เกษตรอินทรีย์ : ประชาธิปไตย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/593519

โดย สะ-เล-เต 21 มี.ค. 2559 05:01

 

ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อน…ไม่ได้ต่อต้านหรือรังเกียจเกษตรอินทรีย์แต่ประการใด เพียงแต่ขอตั้งข้อสังเกต รัฐบาลคิดถ้วนถี่แล้วหรือถึงได้ผลักดัน เกษตรอินทรีย์ให้เป็นนโยบายระดับชาติ

ทำเพื่ออะไร ถ้าแค่เพื่อให้เกษตรกรฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ สินค้าเกษตรตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง ให้เกษตรกรทำปุ๋ยเอง ต้นทุนจะได้ถูกลง ในระยะเปลี่ยนผ่าน…นั่นเป็นอีกเรื่อง

แต่ถ้าคิดจะให้เกิดการผลิตทั้งประเทศ รู้และเข้าใจหรือยังเกษตรอินทรีย์คืออะไร ต้องทำอย่างไร จะขายได้ขนาดไหน จะได้ผลผลิตดีทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ ผู้บริโภครับประทานจะได้สารอาหารมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนแค่ไหน

หวังว่านโยบายนี้ไม่ได้มาจากฟังความผิวเผิน มีคนบอกว่าดี ช่วยให้ผู้บริโภค เกษตรกรปลอดภัย ไร้สารพิษตกค้าง…ถ้ามุ่งหวังเพียงแค่นี้ สานต่อนโยบายสินค้าเกษตรปลอดภัยจะไม่ดีกว่าหรือ

เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาเหมือนนำลัทธิประชาธิปไตยเข้ามาในบ้านเรา…ปลุกปล้ำปลูกกันมากว่า 80 ปี ต้นประชาธิปไตยกลายพันธุ์เป็นต้นอะไรไม่รู้

สาเหตุเพราะความไม่รู้จริงอย่างถ่องแท้ แล้วแห่ตามเขาหรือเปล่า

ลูกหลานเจ้าขุน–มูลนายถูกส่งไปเรียนเมืองนอก เห็นบ้านเมืองตะวันตกเจริญกว่า เพราะบ้านเขามีประชาธิปไตยไม่มีระบบกษัตริย์ กลับมาเลยรวมหัวเปลี่ยนแปลงการปกครอง…ไม่ได้ดูลึกในรายละเอียด ตะวันตกมีประชาธิปไตยพาชาติเจริญได้ วัฒนธรรมค่านิยมคนของเขาเป็นอย่างไร เขามีระบบอุปถัมภ์ฝังรากลึกเหมือนเราไหม มีระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง พวกพ้องเดียวกันหรือเปล่า ค่านิยมกตัญญูรู้บุญคุณคน
มีไหม…ขนาดพ่อแม่มันยังไม่นับถือเลย

แต่บ้านเราคนละเรื่องกัน เอาประชาธิปไตยมาใช้แล้วเป็นไง ต่อให้เลวโคตรโกงยังไง ถ้ามีของมาให้ เอาเงินมาแจก ถือว่ามีบุญคุณต้องทดแทน ยกมือไหว้ยกย่องเป็นคนดี…สุดท้ายเปลี่ยนปุ๋ยรัฐธรรมนูญมาไม่รู้กี่สูตร ต้นประชาธิปไตยยังแกร็นเหมือนเดิม

เป็นเพราะเมล็ดพันธุ์ไม่ดี ปุ๋ยปลอม หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม

เรื่องเกษตรอินทรีย์ก็เช่นกัน รู้รึยังสินค้าเกษตรอินทรีย์จะขายได้ราคาต้องมีใบรับรอง เกษตรกรต้องจ่ายค่าตรวจสอบ ใครล่ะจะได้ประโยชน์จากตรงนี้…ส่วนเรื่องอื่นๆ ติดตามตอนต่อไป.

สะ–เล–เต

โรคประจำ…ลองกอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/591653

โดย สะ-เล-เต 17 มี.ค. 2559 05:01

 

ถึงฤดูลองกองออกดอก…ได้เวลาหนอนกินใต้ผิวเปลือกออกอาละวาดทำลายผลผลิต เพราะเป็นศัตรูเจ้าประจำที่อยู่คู่ต้นลองกอง

ในยามปกติมักจะหลบซ่อนทำมาหากินอยู่ตามใต้ผิวเปลือกกิ่งก้านลำต้นลองกอง จนทำให้ต้นเป็นปุ่มปม แต่ครั้นพอถึงฤดูลองกองแตกตาดอกจะคลานกระดืบๆ ไปกัดกินเป็นอาหารโอชะ ทำให้ลองกองมีดอกติดผลน้อย…พบเจอหนอนกินใต้ผิวเปลือกระบาดหนักในสวน กรมวิชาการเกษตร แนะวิธีกำจัดได้ผลดีที่สุด ให้ใช้ ไส้เดือนฝอย (Steinernema carpocapsae) อัตรา 50 ล้านตัว (1 กระป๋อง) ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 2 ครั้ง ห่างกัน 15 วัน

