ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : ภัยแล้ง กับการปลูกพืชอายุสั้น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/206992

วันอังคาร ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ผมอยากทราบว่า ในช่วงภัยแล้งนี้จะสามารถปลูกพืชที่จะมีรายได้อย่างรวดเร็ว แทนการทำนา อะไรได้บ้างครับ

ศิริชัย สรวงสันติ

อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี

คำตอบ ในสภาวะภัยแล้ง ที่ขาดแคลนปริมาณน้ำ จนไม่เพียงพอต่อการอุปโภคและบริโภค และเกิดครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง เนื่องจากปริมาณฝนตกในช่วงต้นปีที่ผ่านมาน้อยกว่าปกติทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้ง ในช่วงธันวาคม-เมษายน อย่างรุนแรง เมื่อหมดฤดูนาแล้ว เกษตรกรควรปลูกพืชอายุสั้น ที่ใช้น้ำน้อยแทนการทำนา พืชที่แนะนำ ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ข้าวโพด ทานตะวัน และพืชผักต่างๆ ซึ่งเป็นพืชไร่อายุสั้น และใช้น้ำน้อยกว่าทำนาข้าวถึง 5 เท่า

วิธีการปลูกพืชอายุสั้นทดแทนการทำนา

วิธียกร่องแปลงปลูก ยกร่องกว้าง 1.5 เมตร ทำคลองส่งน้ำ และคูระบายน้ำให้เหมาะสมกับความยาวของร่องปลูก เพื่อสามารถให้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้น้ำท่วมถึงบริเวณสันร่องปลูก แล้วปล่อยน้ำค่อยๆ ซึมเข้าไปในแปลงปลูก ควรใช้ฟางข้าว หรือเศษวัชพืชคลุมสันร่องปลูก

วิธีการจะเลือกปลูกพืช นักวิชาการเกษตรได้แนะวิธีการที่จะเลือกว่าจะปลูกพืชชนิดใด ดังนี้การปลูกพืชต้นฤดู ควรเป็นพืชทนแล้งอายุสั้น 70-80 วัน แต่ถ้าไม่สามารถปลูกได้ภายในเดือนพฤษภาคม เพราะฝนมาล่าช้า ไม่ควรปลูกพืชอายุสั้น เพราะเป็นการเสี่ยงในช่วงเก็บเกี่ยวจะเจอฝนหนัก ดังนั้น ถ้าฝนมาล่าช้า ควรปลูกพืชที่อายุยาวเพียงพืชเดียว ส่วนการปลูกพืชช่วงที่สอง ควรปลูกทันทีหลังเก็บเกี่ยว เพราะฝนจะไม่ทิ้งช่วงนานในช่วงนี้ ถ้าปลูกล่าช้าไปจะมีผลกระทบต่อผลผลิต และถ้าฝนตกหนักตามมา จะทำให้เตรียมพื้นที่ปลูกได้ยาก ต้องพิจารณาชนิดพืชเป็นสำคัญ และระยะเวลาฤดูฝนที่ยังเหลืออยู่ว่ามีกี่วัน โดยถือว่าฝนจะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม

การปลูกถั่วเขียว ควรปลูกหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ความชื้นในดินยังเหลืออยู่เพราะเป็นช่วงหมดฤดูหนาว จะทำให้ถั่วเจริญเติบโตได้ดี พันธุ์ที่แนะนำคือ พันธุ์อู่ทอง 1 เพราะฝักไม่แตกง่าย อายุ 60-70 วัน พันธุ์กำแพงแสน 2 เหมาะแก่การปลูกในฤดูแล้งนอกเขตชลประทาน อายุ 65-75 วัน ส่วนพันธุ์ชัยนาท 72 อายุ 63 วัน

การปลูกทานตะวัน เป็นพืชที่ทนต่อสภาวะแห้งแล้งได้ดีกว่าถั่วเหลือง พันธุ์ที่แนะนำ คือ พันธุ์ลูกผสม เพื่อการผลิตน้ำมันพืช มีระบบรากที่ดี รากแผ่กว้างดูดซับความชื้นได้ดี ตอบสนองต่อปุ๋ย และมีแมลงศัตรูพืชรบกวนน้อย อายุเก็บเกี่ยว 90-100 วัน สามารถปลูกแทนข้าวนาปรังได้ในบางพื้นที่ที่มีการจัดการดี และสภาพพื้นที่นาที่มีการระบายน้ำดี ไม่ท่วมขังในที่นาดอน ก็ปลูกได้เหมือนพืชไร่ทั่วๆ ไป

การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พันธุ์ที่แนะนำคือ พันธุ์ลูกผสม จะทนแล้งได้ดีกว่าพันธุ์ผสมเปิด ได้แก่ พันธุ์สุวรรณ 3851
พันธุ์นครสวรรค์ 72 พันธุ์สุวรรณ 4452 และพันธุ์ลูกผสมจากบริษัทเอกชนต่างๆ จะทนแล้งได้ดี อายุเก็บเกี่ยว 110-120 วัน
ควรระวังในช่วงผสมเกสรอย่าให้ขาดน้ำ เพราะจะทำให้ติดเมล็ดไม่ดี เมล็ดจะลีบ และในช่วงหนูนาจะระบาด ควรหาทางป้องกันหนูนาไว้แต่เนิ่นๆ

การปลูกหอม กระเทียม และพืชผักอื่นๆ การปลูกให้คลุมด้วยฟางข้าว หญ้าแห้ง เพื่อลดการระเหยของน้ำ และลดความรุนแรงจากแสงแดดส่องโดยตรง จะช่วยรักษาความชื้นในดิน และบังแสงสว่างทำให้เมล็ดวัชพืชไม่สามารถงอกได้

การปลูกพืชอายุสั้นทดแทนการปลูกข้าว นอกจากจะแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำโดยตรงแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่ตามมา ได้แก่ เป็นการตัดวงจรชีวิตของศัตรูข้าว เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล โรคไหม้คอรวง เป็นการปรับคุณสมบัติทางกายภาพของดินให้ดีขึ้น และช่วยลดการเสี่ยงในผลผลิตข้าว เมื่อมีน้ำไม่เพียงพอ เกษตรกรจะมีรายได้ชดเชย และได้มากกว่าการทำนา

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตรที่นี่มีคำตอบ : พืชผักประเภททนเค็มและชอบเกลือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/205823

วันอังคาร ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำถาม ขอทราบความรู้เรื่องพืชทนดินเค็ม และจะสามารถปลูกพืชผักอะไรได้บ้างครับ

บรรพต ครองสนสาร

อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม

คำตอบ ดินเค็ม สามารถแก้ไขฟื้นฟูให้กลับมาใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจได้ ด้วยการลดระดับความเค็มดินให้ลดลง และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ดินด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งต้องลงทุนสูงและใช้ระยะเวลานาน ทางเลือกที่ดีกว่าคือ ปลูกพืชทนเค็มชนิดที่เหมาะสมกับระดับความเค็ม จะทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตในการแก้ไขปรับปรุงดินได้

การทนเค็มของพืช เป็นความสามารถของพืช ที่จะทนต่อเกลือปริมาณมาก รากของพืชชนิดต่างๆ มีความสามารถในการทนเค็มต่างกัน มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการทนเค็มของพืช เช่น ชนิดของเกลือ สภาพดินฟ้าอากาศ และช่วงอายุของพืช เมื่อพืชไม่ทนเค็ม หรือทนเค็มน้อย จะแสดงอาการคล้ายกับการที่พืชขาดนํ้า เช่น ชะงักการเจริญเติบโต พืชมีขนาดเล็กกว่าพืชที่ปลูกในดินธรรมดา ใบห่อลง เพื่อลดการคายนํ้าทางปากใบ พืชบางชนิดอาจมีสีเขียวเข้มแกมนํ้าเงิน สีของใบพืชเปลี่ยนเป็นสีเข้มกว่าเดิม เนื่องจากใบมีคลอโรฟิลล์มากขึ้น และมีสารเคลือบใบหนา เพื่อลดการสูญเสียนํ้า อาการปลายใบไหม้ เกิดจุดประบนใบ ใบม้วน และใบเหลือง เนื่องจากขาดคลอโรฟิลล์ ใบเปลี่ยนเป็นสีนํ้าตาล ปลายใบและขอบใบแห้งกรอบ

