โลกเปลี่ยน…เกษตรต้องมองไกล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 6 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/601391

 

เมื่อวานนำคำชี้แจงของกรมวิชาการเกษตรเรื่อง พืชจะให้สาร อาหารได้ครบคุณค่าทางโภชนาการแก่ผู้บริโภค พืชที่ปลูก ต้องได้รับ ธาตุอาหาร หรือปุ๋ยครบถ้วนตามที่พืชต้องการ…มาให้อ่าน ให้รู้ว่าสินค้าเกษตรจะมีคุณภาพหรือไม่ ปุ๋ยสำคัญไม่น้อย

และความตั้งใจจริงที่ยกประเด็นนี้มาเขียน ไม่ได้มีเจตนาจะต่อต้านนโยบายเกษตรอินทรีย์…หากแต่ต้องการจุดประกายความคิดผู้บริหารภาคเกษตรบ้านเรา ได้ฉุกคิดเรื่องอาหารปลอดภัย อาหารมีคุณภาพ ไม่ได้มีเพียงเกษตรอินทรีย์หนึ่งเดียว ยังมีการทำเกษตรในแนวทางอื่นที่ทำได้ เพียงแต่อย่ายึดติดกับคำว่า “อินทรีย์” คือยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาไปได้หมดทุกอย่าง

เพราะในโลกอนาคต คำว่าปลอดภัย ไร้สารพิษที่ถูกนำมาเป็นข้อกีดกันทางการค้าอยู่ในภาวะใกล้ตกยุค เนื่องจากทุกประเทศต่างใช้มาตรการนี้มากีดกัน และประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรต่างปรับปรุงมาตรฐานการผลิตในเรื่องนี้ไปกันหมดแล้ว ขืนไม่ปรับเปลี่ยนก็ขายของไม่ได้

เมื่อมาตรการนี้นำมาใช้กีดกันไม่ได้… ลองมองโลกให้ไกลกว่าปัจจุบัน คำว่า คุณภาพสินค้า คุณค่าทางโภชนาการ จะถูกนำมาเป็นมาตรการกีดกัน หรือไม่นี่ต่างหาก เจตนาที่แท้จริงของการยกประเด็นนี้มาพูดถึง

ที่สำคัญสินค้าเกษตรของเราหลายตัวอยู่ในภาวะขายแข่งกับใครไม่ได้ เพราะต้นทุนการผลิตสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เคยมีนโยบายที่จะอัพเกรด อัพคุณภาพสินค้าให้มีมูลค่าสูงขึ้น

อย่างข้าวมีแผนจะผลิตข้าวเป็นอาหารสุขภาพ ให้ข้าวเป็นยาช่วยรักษาโรค NCDs เบาหวาน ความดัน หัวใจ มะเร็ง ฯลฯ เพราะข้าวบางพันธุ์ของเรา มีสารสำคัญที่ช่วยยับยั้งโรคเหล่านี้ได้

ทำไมไม่ศึกษาวิจัยให้ลึกลงไปว่า พันธุ์ข้าวที่มีสารสำคัญรักษาโรคพวกนี้ได้ ต้องปลูกยังไง วิธีไหน ให้ปุ๋ยตัวไหนถึงจะให้สารเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น…เราไม่เพียงจะมีสตอรี่ขายข้าวได้ราคาสูง ยังได้สร้างมาตรฐาน ใหม่ที่โลกต้องก้าวตาม ไม่ใช่คอยแต่เดินตามกันให้ต่างชาติสนตะพาย

ไม่เพียงแต่ข้าว…พืชทุกตัวที่คุณสมบัติเช่นนี้ ถ้าเราทำได้หมด ใครจะไม่ซื้อสินค้าอุดมคุณค่าโภชนาการหยุดโรคร้าย made in Thailand.

สะ-เล-เต

 

กรมวิชาการเกษตร…ชี้แจง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 5 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/600841

 

สัปดาห์ก่อนโน้นได้เขียนติติงนโยบายเกษตรกรอินทรีย์ของรัฐบาล ด้วยห่วงใยในประเด็น การปลูกพืชอินทรีย์ที่พืชได้ธาตุอาหารหรือปุ๋ยไม่เพียงพอ จะส่งผลให้สินค้าอินทรีย์ที่ผลิตได้ มีคุณค่าทางโภชนาการที่ไม่ครบถ้วนตามที่พืชควรจะมี

