รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ถ้าไม่อยากป่วยหนัก ดูแลความดัน (โลหิต) ด้วยนะ

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ถ้าไม่อยากป่วยหนัก ดูแลความดัน (โลหิต) ด้วยนะ

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ถ้าไม่อยากป่วยหนัก ดูแลความดัน (โลหิต) ด้วยนะ

วันจันทร์ ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.42 น.


โรคความดันโลหิตสูงอาจเป็นฆาตกรเงียบของมนุษย์ เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการเตือนใด ๆ แต่ในขณะเดียวกัน แรงดันเลือดที่สูงอย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างความเสียหายต่อหลอดเลือดและอวัยวะสำคัญภายในร่างกายได้อย่างช้า ๆ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม โรคนี้จะนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต เช่น โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และไตวายเรื้อรัง

การที่เราเข้าใจเกี่ยวกับโรค และการใช้ยาลดความดันโลหิตอย่างถูกต้องจึงเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลตัวเอง

ความดันโลหิต คือแรงดันที่เลือดกระทำต่อผนังหลอดเลือดแดงขณะที่หัวใจสูบฉีดและคลายตัว โดยค่าความดันจะมีค่าบนซึ่งเป็นค่าแรงดันขณะหัวใจบีบตัว และค่าล่างซึ่งเป็นแรงดันขณะหัวใจคลายตัว ภาวะความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นเมื่อค่าความดันสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท

สาเหตุของความดันโลหิตสูงแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ ความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ พบในผู้ป่วยส่วนใหญ่ มากกว่า 90 % ไม่สามารถระบุสาเหตุเฉพาะเจาะจงได้ แต่เชื่อว่าเกิดจากความซับซ้อนของปัจจัยทางพันธุกรรม และปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่กระตุ้นให้เกิดความผิดปกติ กับอีกชนิดคือความดันโลหิตสูงชนิดทราบสาเหตุ ซึ่งพบได้ประมาณ 5-10 % โดยเกิดจากโรคหรือความผิดปกติของอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายที่ส่งผลโดยตรงต่อการควบคุมความดันโลหิต ซึ่งหากรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุได้ ความดันโลหิตก็จะกลับมาเป็นปกติ ตัวอย่างโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น โรคไตเรื้อรัง หลอดเลือดแดงที่ไตตีบ เนื้องอกที่ต่อมหมวกไต โรคต่อมไทรอยด์บางชนิด และภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตสูงชนิดใดก็มีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นตัวเร่งที่ทำให้ความดันโลหิตพุ่งสูงและควบคุมได้ยาก ได้แก่ อายุที่เพิ่มสูงขึ้นตามวัย ทำให้หลอดเลือดจะเริ่มแข็งและยืดหยุ่นน้อยลง ประวัติครอบครัว ผู้ที่มีพ่อแม่หรือญาติสายตรงเป็นโรคความดันโลหิตสูงมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไป เพศชายมักมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่ในเพศหญิงจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในวัยหลังหมดประจำเดือน

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่เกิดจากพฤติกรรม ได้แก่ ภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งทำให้หัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดเลี้ยงทั่วร่างกาย การกินเค็ม หรือโซเดียมสูงทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำไว้ในหลอดเลือดมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาตรเลือดและแรงดันสูงขึ้น การดื่มแอลกอฮอล์หนักเป็นประจำจะทำลายหัวใจและเพิ่มความดันโลหิต การสูบบุหรี่ซึ่งสารนิโคตินในบุหรี่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและทำให้หลอดเลือดหดตัว แล้วยังทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัว ส่วนคนที่ขาดการออกกำลังกาย มีความเครียดเรื้อรัง ก็เสี่ยงมาก ซึ่งหากมีความเครียดสะสมเป็นเวลานานจะนำไปสู่ความดันโลหิตสูงแบบถาวร ส่วนโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน และ ไขมันในเลือดสูง ทำให้มีความเสี่ยงเป็นความดันโลหิตสูงร่วมด้วย เนื่องจากโรคเหล่านี้ล้วนมีผลต่อความเสียหายของหลอดเลือด

ดังนั้น เมื่อได้รับการวินิจฉัยเป็นความดันโลหิตสูง นอกจากการรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้อย่างเคร่งครัดต่อเนื่องแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงก็จำเป็น จึงต้องลดการสูบบุหรี่ เลิกเหล้า ลดน้ำหนัก คุมอาหารเค็ม รักษาโรคเรื้อรังอื่น และออกกำลังกายให้เหมาะสม ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ความดันโลหิตอยู่ในค่าเป้าหมายได้ดี

สำหรับยาที่ใช้รักษาเพื่อลดความดันโลหิตมีหลากหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน เพื่อมุ่งเป้าไปที่การลดแรงดันในหลอดเลือดและปกป้องอวัยวะสำคัญ ซึ่งการใช้ยาทุกชนิดนี้ต้องเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น ห้ามผู้ป่วยหยุดยาเองโดยเด็ดขาด เพราะการหยุดยาโดยไม่มีการควบคุมทางการแพทย์ อาจทำให้ความดันดีดกลับสูงขึ้นอย่างรุนแรง แล้วนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอันตราย เช่น หลอดเลือดสมองแตกฉับพลัน แต่หากเกิดอาการข้างเคียงใด ๆ จากการใช้ยาต้องรีบปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรเพื่อปรับยาให้เหมาะสมที่สุด แต่ยังต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและมีวินัยในการควบคุมอาหารและพฤติกรรมควบคู่กันไป เพื่อให้การควบคุมความดันโลหิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ยาดมสมุนไพร ต้องปลอดภัยจากเชื้อโรค

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ยาดมสมุนไพร ต้องปลอดภัยจากเชื้อโรค

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ยาดมสมุนไพร ต้องปลอดภัยจากเชื้อโรค

วันจันทร์ ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 14.49 น.

ยาดมสมุนไพรเป็นของคู่ใจคนไทยมาช้านาน ช่วยให้รู้สึกสดชื่น คลายวิงเวียน และผ่อนคลายได้ บางคนใช้แก้ง่วงแก้เครียดซะด้วยซ้ำ แต่เบื้องหลังความหอมเหล่านั้นคือคำถามสำคัญที่เรามักมองข้ามว่า “ปลอดภัยจริงหรือไม่” เพราะแม้ยาดมสมุนไพรจะเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ แต่หากกระบวนการผลิตไม่สะอาด ไม่ได้มาตรฐาน ยาดมที่ดูเหมือนธรรมดาอาจกลายเป็นแหล่งนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว

ไม่นานมานี้มีรายงานการตรวจพบเชื้อจุลินทรีย์ในยาดมสมุนไพรบางผลิตภัณฑ์ ทั้งแบคทีเรีย ยีสต์ และรา ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้มักมีที่มาจากดินหรือสิ่งแวดล้อม ถ้าไม่มีกระบวนการทำความสะอาด กำจัดหรือลดเชื้อ และกระบวนการผลิตที่ดี ก็จะทำให้มีโอกาสที่มีการปนเปื้อนเชื้อเหล่านี้เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ในผลิตภัณฑ์ จริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการสูดดม ยาสมุนไพรชนิดรับประทานหากไม่มีการควบคุมคุณภาพและกระบวนการผลิตที่ดี ก็สามารถพบเชื้อเหล่านี้เกินเกณฑ์มาตรฐานได้เช่นกัน พอเชื้อเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่เราสูดดม ความเสี่ยงอาจเกิดขึ้นต่อระบบทางเดินหายใจและปอด โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิ หากเป็นยาสมุนไพรชนิดรับประทาน เชื้อเหล่านี้ยังอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินอาหาร หรือสร้างสารพิษที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย อาการแพ้ และอักเสบได้
ผลิตภัณฑ์ยาและสมุนไพรต้องมีการตรวจวิเคราะห์ปริมาณเชื้อที่ปนเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย รา และเชื้อบางสายพันธุ์ที่จำเพาะ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
อย่างที่เรียนให้ทราบ สมุนไพรมาจากธรรมชาติ การพบเชื้อจุลินทรีย์ในวัตถุดิบจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่สำคัญคือการลดปริมาณเชื้อให้เหลือน้อยที่สุดก่อนนำมาใช้ผลิตยาและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ขั้นตอนเริ่มต้นคือการล้าง ตากแห้ง และควบคุมความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อราขยายตัว ในขั้นตอนการผลิต โรงงานต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การผลิตที่ดีตามแนวทางที่กฎหมายวางไว้ และให้ความสำคัญกับความสะอาดของอุปกรณ์ วัตถุดิบ และบุคลากร บางกรณีต้องใช้การฉายรังสีแกมมา หรืออีบีม หรือเอ็กซเรย์เพื่อฆ่าเชื้อหรือลดปริมาณเชื้อในวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรโดยไม่ทำลายสารสำคัญของสมุนไพร กระบวนการนี้มีประสิทธิภาพสูงแต่ก็มีต้นทุนมาก และมีเพียงไม่กี่แห่งในประเทศที่ให้บริการ จึงเป็นความท้าทายใหญ่ของผู้ผลิต โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็กที่มีความตั้งใจดีแต่ขาดทรัพยากร

ผู้เขียนคลุกคลีอยู่กับเรื่องของคุณภาพสมุนไพรมาเป็นสิบปี พอจะเห็นภาพรวมของความท้าทายทั้งในมุมของผู้ประกอบการและเชิงกฎหมาย การคุ้มครองผู้บริโภค และระบบการตรวจสอบคุณภาพ สมุนไพรจำนวนมากใน
2 / 2

ประเทศไทยเป็นพืชพันธุ์ที่ทรงคุณค่าทั้งทางยาและวัฒนธรรม แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็น “ความท้าทาย” ที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเข้าใจ และระบบสนับสนุนจากรัฐ เพื่อให้ภูมิปัญญาอันล้ำค่านี้ก้าวไปสู่ระดับอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นคง

ในวงการสมุนไพรไทย เรามีผู้ประกอบการอยู่หลากหลายกลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ที่มีความพร้อม มีความรู้ และตั้งใจผลิตอย่างมีมาตรฐาน กลุ่มที่สองคือผู้ที่อยากทำดีแต่ยังไม่พร้อม อาจขาดองค์ความรู้หรือทรัพยากร ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือผู้ที่มุ่งขายอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัย เน้นกำไร และไม่ใส่ผู้บริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มที่สร้างภาพลบต่อวงการสมุนไพรโดยรวม ในความเป็นจริงแล้ว สมุนไพรไทยมีศักยภาพสูงมากหากได้รับการสนับสนุนที่ถูกทาง การเข้าถึงองค์ความรู้ด้านการผลิต การตรวจสอบคุณภาพ และระบบรับรองมาตรฐานจะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย

ในประเด็นของการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ของผลิตภัณฑ์สมุนไพร จริง ๆ แล้ว นอกเหนือจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว อีกหลายภาคส่วนของรัฐมีบทบาทสำคัญมากในการสร้างระบบสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ฉายรังสีเพื่อฆ่าหรือลดปริมาณเชื้อในวัตถุดิบหรือในผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงบริการอย่างเพียงพอ และยังต้องหานโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถเข้าถึงการฉายรังสีในต้นทุนที่ทำให้ธุรกิจสมุนไพรอยู่ได้ สิบปีผ่านไป ปีนี้อาจจะเป็นปีหนึ่งที่รัฐมองเห็นประเด็นสำคัญของปัญหาในธุรกิจสมุนไพรไทย และถึงเวลาลงมือแก้ไขอย่างแท้จริง 

สมุนไพรไทยไม่ใช่เป็นเพียงมรดกทางภูมิปัญญาที่ควรภาคภูมิใจ แต่ยังเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ให้ประเทศได้อย่างยั่งยืน ปัญหาคุณภาพเป็นเรื่องใหญ่ถ้าอยากให้สมุนไพรไทยก้าวสู่ตลาดสากล หากเราร่วมกันดูแลคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่การปลูก เก็บเกี่ยว แปรรูป ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป สมุนไพรไทยจะไม่เพียง “หอมชื่นใจ” แต่ยัง “ปลอดภัย เชื่อถือได้ และทรงคุณค่า” สมดังความตั้งใจของผู้ประกอบการและคนไทยที่อยากเห็นสมุนไพรไทยก้าวไกลไปทั่วโลก

 

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงกับพระราชกรณียกิจด้านสุขภาพของพสกนิกร

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงกับพระราชกรณียกิจด้านสุขภาพของพสกนิกร

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงกับพระราชกรณียกิจด้านสุขภาพของพสกนิกร

วันจันทร์ ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เนินนานหลายทศวรรษที่คนไทยได้รับพระมหากรุณาธิคุณนานัปการอันหาที่สุดมิได้จากน้ำพระทัยของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพราะฉะนั้น จึงทำให้พสกนิกรไทยมีความผูกพันและเคารพเทิดทูนพระองค์ท่านอย่างสูงเสมอมา

ข่าวการเสด็จสู่สวรรคาลัยของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อ 24 ตุลาคม 2568 จึงถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแผ่นดินไทย คนไทยตระหนักดีว่าพระองค์ท่านทรงเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของคนไทย พระองค์พระราชทานความรัก ความห่วงใย และพระเมตตาอันล้นพ้นต่อพสกนิกรชาวไทยตลอดพระชนม์ชีพ ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าคนไทยทุกคนประจักษ์ในพระมหากรุณาธิคุณ และได้รับรู้ชัดเจนถึงสิ่งที่พระองค์ท่านทรงอุทิศพระวรกายเพื่อความผาสุกของคนไทย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเขตทุรกันดาร ห่างไกลความเจริญ 

ในฐานะที่ผู้เขียนอยู่ในแวดวงด้านการสาธารณสุขได้ประจักษ์ชัดว่าพระองค์ท่านทรงสนับสนุนด้านสมุนไพรของไทยมาโดยตลอด เพราะทรงตระหนักว่าสมุนไพรไทยมีคุณต่อสุขภาพของประชาชนชาวไทย พระองค์ทรงเน้นสุขภาวะองค์รวมของประชาชน และมีพระราชดำริที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชน ทรงมองว่าสุขภาพมิใช่เพียงการไม่มีโรคภัย แต่แท้ที่จริงคือการมีชีวิตที่สมบูรณ์ทั้งกายกและใจไปพร้อม ๆ กัน  สมดั่ง พระราชดำรัสที่ว่า “จิตใจที่แจ่มใสย่อมอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง” สะท้อนถึงแนวคิดสุขภาวะองค์รวมที่พระองค์ทรงยึดถือและผลักดันเสมอมา ทรงตระหนักว่าการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล ยังมีข้อจำกัดอีกมากมาย ทั้งด้านบุคลากรการแพทย์ ยา เวชภัณฑ์ และความรู้ด้านสุขอนามัย ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงริเริ่มและสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน

หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญคือการจัดตั้ง “หน่วยแพทย์พระราชทาน” ในปี พ.ศ. 2510 เพื่อให้บริการการแพทย์แก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล อย่างไรก็ตาม หน่วยแพทย์พระราชทานมิได้แค่เพียงให้การรักษาเบื้องต้นเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทในการแจกจ่ายยา ให้ความรู้เรื่องการใช้ยาอย่างถูกต้อง และส่งเสริมการใช้สมุนไพรพื้นบ้านที่มีสรรพคุณทางยา หน่วยแพทย์พระราชทานยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างชุมชนกับระบบสาธารณสุขของรัฐ โดยส่งต่อผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาเฉพาะทางไปยังโรงพยาบาลหลัก พร้อมทั้งเก็บข้อมูลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ เพื่อใช้ในการวางแผนพัฒนาสุขภาพในระยะยาว

ยังมีโครงการเพื่อให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างต่อเนื่อง โดยพระองค์ทรงสนับสนุน “โครงการแพทย์ประจำหมู่บ้าน” ซึ่งเป็นการฝึกอบรมบุคคลในชุมชน ให้มีความรู้ด้านสุขภาพเบื้องต้น รวมถึงการใช้ยาอย่างปลอดภัย และการใช้สมุนไพรพื้นบ้านในการดูแลสุขภาพ พระองค์ทรงเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณทางยาหลากหลาย เช่น ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน กระชายดำ และบัวบก ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการรักษาโรคทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงการนี้จึงไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระของระบบสาธารณสุข แต่ยังเป็นการอนุรักษ์ และส่งเสริมภูมิปัญญาไทยให้คงอยู่สืบต่อไป

และด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่แสนยิ่งใหญ่ที่พระราชทานต่อผู้ที่เสียสละเพื่อชาติ พระองค์ทรงก่อตั้ง “มูลนิธิสายใจไทยในพระบรมราชูปถัมภ์” เพื่อให้การดูแลทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บหรือทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ และเมื่อพระองค์ทรงพบราษฎรเจ็บป่วยก็จะทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยมูลนิธิฯ ให้การรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดหาเวชภัณฑ์ ยา และอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วย ผู้บาดเจ็บ และผู้พิการ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งทางกายและจิตใจของผู้บาดเจ็บ และพิการด้วย

พระองค์พระราชทานความช่วยเหลือในยามวิกฤตเสมอมา โดยพระราชทานยา เวชภัณฑ์ และพระราชทานกำลังใจ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือในยามที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ถึงแม้พระองค์ท่านจะทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ทรงพระชราภาพและยังทรงพระประชวร แต่พระองค์ยังทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ไม่เสื่อมคลาย จึงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์สำหรับจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลให้บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ เพราะทรงเห็นว่าหากบุคลากรการแพทย์ประสบปัญหาสุขภาพ จะทำให้ไม่สามารถปฏิบัติงานสำคัญของประเทศได้ผลดี

สมเด็จพระพันปีหลวงมีพระราชดำริให้ส่งเสริมสมุนไพรไทยในระดับนโยบาย มีการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทยอย่างเป็นระบบ โดยสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์วิจัยสมุนไพรในหลายภูมิภาค เพื่อศึกษาสรรพคุณทางยา พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมการใช้สมุนไพรในระบบสาธารณสุข ทรงส่งเสริมการปลูกสมุนไพรในชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในด้านการดูแลสุขภาพเบื้องต้น และยังสร้างรายได้เสริมจากการแปรรูปสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ยาหม่อง น้ำมันสมุนไพร และชาสมุนไพร

พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระพันปีหลวงมิได้เป็นเพียงหน้าประวัติศาสตร์ หากแต่ยังเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ ที่ยังคงส่องทางให้แก่ผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพและสาธารณสุขทุกระดับของประเทศไทย พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า “สุขภาพ” มิใช่เพียงเรื่องของการรักษาโรค แต่คือการดูแลชีวิตอย่างรอบด้าน ด้วยความเข้าใจ เห็นใจ และเข้าถึง
ในฐานะผู้เขียนมีบทบาทในแวดวงสุขภาพและยา จึงขอน้อมนำแนวทางของพระองค์มาเป็นหลักในการทำงาน โดยเฉพาะการส่งเสริมการใช้ยาอย่างปลอดภัย การพัฒนานวัตกรรมเพื่อผู้ป่วย หรือการฟื้นฟูภูมิปัญญาสมุนไพรไทยเพื่อให้มีผลดีต่อระบบสุขภาพยั่งยืนของประเทศ

การสานต่อพระราชปณิธานของพระองค์ ด้วยการลงมือทำด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ด้วยความเข้าใจในความทุกข์ของผู้ป่วย และด้วยความเชื่อมั่นว่า “สุขภาพที่ดีคือรากฐานของชีวิตที่มีคุณภาพ” ข้าพระพุทธเจ้าขอเป็นหน่วยเล็ก ๆ ที่ร่วมกันสืบสานงานต่อจากพระองค์ เพื่อให้น้ำพระทัยจากพระเมตตายังคงสว่างไสวในหัวใจของประชาชนไทยตลอดไป
ขอน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยจะดำเนินงานตามพระราชดำริของพระองค์ท่านตลอดไป

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ใช้ยาแก้ปวดให้ปลอดภัย (ตอนจบ)

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ใช้ยาแก้ปวดให้ปลอดภัย (ตอนจบ)

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ใช้ยาแก้ปวดให้ปลอดภัย (ตอนจบ)

วันจันทร์ ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

สัปดาห์ก่อนได้กล่าวถึงอาการปวดชนิดต่าง ๆ ที่เรามักพบเจอในชีวิตประจำวันไปแล้ว สัปดาห์นี้จะกล่าวถึงชนิดของยาแก้ปวดที่เราใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด

สำหรับการใช้ยาบรรเทาปวดที่ใช้กันบ่อยมี 2 ชนิด คือ ยาบรรเทาปวดตัวแรกที่หลายคนคุ้นเคยคือ พาราเซตามอล (Paracetamol หรืออีกชื่อหนึ่งคือ อะเซตามิโนเฟน, Acetaminophen) เป็นยาแก้ปวดและลดไข้พื้นฐานที่หาซื้อได้ง่าย ยาพาราเซตามอลเป็นยาปลอดภัยสำหรับคนที่ไม่แพ้ยานี้ และเมื่อใช้ตามขนาดที่แนะนำ สามารถใช้บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อที่ไม่รุนแรง และช่วยลดไข้ 

แต่มีข้อควรระวังสำคัญที่สุด คือ ห้ามรับประทานเกินขนาดสูงสุดต่อวันเด็ดขาด โดยทั่วไปในผู้ใหญ่ไม่ควรเกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน (เท่ากับยาเม็ด 500 มิลลิกรัม ไม่เกิน 8 เม็ด) ห้ามรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 3-5 วัน ควรปรึกษาแพทย์ 

การรับประทานยาเกินขนาดแม้เพียงเล็กน้อยแต่ทำต่อเนื่อง หรือคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำแล้วกินยาพาราเซตามอล จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะตับวายเฉียบพลัน

ส่วนยาบรรเทาปวดกลุ่มที่ 2 คือ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (ยาเอ็นเสด, NSAIDs) ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), นาพรอกเซน (Naproxen), ไดโคลฟีแนค (Diclofenac), เซเลคอกซิบ (Celecoxib) เป็นต้น มีฤทธิ์แก้ปวด ลดไข้ และลดการอักเสบได้พร้อมกัน จึงมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการปวดที่มีการอักเสบร่วมด้วย เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อจากการบาดเจ็บ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือปวดประจำเดือน 

แต่มีข้อควรระวังที่สำคัญในการใช้ยาเอ็นเสด (NSAIDs) คือ ยากลุ่มนี้มีผลต่อทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง แสบท้อง หรืออาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และมีเลือดออกในทางเดินอาหารได้ จึงควรรับประทานหลังอาหารทันทีเพื่อลดการระคายเคือง ยากลุ่มเอ็นเสดยังมีผลต่อไตและหัวใจ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคไต โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจขาดเลือด จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง  ย้ำว่าไม่ควรซื้อยากลุ่มเอ็นเสดมากินเองโดยเด็ดขาด และเน้นว่ายานี้ไม่ควรใช้ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น วาร์ฟาริน) หรือแอสไพรินขนาดต่ำ และขอบอกย้ำ ๆ ว่าต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ เพราะหากใช้เองแล้วใช้ผิด ก็เพิ่มความเสี่ยงของการมีเลือดออกได้ 

เพื่อให้เราใช้ยาแก้ปวดอย่างได้ผลดี โดยไม่ทำร้ายตนเอง จึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

1. อ่านฉลากยาและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ไม่รับประทานยาเกินขนาด หรือเกินความถี่ที่กำหนด  

2. ไม่ใช้ยาซ้ำซ้อน ต้องตรวจสอบส่วนประกอบของยาที่กำลังจะรับประทาน ว่ามียาตัวเดียวกัน หรือมีส่วนผสมของยาแก้ปวดซ่อนอยู่หรือไม่ เช่น ยาแก้หวัดบางชนิดมีส่วนผสมของพาราเซตามอล จะทำให้เราได้ยาเกินขนาดได้ 

3. แจ้งข้อมูลสุขภาพแก่เภสัชกรและแพทย์ทราบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น โรคประจำตัว เช่น โรคตับ โรคไต โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ความดันโลหิตสูง ยาประจำตัว หรือยาชนิดอื่นที่ใช้อยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง และปฏิกิริยาระหว่างยา 

4. สังเกตอาการแพ้ยา และผลข้างเคียง หากมีผื่นขึ้น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือมีอาการผิดปกติทางเดินอาหาร เช่น อุจจาระสีดำเข้ม ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที 

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ 

คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ใช้ยาแก้ปวดให้ปลอดภัย(ตอน 1)

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ใช้ยาแก้ปวดให้ปลอดภัย(ตอน 1)

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ใช้ยาแก้ปวดให้ปลอดภัย(ตอน 1)

วันจันทร์ ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 13.56 น.

อาการปวดเป็นสัญญาณสำคัญที่ร่างกายส่งออกเพื่อเตือนเราว่ากำลังมีความผิดปกติ หรือได้รับบาดเจ็บ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดประจำเดือน เมื่อมีอาการปวดจนรบกวนชีวิตประจำวัน ซึ่งบางครั้งผู้มีอาการยังทนได้ หรืออาจไม่มีเวลาไปพบแพทย์ จึงต้องพึ่งยาบรรเทาปวด แต่การใช้ยาแก้ปวดโดยไม่ระมัดระวังจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้  

อาการปวดมีหลายรูปแบบ บางคนมีอาการเฉียบพลัน มักเกิดทันทีหลังได้รับบาดเจ็บ หรือหลังผ่าตัด ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยต้องเพิ่มการระมัดระวัง และพักผ่อนให้มาก แล้วอาการปวดก็จะหายไป เมื่อสาเหตุที่ทำให้ปวดถูกแก้ไขได้แล้ว

แต่สำหรับอาการปวดเรื้อรัง เป็นอาการที่คงอยู่เป็นเวลานาน แม้บาดแผลภายนอกจะหายแล้วก็ตาม อาการปวดชนิดนี้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตอย่างมาก และมักต้องการการรักษาที่ซับซ้อนกว่า 
สาเหตุของอาการปวดที่พบบ่อยที่สุดมักเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บ และการใช้งานกล้ามเนื้อและกระดูก ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตประจำวันและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น อาการปวดหลังส่วนล่างที่ปวดเรื้อรังมาจากการนั่งทำงานผิดท่าเป็นเวลานาน หรืออาการปวดคอและไหล่จากการก้มเล่นโทรศัพท์มือถือ นับเป็นรูปแบบของการบาดเจ็บจากการใช้งานซ้ำ ๆ 

นอกจากนี้ การบาดเจ็บเฉียบพลันอย่างการข้อเท้าพลิก กล้ามเนื้อฉีก หรือกระดูกหักจากอุบัติเหตุ ก็เป็นสาเหตุของอาการปวดที่รุนแรงและต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ส่วนกลุ่มถัดมาคือ อาการปวดจากการอักเสบและการติดเชื้อ ซึ่งบ่งบอกว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับสิ่งผิดปกติ เช่น อาการปวดข้อต่อจากโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ ซึ่งเป็นภาวะอักเสบเรื้อรัง หรืออาการปวดฟัน และปวดท้องรุนแรงจากการติดเชื้อ ที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม 

การรู้สาเหตุอาการปวดเป็นกุญแจสำคัญ ในการจัดการความปวดได้ตรงจุด และช่วยให้เรารู้ว่าเมื่อใดควรพัก และต้องใช้ยาแก้ปวด และเมื่อไรจำเป็นต้องขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง แล้วจะได้ช่วยป้องกันการกลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง

หากมีอาการปวดโดยไม่ทราบสาเหตุ แถมยังปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หรือปวดต่อเนื่องยาวนานเกินกว่าที่ยาแก้ปวดทั่วไปจะช่วยบรรเทาได้ ต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง เนื่องจากอาการปวดอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่ซ่อนอยู่ เช่น ติดเชื้อรุนแรง เนื้องอก หรือภาวะฉุกเฉินอื่น ๆ 
 

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ 
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : นกเขาไม่ขัน หย่อนสมรรถภาพทางเพศ แก้ไขได้

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : นกเขาไม่ขัน หย่อนสมรรถภาพทางเพศ แก้ไขได้

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : นกเขาไม่ขัน หย่อนสมรรถภาพทางเพศ แก้ไขได้

วันจันทร์ ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 06.00 น.

ปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งของเหล่าชายชาตรีคือ “นกเขาไม่ขัน” หรือ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่รักอย่างมากเท่าและยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ภายใน แล้วส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ความมั่นใจตัวเอง รวมถึงคุณภาพชีวิตโดยรวมด้วย ปัญหานี้ละเอียดอ่อนมาก จึงต้องทำความเข้าใจถึงสาเหตุให้ชัด เพื่อจะหาทางแก้ปัญหาให้ถูกต้อง 

การที่อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว หรือไม่สามารถคงความแข็งตัวไว้ได้นานพอ อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ต้องได้รับการดูแลโดยเร็ว โดยเฉพาะในผู้ชายที่อายุมากกว่า 40 ปี ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วน ซึ่งโรคเหล่านี้มีผลต่อหลอดเลือด เนื่องจากการแข็งตัวของอวัยวะเพศ เพราะการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายต้องอาศัยการไหลเวียนของเลือดที่ดีเยี่ยม แต่หากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศไม่แข็งแรง หรือตีบแคบลงจากโรคต่าง ๆ จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี 

ดังนั้น คุณที่มีโรคดังกล่าวจะต้องเอาใจใส่ดูแลรักษา และรับประทานยารักษาโรคเรื้อรังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ควบคุมโรคต่าง ๆ ได้ดี เพื่อให้คุณภาพของหลอดเลือด และการไหลเวียนของเลือดดี

แต่ในบางรายอาจมีปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศชาย ปัญหาจากระบบประสาท เนื่องจากระบบประสาทมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแข็งตัวของอวัยวะเพศ หากระบบประสาทถูกทำลาย ซึ่งอาจมาจากโรคเบาหวาน การผ่าตัดต่อมลูกหมาก หรือโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อการแข็งตัวได้ และยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ส่งผลต่อการแข็งตัว หรืออาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แล้วยังสูบบุหรี่จัด สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูบบุหรี่จัด มีผลโดยตรงต่อหลอดเลือด และระบบประสาทที่สัมพันธ์กับการหดและขยายหลอดเลือด

นอกจากนี้อาจมีสาเหตุทางจิตใจ โดยเกิดจากภาวะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือความตื่นเต้นจนเกินไป การหมกมุ่นอยู่กับ “ความล้มเหลว” ในครั้งก่อน ๆ ก็อาจสร้างความกังวลและทำให้เกิดปัญหาได้

ปัญหาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศเกิดได้จากหลายสาเหตุ จึงควรได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างทันกาล

ถ้าพูดถึงการใช้ยา ในปัจจุบันมียาหลายชนิดใช้ในแก้ปัญหานี้ เช่น ยาช่วยคลายกล้ามเนื้อเรียบในหลอดเลือดช่วยทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนเข้าไปในอวัยวะเพศได้มากขึ้น แต่ก่อนใช้ยา ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อดูว่ามีข้อจำกัดการใช้ยา หรือมีความเสี่ยงได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากยาหรือไม่ 

ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ หรือผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ ต้องระวังเป็นพิเศษ แต่สำหรับผู้ป่วยบางรายไม่ควรใช้ยารักษาสมรรถภาพทางเพศบางชนิด เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใช้ยายาไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerin) เพราะยาเหล่านี้จะไปทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

เนื่องจากยาที่ใช้รักษาสมรรถภาพทางเพศอาจทำให้บางคนได้รับอันตราย จึงจำเป็นต้องได้รับการสั่งจ่ายยาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ก็พบว่าในปัจจุบันมีการขายยาเหล่านี้โดยผิดกฎหมาย และยังพบว่ามียาปลอม หรือยาไม่ได้มาตราฐาน ที่ทำให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้ยา 

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาชวนเชื่อว่าช่วยเพิ่มสมรรถภาพแก้ปัญหาการแข็งตัวของเพศชายได้ ซึ่งส่วนใหญ่ผิดกฎหมาย และพบด้วยว่าส่วนใหญ่มีการปนปลอม และผสมยาเคมีลงไป ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดอันตรายจากสารเคมีหรือยาที่ใส่ลงไป อีกทั้งยาที่ผสมนั้นมักเป็นยาไม่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพต่ำ และผสมในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง แต่ยังมีผลิตภัณฑ์อีกไม่น้อยที่ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย แต่แอบใส่สารเคมีที่ผิดกฎหมายลงไป 

นอกจากนี้ สมุนไพรบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาแผนปัจจุบันที่ผู้ป่วยใช้อยู่ และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้นถ้าคุณจำเป็นต้องใช้ยา ต้องไปปรึกษาแพทย์ เพื่อให้รับยาที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพดี และย้ำว่าต้องไม่หาซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายมาใช้เป็นอันขาด โปรดอย่าเอาตัวเองไปเสี่ยง เพราะอันตรายถึงชีวิต

แต่มีสิ่งสำคัญเพื่อการดูแลตัวเองคือ ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้ถูกสุขลักษณะ เพราะช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศให้ดีขึ้นได้ในเบื้องต้น โดยต้องกระำเรื่องดังต่อไปนี้

· ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย รวมทั้งอวัยวะเพศ การเดินเร็ว วิ่ง หรือว่ายน้ำ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะนี้ได้ นอกจากนี้ การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ก็สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการแข็งตัวได้

· รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยเพิ่มอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ปลา และลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง น้ำตาล และโซเดียม จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ ซึ่งเป็นความเสี่ยงของภาวะอวัยวะเพศไม่แข็งตัว

· เลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มแอลกอฮอล์ ย้ำว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ไม่เพียงพอ ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ก็ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงได้

● จัดการกับความเครียด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาทางเพศ การหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ การอ่านหนังสือ หรือการใช้เวลากับธรรมชาติ จะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด

● นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และยังเป็นผลดีต่อระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน

● พูดคุยกับคู่รักแบบเปิดอก เพราะการสื่อสารอย่างเปิดอกกับคู่รักเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การแบ่งปันความรู้สึกระหว่างกัน ช่วยคลายความกังวล ลดแรงกดดัน และช่วยสร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกัน คู่รักสามารถช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหา และหาวิธีการช่วยให้ทั้งสองรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายในเรื่องเพศได้

ท้ายนี้ ขอย้ำว่าปัจจุบัน มีการดูแลรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศหลากหลายวิธี มียาแผนปัจจุบันที่ประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย แต่ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 

และขอเตือนว่า มีผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการปนปลอม ใส่สารเคมีอันตรายต่อสุขภาพและชีวิต และยังเสี่ยงกับการเกิดปฏิกิริยากับยาตัวอื่นที่ผู้ป่วยกำลังใช้ แต่ที่สำคัญคือต้องดูแลรักษาโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่ให้ดี กินยาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องอวัยวะเพศไม่แข็งตัว และต้องย้ำเหมือนเดิมว่า เมื่อประสบปัญหาด้านสุขภาพ ต้องไปปรึกษาแพทย์ หรือพบเภสัชกร เพื่อความปลอดภัย และเพื่อการรักษาที่ดีที่สุด

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ

คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : นกเขาไม่ขัน หย่อนสมรรถภาพทางเพศ แก้ไขได้

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : นกเขาไม่ขัน หย่อนสมรรถภาพทางเพศ แก้ไขได้

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : นกเขาไม่ขัน หย่อนสมรรถภาพทางเพศ แก้ไขได้

วันจันทร์ ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2568, 13.27 น.