ความไม่สมดุลของธาตุอาหาร การที่ดินมีค่าระดับ pH สูง ทำให้ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารพืชบางตัวลดลง เกิดผลเสียต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น ที่ระดับ pH ระหว่าง 6-7 ฟอสเฟตอยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์แก่พืช แต่ที่ระดับ pH มากกว่า 7 ธาตุอาหารพวกเหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง และโคบอลท์ อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์แก่พืชได้น้อย

การจำ แนกพืชทนเค็ม นักวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน ได้จำแนกพืชทนเค็ม ออกได้เป็น 3 จำพวก คือ 1) พืชทนเค็ม 2) พืชชอบเกลือ และ 3) พืชที่ไม่ได้มีกำเนิดในสภาพเค็ม

พืชทนเค็ม ได้แก่ พืชที่มีความสามารถเจริญเติบโตได้ครบวงจรชีวิตในสภาพเค็ม เมื่อระดับความเค็มเพิ่มขึ้น การเจริญเติบโตและผลผลิตลดลง การทนเค็มของพืชแตกต่างกันในระยะการเจริญเติบโตต่างๆ พืชส่วนใหญ่ทนเค็มได้ในระยะที่พืชงอกจากเมล็ด แต่ความสามารถทนเค็มจะลดลง เมื่อเลยระยะงอกไปแล้ว เช่น ผักกาดหัว จัดเป็นพืชทนเค็มปานกลาง ไม่ทนเค็มในช่วงงอก ข้าวโพด จัดอยู่ในพวกทนเค็มน้อย แต่งอกได้ดีกว่าผักกาดหัว

พืชชอบเกลือ ได้แก่ พืชที่สามารถปรับตัวเจริญเติบโตได้ในความเค็มระดับสูง รอดตายได้มากกว่า 75% พืชชอบเกลือเจริญเติบโตได้ดีในสารละลายที่มีเกลือมากกว่า 0.5% โดยนํ้าหนัก แบ่งออกเป็น 2 พวก คือ พืชที่ขึ้นได้ในความเค็มระดับนํ้ากร่อย และพืชที่ขึ้นได้ในความเค็มระดับนํ้าทะเล พืชพวกนี้ สามารถดูดเกลือเข้ามาสะสมในต้น เพื่อปรับความเข้มข้นสารละลายในเซล ทำให้สามารถดูดนํ้าจากดินได้

พืชที่ไม่ได้มีกำเนิดในสภาพเค็ม เป็นพืชที่มีกลไกที่พัฒนาให้สามารถเจริญเติบโตในดินเค็มได้ในสภาพเค็ม รอดตายได้มากกว่า 75% พืชพวกนี้ ไม่สะสมเกลือในต้น แต่จะผลิตนํ้าตาลหรือกรดอินทรีย์บางชนิดขึ้นมา เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในเซลของราก ซึ่งต้องใช้พลังงานมากทำให้การเจริญเติบโตและผลผลิตลดลง

ตัวอย่าง พืชที่สามารถทนเค็มในระดับต่างๆ เช่น

ระดับความเค็มดินเค็มน้อย ได้แก่ ถั่วฝักยาว ผักกาด ขึ้นฉ่าย พริกไทย แตงร้าน แตงไทย แตงกวา และมะเขือระดับความเค็มปานกลาง ได้แก่ บวบ พริกยักษ์ ถั่วลันเตา นํ้าเต้า หอมใหญ่ ข้าวโพดหวานผักกาดหอม แตงกวาญี่ปุ่น และบรอคโคลี

ระดับความเค็มมาก ได้แก่ กะหลํ่าดอก กะหลํ่าปลี มันฝรั่ง กระเทียม หอมแดง แตงโม แคนตาลูบ สับปะรด หน่อไม้ฝรั่ง และผักชี

ระดับความเค็มจัด ได้แก่ ผักโขม
ผักกาดหัว มะเขือเทศ ถั่วพุ่ม ชะอม คะน้า กะเพรา และผักบุ้งจีน

 

การทนเค็มในช่วงระยะการเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน ไปตามระยะการเจริญเติบโต ตั้งแต่งอกจนกระทั่งสุกแก่ และอาจผันแปรตามระยะของการพัฒนาด้วย พืชที่ปลูกส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายตั้งแต่ระยะงอก หรือในการเจริญเติบโตช่วงแรก ทำให้มีพื้นที่ที่พืชขึ้นไม่ได้เป็นหย่อมๆ ในแปลงปลูก แต่เมื่อพ้นระยะกล้าไปแล้ว พืชจะทนเค็มได้ดีขึ้นนะครับ

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : เกษตรอินทรีย์ การเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/204743

วันอังคาร ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ขอทราบวิธีปลูกมันสำปะหลังที่ไม่ใช้สารเคมีอย่างละเอียดครับ และต้องใช้พันธุ์อะไรจึงจะได้ผลผลิตที่ดีครับ

ทรงวุฒิ คุณาการ

อ.เมือง จ.ตราด

คำตอบ มันสำปะหลัง เป็นพืชหัว ผลผลิตที่ใช้ประโยชน์คือ ราก ที่มีการสะสมอาหาร เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย สภาพดินที่ไม่มีน้ำขัง มีการระบาย และอากาศดีพันธุ์ที่นิยมปลูก ได้แก่ พันธุ์ระยอง 1 พันธุ์ระยอง 60 และพันธุ์ระยอง 90

การคัดเลือกต้นพันธุ์มันสำปะหลัง โดยคัดเลือกต้นพันธุ์มันสำปะหลังที่สมบูรณ์ มีอายุแก่ตั้งแต่ 8 เดือนขึ้นไป ตัดลำต้นให้เป็นท่อนยาว 15-20 เซนติเมตร แล้วนำไปแช่ในน้ำหมักชีวภาพ ที่เจือจางด้วยน้ำในสัดส่วน 1:500 หรือ 1:1,000 เป็นเวลา 24 ชั่วโมง แล้วปลูกในพื้นที่ที่เตรียมไว้ โดยนำท่อนพันธุ์ที่เตรียมไว้ปักลงในดินให้ลึกประมาณ 2/3 ของท่อนพันธุ์ ควรระวังอย่าปักส่วนยอดลงดิน เพราะจะทำให้ตาไม่งอก ควรปักตรง 90 องศา หรือปักเฉียง 45 องศากับพื้นดิน จะปักแบบใดก็ให้ผลผลิตไม่แตกต่างกัน แต่จะสะดวกต่อการกำจัดวัชพืช ง่ายต่อการเก็บเกี่ยว และให้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกแบบฝัง 15 เปอร์เซ็นต์

อายุเก็บเกี่ยวและระยะการปลูกมันสำปะหลังจะมีอายุการเก็บเกี่ยว ประมาณ 10-12 เดือน โดยใช้ระยะปลูกดังนี้พันธุ์ระยอง 1 ต้องใช้ระยะปลูก 100×100 เซนติเมตร พันธุ์ระยอง 60 ต้องใช้ระยะปลูก 60×100 เซนติเมตร และพันธุ์ระยอง 90 ต้องใช้ระยะปลูก 80×100 เซนติเมตร