กรมวิชาการเกษตรทำหนังสือชี้แจงในประเด็นนี้…นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ขอยืนยันบนพื้นฐานข้อมูลทางวิชาการ ในระยะเวลา 50 ปี มีผลการศึกษาเปรียบเทียบงานวิจัยการผลิตพืชตามระบบเกษตรอินทรีย์และระบบเกษตรทั่วไปจากทั่วโลกจำนวนทั้งสิ้น 52,471 เรื่อง พบว่าคุณค่าทางโภชนาการของผลผลิตจากระบบเกษตรอินทรีย์และระบบเกษตรทั่วไปขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตของทั้ง 2 ระบบ

หากให้ธาตุอาหารเพียงพอตามที่พืชต้องการในช่วงการเจริญเติบโต คุณค่าทางโภชนาการของพืชทั้ง 2 ระบบ จะไม่มี ความแตกต่างกัน

นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรได้จัดทำคู่มือคำแนะนำการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินกับพืชเศรษฐกิจ เพื่อให้เกษตรกรใส่ปุ๋ยให้เพียงพอต่อความต้องการของพืชแต่ละชนิด รวมทั้งยังวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เหมาะสม ให้เกษตรกร มีวิธีการผลิตที่ถูกต้อง และได้ถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวสู่กลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งคำแนะนำการใช้ปุ๋ย วิธีการผลิตปุ๋ยหมักและปุ๋ยชีวภาพให้มีคุณภาพ รวมทั้งการใช้ปุ๋ยเคมีด้วย

การปลูกพืชไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตาม หากต้องการให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ผู้ผลิตต้องให้ธาตุอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของพืช พืชจึงจะเจริญเติบโตได้ดีและให้ผลผลิตที่เหมาะสมทั้งปริมาณและคุณภาพ

กรมวิชาการเกษตรได้ให้คำแนะนำและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยแบบผสมผสานทั้งปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพและปุ๋ยเคมีในระบบเกษตรทั่วไปตามความเหมาะสมกับดินและพืชแต่ละชนิด

ส่วนในระบบเกษตรอินทรีย์ตามมาตรฐานการผลิตห้ามใช้ปุ๋ยเคมี ดังนั้น เกษตรกรที่ต้องการจะผลิตในระบบนี้ จะต้องทำการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานการผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะมีวิธีการที่แตกต่างไปจากการทำการเกษตรในระบบอื่นๆ

คงพอจะสรุปได้ไหม ทำเกษตรแบบไหน ผู้บริโภคถึงจะได้สินค้าที่ มีคุณค่าครบถ้วนทางโภชนาการ.

สะ-เล-เต

 

อย่า! กำจัดวัชพืช…หน้าแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 4 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/600475

 

ย่างเข้าเดือนเมษา ใกล้ได้เวลาเกษตรกรกำจัดวัชพืช เตรียมไถพรวนรอรับฝน

ถ้าฤดูกาลฝนฟ้ามาตามปกติ ทำได้ ทำไป…แต่ปีนี้แล้งสาหัส ดร.จรรยา มณีโชติ นายกสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย ฝากเตือนมายังพี่น้องเกษตรกรที่กำลังคิดใช้สารกำจัดวัชพืช จำพวก “ไกลโฟเสต” ให้หยุดคิด หยุดทำ เอาไว้ซะก่อน…ขืนทำไปจะสูญเงินเปล่า กำจัดวัชพืชไม่ได้ผล

เนื่องจากวัชพืชนั้นก็มีชีวิต เหมือนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ รู้จักเอาตัวรอดเป็นเหมือนกัน…ร้อนแล้ง น้ำแห้งเหือด ไม่มีให้ดูดกิน พืชจะทำตัวเหมือนกบจำศีล ลดการหายใจ ลดการคายน้ำ และลดการดูดกินอาหาร

ไกลโฟเสต ยาฆ่าหญ้ายอดนิยม กำจัดได้แบบถอนรากถอนโคนตั้งแต่ยอดใบลงไปยันหัวรากเหง้า เป็นสารแบบดูดซึม…ฉีดพ่นเพื่อวัชพืชดูดซึมเข้าไปในระบบท่อน้ำเลี้ยง และไหลหมุนวนลงไปถึงราก

เมื่อปีนี้แล้งยาว วัชพืชจำศีลนาน ฉีดพ่นไปตอนนี้ วัชพืชดูดซึมได้น้อย…มันเลยไม่ตายสนิทไปยันรากหัวเหง้าเหมือนที่ต้องการ ฝนมาสามารถคืนชีพมาให้เราต้องเสียเงินกำจัดอีก

เพราะพี่น้องเกษตรกรไม่เข้าใจในกลไกการทำงานของไกลโฟเสตนี่แหละ เลยทำให้บ้านเราได้ชื่อ ใช้สารฆ่าหญ้าเปลือง เพราะต้องฉีดพ่นกันหลายรอบ