จะให้ได้ผลดีต้องฉีดพ่นตามลำต้นและกิ่งก้านให้ชุ่ม และถ้าอากาศแห้งแล้ง ควรฉีดพ่นน้ำเปล่าไปตามลำต้นกิ่งก้านให้ความชุ่มชื้นเสียก่อนจะพ่นไส้เดือนฝอยลงไป เพื่อไส้เดือน ฝอยจะได้แหวกว่ายไปทำลายหนอนกินใต้ใบได้ง่าย

แต่ถ้าหาไส้เดือนฝอยไม่ได้ วิธีการอันดับรองลงไปให้ใช้ สารคลอร์ไพริฟอส 40% อีซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้โชกบนลำต้นและกิ่งก้านที่มีรอยทำลายของหนอนกินใต้ผิวเปลือก

อีกโรคที่จะมาเบียดเบียนในช่วงลองกองออกดอก “โรคราดำ” ที่มักพบคราบราดำติดตามช่อดอก ช่อผล ทำให้ดอกผิดปกติ เหี่ยวหลุดร่วง ไม่ติดผล ถ้าเป็นโรคในระยะผลอ่อน ผลจะเหี่ยวและหลุดร่วง

แต่ถ้าเกิดในช่วงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยว จะมีรอยราดำตามลูกผล ทำให้ผลผลิตไม่มีคุณภาพ ขายไม่ได้ราคา

เป็นโรคเกิดจากเพลี้ยหอยและเพลี้ยแป้ง มากัดกินแล้วถ่ายมูลทิ้งไว้ให้เป็นที่ระลึก วิธีกำจัดแบบง่ายๆ ถ้าไม่ระบาดมากนัก สังเกตตามโคนต้นกิ่งก้านที่เอื้อมถึง พบเพลี้ยให้ใช้มือบี้กำจัดทำลาย

แต่ระบาดมากจนหมดปัญญาจะให้กำจัดได้ด้วยมือ…ถ้าพบการระบาดเป็นผลงานของ เพลี้ยหอย ให้พ่นสารกำจัดแมลง มาลาไทออน 83% อีซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร ก่อนเก็บเกี่ยวอย่างน้อย 14 วัน

หากเป็นผลงานของ เพลี้ยแป้ง ให้พ่นสารกำจัดแมลง ไทอะมีทแซม 25% ดับเบิลยูจี อัตรา 2.5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร อีกทั้งไม่ควรพ่นสารในช่วงที่ดอกลองกองบานหรือเริ่มติดผลอ่อน และควรหยุดพ่นอย่างน้อย 7 วันก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต.

สะ–เล–เต

ทุ่งสัมฤทธิ์…คนดีไม่มีวันตาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/591013

โดย สะ-เล-เต 16 มี.ค. 2559 05:01

 

ไปเรียนรู้ดูนาแปลงใหญ่ ทุ่งสัมฤทธิ์ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา อดไม่ได้ที่จะต้องนึกถึงเพลง “คนดีไม่มีวันตาย” ของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ขอกดไลค์ให้ ธีระพงษ์ พุทธรักษา ผอ.ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา ผู้ฝากผลงานให้กับแผ่นดินนี้ ทั้งที่จะเกษียณในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า…หลายคนคงนึกค่อนขอด นาแปลงใหญ่ เกษตรแปลงใหญ่ที่ไหนๆ ทำตามนโยบายรัฐบาลทั้งนั้น ทำไมถึงต้องออกหน้ามาชงเชียร์เฉพาะที่นี่ด้วย

เหตุผลหนึ่ง ปกติข้าราชการใกล้เกษียณ มักจะใช้ชีวิตชิวๆ ลด-ละ-เลิก งานในหน้าที่ แต่ ผอ.ธีระพงษ์ ไม่ยอมชิวกลับเดินหน้าทำงานใหญ่ ที่กระทรวงเกษตรฯทำไม่เคยสำเร็จ แม้จะได้คิดทำมานับสิบๆปีแล้วก็ตาม

เหตุผลที่สอง นโยบายแปลงใหญ่ ทุ่งสัมฤทธิ์ มีขึ้นหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปเยี่ยมเกษตรกร อ.พิมาย เมื่อ 2 ก.พ.58…ขณะนั้น นโยบายแปลงใหญ่เป็นยังไง ต้องทำกันแบบไหน ทุกอย่างยังคงมั่วๆ ไม่มีอะไรให้เห็นเป็นตัวอย่างที่จับต้องได้ เรียกได้ว่ายังอยู่ในขั้นมโน ข้าราชการระดับล่างเก้ๆ กังๆ คิดทำอะไรไม่ถูก