การเตรียมดิน ให้ทำการไถกลบและพรวน อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ลึก 20-30 เซนติเมตร เพื่อกลบเศษซากพืชจากฤดูก่อน และทำลายวัชพืชต่างๆ ให้ลดจำนวนลง ถ้าพื้นที่มีความลาดชัน ต้องไถพรวนตามแนวขวาง เพื่อป้องกันการชะล้างของดิน และถ้าดินระบายน้ำไม่ดี ต้องยกร่องปลูก และทำการปลูกพืชปุ๋ยสด เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน และตัดวงจรการระบาดของโรค ซึ่งนักวิชาการเกษตร จากกรมพัฒนาที่ดิน ได้แนะนำไว้ดังนี้

ปุ๋ยพืชสดที่นิยมใช้ ได้แก่ ถั่วพร้า อัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่ หว่านหรือโรยเป็นแถวก่อนปลูกมันสำปะหลัง แล้วทำการไถกลบเมื่ออายุ 50 วัน ซึ่งเป็นช่วงระยะออกดอก แล้วปล่อยให้ย่อยสลาย 15 วัน จึงเตรียมแปลงปลูกมันสำปะหลัง หรืออาจใช้ถั่วพุ่ม อัตรา 8 กิโลกรัมต่อไร่ ทำการไถกลบเมื่ออายุ 40 วัน โดยทำวิธีการเดียวกับถั่วพร้า ในขณะเตรียมดินก่อนปลูกมันสำปะหลัง ให้ฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพที่ผลิตจากสารเร่ง พด.2 โดยใช้อัตรา 5 ลิตรต่อไร่ นำมาเจือจาง 1:500 และก่อนปลูกมันสำปะหลัง ให้ใส่เชื้อจุลินทรีย์ควบคุมเชื้อสาเหตุโรคพืช ที่ผลิตจากสารเร่ง พด.3 ระหว่างแถวที่จะปลูกอัตรา 100 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อป้องกันโรคเน่า และลำต้นเน่าของมันสำปะหลัง

การปลูกพืชปุ๋ยสดแซม หลังจากที่ปลูกมันสำปะหลังได้ 15 วัน ให้ทำการปลูกพืชปุ๋ยสด เช่น ถั่วพุ่ม หรือถั่วพร้า โรยเป็นแถวแทรกระหว่างแถวมันสำปะหลัง เพื่อป้องกันวัชพืช เมื่อพืชปุ๋ยสดมีอายุ 50 วัน ให้ทำการตัด แล้วนำมาคลุมดิน เพื่อรักษาความชื้นในดิน และเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน

การดูแลรักษา ทำการฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพให้กับพืชปุ๋ยสด ทุก 7 วัน อัตรา 2 ลิตรต่อไร่ เจือจาง 1:1,000 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของพืชปุ๋ยสด และหลังจากปลูกมันสำปะหลัง 15 วัน ให้ฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพทางใบ หรือลำต้นให้กับมันสำปะหลัง หรือรดลงดิน ทุก 1 เดือน จนถึงระยะเก็บเกี่ยว กรณีที่ปลูกพืชแซมในขณะที่ให้น้ำหมักชีวภาพกับมันสำปะหลัง ควรฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพให้กับพืชตระกูลถั่วที่ปลูกแซมแทรกระหว่างแถวมันสำปะหลังด้วย หากเกิดการระบาดของโรคใบจุดสีน้ำตาล โรคใบจุดไหม้ ใบจุดขาว และแมลงต่างๆ เป็นต้น ให้ใช้สารสกัดจากธรรมชาติเท่านั้น

การเก็บเกี่ยว การเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ต้องตัดเหง้าและต้นออก และรีบส่งหัวมันสดเข้าโรงงานทันที ส่วนลำต้นให้เก็บไว้ใช้ทำพันธุ์ต่อไป ส่วนกิ่ง ก้าน ใบ และส่วนที่เป็นวัสดุตอซัง ให้ไถกลบลงดินทุกครั้งหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อการเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุให้กับดิน และปรับปรุงบำรุงดิน โดยใช้น้ำหมักชีวภาพ ปุ๋ยพืชสด และใส่เชื้อจุลินทรีย์ควบคุมเชื้อสาเหตุโรคพืช

การใช้น้ำหมักชีวภาพ จะสามารถลดอัตราการใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์หรือสามารถเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับวิธีการปฏิบัติเดิมของเกษตรกรได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ นะครับ

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : การเลี้ยงปลา และปลูกพืชในที่ราบลุ่ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/203618

วันอังคาร ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำถาม ไร่นาสวนผสมเป็นอย่างไรครับ มีการทำอย่างไร พืชที่ปลูกควรใช้อะไรบ้าง และควรเลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง ขอคำแนะนำด้วยครับ

ทองคำ อุ่นคำวง
อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี

คำตอบ การทำไร่นาสวนผสมเป็นระบบการเกษตรที่เกษตรกรสามารถปลูกพืชได้หลายชนิด โดยแบ่งพื้นที่เพาะปลูกพืชต่างๆ ตามความต้องการของตลาด รวมทั้งดำเนินกิจกรรมการเกษตรอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การปศุสัตว์ และการประมง จุดมุ่งหมายของการทำไร่นาสวนผสม ก็เพื่อในด้านการผลิตและการตลาดของเกษตรกร โดยเน้นการใช้ทรัพยากรที่ดินและดินให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด

พื้นที่ที่จะใช้ในการปลูกข้าวร่วมกับการเลี้ยงปลาในนาข้าว และทำการปลูกพืชล้มลุกหลังฤดูการทำนา ควรเป็นพื้นที่ราบเรียบ และต่ำสุดของพื้นที่ที่เกษตรกรถือครอง ควรมีเนื้อที่ 10-15 ไร่อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับขนาดการถือครองที่ดิน

การเตรียมพื้นที่สำหรับการเลี้ยงปลาในนาข้าวนั้น ให้ขุดดินในพื้นที่นารอบแปลงที่จะเลี้ยงปลา และทำคันดินที่แข็งแรงรอบแปลง ภายในแปลงจะมีคูล้อมรอบ สามารถเก็บกักน้ำให้ขังอยู่ในแปลงนา สำหรับคูดังกล่าว ควรมีขนาดกว้าง 50 ซม. ลึกระหว่าง 30-50 ซม. และคันดินล้อมรอบควรสูง 75-100 ซม. คันดินสูงกว่าระดับน้ำสูงสุด ประมาณ 60 ซม. คันดินควรมีขนาดกว้าง 50-100 ซม. และที่มุมแปลงนาที่ต่ำสุดควรขุดหลุมกว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร และลึก60-70 ซม. เพื่อสะดวกในการจับปลา โดยปลาจะมารวมกันในหลุมเมื่อเวลาน้ำลดในฤดูเก็บเกี่ยวข้าว และพื้นที่ส่วนนี้ จะเป็นทางระบายน้ำออกจากแปลงนาด้วย

สำหรับปลาที่แนะนำให้เลี้ยงในแปลงนา ได้แก่ ปลานิล ปลาไน ปลาตะเพียน ปลาดุก และปลาสลิด เป็นต้น ปลาที่จะปล่อยลงเลี้ยงในนาข้าว ควรมีขนาดความยาว 3-5 ซม. ปล่อยอัตรา 400-600 ตัวต่อไร่ ใช้ระยะเวลาในการเลี้ยงระหว่าง 3-4 เดือน ซึ่งจะพอดีกับข้าวสุกเก็บเกี่ยวได้ และปลามีขนาดโตพอที่จะจับไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ การให้อาหารปลาให้วันละหนึ่งครั้ง

ประโยชน์ที่ได้รับจากการเลี้ยงปลาในนาข้าว คือมูลของปลาจะเป็นปุ๋ยให้แก่ข้าว ทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น ปลายังช่วยกินวัชพืชหรือแมลงที่เป็นศัตรูของข้าว และช่วยพรวนดินในนาข้าว นอกจากที่กล่าวแล้ว การเลี้ยงปลาในนาข้าวยังมีผลในทางที่ดีต่อการปลูกพืชล้มลุกหลังการเก็บเกี่ยวข้าวอีกด้วย

ส่วนการเตรียมดินสำหรับปลูกพืชล้มลุก ได้แก่ พืชไร่ หรือพืชผักต่างๆ หลังการเก็บเกี่ยวข้าวแล้วนั้น ให้ไถดิน และยกแปลงปลูกให้สูงกว่าพื้นนา ประมาณ 20 ซม. ขนาดกว้างประมาณ 4 เมตร และยาวตามขนาดของกระทงนาและระหว่างแปลงปลูก ควรมีทางเดินกว้าง ประมาณ 4 เมตร และยาวตามขนาดของกระทงนา และระหว่างแปลงปลูกควรมีทางเดินกว้าง 30-50 ซม. เพื่อสะดวกในการเข้าไปดูแลพืชที่ปลูก และยังเป็นทางระบายน้ำในกรณีที่ฝนตกอีกด้วย

สำหรับพืชไร่ที่ปลูก ควรปลูกพืชบำรุงดินสลับไปด้วย เพื่อช่วยรักษาและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : ดินเปรี้ยวกับการปลูกไม้ผล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/202508

วันอังคาร ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำถาม ที่สวนของผมเป็นดินเปรี้ยว อยากจะปลูกไม้ผลจะทำอย่างไรดีครับ

สิริ ทองสลวย

อ.เมือง จ.นครนายก

คำตอบ ดินเปรี้ยว เป็นดินที่มีความเป็นกรดสูง ดินบนมีสีดำหรือเทาดำ ถัดลงไปจะพบสีสนิมเหล็กปะปนอยู่ และมีจุดประสีเหลืองอ่อนเหมือนฟางข้าว ในดินชั้นล่างลึกจากผิวดิน ประมาณ 25-150 เซนติเมตร

พื้นที่ดินเปรี้ยวที่มีปัญหามากที่สุด คือบริเวณภาคกลาง แถบจังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี นครนายก อ่างทอง และสุพรรณบุรี ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ลุ่มน้ำขัง ใช้ทำนาเป็นหลัก ผลผลิตที่ได้ยังต่ำอยู่ เนื่องจากมีปัญหาในด้านเคมีของดิน ความเป็นกรดที่สูงมาก มีธาตุอาหารพืชบางชนิด เช่นอะลูมินัมและเหล็ก อยู่ในระดับค่อนช้างสูง ละลายออกมาจนเป็นพิษต่อพืชที่ปลูก ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ และความเป็นประโยชน์ของธาตุฟอสฟอรัสจะลดลง

ปัญหาทางของดิน ส่วนใหญ่เมื่อดินเป็นดินเหนียวจับตัวกันแน่น ระบายน้ำไม่ดี เมื่อแห้งดินจะแข็ง ยังมีปัญหาทางด้านชีวภาพด้วย เพราะความเป็นกรดสูง จุลินทรีย์ในดินที่สร้างอาหารให้แก่พืชไม่สามารถทำงานได้

การใช้ประโยชน์ในดินเปรี้ยว ใช้ทำนาปลูกข้าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนาหว่าน สำหรับบริเวณที่มีแหล่งน้ำชลประทาน เกษตรกรจะปลูกไม้ผลยืนต้น เช่น ส้ม มะม่วง ฝรั่ง ที่เป็นพืชที่ทนต่อสภาพดินเปรี้ยว การปลูกไม้ผลในพื้นที่ดินเปรี้ยวนี้ จำเป็นต้องมีการจัดการที่ถูกต้อง และมีการปรับปรุงดินให้เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ของดิน โดยลดความเป็นกรด ป้องกันการเกิดกรดเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการเพิ่มธาตุอาหารพืชในดินให้เหมาะสมต่อชนิดของพืชที่ปลูกด้วย

การจัดการดินที่ถูกต้อง และเหมาะสมแก่การปลูกไม้ผล  นักวิชาการของกรมพัฒนาที่ดินได้ให้คำแนะนำและการจัดการดังนี้

1.คัดเลือกพืชที่มีความทนทานต่อสภาพดินเปรี้ยว เช่น ส้ม มะพร้าวฝรั่ง ละมุด มะกอก

2.ควรเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ และสามารถนำน้ำมาใช้ได้ตลอดปี

3.สร้างคันดินกั้นน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบแปลง เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในฤดูฝน

4.ขุดยกร่องสวน โดยปาดเอาหน้าดินมาพูนเป็นสันร่องไว้ตรงกลาง ดินที่อยู่ลึกลงไปนำมาพอกไว้ด้านข้าง โดยทำการขุดยกร่องแบบเดียวกันนี้ จนทั่วทั้งแปลง เพื่อเพิ่มความลึกของหน้าดิน

5.ท้องร่องที่ขุดเอาหน้าดินออกไปแล้ว กลายเป็นร่องน้ำ น้ำในส่วนนี้จะเป็นน้ำเปรี้ยว จะช่วยระบายออกเมื่อเริ่มเปรี้ยวจัด แล้วจะระบายน้ำจืดเข้ามาแทนใหม่

6.ใส่หินปูนฝุ่นหรือปูนมาร์ลเพื่อลดความเป็นกรดของดิน โดยหว่านทั้งร่องที่ปลูก อัตรา 3 ตัน/ไร่ หรือตามผลวิเคราะห์ดิน

7.กำหนดระยะปลูก ตามความเหมาะสมของแต่ละชนิดพืช

8.ขุดหลุมปลูกขนาด กว้าง ยาว และลึก 50 เซนติเมตร แยกดินชั้นบนและดินดินชั้นล่างไว้ต่างหาก ตากผึ่งดินไว้เพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วเอาส่วนที่เป็นหน้าดินผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก และบางส่วนของดินล่าง ผสมปูนมาร์ลหรือหินฝุ่น อัตรา 2.5 กิโลกรัม/หลุม แล้วกลบลงไปในหลุมให้เต็ม

9.ควรปลูกพืชในต้นฤดูฝน เนื่องจากอากาศชุ่มชื้น พืชตั้งตัวได้เร็ว พร้อมใส่ปุ๋ยเคมีตามความต้องการของพืชชนิดนั้น

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : การจัดการความเสื่อมโทรมของดินและน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/201401

วันอังคาร ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำตอบ การอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยวิธีพืช จะเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความเสื่อมโทรมของดินและน้ำ ดำเนินการโดยใช้พืชที่ปลูก ให้สามารถอำนวยประโยชน์ด้านอนุรักษ์ ป้องกัน ปรับปรุง ฟื้นฟู และบำรุงรักษาทรัพยากรดินและน้ำ ให้อยู่ในสภาพที่อุดมสมบูรณ์ สามารถดำเนินการผลิตทางการเกษตรได้อย่างดี อันได้แก่ 1) การปลูกพืชสลับเป็นแถบ คือ การปลูกพืช ชนิดต่างๆ เป็นแถบ หรือเป็นแนวกว้างๆ สลับกันไป โดยขวางการปลูกพืชตามแนวระดับ 2) การปลูกพืชสลับเป็นแถบ 3) การปลูกพืชหมุนเวียน 4) การปลูกพืชแซม 5) การปลูกพืชเหลื่อมฤดู และ 6) การปลูกหญ้าแฝก เป็นต้น

การปลูกพืชตามแนวระดับ เป็นการปลูกพืช ขนานกันไปตามแนวระดับขวางความลาดเทของพื้นที่ นิยมทำกันบนพื้นที่ที่มีความลาดเท 2-8 เปอร์เซ็นต์ สภาพความลาดเทสม่ำเสมอ และมีระยะของความลาดเทไม่เกิน 100 เมตร ความสำคัญของการปลูกพืชตามแนวระดับนี้ คือ ร่องที่เกิดขึ้นจากการไถพรวนดินและปลูกพืช จะทำหน้าที่เหมือนเขื่อนสกัดกั้น และลดความเร็วของน้ำที่ไหลบ่าบนผิวดินโดยตรง ประสิทธิภาพของการปลูกพืชตามแนวระดับ ขึ้นอยู่กับชนิดและสภาพของดิน ความลาดเท การใช้ที่ดิน ปริมาณน้ำฝน และภูมิอากาศของพื้นที่นั้นๆ

วิธีนี้จะประกอบด้วย แถบพืชที่ปลูกช่วงอนุรักษ์ดิน เช่น หญ้าแฝก และพืชคลุมดิน กับแถบพืชไร่ หรือการปลูกพืชสลับระหว่างแถบ พืชที่ปลูกระยะกว้างหรือห่าง การปลูกพืชในระบบนี้ จะช่วยให้น้ำที่ไหลบ่ามาถึงแถบพืชคลุมจะถูกดูดซับไวด้วยพืชคลุมนั้นๆ และอีกหลายส่วนจะถูกแถบของพืชเป็นแนวสกัดกั้นและรับแรงปะทะเอาไว้ ทำให้อัตราการไหลของน้ำลดลง วิธีนี้เหมาะในสภาพพื้นที่ที่มีความลาดเท 6-15 เปอร์เซ็นต์ และแถบพืชที่ปลูกมีความกว้างระหว่าง 10-25 เมตร

การปลูกพืชหมุนเวียน เป็นการปลูกพืชสองชนิดหมุนเวียนกัน หรือมากกว่า ลงบนพื้นที่เดียวกัน โดยมีการจัดลำดับพืชที่ปลูกอย่างมีระบบ ทั้งชนิดพันธุ์ และจัดเวลาที่ปลูกที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลดี ทั้งด้านผลผลิตและการอนุรักษ์ดินและน้ำ ด้วยระบบการปลูกนี้ พืชหมุนเวียนจะให้ได้ผลดีนั้น ควรใช้เศษพืชหรือปุ๋ยคอกปกคลุมดินด้วย มีการเพิ่มจำนวนครั้งในการปลูกพืชคลุมดิน เพื่อให้ดินได้รับการปกคลุมอยู่ตลอด หรือทำการเพิ่มจำนวนครั้งการปลูกพืชหลายชนิดติดต่อกันใน 1 ปี

การปลูกพืชแซม เป็นการปลูกพืชตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป บนพื้นที่ในเวลาเดียวกัน โดยทำการปลูกพืชที่สองแซมลงไประหว่างแถวพืชหลัก การคัดเลือกชนิดพืชเพื่อปลูกเป็นพืชแซม พืชหลักกับพืชแซมควรมีระบบรากที่หยั่งลึกในดินต่างระดับกัน พืชหลักกับพืชแซมควรมีอายุแตกต่างกัน พืชแซมต้องไม่เป็นที่พักอาศัยของโรคแมลงศัตรูพืชหลัก เป็นพืชที่ให้ประโยชนกับพืชหลัก เป็นพืชที่ตลาดต้องการและเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของท้องถิ่น

การปลูกพืชเหลื่อมฤดู เป็นการปลูกพืชต่อเนื่องคาบเกี่ยวกัน โดยการปลูกพืชที่สองระหว่างแถว ของพืชแรกในขณะที่พืชแรกให้ผลผลิตแล้วแต่ยังไม่แก่เต็มที่ การคัดเลือกพืชเพื่อปลูกพืชเหลื่อมฤดู ควรเป็นพืชอายุสั้น ทนทานต่อร่มเงา ไม่ต้องการไถพรวนหรือเตรียมดินขณะปลูก ควรเป็นพืชตระกูลถั่วบำรุงดิน

การปลูกหญ้าแฝก หญ้าแฝกเป็นพืชตระกูลหญ้า ขึ้นเป็นกอหนาแน่น มีจำนวนรากมาก รากจะประสานติดต่อกันอย่างหนาแน่น เสมือนม่าน หรือกำแพงใต้ดิน สามารถเก็บกักน้ำและความชื้นได้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อพืชที่ปลูกข้างเคียง การปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ ควรปลูกเป็นแถวตามระดับขวางความลาดเทในช่วงต้นฤดูฝน โดยใช้ระยะปลูกระหว่างต้นหรือกอ ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ตามแนวตั้ง หญ้าแฝกจะเจริญเติบโตชิดกัน ภายใน 4-6 เดือน ในพื้นที่แห้งแล้ง ควรมีการตัดใบหญ้าแฝกให้เหลือความสูง ประมาณ 30-50 เซนติเมตร เพื่อเร่งให้มีการแตกกอเร็วขึ้น

ประโยชน์ของการอนุรักษ์ดินและน้ำ โดยวิธีพืชนั้น จะช่วยควบคุมการระเหยน้ำจากผิวดิน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอุ้มน้ำของดิน ช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์แก่ดิน ช่วยในการระบายน้ำในดิน ช่วยลดแรงปะทะของหน้าดินกับเม็ดฝน และช่วยปรับปรุงสภาพความร่วนซุยของดินอีกด้วย

‘นาย รัตวิ’

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : การปลูกถั่วมะแฮะ พืชใช้น้ำน้อย ทนแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/200322

วันอังคาร ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ในช่วงไม่ค่อยมีน้ำนี้ ผมอยากปลูกถั่วมะแฮะสลับเปลี่ยนกับพืชหลักขอทราบรายละเอียดด้วยครับ

สุพจน์ ปรีดีรณรงค์

คำตอบ ถั่วมะแฮะ เป็นพืชตระกูลถั่ว ที่สามารถเจริญเติบโตได้ 2-3 ปี ทนต่อสภาพแห้งแล้ง และอุณหภูมิสูงได้ดี สามารถปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมได้ชอบดินร่วนที่มีการระบายน้ำดี แต่ไม่ทนต่อสภาพที่ลุ่มน้ำท่วมขัง ถั่วมะแฮะเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนกึ่งแห้งแล้ง

ลักษณะของถั่วมะแฮะ จัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-5 เมตร ลำต้นและกิ่งมีสีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่มีสีน้ำตาลปนเขียว และแตกกิ่งก้านสาขาออก ประมาณ 1-1.5 เมตร มีระบบรากแก้วที่แข็งแรงหยั่งลึกลงในดิน ลักษณะใบ จะเป็นแบบใบรวม มีใบย่อย 3 ใบ รูปใบยาวรีคล้ายหอย ปลายแหลม ขอบใบเรียบ มีขนปกคลุม ด้านบนใบสีเขียวเข้ม ด้านล่างใบมีสีน้ำเงิน ดอกออกเป็นช่อ สีเหลืองหรือสีแดง ขนาดดอกยาว 2.8-2.9 เซนติเมตร กว้าง 0.6-0.9 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับพันธุ์ ภายในมีเมล็ดกลมหรือรูปไข่ จำนวน 3-5 เมล็ด

วิธีการปลูก ทำการไถเตรียมดิน โดยไถดะ 1 ครั้ง ไถแปร 1 ครั้ง ในช่วงดินมีความชื้นพอเพียง

การเตรียมดินปลูก ควรใส่ปุ๋ยรอคฟอสเฟต อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ โดยไถคลุกเคล้าให้เข้ากับดิน ระยะปลูก ใช้ระยะปลูกระหว่างต้นและระยะระหว่างแถว เท่ากับ 50×75 เซนติเมตร ปลูกโดยใช้เมล็ดแบบหยอดเป็นหลุม หลุมละ 2-3 เมล็ด อัตราเมล็ดพันธุ์ 8 กิโลกรัมต่อไร่ ก่อนปลูกควรคลุกเมล็ดด้วยยากัน เชื้อราด้วย

การดูแลรักษา หลังหยอดเมล็ด 7-10 วัน ทำการพรวนดิน กำจัดวัชพืช เมื่ออายุได้ 30 วัน ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 20
กิโลกรัมต่อไร่ ช่วงติดฝักอ่อน ควรฉีดพ่นสารเคมี เพื่อกำจัดเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ และ หนอนเจาะฝัก

การเก็บเกี่ยว ถั่วมะแฮะที่ปลูกช่วงต้นฤดูฝน เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน จะออกดอกประมาณเดือนตุลาคม ถึงเดือนพฤศจิกายน ประมาณ 110-150 วัน ฝักจะแก่ เก็บเกี่ยวได้ช่วงเดือนธันวาคม หรือประมาณ 180-270 วัน เมื่อฝักแก่ ประมาณ 3 ใน 4 ก็ทำการเก็บเกี่ยวโดยตัดกิ่งย่อยที่มีฝักแกทั้งหมด นำมากองเรียงผึ่งแดดให้แห้ง 2-3 แดด แล้วทำการคัดแยกเมล็ดออกจากฝัก และสิ่งเจือปน เพื่อบรรจุกระสอบต่อไป

การใช้ประโยชน์ ใช้ปลูกเป็นปุ๋ยพืชสดบำรุงดิน เพื่อเพิ่มผลผลิตพืชหลักให้สูงขึ้น โดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ 6 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งจะให้น้ำหนักสด ประมาณ 5-7 ตันต่อไร่ ทำการไถกลบช่วงที่ออกดอกจนถึงดอกบาน 50 เปอร์เซ็นต์ หรืออายุประมาณ 110-150 วัน ทิ้งไว้ 15 วัน จึงทำการปลูกพืชหลักต่อไป หรือปลูกเป็นพืชแซมกับธัญพืช เช่น ถั่วลิสง โดยใช้ถั่วลิสง 6 แถว แซมด้วยถั่วมะแฮะ 1 แถว หรืออาจนำเมล็ดมาใช้เป็นอาหาร ในพันธุ์ที่มีเมล็ดใหญ่ มีโปรตีนสูง นิยมบริโภคในประเทศอินเดียและแถบ
แอฟริกา แต่ไม่ค่อยนิยมในไทย โดยการนำเมล็ดไปแช่น้ำไว้ 1 คืน นำไปผึ่งแดดให้เปลือกแตก นำมาบดให้ละเอียด แล้วจึงนำไปปรุงอาหาร ส่วนพันธุ์เมล็ดนิยมนำไปเป็นอาหารสัตว์ อาจใช้ลำต้นทำเป็นฟืน เป็นแหล่งเชื้อเพลิงได้ ใช้ปลูกขวางความลาดเท เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน หรือใช้เป็นพืชร่มเงาให้กับพืชบางชนิด เช่น ไม้ผล ชา กาแฟ โกโก้ เป็นต้น

สำหรับเมล็ดพันธุ์ ที่จะใช้เป็นพันธุ์ตั้งต้นสามารถติดต่อได้ที่หน่วยงานของกรมพัฒนาที่ดินในจังหวัดของท่าน นะครับ

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตรที่นี่มีคำตอบ : การใส่ปุ๋ยพร้อมระบบให้น้ำแก่พืช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/199203

วันอังคาร ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำถาม ขอทราบวิธีให้ปุ๋ยกับการให้น้ำที่ถูกต้องด้วยครับ

สรวง สุวรรณมาลี

อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท

คำตอบ การให้น้ำกับการให้ปุ๋ย พร้อมกันสำหรับพืชที่ปลูกนั้น พอจะจัดระบบได้ดังนี้

พืชที่ปลูกและระบบให้น้ำ มีวิธีการหลักๆ พอจะแบ่งได้ 2 แบบ คือ แบบแรก เป็นการให้น้ำแบบหยด เหมาะสำหรับพืชที่ปลูกระยะระหว่างต้นชิดกัน และปลูกเป็นแนวยาว เป็นพืชที่มีระบบรากลึกไม่แผ่กว้าง แบบที่ 2 เป็นการให้น้ำระบบประหยัด เหมาะสำหรับการให้น้ำแก่ไม้ผล เช่น ลำไย มะม่วง เงาะ ทุเรียน มะนาว ส้ม รวมทั้งพืชผักและพืชไร่ที่มีระยะแถวต้นที่ห่างกัน

ดินและระบบให้น้ำ แบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรก เป็นการให้น้ำแบบน้ำหยด เหมาะสำหรับดินที่มีปัญหา เช่น ดินเหนียวจัด
ระบายน้ำได้ช้า อัตราซึมน้ำต่ำ หรือดินทราย ซึ่งมีอัตราการซึมของน้ำสูง รวมทั้งดินเค็ม แต่การให้น้ำแบบทำให้ดินชื้นตลอดเวลา จะทำให้เกลือถูกผลักดันให้ไปสะสมอยู่บริเวณขอบๆ จึงเหมาะแก่การปลูกพืชประเภทผัก ไม้ดอก
ไม้ประดับ แบบที่ 2 การให้น้ำระบบประหยัด ต้องเลือกหัวจ่ายน้ำที่เหมาะสมกับชนิดของดิน คือต้องเลือกหัวที่มีอัตราการให้น้ำที่ไม่มากกว่าอัตราการซึมน้ำของดิน

ระบบให้น้ำกับการจัดการปุ๋ยพร้อมระบบน้ำ แบ่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรก เป็นการให้น้ำแบบหยด ถ้าต้องการให้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการติดตั้งระบบกรองน้ำ เพื่อป้องกันการอุดตัน แบบที่ 2 เป็นการให้น้ำระบบประหยัด จะต้องมีการให้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วก็ต้องติดตั้งอุปกรณ์จ่ายปุ๋ยพร้อมระบบน้ำ หากสามารถให้ปุ๋ยทางดินด้วยวิธีการอื่นๆ ก็ได้ เช่น การให้ปุ๋ยโดยการหว่านในรัศมีที่หัวจ่ายน้ำเหวี่ยง ปุ๋ยจะสามารถละลายลงไปในเขตรากพืชได้เช่นกัน

การให้น้ำแบบหยด เป็นการให้น้ำระบบประหยัด เหมาะกับพืชที่ปลูก เช่น ไม้ผล สามารถช่วยให้ประหยัดน้ำได้เป็นอย่างดี เช่น ลำไย มะม่วง ทุเรียน เงาะ มะนาว ส้ม ส้มโอ ลองกอง รวมทั้งพืชผักและพืชไร่ ที่มีระยะแถวต้นที่ห่างกัน เหมาะสำหรับดินที่มีปัญหา เช่น ดินเหนียวจัด มีการระบายน้ำได้ช้า อัตราซึมน้ำต่ำ หรือดินทรายจัด อัตราการซึมน้ำสูง รวมทั้งดินเค็ม เพราะการให้น้ำแบบหยดจะทำให้ดินชื้นตลอดเวลา เกลือจึงถูกผลักให้ไปอยู่รอบนอกของวงเปียก ต้องเลือกหัวจ่ายน้ำที่เหมาะสมกับชนิดของดิน คือมีอัตราการให้น้ำที่ไม่มากกว่าอัตราซึมน้ำของดิน หรือความสามารถในการซึมน้ำของดิน หากต้องการให้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะต้องติดตั้งอุปกรณ์ให้ปุ๋ยพร้อมระบบให้น้ำ หรืออาจจะต้องติดตั้งระบบให้ปุ๋ยพร้อมระบบน้ำ หรือไม่ก็ได้ หากคิดว่าสามารถให้ปุ๋ยด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ดีพอ

ส่วนพืชผัก ไม้ดอกไม้ประดับ และพืชไร่ ที่ระยะปลูกสั้น จะมีผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า สามารถให้ผลผลิตทั้งปริมาณ คุณภาพ และสามารถผลิตนอกฤดูกาลได้ดี สวนไม้ผลสามารถเพิ่มผลผลิตนอกฤดูกาลได้ดีเช่นกัน

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : มะม่วงหิมพานต์ พืชใช้น้ำน้อย ทนแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/198098

วันอังคาร ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

คำถาม ผมต้องการปลูกมะม่วงหิมพานต์ครับอยากทราบขั้นตอนวิธีปลูก และการดูแลรักษาให้ได้ผลผลิตที่ดีครับ

อิทธิเจษฏ์ วงศ์สมพงษ์

อ.หลังสวน จ.ชุมพร
คำตอบ มะม่วงหิมพานต์ เป็นไม้ผลยืนต้น สูงราว 10 กว่าเมตร แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้างออกไปโดยรอบ กิ่งทอดยาว แผ่ออกข้างๆ ในกิ่งใหญ่ หรือส่วนโคนของกิ่งใหญ่ถ้าปล่อยตามธรรมชาติจะไม่มีกิ่งแขนงเกิด เป็นพืชตระกูลเดียวกับมะม่วง มีขึ้นอยู่ทั่วไปในประเทศที่มีอากาศร้อนและฝนตกชุก ไม่ผลัดใบแต่ถ้าได้ตัดแต่งก็จะมีกิ่งแขนงแตกตามที่ต้องการได้ เป็นพืชทนแล้ง และราคาดี

หลักในการคัดเลือกพันธุ์ ต้องเป็นพันธุ์ที่เมล็ดใหญ่ จำนวนเมล็ดต้องไม่เกิน 150 เมล็ด/กิโลกรัม เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงประมาณ
20 กิโลกรัม/ต้น/ปี เป็นพันธุ์ที่ต้านทานต่อโรคและแมลงได้ดี และเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสม่ำเสมอทุกปี

การขยายพันธุ์ สามารถขยายพันธุ์ได้ 2 แบบ คือ

1.การเพาะเมล็ด โดยคัดเลือกพันธุ์ดีที่มีคุณสมบัติเด่น ได้แก่ ทรงพุ่ม แข็งแรง กิ่งก้านแน่นหนา ออกดอกดก ผลดกมากกว่า 30
ผลต่อช่อ ผลผลิตเมล็ดสูง เมล็ดขนาดกลาง เปลือกบาง ไม่มีน้ำมัน เปอร์เซ็นต์เมล็ดหลังกะเทาะสูง สำหรับเมล็ดที่จะใช้ในการเพาะเมล็ด จะต้องเป็นเมล็ดขนาดกลาง รูปร่างเมล็ดดี จะเป็นเมล็ดที่งอกได้ก่อน เปอร์เซ็นต์การงอกสูง และต้นอ่อนแข็งแรง ช่วงที่เก็บเมล็ดอยู่ในระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน และเพาะได้ในเดือนมิถุนายน เมื่อเริ่มมีฝนตก

วิธีการเพาะเมล็ด นำเมล็ดที่คัดเลือกมาแช่น้ำ 1 คืน แล้วเพาะในถุงพลาสติกขนาด 5×8 นิ้ว ที่บรรจุเตรียมดินไว้ โดยกลบเมล็ดด้านเว้าลง กลบดินปิดเมล็ดลึก 2-2.5 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่มและคอยดูแลรดน้ำทุกวัน เมล็ดจะงอกในระยะเวลาประมาณ 15-20 วัน เมื่อต้นอ่อนอายุ 6-8 สัปดาห์ ก็สามารถย้ายปลูกลงในแปลงได้

2.การขยายพันธุ์แบบใช้กิ่ง ทำได้หลายวิธี เช่น การตอน การติดตา การเสียบข้าง และการเสียบยอด การขยายพันธุ์ด้วยวิธีนี้ สามารถทำให้คงลักษณะดีเหมือนพ่อแม่ได้ ให้ผลผลิตเร็ว และผลผลิตสูงกว่าต้นที่ปลูกจากเมล็ด

วิธีที่นิยมที่สุดคือ การเสียบข้าง มีขั้นตอนคือปลูกต้นตอให้ขนาดโตกว่าแท่งดินสอ กรีดเปลือกเป็นรูป ก แล้วลอกเปลือกออก เลือกยอดพันธุ์ดี ลักษณะยอดมีสีน้ำตาล ใช้มีดตัดใบและก้านออกให้หมด ใช้มีดที่คมและสะอาดปาดยอดทั้งสองด้าน แผลที่ปาดต้องเรียบและสม่ำเสมอ ทำการเปิดเปลือกแล้วเอายอดพันธุ์ดีเสียบ พันด้วยแผ่นพลาสติกให้มิดยอด ประมาณ 20-30 วัน หากยอดยังเขียวอยู่ให้เปิดพลาสติกออกพร้อมกับตัดกิ่งต้นตอออกครึ่งหนึ่ง เมื่อยอดแตกใบและกิ่งได้ 5-10 ใบ ให้ตัดต้นตอเดิมเหนือรอยแผลเปลี่ยนยอดออก

การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยในระยะ 6 เดือนแรกหลังปลูก เมื่อต้นตั้งตัวได้ ควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักตามสมควร จะทำให้เจริญเติบโตได้เร็วมาก ส่วนปุ๋ยเคมี ควรใส่ปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกใส่ต้นฤดูฝน ประมาณเดือนมิถุนายน ครั้งที่ 2 ใส่ประมาณปลายเดือนกันยายน-ธันวาคม

วิธีการใส่ปุ๋ยต้นที่มีอายุประมาณ 3-4 ปี ขึ้นไป ควรพรวนดินตื้นๆ เป็นวงแหวนรอบบริเวณรัศมีของทรงพุ่ม ไม่ควรพรวนดินลึกเข้าไปภายในทรงพุ่ม เพราะกระทบกระเทือนระบบรากแบ่งจำนวนปุ๋ยที่จะใส่ออกเป็น 4 ส่วน ใส่ปุ๋ยบริเวณรอบทรงพุ่ม ตรงบริเวณที่พรวน ประมาณ 3 ส่วน อีก 1 ส่วน โรยบนพื้นภายในทรงพุ่ม แต่ควรระวังอย่าใส่ปุ๋ยให้ชิดกับโคนต้น เพราะปุ๋ยจะทำให้เปลือกของลำต้นเน่า และจะทำให้ตายได้ หลังจากใส่ปุ๋ยแล้ว ควรรดน้ำด้วย เพื่อให้ปุ๋ยละลายแทรกซึมลงไปในดิน รากจะใช้ได้ทันที ที่สำคัญคือ ควรมีกำจัดวัชพืชก่อนการใส่ปุ๋ย ดินควรมีความชื้นก่อนการใส่ปุ๋ย และควรใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก โดยไม่จำกัดจำนวนที่ใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมี

การตัดแต่งกิ่ง ทำในในช่วง 1-2 ปี หลังปลูก จะเป็นตัวบังคับต้นและกิ่งที่ต้องการให้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นระเบียบ ควรตัดแต่งให้เหลือลำต้นเพียงลำเดียว เมื่อต้นโตขึ้น ให้ตัดกิ่งแขนงสูงจากดินขยับขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อให้สะดวกในการปฏิบัติงาน ให้เลือกตัดแต่งกิ่งแขนงเล็กที่ใบไม่ถูกแสง กิ่งที่โดนโรคแมลงทำลาย รวมทั้งทรงพุ่มที่เกิดชิดและชนกันระหว่างต้น

วิธีการเก็บเกี่ยว  ปกติจะเริ่มให้ผลผลิตปีที่ 3 โดยจะเริ่มออกดอกประมาณเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ หลังจากดอกบาน ประมาณ 2 เดือน ผลจะเริ่มแก่และเก็บเกี่ยวประมาณเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม โดยจะมีผลผลิตมากที่สุดเดือนมีนาคม-เมษายน การเก็บเกี่ยวที่ถูกต้อง ควรปล่อยให้ผลแก่เต็มที่แล้วร่วงหล่น จึงเก็บเกี่ยวผลเอาที่พื้น ไม่ควรเก็บบนต้น เพราะจะได้เมล็ดอ่อนที่ไม่แก่เต็มที่เมื่อเก็บมาแล้วให้บิดเมล็ดออกจากผลทันที เพื่อป้องกันเชื้อราเข้าทำลายเมล็ด

ที่สำคัญคือ การเก็บรักษา ควรนำเมล็ดไปตากแดด 2-3 วัน ให้เมล็ดแห้งสนิท โดยเก็บรักษาไว้ในพื้นห้องที่แห้ง ถ้าเป็นพื้นที่มีความชื้นสูง ควรมีพัดลมดูดอากาศ อาจเก็บไว้ในกระสอบ หรือเทกองก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อเมล็ด เช่น เกิดเชื้อรา เสียรสชาติ เกิดกลิ่นเหม็นหืน

นาย รัตวิ

ปัญหาเกษตร ที่นี่มีคำตอบ : ‘ตะไคร้’พืชใช้น้ำน้อย-ทนแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/196904

วันอังคาร ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
คำตอบ ตะไคร้ พืชเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ปลูกง่าย ดูแลง่าย ขายได้ราคา เป็นพืชพื้นบ้านที่มีประโยชน์หลายอย่าง ได้ทั้งทำอาหาร เครื่องดื่ม เป็นยารักษาโรค และไล่แมลง เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของอุตสาหกรรมเครื่องแกง ปัจจุบันตะไคร้ในตลาดยังไม่เพียงพอที่จะป้อนเข้าโรงงาน

คุณสมบัติของตะไคร้ เป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี เป็นพืชโตเร็ว สามารถตัดขายได้เพียงแค่ 1-2 เดือน ขยายพันธุ์ง่าย ซื้อต้นพันธุ์แค่ครั้งแรก สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดไปมีโรคน้อย ไม่มีศัตรูพืช จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการดูแล

การลงทุน การปลูกตะไคร้ไม่ต้องลงทุนมาก ตอนแรกลงทุนต้นพันธุ์ตะไคร้ โดยต้นพันธุ์สามารถซื้อตะไคร้ที่เขาขายตามตลาดมาก็ได้ นำมาแช่น้ำให้รากออก ใช้เวลาประมาณ 3 วัน แล้วนำลงปลูก ไม่ต้องลงทุนเพิ่มอีก เพราะสามารถตัดได้ตลอด

การปลูกตะไคร้ การเตรียมดิน ตะไคร้ชอบดินร่วนซุย ให้ไถพลิกดินและไถพรวน ลึกประมาณ 0.5 เมตร แล้วทำหลุม แต่ละหลุมห่างกันประมาณ 0.5 เมตร ลงต้นพันธุ์หลุมละ 3 ต้น กลบดินพอมิดรากตะไคร้สัก 10 เซนติเมตร ตอนปลูกใหม่ๆ ให้รดน้ำทุกวัน แต่ระวังอย่าให้น้ำเข้าไส้ตะไคร้ เวลาลดให้ลดทีโคนต้นตะไคร้เท่านั้น มิฉะนั้นต้นตะไคร้จะเน่า ในช่วง 3 วันแรกที่ปลูก ให้พลางแสงแดดให้ตะไคร้ด้วยซาแลน ตะไคร้ปรับตัวได้แล้วให้เอาออก เพราะตะไคร้ชอบแดด และเจริญเติบโตได้ดี เมื่อผ่านไป 1 เดือน ตะไคร้จะเริ่มตั้งกอ ให้สังเกตที่ต้น ถ้าต้นเจริญเติบโตดีลำต้นที่ใช้ได้สามารถตัดไปขายได้เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ตัดตะไคร้ให้ติดกก แต่อย่าให้สะเทือนรากที่อยู่ในดิน เพราะตะไคร้สามารถแตกขึ้นมาตั้งกอได้อีก หลังตัดไม่ต้องหาต้นพันธุ์มาปลูกใหม่ เมื่อตัดควรตัดให้หมดกอ เพื่อต้นตะไคร้ที่แตกใหม่จะได้เติบโตได้เต็มที่ หลังจากตัดแล้ว ตะไคร้จะตั้งกอใหม่ภายในเวลา 1-2 เดือน เมื่อตะไคร้โตเต็มที่แล้ว ก็สามารถตัดได้อีกเรื่อยไป จนกว่าต้นจะโทรม หรือตะไคร้ไม่แตกขึ้นมาอีก

ตะไคร้ เมื่อตัดมาแล้วใบจะยาว และมีก้านสีน้ำตาลแห้งๆ ติดมาด้วย ให้ตัดก้านใบที่แห้งออกให้หมด รวมถึงต้องลอกก้านใบที่อ้าออกมาด้วย ให้เหลือแต่ต้นกลมๆ ใบก็ตัดออกครึ่งหนึ่ง ถ้าตัดแล้วยังไม่ขายสามารถแช่น้ำไว้ได้ โดยตั้งต้นตะไคร้ให้ตรงในภาชนะทรงกระบอก ใส่น้ำพอท่วม ตะไคร้จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 วัน แล้วจึงจะแตกราก ถ้าแตกรากแล้วขายไม่ได้ เก็บไว้ทำพันธุ์ขยายปลูกต่อไป

โรคของตะไคร้ ไม่มีแมลงมารบกวนเพราะกลิ่นฉุน แต่จะมีโรคใบแดง เพราะเชื้อราให้ฉีดยาป้องกันเสีย อย่าปล่อยให้ลุกลาม เดี๋ยวจะติดกออื่น

การใส่ปุ๋ย ตะไคร้ไม่ต้องใส่ปุ๋ยก็ได้ถ้าดินดี แต่ถ้าต้องการใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตรใบที่โคนต้น ไม่ต้องติดโคนมากนัก หว่านบนดินทิ้งระยะสัก 5 นิ้ว รอบกกต้น ให้ปุ๋ยเดือนละ 1 ครั้ง

ตะไคร้ มีสามชนิดคือ ตะไคร้ขาว เป็นตะไคร้ที่ใช้ทำอาหาร และเครื่องแกง ตะไคร้หอม นำไปทำสเปรย์ไล่ยุง ส่วนตะไคร้แดงไม่ค่อยมีคนรับซื้อมากนักไม่นิยมปลูก สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีเก็บผลผลิตได้เร็ว ลงทุนน้อย และมีตลาดรองรับดี มีพ่อค้ามารับซื้อถึงไร่ ถ้ารับซื้อจำนวนมาก จะคิดราคาเหมาเป็นตัน ตะไคร้สร้างรายได้ดี นอกจากจะขายส่งแล้วยังสามารถแปลรูปตะไคร้เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อีกด้วย

นาย รัตวิ