จะกำจัดกันแบบให้จบในทีเดียว ดร.จรรยา แนะว่า ในช่วงที่ต้นใบวัชพืชยังแห้งเหี่ยวเหลืองๆ ไม่ต้องไปฉีดพ่น เพราะมันกำลังจำศีล รอเวลาให้ฝนมา วัชพืชเริ่มแตกใบอ่อน นั่นแสดงว่าเลิกจำศีล เริ่มฉีดพ่นกำจัดได้

ถ้าให้ฝนตั้งเค้า อย่าฉีด เพราะน้ำยาจะถูกฝนชะล้างไปหมด เวลาฉีดพ่นที่ได้ผล ต้องปลอดฝนอย่างน้อย 4–6 ชั่วโมง เพื่อให้วัชพืชดูดซึมสารกำจัดได้หมด

และควรฉีดพ่นในตอนเช้าและเย็น เพราะเป็นช่วงเวลาที่พืชเปิดปากใบ…ช่วงสาย-เที่ยง-บ่าย แดดร้อนพืชจะปิดปากใบ ฉีดพ่นไปก็สูญเปล่าอีก

แล้วที่จ้างเขาทำน่ะ คนงานมาฉีดพ่นตอนไหน…คราวนี้รู้แล้วใช่ไหม ทำไมถึงเปลือง กำจัดวัชพืชไม่ค่อยได้ผล ต้องพ่นหลายรอบ.

สะ–เล–เต

 

กฟก.ลั่นกลองประชารัฐ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 31 มี.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/598396

 

…หนี้เป็นหน้าที่เราต้องแก้ปัญหาให้เกษตรกรอยู่แล้ว แต่ปัญหาสำคัญขณะนี้ อยู่ที่จะทำอย่างไรให้เกษตรกรไทยมีความหวังในอาชีพ นับจากนี้ไปปีครึ่ง ขอให้ทุกคนร่วมใจผลักดันโครงการประชารัฐ ปฏิรูปภาคเกษตร ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเลือกตั้ง…

บางส่วนในคำปาฐกถาของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการบริการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ในการสัมมนาแนวทางขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐเพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งและยั่งยืน…เป็นสัญญาณ กฟก. ออกสตาร์ตฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรด้วยแนวทางประชารัฐ

โดยมีภาครัฐและประชาชน อันประกอบด้วย ภาคธุรกิจเอกชน และเกษตรกร ร่วมกันปฏิรูปในแนวทางที่เกษตรกรตัดสินใจเลือกทำเอง…ไม่ใช่รัฐเป็นผู้กำหนดสั่งให้ทำอย่างในอดีต

แนวทางขับเคลื่อน นายวัชระพันธุ์ จันทรขจร เลขาธิการ กฟก. แจกแจงจะฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรร่วมกับกองทุนหมู่บ้าน สนับสนุนเรื่องแหล่งน้ำ ปัจจัยพื้นฐานสำคัญของเกษตรกร แต่พื้นที่ไหนไม่มีปัญหาจะมีการต่อยอดฟื้นฟูอาชีพ ตามความต้องการของเกษตรกร ในแบบสอดคล้องกับความต้องการตลาด

เพราะได้มีการประสานข้อมูลเชื่อมโยงตลาดในพื้นที่ ทั้งจาก ปตท. ที่มีปั๊มน้ำมันให้เป็นจุดจำหน่ายสินค้า จากทางจังหวัด เปิดตลาดให้เกษตรกรนำสินค้ามาจำหน่าย รวมทั้งหอการค้าจังหวัด เพื่อนำข้อมูลความต้องการสินค้ามาให้เกษตรกรตัดสินใจเลือกว่าต้องการผลิตสินค้าแบบไหน ที่มีตลาดรองรับ ไม่มีปัญหาเรื่องล้นตลาด

นอกจากนั้นยังจะมีการทำตลาดแบบอีคอมเมิร์ซ ให้เกษตรกรขายสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อสินค้าสามารถส่งขายต่างประเทศได้ และขณะนี้การประสานไปยังตลาดตะวันออกกลาง ประเทศโอมานต้องการถั่วเขียว ถั่วเหลือง นี่ก็จะเป็นอีกหนึ่งในข้อมูลให้เกษตรกรเลือกผลิต

ส่วนการขับเคลื่อนจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน เลขาธิการ กฟก.ขอเวลา 3 เดือนนับจากนี้ จะสรุปผลการขับเคลื่อนประชารัฐ อุปสรรคปัญหาอยู่ตรงไหน เนื่องจากโครงการนี้เป็นการทำงานบูรณาการร่วมกันหลายหน่วยงาน

เลยต้องดูให้ชัดๆ ใครขยันขับหรือขยันขี่ จะได้ปรับจูนให้ก้าวเดินไปพร้อมๆกัน…เพื่อพี่น้องเกษตรกรไทย ไชโย.

สะ–เล–เต

 

เลี้ยงโคพีพอดในบ่อดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/597795

โดย สะ-เล-เต 30 มี.ค. 2559 05:01

 

โคพีพอด…แพลงก์ตอนหรือไรน้ำกร่อย เป็นอาหารที่สัตว์น้ำวัยอ่อนขาดไม่ได้…และเดิมทีไทยเราไม่สามารถเพาะเลี้ยงเองได้ ต้องหาตามธรรมชาติ

แต่วันนี้กรมประมง โดย ดร.พิชญา ชัยนาค นักวิชาการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งภูเก็ต ประสบความสำเร็จเพาะเลี้ยงโคพีพอดในบ่อดินได้เป็นครั้งแรกของประเทศไทย!!!

วิธีการเพาะขยายพันธุ์ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยาก ดร.พิชญา แนะให้เริ่มที่เตรียมบ่อ ทำคอกใส่ปุ๋ย ทำโพงพางในบ่อดินเพื่อดักเก็บโคพีพอด โรยปูนขาว ปรับปรุงดินพื้นบ่อ ติดตั้งระบบให้อากาศ หมุนเวียนน้ำ เปิดน้ำเข้าบ่อให้ได้ระดับ 30-50 ซม.

น้ำที่นำมาใช้เลี้ยงควรมีความเค็ม 15-30 PM ความเป็นกรด-ด่าง 7-8 PM

จากนั้นโรยกากชา 20-25 กก.ต่อไร่ เพื่อกำจัดลูกกุ้ง ลูกปลาที่ติดมากับน้ำ แช่ทิ้งไว้ 3-5 วัน จากนั้นใส่ปุ๋ยคอก เพื่อสร้างอาหารให้โคพีพอด น้ำจะเริ่มมีสีเขียวไปเรื่อยๆ จากนั้นให้ชักน้ำเข้าบ่อจนได้ระดับ 1.6-1.8 เมตร รอจนน้ำเป็นสีเขียวอมน้ำตาล

ทิ้งไว้ 3-5 วัน นำพ่อแม่พันธุ์โคพีพอดจากทะเลมาลงบ่อ เลี้ยงไป 3-4 สัปดาห์…จึงจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ด้วยการเปิดใบพัดตีน้ำให้หมุนวนพัดพาโคพีพอดเข้าถุงโพงพาง ตักเก็บโคพีพอดด้วยสวิง…เก็บเกี่ยวไปได้ 5-7 วัน ปริมาณโคพีพอดจะเริ่มลดลง ให้เติมปุ๋ยคอก เศษปลาสดตามปริมาณโคพีพอดที่มีอยู่ในบ่อ

โคพีพอดมีมากให้มาก มีน้อยให้น้อย แต่ไม่ควรเกินครึ่งหนึ่งของการเติมครั้งแรก เพื่อสร้างอาหารเลี้ยงโคพีพอดที่เหลือให้ออกลูกออกหลาน…โคพีพอดจะเพิ่มจำนวนขึ้นภายใน 7-8 วัน

การทดลองเพาะเลี้ยงของศูนย์วิจัยฯ ใช้บ่อขนาด 4 ไร่ ลึก 2 เมตร สามารถผลิตโคพีพอดได้เดือนละ 100-120 กก. โดยมีราคาขายอยู่ที่ กก.ละ 300 บ. รายได้เดือนละสามหมื่นกว่า ถือเป็นอีกทางเลือกของอาชีพที่น่าสนใจ

และขณะนี้ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งภูเก็ต ได้เตรียมต่อยอดเลี้ยงโคพีพอดความหนาแน่นสูงในถังไฟเบอร์กลาส เพื่อให้เหมาะกับเกษตรกรมีพื้นที่จำกัด สามารถเพาะเลี้ยงเป็นอาชีพได้ สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-7662-1822.

สะ-เล-เต

กีฬาสีเลือกข้าง…เกษตรกรพัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/597329

โดย สะ-เล-เต 29 มี.ค. 2559 05:01

 

มาว่ากันต่อกรณีผู้อ่านตั้งข้อสังเกตบทความเขียนติติงนโยบายเกษตรอินทรีย์ของรัฐบาลที่นำเสนอในคอลัมน์นี้ว่า ผู้เขียนมีผลประโยชน์ผูกติดกับพ่อค้าปุ๋ยเคมี

เลยมีคำถามว่าปุ๋ยเคมีไม่ดีตรงไหน…ไม่ดีเพราะก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในพืชผักหรือ

คำตอบไม่น่าจะใช่ เพราะแม้แต่สินค้ามาตรฐานสูงอย่างข้าวหอมมะลิ ที่ได้ตรารับรองจีไอจากสหภาพยุโรปยังให้ใช้ได้…ปุ๋ยเคมีไม่ใช่สารกำจัดศัตรูพืช

ถ้าอย่างนั้นเรารังเกียจเพราะอะไร…ยิ่งใช้ ยิ่งใส่ปุ๋ยเคมี เกษตรกรยิ่งเป็นหนี้ ผลผลิตไม่ได้งอกเงยเพิ่มขึ้น มีแต่ทำให้ดินเค็ม ดินทึบ ดินแน่น

นี่น่าจะเป็นคำตอบตรงจุดมากที่สุด

เลยมีคำถามอีกว่า…ปุ๋ยเคมีมีธาตุอาหารมาก แต่ทำไมเกษตรกรไทยใช้ไปแล้วไม่ได้

จะว่าอะไรไหมที่จะตอบกันแบบกวนๆ นั่นเป็นเพราะนิสัยชอบเลือกข้าง แข่งกีฬาสีจนบ้านเมืองวุ่นวาย…ใครบอกว่าปุ๋ยเคมีดีก็แห่ใช้แต่ปุ๋ยเคมี เขาบอกอินทรีย์ ก็ยึดถืออินทรีย์ตะพึดตะพือ

ทั้งที่ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรดีไปหมด หรือเลวไปหมด ทุกอย่างต้องพอดี…ไม่ต้องอะไรมาก ข้าวที่เรากินกันทุกวันดีไหม แต่ถ้ากินมากเกินไปก่อให้เกิดโรคอ้วน ความดัน เบาหวาน หัวใจ

ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์ก็เช่นกัน…มีทั้งข้อดีข้อด้อย และในทางวิชาการเป็นที่ยอมรับ การปลูกพืชให้ได้ผลผลิตดีที่สุดต้องใช้ทั้งเคมีและอินทรีย์ร่วมกัน ไม่ใช่เล่นกีฬาสีแบ่งข้าง ใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่ง

นี่ต่างหากปัญหาของการทำเกษตรในบ้านเรา…ก่อนจะปลูกพืชเกษตรกรมีการวิเคราะห์ดินของตัวเองไหมว่าขาดอะไรแค่ไหน เพื่อจะได้ใส่ทั้งอินทรีย์และเคมีได้พอดี เคยไหมที่จะนำวิทยาศาสตร์มาใช้ในอาชีพตัวเอง

และที่คุยนักคุยหนา เกษตรอินทรีย์ที่ทำๆกันนั้น ทำไปแล้วจะขายให้ใคร ถ้าใช้มาตรฐานแบบที่กำลังคิดทำกัน มีคนบอกว่าขายได้แค่ในประเทศ เพราะไม่ได้มาตรฐานที่ IFOAM ยอมรับ…ส่งเสริมให้ทำทั่วประเทศ สินค้าล้นตลาดจะเกิดอะไรขึ้น

นี่ยังไม่ได้พูดถึงอินทรีย์สวมแปลง สวมใบอนุญาต เพราะระบบตรวจสอบของทางการทำได้แค่ตรวจรับรองแปลงปลูก ยังไม่ถึงขั้นรับรองผลผลิต จึงสามารถเอาสินค้านอกแปลงมาสวมได้…แล้วอย่างนี้จะเป็นเกษตรอินทรีย์ปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคเหรอ สุดท้ายเกษตรกรเจ๊ง ทำเกือบตายได้ราคาเท่าทำเกษตรทั่วไป.

สะ–เล–เต

หลงอินทรีย์…ระวังเกษตรกรยับเยิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/596902

โดย สะ-เล-เต 28 มี.ค. 2559 05:01

 

สัปดาห์ที่แล้วเขียนติงนโยบายเกษตรอินทรีย์ของรัฐบาลติดต่อกันหลายตอน ในมุมมองที่อาจค้านความรู้สึก ความเชื่อของผู้อ่านบางท่าน มองไปว่า…เขียนรับใช้นายทุนค้าปุ๋ยเคมี

วันนี้เลยขอเขียนถึงเรื่องนี้อีกสักหน่อย…ถ้ามองว่าเขียนปกป้องพ่อค้าปุ๋ยเคมี ลองมองย้อนไปอีกมุม นโยบายเกษตรอินทรีย์จะเป็นการส่งเสริมให้พ่อค้าปุ๋ยอินทรีย์ได้อิ่มหนำสำราญยิ่งๆขึ้นไปไหม และจะเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรถูกเอาเปรียบมากขึ้น ได้สินค้าราคาสูง แต่คุณภาพต่ำหรือเปล่า

เพราะอย่าลืมว่าการส่งเสริมให้ปลูกพืชอินทรีย์กันมากมาย มูลวัวมูลไก่ มูลสุกร รวมทั้งสารพัดวัตถุดิบที่นำมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์มีไม่พอแน่ เกษตรกรต้องซื้อปุ๋ยอินทรีย์มาใช้ ประกอบนิสัยเกษตรกรบ้านเรายุคนี้เอาความสะดวกเข้าว่า คิดจะซื้อมาใช้มากกว่าทำเอง

คราวนี้มาดูกฎหมายปุ๋ยกันบ้าง…ปุ๋ยเคมีตามกฎหมายนั้นบังคับไว้ชัดเจน ต้องมีธาตุอาหารหลัก 3 อย่าง N-P-K รวมกันไม่น้อยกว่า 20% แต่สูตรยอดนิยมที่ใช้กัน 16-16-16 มีธาตุอาหารรวมกัน 48%

ส่วนปุ๋ยอินทรีย์กฎหมายบังคับต้องมี 3 ธาตุอาหารหลักรวมกันไม่น้อยกว่า 2%

คิดง่ายๆแบบเด็ก ป.1 เมื่อมีธาตุอาหารให้พืชรวมกันแค่ 2%อย่างนี้สมควรจะเรียกว่าปุ๋ยมั้ยเนี่ย…เราไปซื้อเป็ด ไก่ หมู วัว มากิน ถ้ามันมีโปรตีนอยู่แค่ 2% จะยอมเสียเงินซื้อมากินมั้ย มันจะเป็นเนื้อสัตว์ปลอมจากจีนหรือเปล่า

มาดูเรื่องราคากัน…ณ วันนี้ ปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหาร 2% ราคาขายอยู่ที่ กก.ละ 4 บาท ดังนั้นราคาธาตุอาหารสำหรับพืชของปุ๋ยอินทรีย์จะอยู่ที่เปอร์เซ็นต์ละ 2 บาทต่อ กก.

ส่วนปุ๋ยเคมียอดนิยมมีธาตุอาหาร 48% ราคาขายอยู่ที่ กก.ละ 16 บาท…ราคาธาตุอาหารสำหรับพืชของปุ๋ยอินทรีย์จะอยู่ที่เปอร์เซ็นต์ละ 34 สตางค์ต่อ กก.

ราคาธาตุอาหารในปุ๋ยอินทรีย์แพงกว่า 11 เท่าตัว

คราวนี้พอจะมองเห็นภาพกันหรือยัง…ใครกันแน่ที่จะอู้ฟู่เอาจากการเอาสินค้าคุณภาพต่ำมาขายแพง เกษตรกรจะถูกเอาเปรียบมากเกินไปไหม.

สะ–เล–เต

เกษตรอินทรีย์…ขายได้แค่ไหน?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594891

โดย สะ-เล-เต 24 มี.ค. 2559 05:01

 

เขียนติติงนโยบายเกษตรอินทรีย์ที่รัฐบาลกำลังจะผลักดัน ได้คิดดีคิดถ้วนถี่รอบด้านรึยัง ไม่ได้หวังต่อต้านเกษตรอินทรีย์แต่อย่างใด เพียงแต่กังวลว่า…ในยุคที่มิมีใครกล้าพูด กล้าค้าน จะทำให้การผลิตสินค้าเกษตรไทยถอยหลังลงคลอง

วันวานได้ยกเรื่องคุณภาพของสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ส่งเสริมให้เพาะปลูกไปนั้น ได้ธาตุอาหารไม่ครบ สินค้าเกษตรอินทรีย์จะมีคุณภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการเยี่ยงไร…วันนี้มามองอีกแง่ ในเรื่องรายได้ของเกษตรกร

นโยบายที่จะผลักดันให้เกิดการทำเกษตรอินทรีย์ในระดับประเทศ จะเป็นแปลงใหญ่หรืออะไรก็ตามแต่ จะเกิดอะไรขึ้นตามมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสินค้าจะล้นตลาด เอากันง่ายๆแค่ปัจจุบันสินค้าเกษตรอินทรีย์จะขายได้แค่ไหน จะทำเงินเข้าประเทศ ทำให้เศรษฐกิจภาคการเกษตรของประเทศได้เฟื่องฟู เหมือนที่มีคนเป่าหูคอยคิดสารพัดโครงการขึ้นมาเพื่อใช้งบประมาณ

เพราะถ้าคิดจะปลูกค้าขายแบบอัฐยายซื้อขนมยาย ซื้อกินใช้ในประเทศ รายได้คงไปไม่ถึงไหน มันต้องส่งออกไปขายต่างประเทศ เอาเงินคนอื่นมาเติมกระเป๋ายายได้มากนั้นแหละ เศรษฐกิจถึงจะมั่งคั่งเฟื่องฟูได้จริง

ตอนนี้ เกษตรอินทรีย์บ้านเรายังมีไม่เท่าไร…อยู่ในขั้นล้นตลาดหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะส่งออกไปต่างประเทศมากกว่าบริโภคในประเทศ

สถิติที่ผลิตได้ทั้งหมดเมื่อปี 2557 สินค้าเกษตรอินทรีย์ทำเงินได้รวม 2,331 ล้านบาท บริโภคในประเทศ 22% ส่งออกไปต่างประเทศ 78% คิดเป็นมูลค่า 1,816 ล้านบาท…ในขณะที่สินค้าเกษตรอุตสาหกรรมส่งออกไปเป็นมูลค่า 694,805 ล้านบาท

เกษตรกรอินทรีย์ทำเงินเข้าประเทศได้แค่ 0.2%

ทำไมถึงได้แค่เนี่ย…ทั่วโลกต้องการสินค้าเกษตรอินทรีย์มากจริงเหมือนที่เป่าหูกันมั้ย

และทำไมสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมถึงได้ขาย 99.08% ส่งออกไปขายได้ ต้องเป็นสินค้าปลอดภัย ไร้สารพิษตกค้างใช่หรือไม่

โลกต้องการสินค้าแบบไหนมากกว่ากัน… คงไม่ต้องเฉลย.

สะ–เล–เต

เกษตรอินทรีย์กับคุณค่าอาหาร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/594374

โดย สะ-เล-เต 23 มี.ค. 2559 05:01

 

เมื่อวานว่ากันถึงเกษตรอินทรีย์ ห่วงใยประเด็นธาตุอาหารหรือปุ๋ยที่จะนำมาเลี้ยงบำรุงต้นพืชให้เจริญเติบโตในระยะยาว การไม่พึ่งพาปุ๋ยเคมีเป็นเรื่องยากที่เกษตรกรจะได้ผลผลิตที่งดงามตลาดต้องการ

ไม่เพียงจะต้องใช้ต้นทุนค่าปุ๋ยสูงกว่าใช้ปุ๋ยเคมี การหาวัตถุดิบอินทรียวัตถุมาทำเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ อาจมีไม่เพียงพอ เพราะต้องใช้ในปริมาณมากกว่าปุ๋ยเคมีหลายเท่าตัว

หลายคนอาจจะมองว่านี่ไม่ใช่ปัญหา พืชผักไม่งดงามนั่นแหละดี ตรงตามเจตนารมณ์ของเกษตรอินทรีย์ ไม่สนเรื่องความสวยงามอวบอั๋นเต่งตึง เน้นแต่เรื่องปลอดภัยเป็นหลัก…ปุ๋ยธาตุอาหารไม่จำเป็นต้องใส่มาก ใส่เท่าที่มี เท่าที่หาได้ พืชผักก็งอกให้เก็บขายได้อยู่แล้ว

เลยเกิดคำถาม…คนเราควักซื้อพืชผักมากินเป็นอาหารเพื่อต้องการแค่ความอิ่ม หรือต้องการวิตามิน แร่ธาตุจากพืชผักมาเลี้ยงบำรุงร่างกาย

ทุกคนรู้กันดี ร่างกายเราจะสมบูรณ์แข็งแรง จะต้องได้รับประทานอาหารครบถ้วน 5 หมู่ สมองถึงจะมีความปราดเปรื่อง ทำงานได้ขยันขันแข็ง ไม่เจ็บป่วยง่าย มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรค…พืชผักก็ไม่ต่างกัน ต้องได้ธาตุอาหารมาบำรุงเลี้ยงลำต้นให้สมบูรณ์ ถึงจะผลิตสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ มาให้คนได้บริโภคอย่างครบถ้วน

แต่ถ้าได้ปุ๋ย ได้ธาตุอาหารไม่พอเพียง…คุณค่าโภชนาการของพืชผักย่อมลดน้อยลงไป

ถ้าคิดทำเกษตรผลิตพืชผักให้มีความปลอดภัยอย่างเดียว คุณค่าทางโภชนาการไม่แคร์…อนาคตจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ใครจะซื้อแต่สินค้าปลอดภัยแต่ไร้คุณค่าทางอาหาร

อย่าลืมว่าโลกแห่งการค้าขายสินค้าเกษตรทุกวันนี้มีการนำเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย สารพิษตกค้างมาเป็นข้ออ้างกีดกัน…ต่อไปต่างชาติจะเอาเรื่องมาตรฐานทางโภชนาการมากีดกันไหม

วันนี้ประเทศไทยมีการศึกษาเรื่องทำนองนี้หรือยัง…ปลูกพืชผักต้องให้ปุ๋ย ให้ธาตุอาหารขนาดไหน ถึงจะได้สินค้าปลอดภัยและอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ

อย่ามัวแต่นั่งรอทำตามก้นฝรั่ง…หัดคิดทำเอง ทำได้ก่อนเขา แล้วเอามาสร้างมาตรฐานใหม่ กำหนดตลาดโลกจะดีกว่าไหม.

สะ–เล–เต

เกษตรอินทรีย์ยั่งยืนจริงหรือ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593884

โดย สะ-เล-เต 22 มี.ค. 2559 05:01

 

มาว่ากันต่อถึงนโยบายเกษตรอินทรีย์…ด้วยคำถามง่ายๆ จะช่วยให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ยั่งยืนแค่ไหน??

หลายคนคงยกมือตอบยั่งยืนแน่ เพราะเกษตรกรไม่ต้องควักเงินซื้อปุ๋ยเคมีมาใช้…แค่ลงทุนทำปุ๋ยหมัก หาปุ๋ยคอก นำน้ำชีวภาพมาใส่ลงไป เพียงแค่นี้พืชผักที่ปลูกไว้ก็งดงาม

แต่จะงดงามได้สักกี่น้ำ สักกี่ปี…ความจริงเรื่องนี้แทบไม่ต้องพูดถึง เพราะนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านดินและปุ๋ยรู้ทั้งนั้น แต่ไม่มีใครกล้าออกมาชี้แจงกันเท่าไร ไปค้านรัฐบาลอนาคตจะมืดมน เลยเฉยไว้ซะดีกว่า

มันจะดีได้แค่ 2-3 ปีเท่านั้น และที่ตอนนี้มีให้เห็น ทำแล้วดี ไม่ใช่ เพราะปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ปุ๋ยชีวภาพ ที่เติมลงไป…แต่เป็นเพราะพื้นที่เพาะปลูกตรงนั้นมีการใช้ปุ๋ยเคมีมากมาก่อน เลยมีการสะสมตกค้างอยู่ในดินและได้แปรสภาพกลับไปเป็นแร่ธาตุ ที่รากพืชไม่สามารถดูดเอาไปใช้ประโยชน์ได้

แต่เมื่อใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก น้ำชีวภาพ จุลินทรีย์ในปุ๋ยเหล่านั้นจะทำหน้าที่เป็นโรงงานแปรสภาพธาตุอาหารที่ตกค้างอยู่ในดินให้คืนกลับมาอยู่ในรูปของปุ๋ยที่รากพืชสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ การทำเกษตรอินทรีย์ในระยะแรกพืชจึงเจริญงอกงามได้ดี

แต่เมื่อผ่านไป 2-3 ปี ปุ๋ยที่ตกค้างในดินถูกพืชดูดไปจนหมด พืชจะเอาธาตุอาหารที่ไหนมาเลี้ยงบำรุงลำต้น ใบ ดอก ผล…หลายคนคงบอกว่า ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำชีวภาพนั่นไง มีสารอาหารไปเลี้ยงพืชได้

รู้ไหมสารพัดปุ๋ยที่ว่ามีธาตุอาหารมากขนาดไหน…น้ำชีวภาพไม่ต้องพูดถึง ธาตุอาหารแทบไม่มี มีแต่จุลินทรีย์เป็นหลัก แต่ดันมีคนพูดให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นปุ๋ยอยู่ได้

ส่วนปุ๋ยคอกเอาแบบที่หาง่ายใกล้ตัว ราคาไม่แพง ธาตุอาหารเยอะ “มูลไก่แห้ง” ที่มีธาตุอาหารหลัก N-P-K รวมกัน 10% ราคาอยู่ที่ กก.ละ 5 บาท…ปุ๋ยอินทรีย์ ตามกฎหมายให้มีธาตุอาหาร N-P-K รวมกันไม่ต่ำกว่า 2% ราคา กก.ละ 4 บาท…ปุ๋ยเคมี สูตรยอดนิยม 15-15-15 มีธาตุอาหารหลัก 45% ราคา กก.ละ 14 บาท

จะให้พืชได้ธาตุอาหารเท่าปุ๋ยเคมี 1 กก. ต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 22.5 กก. ใช้มูลไก่ 4.5 กก.

ลองคำนวณดูล่ะกัน ต้นทุนแบบไหนสูงกว่ากัน…ถ้าจะอ้างไม่ต้องซื้อ เกษตรกรทำเองได้ ถามหน่อยเถอะ จะไปหาวัตถุดิบจากไหนมาทำปุ๋ยถึงจะป้อนพื้นที่เกษตรอินทรีย์ได้เพียงพอ.

สะ-เล-เต