ปัญหาใหญ่ข้อหนึ่งของเหล่าชายชาตรีคือ “นกเขาไม่ขัน” หรือ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่รักอย่างมากเท่าและยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ภายใน แล้วส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ความมั่นใจตัวเอง รวมถึงคุณภาพชีวิตโดยรวมด้วย ปัญหานี้ละเอียดอ่อนมาก จึงต้องทำความเข้าใจถึงสาเหตุให้ชัด เพื่อจะหาทางแก้ปัญหาให้ถูกต้อง 

การที่อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว หรือไม่สามารถคงความแข็งตัวไว้ได้นานพอ อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ต้องได้รับการดูแลโดยเร็ว โดยเฉพาะในผู้ชายที่อายุมากกว่า 40 ปี ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วน ซึ่งโรคเหล่านี้มีผลต่อหลอดเลือด เนื่องจากการแข็งตัวของอวัยวะเพศ เพราะการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายต้องอาศัยการไหลเวียนของเลือดที่ดีเยี่ยม แต่หากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศไม่แข็งแรง หรือตีบแคบลงจากโรคต่าง ๆ จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี 

ดังนั้น คุณที่มีโรคดังกล่าวจะต้องเอาใจใส่ดูแลรักษา และรับประทานยารักษาโรคเรื้อรังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ควบคุมโรคต่าง ๆ ได้ดี เพื่อให้คุณภาพของหลอดเลือด และการไหลเวียนของเลือดดี

แต่ในบางรายอาจมีปัญหาอื่น ๆ เช่น ปัญหาความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศชาย ปัญหาจากระบบประสาท เนื่องจากระบบประสาทมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการแข็งตัวของอวัยวะเพศ หากระบบประสาทถูกทำลาย ซึ่งอาจมาจากโรคเบาหวาน การผ่าตัดต่อมลูกหมาก หรือโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อการแข็งตัวได้ และยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ส่งผลต่อการแข็งตัว หรืออาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แล้วยังสูบบุหรี่จัด สิ่งเหล่านี้มีผลทำให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูบบุหรี่จัด มีผลโดยตรงต่อหลอดเลือด และระบบประสาทที่สัมพันธ์กับการหดและขยายหลอดเลือด

นอกจากนี้อาจมีสาเหตุทางจิตใจ โดยเกิดจากภาวะเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือความตื่นเต้นจนเกินไป การหมกมุ่นอยู่กับ “ความล้มเหลว” ในครั้งก่อน ๆ ก็อาจสร้างความกังวลและทำให้เกิดปัญหาได้
ปัญหาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศเกิดได้จากหลายสาเหตุ จึงควรได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้อง และรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างทันกาล

ถ้าพูดถึงการใช้ยา ในปัจจุบันมียาหลายชนิดใช้ในแก้ปัญหานี้ เช่น ยาช่วยคลายกล้ามเนื้อเรียบในหลอดเลือดช่วยทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนเข้าไปในอวัยวะเพศได้มากขึ้น แต่ก่อนใช้ยา ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อดูว่ามีข้อจำกัดการใช้ยา หรือมีความเสี่ยงได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากยาหรือไม่ 

ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ หรือผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ ต้องระวังเป็นพิเศษ แต่สำหรับผู้ป่วยบางรายไม่ควรใช้ยารักษาสมรรถภาพทางเพศบางชนิด เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใช้ยายาไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerin) เพราะยาเหล่านี้จะไปทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

เนื่องจากยาที่ใช้รักษาสมรรถภาพทางเพศอาจทำให้บางคนได้รับอันตราย จึงจำเป็นต้องได้รับการสั่งจ่ายยาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แต่ก็พบว่าในปัจจุบันมีการขายยาเหล่านี้โดยผิดกฎหมาย และยังพบว่ามียาปลอม หรือยาไม่ได้มาตราฐาน ที่ทำให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้ยา 

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาชวนเชื่อว่าช่วยเพิ่มสมรรถภาพแก้ปัญหาการแข็งตัวของเพศชายได้ ซึ่งส่วนใหญ่ผิดกฎหมาย และพบด้วยว่าส่วนใหญ่มีการปนปลอม และผสมยาเคมีลงไป ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดอันตรายจากสารเคมีหรือยาที่ใส่ลงไป อีกทั้งยาที่ผสมนั้นมักเป็นยาไม่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพต่ำ และผสมในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง แต่ยังมีผลิตภัณฑ์อีกไม่น้อยที่ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย แต่แอบใส่สารเคมีที่ผิดกฎหมายลงไป 

นอกจากนี้ สมุนไพรบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาแผนปัจจุบันที่ผู้ป่วยใช้อยู่ และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้นถ้าคุณจำเป็นต้องใช้ยา ต้องไปปรึกษาแพทย์ เพื่อให้รับยาที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพดี และย้ำว่าต้องไม่หาซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายมาใช้เป็นอันขาด โปรดอย่าเอาตัวเองไปเสี่ยง เพราะอันตรายถึงชีวิต

แต่มีสิ่งสำคัญเพื่อการดูแลตัวเองคือ ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้ถูกสุขลักษณะ เพราะช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศให้ดีขึ้นได้ในเบื้องต้น โดยต้องกระำเรื่องดังต่อไปนี้
· ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย รวมทั้งอวัยวะเพศ การเดินเร็ว วิ่ง หรือว่ายน้ำ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะนี้ได้ นอกจากนี้ การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ก็สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการแข็งตัวได้
· รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด โดยเพิ่มอาหารที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว ปลา และลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง น้ำตาล และโซเดียม จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ ซึ่งเป็นความเสี่ยงของภาวะอวัยวะเพศไม่แข็งตัว
· เลิกสูบบุหรี่ เลิกดื่มแอลกอฮอล์ ย้ำว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ไม่เพียงพอ ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ก็ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท ทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลงได้
● จัดการกับความเครียด ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาทางเพศ การหากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ โยคะ การอ่านหนังสือ หรือการใช้เวลากับธรรมชาติ จะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด
● นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และยังเป็นผลดีต่อระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
● พูดคุยกับคู่รักแบบเปิดอก เพราะการสื่อสารอย่างเปิดอกกับคู่รักเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การแบ่งปันความรู้สึกระหว่างกัน ช่วยคลายความกังวล ลดแรงกดดัน และช่วยสร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกัน คู่รักสามารถช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหา และหาวิธีการช่วยให้ทั้งสองรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายในเรื่องเพศได้

ท้ายนี้ ขอย้ำว่าปัจจุบัน มีการดูแลรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศหลากหลายวิธี มียาแผนปัจจุบันที่ประสิทธิภาพสูง ปลอดภัย แต่ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด 
และขอเตือนว่า มีผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการปนปลอม ใส่สารเคมีอันตรายต่อสุขภาพและชีวิต และยังเสี่ยงกับการเกิดปฏิกิริยากับยาตัวอื่นที่ผู้ป่วยกำลังใช้ แต่ที่สำคัญคือต้องดูแลรักษาโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่ให้ดี กินยาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องอวัยวะเพศไม่แข็งตัว และต้องย้ำเหมือนเดิมว่า เมื่อประสบปัญหาด้านสุขภาพ ต้องไปปรึกษาแพทย์ หรือพบเภสัชกร เพื่อความปลอดภัย และเพื่อการรักษาที่ดีที่สุด


รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ปัญหาสุขภาพและข้อควรระวังในการใช้ยาในวัยเกษียณ

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ปัญหาสุขภาพและข้อควรระวังในการใช้ยาในวัยเกษียณ

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ปัญหาสุขภาพและข้อควรระวังในการใช้ยาในวัยเกษียณ

วันจันทร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณ ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ซึ่งปัญหาปัญหาสุขภาพและโรคที่พบบ่อยในวัยเกษียณ ได้แก่

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจขาดเลือด
  • โรคเบาหวาน
  • โรคข้อเข่าเสื่อมและโรคกระดูกพรุน
  • ภาวะสมองเสื่อม  โรคอัลไซเมอร์ และภาวะสมองเสื่อมจากหลอดเลือด
  • ปัญหาทางสายตาและการได้ยิน เช่น ต้อกระจกและหูเสื่อม
  • การหกล้มและบาดเจ็บ เนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรงและทรงตัวไม่ดี

จากปัญหาดังกล่าว ทำให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีความจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อรักษาโรคประจำตัว และจำเป็นต้องใส่ใจดูแลสุขภาพมากกว่าแต่ก่อน การดูแลตัวเองแบบองค์รวมแบบง่ายๆ จึงสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้มีสุขภาพดีในวัยเกษียณ ตั้งแต่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นผัก ผลไม้ และโปรตีน                                                                                                   การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเลือกกิจกรรมที่ไม่หนักจนเกินไป เช่น เดิน โยคะ หรือไทเก๊ก นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  รักษาสุขภาพจิตให้แข็งแรง หากิจกรรมที่ผ่อนคลาย และได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่รัก และควรเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ติดตามผลการรักษาของโรคที่เป็นอยู่แล้ว และป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นใหม่

ในการใช้ยาของผู้สูงอายุก็มีข้อควรระวัง เนื่องจากปัจจัยทางสรีรวิทยาของผู้สูงอายุที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การใช้ยาบางชนิดจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้ง่าย หรือมีปฏิกิริยาระหว่างยาที่อันตรายกว่าในวัยหนุ่มสาว ยาบางชนิดที่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้สูงอายุ เช่น

  • ยาต้านฮิสตามีน หรือยาแก้แพ้บางชนิด เช่น Diphenhydramine Chlorpheniramine เนื่องจากยาเหล่านี้มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการง่วงซึม, เวียนหัว, ปากแห้ง, ตาพร่ามัว, ท้องผูก, และปัสสาวะลำบาก นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงของการหกล้ม และทำให้การทำงานของสมองบกพร่อง ซึ่งอาจทำให้อาการสมองเสื่อมแย่ลงได้
  • กลุ่มยานอนหลับ และยาคลายกังวล ยาเหล่านี้ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดอาการง่วงซึม, มึนงง, สับสน, และเสียการทรงตัว เพิ่มความเสี่ยงในการหกล้มและบาดเจ็บอย่างรุนแรง การใช้ในระยะยาวอาจทำให้เกิดภาวะพึ่งพิงยา หรือติดกับการใช้ยา
  • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (หรือเรียกว่า ยากลุ่ม NSAIDs) เช่น Ibuprofen, Naproxen, Diclofenac ยากลุ่มนี้ค่อนข้างน่ากลัว เนื่องจากการใช้ยาในกลุ่มนี้ในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงของอาการเลือดออกในทางเดินอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร, และผลกระทบต่อการทำงานของไต โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีโรคไตหรือมีภาวะขาดน้ำ นอกจากนี้ยังอาจทำให้อาการหัวใจล้มเหลวแย่ลงได้
  • ยาที่รักษาโรคประจำตัวที่ใช้อยู่แล้ว ยาแต่ละชนิดมีข้อควรระวังอยู่แล้ว เมื่อสงสัย หรือประสบปัญหาต้องปรึกษาแพทย์ผู้สั่งใช้ยา หรือเภสัชกร

ขอย้ำในข้อควรปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา

  • ก่อนใช้ยาต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ โดยแจ้งโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา และยาที่ใช้อยู่ทั้งหมด รวมถึงยาแผนโบราณและอาหารเสริม
  • ก่อนใช้ยาต้องตรวจสอบชื่อยา ขนาด และวิธีการใช้ให้ถูกต้อง อ่านฉลากยาอย่างละเอียดและสอบถามให้เข้าใจ หากไม่แน่ใจให้ปรึกษาแพทย์ผู้สั่งใช้ยา หรือเภสัชกร
  • ระวังยาที่อาจมีผลต่อการทรงตัว เนื่องจากยาบางชนิด เช่น ยานอนหลับ ยาแก้ปวดบางชนิด และยาแก้แพ้บางชนิด  อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม มึนงง และเพิ่มความเสี่ยงในการหกล้ม
  • ไม่ควรซื้อยาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร
  • จัดเก็บยาอย่างเหมาะสม เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง เก็บในที่ที่เหมาะสมตามคำแนะนำบนฉลากยา

โดยสรุปแล้ว การใช้ยาในผู้สูงอายุจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยแพทย์และเภสัชกรจะประเมินจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สุขภาพโดยรวม, โรคประจำตัว, และการทำงานของตับและไต เพื่อเลือกยาที่เหมาะสมและมีขนาดการใช้ยาที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ และหากมีปัญหา หรือคำถามใดๆ สามารถสอบถามได้ที่ @guruya ศูนย์ข้อมูลยา หรือเขามาขอคำปรึกษาได้ที่โอสถศาลา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โดยตรง ขอให้ท่านที่อยู่ในวัยเกษียณมีสุขภาพที่แข็งแรง และมีชีวิตเกษียณที่สำราญ

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ

คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : มีไขมันเลวในเลือดสูง อันตรายถึงตายได้

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : มีไขมันเลวในเลือดสูง อันตรายถึงตายได้

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : มีไขมันเลวในเลือดสูง อันตรายถึงตายได้

วันจันทร์ ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2568, 13.34 น.

สัปดาห์นี้ชวนคุยเรื่องภาวะคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบบ่อย หลายคนอาจเคยตรวจสุขภาพแล้วพบว่าคอเลสเตอรอลสูง แต่ภาวะนี้อาจไม่มีอาการชัดเจน 
คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีหรือชนิดเลว ที่หลายท่านคุ้นกับตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษคือ LDL มีผลต่อหลอดเลือดโดยตรง หากสะสมมากเกินไป แล้วปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแล จะทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบตัน หรือหัวใจขาดเลือด
ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูงมักไม่มีอาการ แต่ตรวจพบได้จากการตรวจเลือด เมื่อเราไปตรวจสุขภาพประจำปี หรือไปพบแพทย์ด้วยโรคอื่น
ร่างกายของเราได้รับคอเลสเตอรอลมาจากสองทางหลัก คือจากอาหารที่รับประทาน และจากการที่ร่างกายสร้างขึ้นมา ฉะนั้นการลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย เราสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรม ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และลดน้ำหนัก แต่เมื่อการปรับพฤติกรรมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถควบคุมระดับไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยได้ แพทย์จะพิจารณาให้ยาเพื่อช่วยลดคอเลสเตอรอล
นอกจากนี้ ในผู้ป่วยที่มีประวัติหรือความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด เช่น เคยมีโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมองมีภาวะหลอดเลือดแข็ง หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุน้อย หรือในผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอื่น ร่วมกับไขมันในเลือดสูง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคอ้วน ผู้ป่วยกลุ่มนี้แพทย์จะพิจารณาให้ยาลดคอเลสเตอรอลเช่นกัน
ยาลดคอเลสเตอรอลในเลือดที่ใช้มาก เช่น ยากลุ่มสแตติน (statins) ข่วยออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอล มียาหลายชนิดในกลุ่มนี้ เช่น ซิมวาสแตติน (Simvastatin) อะทอร์วาสแตติน (Atorvastatin) โรซูวาสแตติน (Rosuvastatin) พิทาวาสแตติน (Pitavastatin) เป็นต้น และยาอีกชนิดหนึ่งที่ใช้บ่อยและอาจใช้ร่วมกับยากลุ่มสแตติน ได้แก่ อีเซทิไมบ์ (Ezetimibe) ยาตัวนี้ออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย
ขอย้ำว่า ภาวะคอเลสเตอรอลสูงเป็นภัยเงียบ ทำให้เราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และหลอดเลือด รวมถึงโรคหลอดเลือดสมอง และอาจถึงชีวิตได้ ดังนั้น เราควรควบคุมระดับคอเลสเตอรอลให้ดี ในบางรายจึงจำเป็นต้องรับประทานยา แต่บางคนก็กลัวการรับประทานยา เนื่องจากคิดเอาเอง หรือได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากโซเชียลมีเดียว่ายาลดไขมันจะทำให้ไตเสื่อมหรือไตวาย ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะถ้าเราใช้ยาถูกวิธี ใช้ขนาดยาถูกต้อง ติดตามการใช้ยาอย่างดีโดยแพทย์และเภสัชกร ก็ไม่ทำให้เกิดอันตรายอย่างแน่นอน
การใช้ยากลุ่มสแตตินในบางรายนั้นอาจมีอาการผิดปกติทางกล้ามเนื้อ แต่ก็เป็นภาวะที่พบได้น้อย ดังนั้นถ้าท่านรับประทานยาอยู่ โดยเฉพาะท่านที่เพิ่งเริ่มรับประทานยากลุ่มนี้ แล้วมีอาการอาการปวดกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อขา ขอให้ไปปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสม หรือหาสาเหตุ เนื่องจากบางครั้งเกิดจากการที่ผู้ป่วยรับประทานยาอื่นแล้วไปตีกับยาลดไขมันในกลุ่มสแตติน
เพราะฉะนั้น ถ้าเราจำเป็นต้องใช้ยาลดคอเลสเตอรอล แต่ไม่ยอมรับประทานยา แล้วยังละเลยปล่อยให้ระดับคอเลสเตอรอลสูง หรือในกรณีของผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจหรือสมองขาดเลือด แต่หยุดใช้ยาลดคอเลสเตอรอลโดยไม่ปรึกษาแพทย์ โรคอาจกลับเป็นซ้ำ ทำให้พิการ ป่วยติดเตียง หรือเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาช่วยได้ก็จริง แต่อันที่จริงนั้นต้องปรับพฤติกรรมของเราเพื่อควบคุมความเสี่ยงให้ได้ผลดีที่สุด การดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นปัจจัยสำคัญของการควบคุมไขมันในเลือด อาหารที่ต้องหลีกเลี่ยงได้แก่ ไขมันอิ่มตัว ซึ่งพบในเนื้อสัตว์ติดมัน หนังสัตว์ เนย น้ำมันหมู แต่ผักผลไม้สด มีไฟเบอร์ และธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ด ลูกเดือย ช่วยลดคอเลสเตอรอล ส่วนการใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร และเน้นว่าต้องตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ เพื่อดูผลข้างเคียง และดูประสิทธิภาพของยาอย่างสม่ำเสมอ
 

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ 
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ลางเนื้อชอบลางยา

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ลางเนื้อชอบลางยา

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ลางเนื้อชอบลางยา

วันจันทร์ ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

โลกยุคใหม่ที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จึงมีหนึ่งในศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษาไปจากเดิมอย่างมากคือ เภสัชพันธุศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมของแต่ละบุคคลกับการตอบสนองต่อยา โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การให้ยากับผู้ป่วยต้องมีความแม่นยำ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูงสุด

แม้คำว่า “เภสัชพันธุศาสตร์” เป็นเรื่องใหม่และซับซ้อนมาก แต่แนวคิดนี้กลับสอดคล้องกับภูมิปัญญาไทยที่เราคุ้นเคยกันดีมานาน โดยเรามีสำนวนไทยคือ “ลางเนื้อชอบลางยา” หมายถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคลในการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะยา ตัวยาเดียวกันอาจให้ผลการรักษาที่ดีกับคน ๆ หนึ่ง แต่กลับใช้รักษาไม่ได้ผลกับอีกคนหนึ่ง หรือใช้แล้วอาจเกิดอาการแพ้ยา

สาเหตุหนึ่งเพราะว่าพันธุกรรม หรือยีนของแต่ละคน อาจมีผลต่อการดูดซึม การเปลี่ยนแปลง ขับออก และการออกฤทธิ์ของยา และด้วยความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในลำดับดีเอ็นเอ อาจส่งผลมหาศาลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา ตัวอย่าง เช่น คนสองคนได้รับยาชนิดเดียวกันในขนาดเท่ากัน แต่อาจมีผลลัพธ์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งมีความสำคัญมากกับการใช้ยาบางชนิด ดังกรณีศึกษานี้ ยาอัลโลพูรินอล (allopurinol) เป็นยาลดกรดยูริกในเลือด ใช้รักษาโรคเกาต์ แม้จะเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดี แต่ในบางคนกลับทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต อย่างเช่น ผู้มียีน HLA-B58:01 มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงที่เรียกว่า กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson Syndrome) หรือ ท็อกซิก อีพิเดอร์มัลเนโครไลซิส (Toxic Epidermal Necrolysis) คือภาวะผิวหนังลอก อักเสบ และอาจรุนแรงจนเสียชีวิต 

ทั้งนี้ คนไทยประมาณ 16 เปอร์เซ็นต์มียีนเสี่ยงต่อการแพ้ยาตัวนี้ จึงจำเป็นต้องผ่านการตรวจยีนก่อนใช้ยาอัลโลพูรินอล การตรวจจึงสามารถช่วยป้องกันอาการแพ้รุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากผลตรวจบ่งว่าผู้ป่วยมียีนมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรง ต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยาอัลโลพูรินอล แล้วเลือกใช้ยาอื่นแทน

การตรวจยีนชนิดนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในผู้ป่วยโรคเกาต์รายใหม่ และเริ่มนำไปใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ

นอกจากกรณีของยาอัลโลพูรินอล  ที่การแพ้ยามีความสัมพันธ์กับยีนบางชนิดแล้ว  ยารักษาโรคลมชัก ชื่อคาร์บามาเซปีน (carbamazepine) ก็อยู่ในข่ายการเฝ้าระวัง เพราะประชากรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงคนไทยบางคนมียีนที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรง เพราะฉะนั้น การตรวจยีนก่อนใช้ยาคาร์บามาเซปีน จึงจำเป็นมาก เพราะช่วยหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ยาโคลพิโดเกรล (clopidogrel) ที่ใช้ป้องกันการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจ ซึ่งคนไทยจำนวนหนึ่ง มียีนที่ทำให้ยาชนิดนี้ออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดซ้ำ การตรวจยีน จึงช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้ยาได้เหมาะสม

จากที่กล่าวมานั้นสะท้อนให้เห็นว่า “ลางเนื้อชอบลางยา” ไม่ใช่แค่สำนวนโบราณที่ไม่มีความหมาย แต่ทว่ามีหลักการที่สามารถอธิบายได้ด้วยเภสัชพันธุศาสตร์ โดยในปัจจุบันการตรวจยีนก่อนการใช้ยาบางชนิด จึงช่วยป้องกันอาการแพ้รุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ และทำให้ช่วยการเลือกใช้ยาและขนาดยาที่เหมาะสมกับพันธุกรรมของผู้ป่วย อันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลรักษาสุขภาพ และลดภาระค่าใช้จ่ายจากการรักษาที่เกิดจากการแพ้ยารุนแรง

รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย