ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

วันอาทิตย์ ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 02.00 น.

(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

6.ประการที่หก การสั่งให้ออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน

มาตรา 110 ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 มีอำนาจสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการ เพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการได้ในกรณี ดังต่อไปนี้

(3) เมื่อข้าราชการพลเรือนผู้ใดขาดคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 36 ก. (1) หรือ (3) หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36 ข. (1)(3)(6) หรือ (7)

มาตรา 110 วรรคสาม บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งให้ข้าราชการลพเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการตามมาตรานี้แล้วให้รายงาน อ.ก.พ.กระทรวง หรือ ก.พ.แล้วแต่กรณีและให้นำมาตรา 103 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

7.ประเด็นที่เจ็ด การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามนั้น กฎก.พ.ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามฯ พ.ศ.2556 ข้อ 2 กำหนดว่าเมื่อมีกรณีที่จะสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการเมื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเพราะเหตุดังต่อไปนี้ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 ต้องให้ผู้นั้นมีโอกาสได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน

(1) ขาดคุณสมบัติทั่วไปเนื่องจากไม่มีสัญชาติไทยตามมาตรา 36 ก. (1)

(2) มีลักษณะต้องห้ามเนื่องจากดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 36 ข. (1)

(3) เป็นบุคคลล้มละลายตามมาตรา 36 ข. (6)

(4) ต้องรับโทษจำคุก…..

(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

วันอาทิตย์ ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 02.00 น.

(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

มาตรา 53 บัญญัติว่า การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใด ให้บรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ในตำแหน่งนั้น โดยบรรจุและแต่งตั้งตามลำดับที่ในบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ (วรรคหนึ่ง)

ความในวรรคหนึ่งไม่ใช่บังคับกับการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตามมาตรา 55 (กรณีที่มีเหตุพิเศษ) มาตรา 56 (กรณีมีเหตุผลและความจำเป็นจะบรรจุบุคคลที่มีความรู้ความสามารถสูงในตำแหน่งประเภทวิชาการ) มาตรา 63 (การบรรจุผู้ออกไปรับราชการทหารกลับเข้ารับราชการ) มาตรา 64 (การให้พนักงานส่วนท้องถิ่นมาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือน) และมาตรา 65 (พนักงานส่วนท้องถิ่นหรือข้าราชการที่ไม่ใช่ข้าราชการพลเรือนออกจากงานแล้วสมัครเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนและทางราชการต้องการจะรับกลับเข้ารับราชการ) (วรรคสาม)

4.ประการที่สี่ การสอบแข่งขันมาตรา 54 บัญญัติว่า ผู้สมัครสอบแข่งขันในตำแหน่งใดต้องมีคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้ามหรือได้รับการยกเว้นในกรณีที่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36 และต้องมีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งหรือได้รับอนุมัติจาก ก.พ.ตามมาตรา 62 ด้วย

สำหรับผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 36ข.(1) ให้มีสิทธิสมัครสอบแข่งขันได้ แต่จะมีสิทธิได้รับบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญที่สอบแข่งขันได้ต่อเมื่อพ้นจากการเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว

5.ประการที่ห้า การสั่งให้ออกจากราชการกรณีขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่ได้รับการยกเว้น

ตรงนี้ มาตรา 67 บัญญัติว่า ผู้ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใดตามมาตรา 53 วรรคหนึ่ง มาตรา 55 มาตรา 56 มาตรา 63 มาตรา 64 และมาตรา 65 หากภายหลังปรากฏว่า ขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่ได้รับการยกเว้น ตามมาตรา 36 หรือขาดคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนั้นโดยไม่ได้รับอนุมัติจาก ก.พ.ตามมาตรา 62 อยู่ก่อนก็ดี มีกรณีต้องหาอยู่ก่อนและภายหลังเป็นผู้ขาดคุณสมบัติจากกรณีต้องหานั้นก็ดี ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการโดยพลัน แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่ และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้นและถ้าการเข้ารับราชการเป็นไปโดยสุจริตแล้วให้ถือว่าเป็นการสั่งให้ออกเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

วันอาทิตย์ ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 02.00 น.

(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

(5) เป็นกรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง

(6) เป็นบุคคลล้มละลาย

(7) เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำความผิดทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(8) เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออกหรือไล่ออกจากรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ

(9) เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออกหรือปลดออกเพราะกระทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามกฎหมายอื่น

(10) เป็นผู้เคยถูกลงโทษไล่ออกเพราะกระทำผิดวินัยตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามกฎหมายอื่น

(11) เป็นผู้เคยกระทำการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการหรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ

2.ประการที่สอง กรณีผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนซึ่งมีลักษณะต้องห้ามบางประการแล้วนั้น ก.พ.อาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้ หากเป็นลักษณะต้องห้ามตาม ข.(4)(6)(7)(8)(9)(10) หรือ(11)

แต่ถ้าเป็นกรณีลักษณะต้องห้ามตาม (8) หรือ (9) ผู้นั้นต้องออกจากงานหรือออกจากราชการไปเกินสองปีแล้ว

ส่วนกรณีมีลักษณะต้องห้ามตาม (10) ผู้นั้นต้องออกจากงานหรือออกจากราชการไปเกินสามปีแล้ว

ทั้งนี้ต้องมิใช่เป็นกรณีออกจากงานหรือออกจากราชการเพราะทุจริตต่อหน้าที่

ในการลงมติของก.พ.เพื่อการยกเว้นดังกล่าวต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสี่ในห้าของจำนวนกรรมการที่มาประชุม และการลงมติให้กระทำโดยลับ

(มาตรา 36 วรรคสอง)

3.ประการที่สาม การสรรหา การบรรจุ และการแต่งตั้ง

มาตรา 52 บัญญัติว่า การสรรหา เพื่อให้ได้บุคคลมาบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลดังกล่าวตลอดจนประโยชน์ของทางราชการ

(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

ราชการแนวหน้า : คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

วันอาทิตย์ ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

คุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน

เรื่องการเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนนั้น เรามีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2471 เป็นกฎหมายกำหนดเรื่องคุณสมบัติทั่วไป และลักษณะต้องห้ามไว้เป็นหลักการใหญ่ในการคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการในกระทรวง ทบวง กรม ฝ่ายพลเรือนโดยรวมข้าราชการฝ่ายพลเรือนในกระทรวงการทหารด้วย แต่ไม่รวมข้าราชการฝ่ายตุลาการ หลังจากนั้น ก็มีการพัฒนาปรับปรุง รูปแบบและหลักเกณฑ์การคัดเลือกบุคคลเข้ามาเป็นข้าราชการพลเรือน จนกระทั่งมีพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 เป็นฉบับปัจจุบัน และมีการแยกข้าราชการออกเป็นหลายประเภท เช่น ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการอัยการ พนักงาน มหาวิทยาลัย พนักงานราชการ เป็นต้น

ณ เวลานี้ เราจะมาบอกกล่าวกันถึงพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบันและมีการปรับปรุงมาแล้วหลายครั้ง แต่สิ่งที่เราจะมาบอกเล่าสู่กันเป็นเรื่องคุณสมบัติทั่วไปและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนว่าเป็นประการใดครับ

1.ประการแรก ผู้ที่เข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องมีคุณสมบัติทั่วไปและไม่มีลักษณะต้องห้าม (มาตรา 36 วรรคหนึ่ง) ดังต่อไปนี้

ก.คุณสมบัติทั่วไป

(1)มีสัญชาติไทย

(2)มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี

(3)เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ข.ลักษณะต้องห้าม

(1)เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทาง
การเมือง

(2)เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบหรือเป็นโรคตามที่กำหนดในกฎก.พ.

(3)เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามพระราชบัญญัตินี้หรือตามกฎหมายอื่น

(4)เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม

(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

วันอาทิตย์ ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

ก.พ.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัย กฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนได้กำหนดอำนาจหน้าที่และวิธีการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยไว้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากการดำเนินคดีอาญาอยู่แล้วการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรอฟังผลทางคดีอาญาแต่อย่างใด เพราะถึงแม้เรื่องนั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลจะมีความเห็นแตกต่างไป ผู้พิจารณาลงโทษทางวินัยก็หาต้องรับผิดชอบแต่อย่างใดไม่ ถ้าการกระทำนั้นได้ทำไปโดยถูกต้องตามกฎหมายและกระทำไปโดยสุจริต มิได้มุ่งให้เกิดผลเสียหาย

(หนังสือสำนักงานก.พ.ที่สร 0904/ว4 ลงวันที่ 18 มีนาคม 2509)

6.กรณีนี้สืบเนื่องมาจากความเห็นของก.พ.ตามหนังสือสำนักงานก.พ.ที่สร 0904/ว4 ลงวันที่ 18 มีนาคม 2509โดยมีส่วนราชการหารือต่อเนื่องกับว.4/2509 ข้างต้นว่าในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาสั่งไม่ลงโทษข้าราชการผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยไปแล้วโดยเห็นว่าหลักฐานไม่พอที่จะลงโทษได้ แต่ภายหลังศาลได้พิพากษาลงโทษข้าราชการผู้นั้นในทางอาญาในกรณีที่ต้องหานั้น แต่ให้รอการลงโทษไว้เช่นนี้จะปฏิบัติอย่างไร

ก.พ.ได้พิจารณาแล้วมีมติให้เรียนกระทรวง ทบวง กรมเพิ่มเติมว่า มติก.พ.ตามหนังสือเวียนดังกล่าว (ว4/2509)ทั้งคำปรารภและเหตุผลที่ชี้แจงไปมุ่งหมายถึงกรณีที่การสอบสวนมีพยานหลักฐานฟังได้ว่า ข้าราชการพลเรือนผู้ถูกกล่าวหานั้นกระทำผิดวินัยแล้ว ก็ควรจะพิจารณาโทษทางวินัยตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนให้เสร็จสิ้นไปโดยไม่ชักช้า แต่ถ้าสอบสวนทางวินัยยังฟังไม่ได้ว่าผู้นั้นกระทำผิดที่มีวินัยกรณีเช่นนี้ผู้นั้นก็ยังตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ถูกฟ้องคดีอาญาหรือกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาอยู่ ซึ่งถ้าไม่ใช่คดีความผิดที่เป็นลหุโทษ หรือความผิดที่มีกำหนดโทษชั้นลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาทแล้ว แม้ผู้บังคับบัญชาจะเห็นว่า กรณีมีมลทินมัวหมองไม่ปรากฏชัด มาตรา 89 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2499 ก็ยังให้อำนาจผู้บังคับบัญชาสั่งพักราชการเพื่อรอฟังผลทางคดีอาญาได้ ฉะนั้นในกรณีนี้จึงสมควรรอการสั่งการเด็ดขาดทางวินัยไว้ก่อนจนกว่าจะทราบผลของคดีอาญา (หนังสือสำนักงานก.พ.ที่สร 0905/ว9 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2509)

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

วันอาทิตย์ ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนมีเหตุผลและความจำเป็นไม่อาจดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งให้ประธานกรรมการรายงานต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อขอขยายเวลาสอบสวนตามความจำเป็น และให้ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาขยายเวลาได้ครั้งละไม่เกินหกสิบวันในกรณีที่ได้มีการขยายเวลาจนทำให้การสอบสวนดำเนินการเกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่มีการประชุมคณะกรรมการสอบสวนครั้งแรก ตามข้อ 27 ให้ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนรายงาน อ.ก.พ.กระทรวงที่ผู้ถูกกล่าวหาสังกัดอยู่ทราบ เพื่อติดตามเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป

เมื่อพิจารณาตามกฎก.พ.ฉบับนี้แล้วจะเห็นได้ว่า การดำเนินการสอบสวนทางวินัยก็มีมาตรการเร่งรัดการดำเนินการสอบสวนเช่นกัน

5.ส่วนตรงนี้เราจะมารับรู้ถึงปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการกับบรรดาข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ตลอดจนพนักงานมหาวิทยาลัย ตลอดจนลูกจ้างว่า หากมีการกระทำผิดทางวินัยและคดีอาญาด้วย จะต้องดำเนินการประการใดบ้าง ตรงนี้เป็นกรณีที่ส่วนราชการและหน่วยงานที่มีแนวทางปฏิบัติทำนองเดียวกันกับที่ก.พ.(คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน)กำหนดจึงได้หารือก.พ.ว่าหากเกิดปัญหาว่ามีบุคลากรของหน่วยงานกระทำความผิดซึ่งเกี่ยวข้องทั้งทางวินัยและคดีอาญาแล้วจะดำเนินทั้งทางวินัยและคดีอาญาไปพร้อมกันได้ไหมจึงหารือมายังก.พ.เพื่อขอความเห็นประกอบการดำเนินการต่อไป

ก.พ.ได้พิจารณากรณีในลักษณะนี้แล้วมีความเห็นโดยสรุปว่า ในการพิจารณารายงานการลงโทษข้าราชการที่กระทรวง ทบวง กรม รายงานไปยังก.พ.ปรากฏอยู่เสมอว่าการสอบสวนพิจารณาข้าราชการยังมิได้ปฏิบัติให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็วตามมติคณะรัฐมนตรี (นว.41/2497)ดังกล่าวสาเหตุแห่งความล่าช้าในการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยแห่งข้าราชการประการหนึ่งคือ ในกรณีที่การกระทำของข้าราชการเข้าลักษณะความผิดพลาดทางอาญาด้วย การดำเนินการทางวินัยสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัย มักจะรอฟังผลการดำเนินการทางคดีอาญาก่อน

 (อ่านต่ออาทิตย์หน้า)

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

วันอาทิตย์ ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2568, 02.00 น.

(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีบัญชาให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ พิจารณาสั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีตามหนังสือที่ น.ว.41/2497 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2497 โดยให้เร่งรัดดำเนินการพิจารณาโทษข้าราชการให้เสร็จไปโดยเร็วทุกเรื่อง ทั้งนี้ให้ก.พ.ติดตามและเร่งรัดควบคุมให้เป็นไปตามนโยบายของทางราชการ (หนังสือสำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี ที่สร 0206/ว88 ลงวันที่ 19 กันยายน 2509)

4.กำหนดระยะเวลาในการสอบสวน

ตรงนี้มีปัญหาที่ส่วนราชการได้หารือก.พ.ว่า มาตรา 84 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2497 ที่บัญญัติว่า “การสอบสวนนั้นให้กระทำให้แล้วเสร็จโดยเร็วอย่างช้าไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ประธานกรรมการได้รับทราบคำสั่ง” นั้น กำหนดเวลาตามนี้หมายความว่า คณะกรรมการสอบสวนต้องสอบสวนและทำรายงานการสอบสวนสรุปข้อเท็จจริงและทำความเห็นให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลานี้ด้วยหรือเพียงแต่สอบถามปากคำพยานและรวบรวมพยานหลักฐานให้แล้วเสร็จเท่านั้น ส่วนการทำรายงานการสอบสวนและความเห็นทำนอกกำหนดเวลาสอบสวนนี้ก็ได้ อย่างใดจึงจะถูกต้อง

ก.พ.ได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วเห็นว่า ตามเจตนารมณ์ในกฎหมายที่กำหนดเวลาสอบสวนก็เพื่อจะเร่งรัดการสอบสวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้เป็นการกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวน(โดย)การทำรายงานการสอบสวนอยู่ในหน้าที่ของคณะกรรมการสอบสวนด้วย ก.พ.จึงเห็นว่า “การสอบสวน” ตามความหมายในมาตรา 84 นั้น รวมทั้งการทำรายงานการสอบสวน สรุปข้อเท็จจริงและทำความเห็นเสนอด้วย (หนังสือสำนักงานก.พ.ที่น.ว.2/2501 ลงวันที่ 17 มกราคม 2501)

ขณะนี้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 95 กำหนดว่าหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.พ. ซึ่งในกฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 ข้อ 54 กำหนดให้คณะกรรมการสอบสวนดำเนินการสอบสวนและจัดทำรายงานการสอบสวนพร้อมทั้งสำนวนการสอบสวนเสนอต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวัน (120 วัน) นับแต่วันที่มีการประชุมคณะกรรมการสอบสวนครั้งแรกตามข้อ 27

(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

ราชการแนวหน้า : การสอบสวนทางวินัยกับการสอบสวนทางคดีอาญา

วันอาทิตย์ ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568, 02.00 น.

1.โดยที่หน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจมหาวิทยาลัย ตลอดจนองค์กรอิสระต่างๆ ก็จะมีบุคลากรของตนเองไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พนักงานตลอดจนลูกจ้างร่วมทำงานตามหน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมายต่างก็มีโอกาสเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนทั้งในทางวินัยหรือคดีอาญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบทำให้หน่วยงานนั้นๆ ได้รับความเสียหายผู้บังคับบัญชาจะต้องดำเนินการทั้งทางวินัยและคดีอาญาไปด้วยกัน

2.ในกระบวนการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยมีขั้นตอนการดำเนินการสอบสวนหาข้อเท็จจริงที่จำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินการเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์ประกอบการพิจารณาโทษทางวินัยต่อไป ทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการจนกระทั่ง นายกรัฐมนตรีได้หยิบประเด็นนี้ไปเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อปี 2497 ว่า การสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัย ควรจะเร่งรัดการสอบสวนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ไม่ควรปล่อยให้เรื่องคั่งค้างอยู่เป็นเวลานานหลายๆ เดือนหรือแรมปีซึ่งทำให้ผู้ถูกกล่าวหาเดือดร้อน และทางราชการก็ขาดผู้ปฏิบัติงาน

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอและให้กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ถือเป็นหลักปฏิบัติในการสอบสวนพิจารณาโทษข้าราชการต่อไป

(มติคณะรัฐมนตรีตามหนังสือกรมสารบรรณคณะรัฐมนตรี ฝ่ายบริหารที่ น.ว.41/2497 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2497)

3.ต่อมามีผู้ร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากการถูกสั่งให้พักราชการนานเกินสมควร คงจะเนื่องจากเจ้าหน้าที่เพิกเฉยไม่เอาใจใส่ไม่หยิบยกเรื่องขึ้นมาพิจารณาให้เสร็จไป ทำให้ผู้ร้องได้รับความลำบาก ระหว่างถูกกล่าวหาจนกระทั่งถูกส่งตัวดำเนินคดีอาญา หลังจากนั้นศาลพิพากษาว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ การถูกสั่งให้พักราชการ ทำความเดือดร้อนต่อการครองชีพเป็นอย่างยิ่ง

(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)

ราชการแนวหน้า : รวมความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายล้างมลทินของข้าราชการ

ราชการแนวหน้า : รวมความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายล้างมลทินของข้าราชการ

ราชการแนวหน้า : รวมความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายล้างมลทินของข้าราชการ

วันอาทิตย์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2568, 08.10 น.

(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

(ผู้ถูกลงโทษทางวินัยหมายความว่า ข้าราชการ…ซึ่งถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์เพราะกระทำผิดวินัยตามกฎหมาย) และข้าราชการจะถูกลงโทษทางวินัยได้ต่อเมื่อกระทำผิดวินัย ดังนั้น เมื่อมีการวินิจฉัยว่าข้าราชการผู้ใดไม่ได้กระทำผิดวินัยตามข้อกล่าวหาแล้ว คำสั่งลงโทษข้าราชการผู้นั้นจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ที่สุด ก.พ.โดยอ.ก.พ.ฯวินัยฯ ในการประชุมครั้งที่ 28/2539 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2539 ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติของก.พ.เกี่ยวกับพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2539 (โดยเสียงข้างมาก) ว่าเรื่องที่ควรจะได้รับการพิจารณาในทางเป็นคุณ แต่อยู่ในเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2539 นั้น ก.พ.(อ.ก.พ.ฯ วินัยฯ) จะไม่หยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีก (ซึ่งก็เป็นไปตามแนวทางของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้เคยพิจารณาไว้ ครั้งใช้พระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2526 ตามหนังสือตอบข้อหารือของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่นร 0501/116 ลงวันที่ 23 มกราคม 2527)

(พระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. ย่อว่า พระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2539)

ราชการแนวหน้า : รวมความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายล้างมลทินของข้าราชการ

ราชการแนวหน้า : รวมความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายล้างมลทินของข้าราชการ

ราชการแนวหน้า : รวมความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายล้างมลทินของข้าราชการ

วันอาทิตย์ ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2568, 02.00 น.

(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

ขอเรียนว่า จากบทบัญญัติของมาตรา 57 ดังกล่าว ผู้มีอำนาจพิจารณาการขอบรรจุกลับเข้ารับราชการคือผู้มีอำนาจตามมาตรา 44 ดังนั้น เมื่อท่านประสงค์จะขอกลับเข้ารับราชการที่กรมก.ท่านก็ต้องยื่นคำขอกลับเข้ารับราชการตามมาตรา 57 ต่ออธิบดีกรมก. ดังกล่าวต่อไป

(หนังสือสำนักงานก.พ.ที่นร 0712/42 ลงวันที่ 23 มกราคม 2534)

5. พ.ศ. 2539

สำนักงานก.พ.ได้หยิบปัญหาเสนอก.พ.พิจารณาเกี่ยวกับการที่จะพิจารณายกโทษให้แก่ข้าราชการซึ่งถูกลงโทษและได้รับการล้างมลทินแล้วว่าจะกระทำได้หรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อครั้งพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษา พ.ศ.2530 ใช้บังคับก.พ.เคยมีความเห็นว่า
ข้าราชการซึ่งถูกลงโทษทางวินัยและอยู่ในเกณฑ์ได้รับการล้างมลทินมิได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาผู้บังคับบัญชา องค์กรกลาง และนายกรัฐมนตรี ย่อ มีอำนาจดำเนินการยกโทษให้แก่ข้าราชการดังกล่าวได้ เพราะเมื่อข้าราชการดังกล่าวมิได้กระทำผิดวินัยก็ไม่อยู่ในฐานะเป็น “ผู้ถูกลงโทษทางวินัย”

(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)