แต่ ผอ.ธีระพงษ์ กลับตีโจทย์มโนโยบายได้แตกและได้ผลสัมฤทธิ์เกินคาด ทั้งที่ใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือน ก่อนถึงฤดูนาปี 58/59 ผลงานที่ออกมาต้องอุทานด้วยความงวยงง…ทำไปได้อย่างไร

ช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรได้ 34% ผลผลิตเพิ่มขึ้น 31% ที่สำคัญทำให้ชาวนาทุ่งสัมฤทธิ์มีกำไรสุทธิเพิ่มจากไร่ละ 850.27 บาท เป็น 3,992.69 บาท กำไรเพิ่มขึ้น 369% เพราะทำแปลงใหญ่แบบครบวงจร ปลูกเอง สีข้าวขายเอง…ไม่ใช่ปลูกขายให้โรงสีเหมือนแต่ก่อน

การตีโจทย์แตก ผอ.ธีระพงษ์ เริ่มตั้งแต่นำพื้นที่เหมาะสมในการปลูกข้าวมาทำแปลงใหญ่ นำเทคนิคการทำนาที่เหมาะสมกับพื้นที่ ทำนาหยอดแห้งแทนนาหว่าน นำดินไปตรวจวิเคราะห์เพื่อใส่ปุ๋ยได้ถูกต้อง พร้อมกับนำเครื่องจักรกลมาใช้ เลยได้ทั้งลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต

นอกจากนั้นยังใช้กุศโลบายดึงผู้รู้ปราชญ์ชาวนาในพื้นที่มาร่วมกันทำนาแปลงใหญ่ ด้วยการแต่งตั้งชาวนามืออาชีพ, ชาวนามือทอง, ชาวนาอารักขาข้าว, ชาวนาไอที, ชาวนาแปรรูป, ชาวนาเครื่องจักรกล และชาวนายุวชน มาเป็นพลังในการขับเคลื่อนและชักจูงเพื่อนชาวนาให้มาร่วมกันสร้างมาตรฐานใหม่ในการทำนา

ให้ชาวนารู้จักร่วมกันคิดเอง ทำเอง…จะได้ยั่งยืนกว่าให้ราชการไปคิดทำให้.

สะ–เล–เต

เมื่อชาวนาหย่าศึกชิงน้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590453

โดย สะ-เล-เต 15 มี.ค. 2559 05:01

 

ปีนี้หลายพื้นที่ต้องงดทำนาปรัง แต่เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำคลองท่าลาด อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา ทำได้ตามปกติ

ด้วยมีน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองสียัด และอ่างเก็บน้ำคลองระบมไหลมาบรรจบลงฝายท่าลาด ที่กรมชลประทานสร้างไว้เพื่อทดน้ำเข้าสู่พื้นที่นา 160,125 ไร่ ผ่านทางคลองส่งน้ำยาว 44 กม. และมีระบบคลองซอยอีก 10 สาย ช่วยกระจายน้ำให้ทั่วถึง

ถึงน้ำท่าจะสมบูรณ์ ทำนาปรังได้ทุกปี…แต่ศึกแย่งน้ำยังคงมี

นาต้นคลองซอยได้น้ำอุดม นาปลายซอยน้ำมาไม่ถึง ทั้งๆที่น้ำที่กรมชลประทานจัดสรร คำนวณแล้วเพียงพอทำนาตลอดคลอง…ที่ผ่านมาได้มีการเข้าไปพบปะ พูดคุย แก้ปัญหาหลายครั้ง แต่ไม่เคยสำเร็จ

จน กองส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กรมชลประทาน ต้องเข้ามาใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของเกษตรกร…เปิดเวทีสาธารณะแก้ปัญหาการใช้น้ำอย่างเท่าเทียม ด้วยการแบ่งความรับผิดชอบ กำหนดหน้าที่ของแต่ละคน สำรวจพื้นที่ตั้งแต่ต้นคลองจนถึงปลายคลอง นำมาวิเคราะห์หาสาเหตุ หาแนวทางแก้ไขร่วมกัน

ได้ข้อสรุป สาเหตุที่น้ำไปไม่ถึงปลายคลอง…เกษตรกรมั่นใจ กรม ชลประทานขุดคลองไม่ดี ปลายคลองเหิน ตั้งอยู่ในระดับสูงน้ำผ่านไปไม่ได้ เพราะมองด้วยสายตา ปลายคลองสูงจริงๆ

จัดรายการท้าพิสูจน์ให้เห็นกันจะจะ…ปิด ท่อรับน้ำเข้านาทั้งหมด ปรากฏน้ำไหลไปถึงปลายคลองภายใน 4 ชั่วโมง…แต่เมื่อ เปิด ท่อรับน้ำทั้งหมด น้ำที่เต็มคลอง แห้งภายใน 30 นาที

ได้ข้อสรุป น้ำไปไม่ถึงปลายคลอง เกิดจากท่อผีที่บางคนแอบทำขึ้นเพื่อดึงน้ำเข้านาตัวเองตลอดเวลา…ชลประทานส่งน้ำมาให้เมื่อไร น้ำหายไปทางท่อผีหมดสิ้น ปลายคลองเลยไม่มีน้ำ

นัดประชุมเจ้าของท่อผีทั้งหมด กำหนดกฎกติกา ท่อผีต้องมีประตูปิด-เปิด และกำหนดเวรรับน้ำแบ่งเป็น 3 โซน หมุนเวียนกันไป พร้อมตั้งคณะกรรมการดูแลต้น-กลาง-ปลายคลองซอย ตั้งกติกาในการดูแลรักษาคลองเป็นสัญญาใจ ไม่ถึงเวรรับน้ำจะไม่แหกกฎแอบเปิดประตูผีรับน้ำ

ผลปรากฏนาปรังปีนี้ (ธ.ค.58–ก.พ.59) ปัญหาแย่งน้ำเงียบหาย แถมโควตาจัดสรรน้ำที่กรมชลประทานให้ใช้ 34 ล้าน ลบ.ม. ใช้จริงแค่ 27.2 ล้าน ลบ.ม. ช่วยประหยัดน้ำได้ร้อยละ 20.
สะ–เล–เต

บ่อน็อกดาวน์…สู้แล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/590103

โดย สะ-เล-เต 14 มี.ค. 2559 05:01

 

แล้งปีนี้สาหัสกว่าที่คิด…ขุดบ่อบาดาลใช่จะพบน้ำได้ทุกที่ ขุดบ่อรอฝน ไม่รู้ฝนจะมาเมื่อไร

ด้วยเหตุนี้ แนวคิดสร้าง “บ่อน้ำน็อกดาวน์” จึงอุบัติขึ้น โดย ศักดิ์ สมบุญโต ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เทงบ 500,000 บาท นำร่องช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังแปลงใหญ่ 50 ราย ในเนื้อที่ 1,101 ไร่ ของ ต.หนองไผ่ อ.ด่านมะขามเตี้ย

ถ้าจะถามว่าทำไมต้องใช้กับมันสำปะหลังก่อนพืชอื่น…คำตอบมันสำปะหลังรดน้ำ 15 วันต่อครั้ง ไม่ต้องให้น้ำบ่อยเหมือนพืชชนิดอื่น ใช้บ่อเสร็จ คนอื่นสามารถยกไปประกอบใช้กับไร่ตัวเองได้ ขอแค่เดินระบบท่อน้ำรอไว้ ฉะนั้น สำหรับมันสำปะหลัง มีบ่อน็อกดาวน์เคลื่อนที่บ่อเดียวก็เหลือเฟือ

เห็นตัวเลขงบฯ 500,000 บาท ไม่ต้องตกใจ แพงเว่อร์ไป…ไม่ใช่มีแค่โครงเหล็กบ่อกักเก็บน้ำแบบถอดประกอบได้ สูง 1.2 เมตร กว้างด้านละ 6 เมตร และผ้าใบเก็บกักน้ำได้ 40,000 ลิตรเท่านั้น

แต่ยังมีรถบรรทุกน้ำแบบลากจูง บรรจุน้ำได้ 10,000 ลิตร เครื่องสูบน้ำ เครื่องกรองน้ำ ชุดส่งต่อระบบน้ำหยด ที่ออกแบบมาเพื่อไร่มันสำปะหลังโดยเฉพาะอีกด้วย

ถือว่าคุ้ม เพราะใช้งานได้ในระยะยาว แถมเคลื่อนย้ายไปไหนได้ทุกที่ เพียงแค่ใช้รถแทรกเตอร์ต่อพ่วงลากจูงรถบรรทุกน้ำไปสูบน้ำจากแหล่งน้ำ บรรทุกกลับมายังไร่ ถ่ายน้ำลงบ่อน็อกดาวน์ เชื่อมต่อระบบกรองส่งต่อไปยังชุดระบบน้ำหยด ป้อนน้ำเข้าสู่ไร่…ส่วนจะใส่ปุ๋ยสูตรอะไรลงไปในบ่อ นั่นเป็นความปรารถนาของใครของมัน

ด้วยงบฯจำนวนนี้ ชาวไร่มันสำปะหลัง 50 ราย ที่เคยรอแต่เทวดาช่วยไม่ต้องคอยฟ้าคอยฝนอีกต่อไป…เมื่อดินได้น้ำ ผลผลิตดีขึ้น เกษตรกรได้เงินเพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตก็ดีขึ้นตามมา

บ่อเคลื่อนที่ตั้งตรงไหนก็ได้ จะดีกว่าเอารถน้ำเทียวไปแจกตามบ้านมั้ย…องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบต.ไหนสนใจจะเอาอย่าง ผู้ว่าฯศักดิ์ อนุญาตให้ก๊อปได้ ไม่ได้สงวนสิทธิ์จดสิทธิบัตรแต่ประการใด พร้อมยกมือเชียร์ให้ช่วยกันทำ เอาไปช่วยชาวบ้านจ้า.

สะ–เล–เต

ผักบุ้ง…ทุ่งกุลายิ้มได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/587598

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 9 มี.ค. 2559 05:01

 

อิสราเอลว่าแล้งยังปลูกพืชได้สารพัด นับประสาอะไรกับ “ทุ่งกุลาร้องไห้” ที่ชาวบ้านเชื่อมานาน ถึงหน้าแล้งปลูกอะไรไม่ได้เลย…นับแต่นี้ไปอาจต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ “ทุ่งกุลายิ้มได้”!!!

เมื่อ พระครูวินัยธรธีระพงษ์ ธีรปัญโญ เจ้าอาวาสวัดป่าทุ่งกุลาเฉลิมราช บ.โพนตูม ต.ทุ่งทอง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด พระนักพัฒนา ได้เปลี่ยนแนวคิดเดิมๆของชาวบ้าน ด้วยการพลิกแผ่นดินแห้งแตกระแหง ให้กลายเป็นแผ่นดินเขียวชอุ่มไปด้วยผักบุ้ง….ผักปลูกง่าย ให้ผลผลิตเร็วๆ รวมทั้งผักสวนครัวอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงทดลอง

ด้วยความเป็นพระหนุ่มหัวทันสมัย ดีกรีปริญญาตรีด้านคอมพิวเตอร์ มีเจตนาจะลบความเชื่อเก่าและเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้าน หลังเกี่ยวข้าวจะได้ไม่ต้องอพยพไปหางานทำในเมืองใหญ่

อันดับแรกคิดปรับปรุงพัฒนาดินที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าปลูกอะไรไม่ได้ให้ปลูกอะไรๆก็ได้…ส่วน “น้ำ” อีกปัจจัยการผลิตที่สำคัญ ไม่ต้องพูดถึง น้ำมีเหลือเฟือ เพราะทางวัดได้ขุดสระขนาดใหญ่ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

เริ่มหา ความรู้ทางอินเตอร์เน็ต ระดมพระเณรช่วยกันพลิกฟื้นดินทุ่งกุลาฯ พร้อมส่งดินไปตรวจยังกรมพัฒนาที่ดิน และกรมวิชาการเกษตร ได้คำตอบ คุณภาพดินอยู่ในสภาพขาดธาตุอาหารไปทุกสิ่ง เลยต้องนำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก มาปรับหน้าดินใหม่

จากนั้นให้พระเณรลงมือปลูกผักบุ้งจีนให้ชาวบ้านได้เห็นเป็นตัวอย่าง…อะไรที่ว่าปลูกไม่ได้ ปลูกได้เห็นๆ จนเป็นที่โจษขานของชาวบ้าน พร้อมกับความคิดที่เริ่มรู้จักเปลี่ยน…แต่ปัญหาคือ ชาวบ้านอยากทำ แต่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง เช่าทำเฉพาะช่วงหน้านา

ทางวัดจึงต้องเอาที่ดินวัด 13 ไร่ มาจัดสรรให้ชาวบ้าน 30 ครัวเรือน ปลูกผักบุ้งขาย ส่วนเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ใช้บริการกรมวิชาการเกษตร ส่วนเรื่องตลาดเจ้าอาวาสสนองแนวคิดประชารัฐ ประสานขายส่งเทสโก้ โลตัส ด้วยเป็นผักบุ้งอินทรีย์ จึงไม่มีปัญหา ให้ราคา กก.ละ 14 บาท

ปลูกผักบุ้ง 20-25 วัน พักดิน 7 วัน บนที่ดินเฉลี่ยรายละงานครึ่ง…หักต้นทุนแล้ว ชาวบ้านได้กำไรเดือนละ 5,000 บาท แถมยังปลูกทำเงินได้ทั้งปี ปีละ 60,000 บาท

ปลูกข้าวทั้งปี ปีละ 2 ครั้ง ใช้พื้นที่ 1 ไร่ มากกว่าปลูกผักบุ้งเท่าตัว จะได้กำไรเท่านี้ไหมหนอ.

สะ–เล–เต

ฤดูโรคถั่วเขียว+กาแฟ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/587118

โดย สะ-เล-เต 8 มี.ค. 2559 05:01

 

ปลายหนาวต้นร้อน ช่วงฤดูเปลี่ยนแปลง อากาศแปรปรวน กลางวันร้อน กลางคืนหนาว เอื้อต่อการระบาดของโรคแมลง กรมวิชาการเกษตร เตือนเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเขียวให้เฝ้าระวังการระบาดของแมลง 2 ชนิด คือ เพลี้ยอ่อน และหนอนเจาะฝักถั่วมารูคา ที่มักเข้าทำลายในระยะถั่วเขียวติดฝัก

เพลี้ยอ่อน ทั้งตัวอ่อน ตัวเต็มวัย ชอบดูดน้ำเลี้ยงจากยอด ใบอ่อน ช่อดอก ฝักอ่อน ทำให้ต้นแคระแกร็น ยอดย่น หงิกงอ ดอกร่วง ฝักอ่อนบิดเบี้ยว เมล็ดลีบ ผลผลิตลดลงกว่า 30%…หากพบให้พ่นสารฆ่าแมลงไตรอะโซฟอส 40% อีซี 40 มล.ต่อน้ำ 20 ล./สารคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี 50 มล.ต่อน้ำ 20 ล./สารแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% อีซี 10 มล. ต่อน้ำ 20 ล. พ่น 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7-10 วัน

หนอนเจาะฝักถั่วมารูคา เป็นหนอนที่ชอบกัดกินดอกเดี่ยวๆ หรือชักใยดึงดอกมาติดกันเป็นกลุ่ม กัดกินภายในกลุ่มดอกจนหมด จากนั้นย้ายเข้าเจาะทำลายฝัก และกัดกินเมล็ดในฝัก…หากพบพ่นด้วยสารฆ่าแมลงไตรอะโซฟอส 40% อีซี 50 มล.ต่อน้ำ 20 ล. หรือสารแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% อีซี 20 มล.ต่อน้ำ 20 ล. หากดอกหรือฝักถูกทำลาย 20% ให้พ่นช่วงต้นถั่วอายุ 42 วัน แต่หากถูกทำลาย 10% ให้พ่นในช่วงต้นถั่วอายุ 49 วันขึ้นไป

กาแฟอาราบิก้าเป็นพืชอีกชนิดที่ฤดูกาลนี้มักพบ 3 โรครุมเร้า

โรคราสนิม พบได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ เริ่มจากใบเป็นจุดเล็กสีเหลือง และค่อยขยายใหญ่ขึ้นเป็นสีส้มคล้ายสีสนิม มักพบผงสปอร์สีส้มบนแผล ใบร่วงหลุดในที่สุด ทำให้ผลผลิตกาแฟลดลง…หากพบให้เก็บกวาดใบที่เป็นโรคเผาทำลายนอกแปลง และควรปลูกพันธุ์ที่ต้านทานโรค อาทิ พันธุ์คาติมอร์ CIFC 7963 ในฤดูปลูกถัดไป พร้อมพ่นสารไตรอะดิมีฟอน 25% ดับเบิลยูพี 12 กรัมต่อน้ำ 20 ล./ สารออกซีคาร์บอกซิน 19% อีซี 12 มล.ต่อน้ำ 20 ล.พ่นในฤดูฝน 3-4 ครั้งต่อปี พ่นครั้งแรกช่วง มิ.ย. ครั้งต่อไปควรห่างกัน 5 สัปดาห์

โรคแอนแทรคโนส พบได้ทั้งใบ กิ่ง ผล เมื่อเกิดโรคส่วนนั้นๆ จะมีจุดสีน้ำตาล แล้วลามไปเรื่อยๆ จนทำลายส่วนที่พบโรค เกษตรกรควรตัดส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก ตัดแต่งกิ่ง ทรงพุ่ม ให้โล่ง โปร่ง แสงแดดลอดผ่านได้ พร้อมกับให้ปุ๋ยบำรุงต้นเพิ่มความแข็งแรง

มอดเจาะผลกาแฟ จะเข้าทำลายช่วงผลดิบจนเสียหาย หากพบให้รีบเก็บผลผลิตให้หมดต้น ถ้ารุนแรงให้ใช้สารไตรอะโซฟอส 40% อีซี 40 มล.ต่อน้ำ 20 ล. หรือสารคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี 80-95 มล.ต่อน้ำ 20 ล.

สะ–เล–เต

โรคใบด่างมันสำปะหลัง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/586767

โดย สะ-เล-เต 7 มี.ค. 2559 05:01

 

จู่ๆมีเอกสารข่าว พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เตือนภัยให้ระวังโรคใบด่างในมันสำปะหลังจากเชื้อไวรัสมีแมลงหวี่ขาวเป็นพาหะ เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเจอในบ้านเรามาก่อน แต่ประเทศเพื่อนบ้านพบการระบาดแล้ว…ทำเอาตื่นเต้นไม่น้อย!!!

แต่หลังจากทวนความกับผู้รู้ถึงที่ไปที่มาของโรคนี้ พบว่าเป็นโรคระบาดในไร่มันสำปะหลังที่รุนแรงจริง ทำให้ผลผลิตเสียหายได้มากถึง 80% และมีการระบาดกันมากในทวีปแอฟริกา ส่วนบ้านเรานั้นยังไม่พบเจอ

แต่ที่ดันกลายเป็นข่าวให้ตื่นเต้น ต้นสายปลายเหตุมาจากการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เมื่อปลายเดือนที่แล้ว มีภาพมันสำปะหลังเป็นโรคใบด่าง เพราะถูกแมลงหวี่ขาวกัดกิน ที่พบใน จ.กาฬสินธุ์ และอุบลราชธานี เมื่อปี 2558 มาโชว์ในที่ประชุม เพื่อขอความร่วมมือนักส่งเสริมการเกษตรที่พบปะชาวบ้านเป็นประจำช่วยเป็นหูเป็นตาระวังโรคนี้ด้วย…เผื่อเกิดขึ้นมาจริงจะได้เตรียมตัวได้ทัน

เนื่องจากโรคแปลกใหม่ที่พบเจอเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่พบแมลงหวี่ขาวมากัดกินใบมันสำปะหลังจนใบด่างหงิกงอ นักวิชาการด้านโรคมันฯเลยกังวลว่า โรคเอเลี่ยนจากแดนไกลจะมาอาละวาดมันสำปะหลังในบ้านเราจึงตั้งทีมศึกษาเป็นการเฉพาะ

แต่เมื่อนำแมลงหวี่ขาวและต้นมันฯใบด่างที่ถูกกัดกินเข้าห้องแล็บ ปรากฏว่าหาได้เป็นโรคดังว่า ไม่ใช่เชื้อไวรัสทำลายหัวมันฯเหมือนอย่างในแอฟริกา…เป็นแต่เพียงแมลงหวี่ขาวพันธุ์บ้านเรานี่แหละ ดูดกัดกินตรงไหน ด่างตรงนั้น กัดกินมากๆ ใบจะหงิกงอ

แค่นั้นไม่พอ การศึกษายังรุกไปถึงประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง เพราะมีรายงานข่าว เกิดโรคใบด่างเยอะมาก…ทีมงานวิจัยเข้าไปศึกษาจริงอย่างที่เขาว่า แต่สาเหตุไม่ใช่มาจากแมลงแต่อย่างใด เป็นโรคใบด่างเพราะดินมีธาตุอาหารไม่ครบ มันสำปะหลังขาดธาตุอาหารรอง

แต่กระนั้นทีมงานวิจัยเฝ้าระวังโรคมันฯไม่อาจนิ่งนอนใจ ยังคงเฝ้าจับจ้องมองกันต่อไป เพราะไม่อยากให้โรคอุบัติใหม่จากแมลงเอเลี่ยนต่างถิ่นมาสร้างประวัติศาสตร์ซ้ำรอย “เพลี้ยแป้งสีชมพู” จากแอฟริกา ที่มาทำลายไร่มันสำปะหลังเมื่อหลายปีก่อนเท่านั้นเอง.

สะ–เล–เต

หอยหวาน…งวงบวม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584873

โดย สะ-เล-เต 3 มี.ค. 2559 05:01

 

ทั้งๆที่หอยใกล้ขายได้เงินเข้ากระเป๋า แต่แล้วจู่ๆหอยหวานที่เลี้ยงมีอาการป่วย กินอาหารได้น้อยลง ไม่ยอมกินซากปลาข้างเหลืองที่วางไว้ก้นบ่อ…กินอาหารเสร็จไม่ยอมมุดลงทรายในบ่อ และไม่ยอมเก็บงวงเข้าไปเก็บไว้ในเปลือก

เป็นปัญหาที่ ปทิตตา บุญพันธุ์ เจ้าของศูนย์เรียนรู้ฟาร์มหอยหวานซันเซท ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ต้องหาสาเหตุกันอยู่นาน กระทั่งได้รู้ว่าหอยหวานเป็นโรคงวงบวม

สาเหตุเกิดจากให้อาหารมากเกิน หอยกินไม่หมด ส่งผลให้น้ำในบ่อไม่สะอาด เป็นที่เพาะพันธุ์ของเชื้อโรค หอยเลยติดโรคจากบ่อหนึ่งไปสู่อีกบ่อ แต่ละวันหอยตายจำนวนมากขึ้น เสียหายเกือบล้านบาท

ต้องขวนขวายหาความรู้มาแก้ปัญหา ไปขอคำปรึกษากับประมงจังหวัด คำตอบที่ได้ไม่แน่ชัด เนื่องจากมีงานวิจัยในเรื่องนี้ไม่มากนัก เลยต้องค้นคว้าหาข้อมูลในโลกไซเบอร์ รู้อะไรมา ทดลองทำตามอยู่นาน

ในที่สุด ปทิตตา พบทางออกในการแก้ปัญหาด้วยการใช้น้ำหมักชีวภาพ แบบเดียวกับการแก้ปัญหาเลี้ยงปลากะพง ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบเนื่องจากน้ำในบ่อเลี้ยงไม่สะอาดนั่นเอง

ด้วยการใช้กล้วยสุก 20 กก., เปลือกสับปะรด 20 กก., ลูกยอ 20 กก., ฟ้าทะลายโจร 20 กก., กากน้ำตาล 20 ลิตร, น้ำเปล่า 180 ลิตร, ผงหัวเชื้อจุลินทรีย์ ปม.1 (จุลินทรีย์ประสิทธิภาพสูงสำหรับบำบัดสารอินทรีย์ที่ตกค้างสะสมในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ) 1 ซองขนาด 100 กรัม…นำทั้งหมดมาหมักใส่ถังปิดฝาให้มิดชิดทิ้งไว้ 1 เดือน

การใช้งานให้นำน้ำที่หมักเสร็จแล้ว 1 ส่วน ผสมกับน้ำสะอาด 10 ส่วน ไปราดในบ่อเลี้ยงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง…น้ำหมักผสมน้ำแล้ว 1 ลิตร ต่อปริมาณน้ำที่ใช้เลี้ยงหอย 4,800 ลิตร

หรือน้ำหมักผสมเสร็จแล้วใส่ขวดขนาด 1.5 ลิตร สามารถนำไปใช้กับบ่อเลี้ยงหอยขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 3 เมตร ก้นบ่อใส่ทรายสูง 2 นิ้ว และใส่น้ำลึก 60 ซม. จะสามารถนำไปใช้รักษาอาการโรคงวงบวมให้กับหอยหวานได้ 2 บ่อ

เกษตรกรสนใจจะนำวิธีการนี้ไปใช้กับการเลี้ยงหอยหวาน หรือสัตว์น้ำอย่างอื่น สอบถาม ปทิตตา ได้ที่ 08-6906-6907.

สะ–เล–เต

ส้มโอ…ระวัง 4 แมลงตัวร้าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/584383

โดย สะ-เล-เต 2 มี.ค. 2559 05:01

 

อากาศเย็นแห้งแล้ง ส้มโอไม่ต่างจากพืชชนิดอื่น มักแพ้อากาศเช่นนี้ และเมื่อต้นอ่อนแอ แมลงจะกลายเป็นภัยคุกคาม พร้อมนำความสูญเสียส่งตรงถึงมือเกษตรกรได้ทุกเมื่อ

แต่ใช่ว่าภัยคุกคามนี้จะสามารถเล่นงานเกษตรกรได้ตลอด กรมวิชาการเกษตรชี้ทางสว่างเตือนเกษตรกรชาวสวนส้มโอ เฝ้าระวังการระบาดของแมลงศัตรูพืช ช่วงส้มโอแตกใบอ่อนและออกดอกอยู่ในขณะนี้

หมั่นสังเกต หนอนชอนใบ มักพบหนอนชอนเข้าไปทำลายกัดกินระหว่างชั้นผิวใบอ่อน ทำให้เกิดรอยโพรงสีขาว ทำให้ส้มโอสังเคราะห์แสงได้น้อยลง เอื้อต่อโรคแคงเกอร์เข้าทำลายซ้ำได้

หากพบให้รีบตัดใบอ่อนที่ถูกทำลายมาเผาไฟทิ้ง พ่นด้วยสารปิโตรเลียมสเปรย์ออยล์ 83.9% อีซี 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร/สารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร/สารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล 8 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร/สารไทอะมีโทแซม 25% ดับเบิลยูจี อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

แมลงค่อมทอง ศัตรูตัวฉกาจอีกชนิด มักเข้ากัดกินใบอ่อน ยอดอ่อน จนเหลือแต่ก้านใบ หากพบให้เขย่าต้นหรือกิ่ง เก็บตัวแมลงไปทำลายทิ้ง ป้องกันกำจัดโดยพ่นสารคาร์บาริล 85% ดับเบิลยูพี 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

อีกตัวที่ต้องระวังคือ เพลี้ยไฟ มักชอบดูดกินน้ำเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน ดอก ผลอ่อน จนใบหงิกงอ ดอกแห้งไม่ติดผล ต้นเกิดรอยแผลเป็นสีเทาเงิน แคระแกร็น บิดเบี้ยว เกษตรกรควรหมั่นสำรวจยอดและผลอ่อน ตัดแต่งส่วนที่ถูกทำลายรุนแรงทิ้ง

แต่หากพบผลส้มโอเสียหายเกิน 10% หรือยอดเสียหายมากกว่า50% ให้พ่นสารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร/สารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร/สารอะเซททามิพริด 20% เอสพี 5 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

เพลี้ยไฟว่าร้ายแล้ว เพลี้ยไก่แจ้ส้ม ร้ายกว่า มักพบมากในช่วงเดือน ม.ค.ถึง เม.ย. ทั้งตัวอ่อน ตัวเต็มวัยชอบดูดกินน้ำเลี้ยงยอดอ่อน ยอดจะหงิกงอ แห้งตายในที่สุด แถมยังเป็นพาหะโรคกรีนนิ่ง นำเชื้อแบคทีเรียทำให้ต้นโทรม ผลผลิตน้อย ยืนต้นตาย ให้เกษตรกรหมั่นสำรวจส้มโอในระยะแตกตาและยอดอ่อน หากพบเข้าทำลายรุนแรง ให้พ่นด้วยสารคลอไทอะนิดิน 16% เอสจี 1 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร/สารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล 8 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร/สารแลมบ์ดาไซฮาโลทริน 2.5% อีซี 15 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร.
สะ–เล–เต