เกียรติ แต่ถ้าเวลาผ่านไปแล้วไม่ต่างกับตอนช่วงหาเสียง ทางเราอาจพิจารณานำข้อความดังกล่าว กลับมาใช้ในการอธิบายถึงตัวตนนายทรัมป์ใหม่ ส่วนนิตยสารนิวยอร์ก รายงานว่า บรรยากาศการเฉลิมฉลองของนายทรัมป์ ที่โรงแรมมิดทาวน์ ฮิลตัน นครนิวยอร์ก ยังแฝงไปด้วยบรรยากาศความน่ากังวล หลังผู้สนับสนุนของนายทรัมป์ได้แสดงความต้องการเล่นงานคืนฝ่ายนางฮิลลารีอย่างชัดเจน โดยพากัน ร้องตะโกนว่าจับเจ้าหล่อนไปขัง ขณะที่ที่ปรึกษาระดับสูงรายหนึ่ง ผู้ไม่เปิดเผยนาม ได้บอกกับผู้สื่อข่าวนิตยสารนิวยอร์กว่า ผมบอกคุณแล้ว มันคือการปฏิวัติ
“โอบามา” เชิญเข้าทำเนียบขาว
ต่อมาเมื่อเวลาประมาณ 19.15 น. ตามเวลาไทย นายจอช เอียร์เนส เลขาธิการฝ่ายสื่อมวลชนของทำเนียบขาว เปิดเผยว่า นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ต่อโทรศัพท์ถึงนายทรัมป์แล้ว เพื่อกล่าวแสดงความยินดีในชัยชนะ พร้อมขอเชิญนายทรัมป์มายังทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อหารือเรื่องการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ และนายโอบามายังได้โทรศัพท์หานางฮิลลารีด้วย เพื่อขอชื่นชมการรณรงค์หาเสียงอย่างเข้มแข็ง
รีพับลิกันยังคุมทั้ง 2 สภา
สำนักข่าวต่างประเทศยังรายงานถึงผลการเลือกตั้งทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ในสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความพยายามของพรรคเดโมแครต ที่จะช่วงชิงเก้าอี้ทั้ง 2 สภา แต่พบว่าผลการเลือกตั้ง ส.ว.จากทั้งหมด 100 ที่นั่ง พรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะได้ไป 54 ที่นั่ง พรรคเดโมแครต 44 ที่นั่ง โดยได้เพิ่มเพียง 1 ที่นั่งจากพันโทหญิง แทมมี ลัดดา ดั๊กเวิร์ธ ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ส.ส.รัฐอิลลินอยส์ พรรคอิสระ 2 ที่นั่ง เช่นเดียวกับผลการเลือกตั้ง ส.ส.จากทั้งหมด 435 ที่นั่ง พรรครีพับลิกันคว้าไป 246 ที่นั่ง พรรคเดโมแครตที่แม้ช่วงชิงมาได้เพิ่ม 9 ที่นั่งเป็น 186 ที่นั่ง เหลือว่าง 3 ที่นั่ง ถือว่าสูญเสียที่นั่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ทำให้พรรครีพับลิกันยังคงรักษาอำนาจในสภาไว้ได้ การคุมอำนาจในสภาจะเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จล่วงหน้า สำหรับรัฐบาลภายใต้การบริหารของนายทรัมป์ เพราะทำให้สมาชิกทั้ง 2 สภาของพรรครีพับลิกัน (GOP) ผ่านมติการออกกฎหมายเพิกถอนนโยบายของนายบารัค โอบามา ได้อย่างรวดเร็ว
ผู้นำโลกร่วมแสดงความยินดี
สถานีโทรทัศน์ “ซีซีทีวี” ของทางการจีนรายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ส่งสารแสดงความยินดีถึงนายทรัมป์ ระบุว่าเฝ้ารอทำงานร่วมกัน โดยยึดมั่นในการเคารพซึ่งกันและกัน ไม่สร้างความขัดแย้งและการเผชิญหน้า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีคุณค่ายิ่ง ส่วนนายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนี ส่งสารแสดงความยินดี และ ว่า พร้อมทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานประชาธิปไตย เสรีภาพ การเคารพกฎหมาย ส่วนประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าว สุนทรพจน์ต่อเหล่านักการทูตในทำเนียบเครมลิน แสดงความยินดีและว่า รัสเซียพร้อมทำในส่วนของตนเองเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในยุคทรัมป์ เป็นผู้นำ ด้านประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลองด์ แห่ง ฝรั่งเศส ซึ่งเคยกล่าวว่า ตนเห็นนายทรัมป์แล้วอยากอาเจียน แถลงแสดงความยินดี แต่เตือนว่าชัยชนะของทรัมป์เป็นการเปิดศักราชแห่งความไม่แน่นอน ขณะที่โฆษกของกองกำลังตาลีบันในอัฟกานิสถาน เรียกร้องให้ทรัมป์รีบถอนทหารสหรัฐฯออกจากอัฟกานิสถาน
“บิ๊กตู่” ยินดี ปธน.สหรัฐฯคนใหม่
เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอย่างไม่เป็นทางการว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้ แต่คงพูดไม่ได้ ว่าจะส่งผลกระทบอะไรหากใครได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ ต้องยอมรับการตัดสินใจของประชาชน เพราะ ทุกประเทศมีประชาธิปไตยที่มีพื้นฐานใกล้เคียงกัน แต่ความแตกต่างขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเลือก จะเห็นได้จากทุกอย่างมีการพลิกแพลงอยู่ตลอด เวลา สิ่งที่ประเทศไทยจะเผชิญต่อไปคือ เราเป็นมิตร กับสหรัฐฯมา 183 ปี ดังนั้น ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ประเทศไทยก็จะเดินตามนโยบายเดิม เราเป็นประเทศ ที่อยู่ตรงกลางของอาเซียน ก็ต้องทำทุกอย่างให้ได้รับประโยชน์สูงสุดในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ย้ำนโยบายต่างประเทศสมดุล
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อไปว่า ไม่ว่าใครจะเป็น ประธานาธิบดีคนใหม่ เราก็ทำได้ทั้งสิ้น เราต้องเตรียมความพร้อมไว้ เราไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เพียงแต่เราต้องปรับตัวเองให้ได้ นี่คือนโยบายการต่างประเทศ ในเชิงรุก และสมดุลกับทุกประชาคมโลก ทุกประเทศที่เป็นคู่ค้า คู่เจรจากับไทย สถานการณ์ของสหรัฐฯ คงต้องรอดูกันต่อไป อย่างไรเราก็คบกันอยู่แล้ว ตนไม่ได้ไปทะเลาะกับใครจะว่าอะไรตนก็อยู่เฉยๆ และเดินหน้าทำงานต่อไป ระยะหลังต่างประเทศค่อนข้างเชื่อถือเรามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนหลายๆเรื่อง บางเรื่องต้องมีวิวัฒนาการเป็นโลกยุคใหม่ ต้องทำให้ทันให้ไว
ชี้หุ้นไทยแกว่งได้ทุกสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะสร้างความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น ได้อย่างไร เพราะเช้าวันเดียวกันนี้เกิดการผันผวนค่อนข้างแรง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า สถานการณ์หุ้นก็แกว่งทุกวัน ไปตามสถานการณ์โลกบ้าง สถานการณ์ในประเทศบ้าง ถ้าเรามีเสถียรภาพกันเองภายในประเทศทุกอย่างจะดีขึ้น สถานการณ์หุ้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โลก และภายในประเทศ พวกเรากันเอง ทุกวันมีการวิพากษ์วิจารณ์ และวิเคราะห์กันต่างๆนานา แค่นี้ก็ทำให้หุ้นตกแล้ว แต่ถ้าสถานการณ์นิ่งหุ้นก็ขึ้น หุ้นก็คือหุ้นมีหุ้นตัวไหนที่ขึ้นแล้วไม่ลงบ้างหรือไม่ ดังนั้น คนเล่นหุ้นต้องระมัดระวัง แต่ยืนยันว่าตนไม่ได้ทำอะไรให้เสียหาย
ให้เชื่อมั่นรัฐบาล-อย่าทำวุ่นวาย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ข้อสำคัญต้องเชื่อมั่นประเทศไทยของเราก่อนหุ้นก็จะไม่ลง อย่าไปทำลายโอกาสของเราเองให้ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส วันนี้ก็มีความวุ่นวายไปทั่ว เราต้องเร่งสร้างความสงบให้เราเองก่อน เดิมเราเคยมีความวุ่นวายแล้วจะทำให้วันนี้วุ่นวายกันอีกหรือ ถ้าที่อื่นวุ่นวายอยู่แล้วก็จะเบิ้ลเป็น 2 เท่า แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่ไว้ใจตนไม่เชื่อใจตน มันก็เป็นอย่างนี้ วันนี้เราต้องการสร้างความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ไว้วางใจตนมา 2 ปีกว่าแล้ว ให้ไปดูตนทำอะไรไปแล้วบ้าง และอะไรที่ทำยังไม่ได้ ดังนั้น อย่ามาติติงตนทั้งกระบวนการ ตนยอมรับตรงนี้ไม่ได้
กต.แถลงแสดงความยินดีทรัมป์
ต่อมาเมื่อเวลา 18.45 น. กระทรวงการต่างประเทศ ออกถ้อยแถลงต่อกรณีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ประเทศไทยแสดงความ ยินดีต่อสหรัฐอเมริกาในการจัดการเลือกตั้งประธานา-ธิบดี เมื่อวันที่ 8 พ.ย.2559 โดยประชาชนอเมริกันกว่า 120 ล้านคน ได้เลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 เป็นที่เรียบร้อย ไทยและสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนานกว่า 183 ปี โดยสหรัฐอเมริกาเป็นพันธมิตรที่สำคัญของไทยและมีความร่วมมือทวิภาคีในหลากหลายสาขา ไทยยินดีส่งเสริมและสร้างสรรค์ผลประโยชน์ร่วมกันกับสหรัฐอเมริกาให้เพิ่มพูนขึ้นต่อไป ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และในเวทีระหว่างประเทศ ไทยพร้อมจะร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในการเดินหน้าขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันให้ก้าวหน้าต่อไป
สุรินทร์เตือนรับมือความผันผวน
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน กล่าวถึงกรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งว่า มีผลกระทบต่อภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทยโดยรวมแน่นอน ขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเตรียมการรองรับของสถานการณ์ความผันผวนไม่แน่นอน ขอให้เรียนรู้ในนโยบายใหม่ และวิธีทางการทูตที่อาจจะเปลี่ยนไปของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ทั้งโลกต้องเตรียมการ เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยทราบถึงนโยบาย รวมถึงบุคลิกส่วนตัวของเขา เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ได้มาจากองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับรัฐ แต่มาจากภาคเอกชนที่เข้ามาในพรรครีพับริกัน ที่สำคัญทั้งอาเซียนและไทยต้องเตรียมการรองรับความ ผันผวนของแรงปะทะต่อจากนี้ เช่นคาดว่าจะได้เห็นความสัมพันธ์แบบทวิภาคี หรือ 2 ต่อ 2 มากกว่า การใช้องค์กรระดับภูมิภาคอย่างอาเซียน หรืออียู สรุปคืออาจมีการใช้การเจรจาระดับทวิภาคีมากกว่าพหุภาคีในเรื่องต่างๆระหว่างประเทศมากขึ้น
คาดสหรัฐฯปิดตัวเองมากขึ้น
นายสุรินทร์กล่าวต่อว่า ส่วนด้านเศรษฐกิจคาดว่าสหรัฐฯจะใช้นโยบายปิดตัวเองมากขึ้น คือ เขาจะสร้างกระแสกดดันแรงมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาภายใน เช่น การว่างงาน มีการส่งเสริมเรียกนักลงทุน ของเขาที่กระจายตัวทั่วโลกจากแหล่งผลิตสินค้าราคาถูกให้กลับประเทศเพื่อสร้างงานภายในของเขา แต่ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้นตามค่าผลิตไป เมื่อส่งออกต้องแข่งขันกัน สินค้าทุนที่ต่ำกว่าแข่งขันไม่ได้เขาจะมีมาตรการโดยใช้กระแสการปิดตัวเองของเขามากยิ่งขึ้น ประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าอย่างไทยหรือภูมิภาคอาเซียนต้องมองปัญหาและหาทางแก้ไข เช่น การเร่งผนึกอาเซียนให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อมีกำลังในการต่อรอง และให้ชาติอาเซียนช่วยเหลือกันเอง รวมถึงการพึ่งพาตลาดอย่างจีนก็มีความสำคัญที่เราต้องมุ่งเน้นความสัมพันธ์ให้มากยิ่งขึ้น
เจ้าคุณดังชี้อิทธิพลดาวมฤตยู
ด้านพระพรหมมังคลาจารย์ หรือเจ้าคุณธงชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม เกจิชื่อดังแห่งยุค ที่เคยออกมาทำนายการเคลื่อนตัวของดาวมฤตยู จะส่งผลกระทบต่อโลกกล่าวว่า ชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีเหนือนางฮิลลารี คลินตัน เป็นไปตามอิทธิพลของดาวมฤตยู หรือพระศิวะที่เป็นผู้ชาย และมาพร้อมกับคำ 4 คำ คือ change การเปลี่ยนแปลง innovation นวัตกรรม idealist ความคิดใหม่ และ freedom เสรีภาพ ซึ่งผู้นำของแต่ละประเทศและผู้นำของโลกจะต้องมีคุณสมบัติ 4 ข้อดังกล่าว เพราะโลกยุคใหม่ต้องการคนคิดใหม่ทำใหม่ ใครฝืนโลก ทวนกระแสโลก เป็นนักการเมืองรุ่นเก่า จะถูกกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีกติกาใหม่ๆ ระเบียบใหม่ๆ กวาดตกเวที
โลกจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์
เจ้าคุณธงชัยกล่าวต่อว่า ดาวมฤตยูเป็นดาวที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง เป็นเจ้าแห่งดวงดาว แต่เดิมใครจะไปคาดคิดว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะชนะเลือกตั้งและกลายเป็นประธานาธิบดี แต่ขณะนี้เป็น ไปได้แล้ว ทุกอย่างเป็นไปได้หมดภายใต้อิทธิพลของดาวมฤตยูหรือพระศิวะ ประเทศไทยก็เช่นกันจะได้ผลกระทบจากการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาในทางที่ดีขึ้น นักการเมืองและประชาชนจะมีการปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง โลกในอนาคตจะเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ไม่มีพรมแดน ไม่มีแนวเขตประเทศ โลกจะเป็นหนึ่งเดียว และกระแสของโลกจะเรียกหาผู้นำประเทศและผู้นำในเวทีโลกที่ต้องมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง