ชูสหกรณ์แก้ปัญหาไร้ที่ทำกิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583908

โดย สะ-เล-เต 1 มี.ค. 2559 05:01

 

ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีนโยบายจัดที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้ที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย โดยภาครัฐให้การสนับสนุนจัดหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้เกษตรกรผู้ยากไร้ พร้อมระบบสาธารณูปโภค ส่งเสริมการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ เพื่อสร้างความสมดุล โดยยกเว้นค่าเช่าที่ดินให้กับสหกรณ์ 3 ปี และจะเริ่มนำร่องที่สหกรณ์ปฏิรูปที่ดินระบำ อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี

สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะเป็นผู้จัดหาพื้นที่ 3,200 ไร่ กรมชลประทานทำการส่งน้ำผ่านระบบท่อจากเขื่อนทับเสลามาเพื่อใช้ในพื้นที่ กรมพัฒนาที่ดินขุดบ่อสำหรับเก็บน้ำใช้ในพื้นที่หน้าแล้ง โดยมีกรมส่ง เสริมสหกรณ์เข้ามาทำหน้าที่ในการจัดทำแผน การส่งเสริมอาชีพและการตลาด

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ยืนยันการทำงานทุกอย่างจะแล้วเสร็จ พ.ค.นี้ จากนั้นอีก 1-2 ปี เกษตรกรจะสามารถอยู่ดีกินดี และทำอาชีพเกษตรแบบพอเพียง ไม่เป็นหนี้เป็นสิน

“เพราะเราได้วางแผนส่งเสริมอาชีพไว้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นให้ปลูกหญ้าเนเปียร์ด้วยระบบน้ำหยด เพื่อเป็นอาหารโคป้อนสหกรณ์นิคมลานสัก ที่มีการส่งเสริมให้สมาชิกเลี้ยงโคเนื้อด้วย จากการคำนวณต้นทุนการปลูกอยู่ที่ไร่ละ 6,000 บาท แต่จะช่วยให้มีรายได้ไร่ละ 64,000 บาท แค่สมาชิกแบ่งพื้นที่จัดสรรมาปลูกแค่ 2 ไร่ จะมีรายได้ทันทีปีละ 120,000 บาท และหากสมาชิกสนใจปลูกถั่วแระญี่ปุ่น ซึ่งตลาดมีความต้องการมาก ทางสหกรณ์นิคมลานสัก จำกัด จะเข้ามาส่งเสริมและส่งขายให้สหกรณ์นิคมลานสักด้วย เพื่อให้สหกรณ์เล็กๆ สามารถยืนอยู่ได้ เป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตามหลักการสหกรณ์”

นอกจากนั้น ยังมีการประสานงานกับภาคเอกชนให้เข้ามาศึกษาพื้นที่เพื่อส่งเสริมสมาชิกปลูกกล้วยหอม เพื่อสร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้กับสมาชิกของสหกรณ์ปฏิรูปที่ดินระบำด้วย ซึ่งขณะนี้มีเอกชนรายใหญ่หลายรายสนใจจะใช้พื้นที่ปลูกกล้วยหอมแล้ว

และหากการดำเนินงานของสหกรณ์ปฏิรูปที่ดินระบำประสบความสำเร็จตามที่ได้วางแผนไว้ กรมส่งเสริมสหกรณ์จะนำมาเป็นโมเดลต้นแบบ เพิ่มสหกรณ์ปฏิรูปที่ดินอีก 3 แห่ง ในกาฬสินธุ์, ชุมพร และนครราชสีมา.
สะ–เล–เต

โขง-เลย-ชี-มูล…กระดื๊บๆ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/583496

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 29 ก.พ. 2559 05:01

 

โครงการผันน้ำโขงจากปากแม่น้ำเลย อ.เชียงคาน จ.เลย ผ่านอุโมงค์ส่งน้ำให้ไหลไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก (ไม่เสียค่าสูบน้ำ) เพื่อลดความแห้งแล้งให้แผ่นดินอีสานคืบหน้าไปอีกขั้น

สัปดาห์ที่ผ่านมา กรมชลประทานเชิญผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศด้านอุโมงค์ส่งน้ำ ให้มาช่วยกันระดมสมองเรื่อง “การออกแบบอุโมงค์ส่งน้ำที่มีความยาวมาก” เพราะบ้านเรายังไม่เคยมีการทำอุโมงค์ส่งน้ำที่มีความยาวมากขนาดนี้มาก่อน

ที่ทำๆกันมา อุโมงค์ส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยไผ่ไปยังอ่างฯลำพะยังตอนบน ยาวแค่ 760 ม. อุโมงค์ส่งน้ำจากอ่างฯแม่งัดสมบูรณ์ชลไปยังอ่างฯ แม่กวงอุดมธารา นั่นก็ยาวแค่ 23 กม.

ในขณะที่โครงการเติมน้ำให้แผ่นดินอีสาน มีอุโมงค์ส่งน้ำ 2 เส้นทาง …1.แนวผันน้ำโขงอีสาน ใช้อุโมงค์ส่งน้ำยาวถึง 54 กม. จากเลยไปลงหนองบัวลำภู เพื่อป้อนน้ำให้ภาคอีสานตอนบน…2.แนวผันน้ำชีมูล ใช้อุโมงค์ยาว 85 กม. จากเลยไปขอนแก่น ลงเขื่อนอุบลรัตน์ เพื่อจ่ายให้แม่น้ำชีและมูล หล่อเลี้ยงภาคอีสานตอนใต้

ส่วนความเป็นไปได้ของโครงการ ดร.สมเกียรติ ประจำวงศ์ ผอ.สำนักบริหารโครงการ กรมชลประทาน มองไปที่แนวผันน้ำชีมูล เพราะเป็นพื้นที่แห้งแล้งรุนแรงมากกว่า โดยเฉพาะเขื่อนอุบลรัตน์ประสบปัญหาขาดน้ำทุกปี จำเป็นต้องเร่งทำขึ้นมาก่อน

แต่เนื่องจากราคาค่าก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำ กม.ละ 600 ล้านบาท ถ้าไม่คิดคำนวณให้ดี เกิดมีปัญหาน้ำไม่ไหลได้เหมือนที่คิด งบประมาณจะสูญเปล่า…แม้อุโมงค์ที่จะสร้างขึ้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 10 เมตร ถ้าคิดง่ายๆ แบบชาวบ้าน อุโมงค์ออกใหญ่โตขนาดนั้น ยังไงน้ำต้องไหลได้แน่ๆ

แต่คนที่ทำงานด้านนี้มายาวนาน อย่าง ดร.สมเกียรติ ให้ความเห็น ถ้าเป็นระยะทางสั้นๆแค่ไม่กี่ กม.ไม่มีปัญหา…แต่นี่ยาวเกือบ 100 กม. ไม่ต่างอะไรกับเอาน้ำใส่หลอดกาแฟ ที่เลี้ยวลดคดไปมาตามภูมิประเทศ น้ำอาจจะไม่ไหลออกมามากเหมือนที่คิดก็เป็นได้ เพราะไม่ใช้เครื่องสูบน้ำช่วย ฉะนั้นจะทำอะไรต้องรอบคอบ ฟังผู้รู้ที่มีประสบการณ์จริงมาช่วยติติง และแก้ไขข้อบกพร่อง ก่อนจะลงมือทำจริง…จะได้มั่นใจทำไปแล้ว ได้น้ำคุ้มจริง

ก็ได้แต่หวัง…อย่าได้คิดนาน วิเคราะห์เพลิน เพราะภัยแล้งจี้ก้นถี่กระชั้นทุกปี จนชาวบ้านไม่มีจะกินแล้วนะท่าน.

สะ–เล–เต

มังคุด…ระวังเพลี้ยไฟ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/581604

โดย สะ-เล-เต 25 ก.พ. 2559 05:01

 

ลม ฟ้า อากาศ เรามิอาจบังคับ กำหนดกฎเกณฑ์อะไรได้เลย ฉะนั้นในช่วงอากาศเปลี่ยน บ่อยครั้งมีสามฤดูในวันเดียว พืชผลการเกษตรปรับตัวไม่ทัน ได้รับความเสียหาย แมลงศัตรูพืชเร่งขยายเผ่าพันธุ์ตามกลไกการดำรงชีวิตตามธรรมชาติ

กรมวิชาการเกษตรจึงออกมาเตือนเกษตรกรชาวสวนมังคุดเฝ้าระวังในช่วงอากาศหนาวเย็น มีลมแรง มักพบการระบาดของเพลี้ยไฟ… เข้าทำลายในระยะออกดอกไปจนถึงระยะผลอ่อน

มังคุดจะแสดงอาการดอกแห้งไหม้ และทำให้ผลอ่อนมีแผลสีน้ำตาลจากเพลี้ยไฟ

ดังนั้นในระยะนี้เกษตรกรควรสำรวจการระบาดด้วยตนเอง หากใน 4 ผลหรือดอก พบเพลี้ยไฟตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป ให้พ่นสารอิมิดาโคลพริด 10% เอสแอล 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี 50 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารฟิโพรนิล 5% เอสซี 10 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร

แต่มีข้อแนะนำที่เกษตรกรต้องระวังเป็นพิเศษ…ไม่ควรพ่นสารชนิดใดชนิดหนึ่งติดต่อกันหลายครั้ง เพราะจะทำให้เพลี้ยไฟดื้อยาได้

เรื่องของสภาพอากาศอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นข้อควรระวังอีกประการที่ชาวสวนมังคุดจะต้องใช้ใจ เพราะมีผลทำให้ต้นมังคุดชะงักการออกดอก และถ้าเกิดลมแรง จะทำให้ใบหลุดร่วง และมักพบอาการตาดอกมังคุดหยุดการพัฒนา ใบร่วง ความสมบูรณ์ของต้นลดลง ฉะนั้น เกษตรกรต้องหมั่นตรวจสอบสังเกตเสมอ!!!

เมื่อใดที่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส…ให้โชยน้ำในตอนเช้า เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในทรงพุ่ม

ส่วนต้นที่ยังไม่ออกดอกหรือดอกน้อย ให้งดการให้น้ำ รอจนกระทั่งสังเกตเห็นต้นมีอาการใบตก ก้านใบกิ่งที่ปลายยอดเริ่มแสดงอาการเหี่ยวเป็นร่องถึงจะให้น้ำเพื่อกระตุ้นการออกดอกครั้งใหม่

เกษตรกรที่มีปัญหาสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร หรือศูนย์วิจัยพืชใกล้บ้าน หรือโทรศัพท์ 0-2940-5484-5 ต่อ 116.

สะ–เล–เต

ฮอร์โมน…นมวัว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/581087

โดย สะ-เล-เต 24 ก.พ. 2559 05:01

 

น้ำนมโคดิบที่เกษตรกรนำมาขาย หลังการตรวจสอบคุณภาพ จะมีน้ำนมบางส่วนไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน ถูกคัดออกเดือนละ 60 ตัน นำไปใช้เลี้ยงลูกโคและขายให้กับฟาร์มสุกรเพื่อเป็นอาหารสัตว์ กระนั้นยังมีบางส่วนหลงเหลือ จึงต้องไปเททิ้งในแปลงหญ้า…ต้นหญ้าบริเวณนั้นเขียวชอุ่มกว่าพื้นที่อื่น

เป็นข้อสงสัยให้ ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผอ.องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) คิดหาคำตอบ ในน้ำนมดิบมีอะไรดีถึงช่วยให้พืชแตกยอดอ่อนเร็วขึ้น

“เคยได้ยินบ่อย ปลูกพุทรานมสดถ้าต้องการให้หวานกรอบต้องฉีดพ่นด้วยฮอร์โมนนมสด น้ำนมวัวเราก็มี ทำไมจะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้ดีกว่าเอาไปเทใส่แปลงหญ้าให้ส่งกลิ่นเหม็น สร้างความเดือดร้อนกับชาวบ้านข้างเคียง เราจึงคิดหาวิธีสูตรหมักฮอร์โมนนมวัว”

หลังจากทดลองมาหลายสูตร ในที่สุดมาลงตัวที่…น้ำนมโคสด 80 ลิตร (นมดิบที่ไม่ผ่านมาตรฐานต้องคัดทิ้ง) กากน้ำตาล 20 กก. สารเร่ง พด. 6 (เชื้อจุลินทรีย์ย่อยสลายโปรตีนและไขมันในน้ำนมโค) จำนวน 2 ซอง คนให้เข้ากัน ปิดฝาถังไม่ต้องสนิท ตั้งไว้ในที่ร่ม ระหว่างหมักใช้ไม้คนวันละ 2 ครั้ง ทิ้งไว้ 15 วัน

จากนั้นนำน้ำหมักน้ำนมโค 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นช่วงเวลาเย็น แสงแดดอ่อน ในกลุ่มพืชกินใบทั้งคะน้า ผักบุ้ง ชะอม กะเพรา ปรากฏผลช่วยกระตุ้นยอดอ่อนให้แตก ทำให้ใบพืชสีเขียวเข้ม ลำต้นแข็งแรง แมลงศัตรูพืชหนอนม้วนใบไม่รบกวน

จากทดลองทำเล่นๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องนำนมไปเททิ้งให้เหม็นเน่า ปัจจุบันพัฒนากลายเป็นน้ำหมักนมโคจำหน่ายได้ในราคาลิตรละ 300-350 บาท…ฮอร์โมนนมวัวสูตรนี้ อ.ส.ค.ไม่หวง เกษตรกรสามารถผลิตคิดทำเองได้ ใช้เงินลงทุนแค่เพียง 1,720 บาท จะได้น้ำหมักนมโคมาใช้เป็นฮอร์โมนบำรุงพืช 99 ลิตร หักต้นทุนเหลือกำไรเกือบสามหมื่นบาท

สนใจใคร่เรียนรู้หรือจะขอพิสูจน์ด้วยตัวเอง สอบถาม 0-3634-4926 ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ ฝ่ายท่องเที่ยวเชิงเกษตร อ.ส.ค. อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เขามีจัดอบรมให้ฟรี.

สะ–เล–เต

พริกหลังนา…พันธุ์ใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/580687

โดย สะ-เล-เต 23 ก.พ. 2559 05:01

 

พริกซอส 27-1-2-1 พริกเหลือง 28-1-1-1

พริกเหลืองและพริกซอส เป็นพืชที่เกษตรกรนิยมปลูกหลังนา ที่ผ่านมามักจะมีข้อด้อยในเรื่องทนโรค ให้ผลผลิตน้อย ผลเล็ก…ประการสำคัญ พริกพัฒนาสายพันธุ์จากเอกชนมักเป็นพันธุ์ผสมปิด นำเมล็ดมาขยายพันธุ์ต่อไม่ได้

กว่า 10 ปีการวิจัยของ วิลาวัณย์ ใคร่ครวญ นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ กรมวิชาการเกษตร มุ่งลดข้อด้อยพร้อมกับให้ได้พันธุ์ที่เกษตรกรนำเมล็ดไปขยายพันธุ์ต่อได้ ไม่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ ประหยัดต้นทุน

ในที่สุดได้ พริกเหลืองพันธุ์ 28-1-1-1 พันธุ์ใหม่ จากการผสมข้ามสายพันธุ์ของพริก เหลืองพันธุ์ไทยกับต่างประเทศ มีผลเรียวยาว เนื้อหนา ใหญ่กว่าพันธุ์การค้าเดิม มีรสชาติและกลิ่นหอมแบบไทยๆมากขึ้น เหมาะกับทั้งบริโภคสด ทำน้ำจิ้ม โรยหน้า

ต้นสูงประมาณ 86 ซม. พุ่มกว้างประมาณ 72 ซม. เก็บเกี่ยวครั้งแรกอายุ 70 วัน ระยะเก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่อง 3 เดือน นานกว่าพริกพันธุ์การค้าเดิม ให้ผลผลิตประมาณ 3,172 กก./ไร่ มากกว่าพันธุ์เดิมที่ให้ผลผลิต 2,800 กก./ไร่…ที่สำคัญ ถูกพัฒนาให้มีความต้านทานโรคแอนแทรคโนสสูงมาก ด้วยคุณสมบัติที่ว่ามา จึงทำให้พริกพันธุ์นี้มีราคาสูงกว่าพริกตลาดถึงเท่าตัว

พริกซอส 27-1-2-1 เป็นอีกผลงานพัฒนาสายพันธุ์พริกซอสสัญชาติไทยผสมสายพันธุ์ต่างประเทศ ได้พริกพันธุ์ใหม่ มีความพิเศษเก็บได้ตั้งแต่ยังเขียว (ไม่สุก) ขายทำพริกเครื่องแกงได้ เพราะผลเล็กกว่าพันธุ์ดั้งเดิมเล็กน้อย แต่ใกล้เคียงพริกเหลือง ขณะที่พันธุ์เดิมต้องเก็บตอนสุกเพื่อขายทำซอสอย่างเดียว…ผลสุกสีแดงสด มีเนื้อหนา รสเผ็ดน้อย ลักษณะตรงความต้องการของโรงงานผลิตซอส ให้ผลผลิตราว 3.5 ตัน/ไร่ ใกล้เคียงกับพันธุ์การค้าเดิม แต่ต้นสูง 78.3 ซม. สูงกว่าพันธุ์การค้าราว 20 ซม. ทำให้เก็บผลผลิตได้ง่ายขึ้น

สนใจพริกใหม่ทั้งสองสายพันธุ์ สอบถามได้ที่ สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร 0-2579-0583, 0-2940-5484 ในวันเวลาราชการ.

สะ–เล–เต

พาราควอต…สีฟ้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/580371

โดย สะ-เล-เต 22 ก.พ. 2559 05:01

 

ถึงพาราควอตจะมีประโยชน์ต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก เพราะสามารถกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกได้ โดยพืชหลักพืชทำเงินไม่ได้รับผลกระทบ…ช่วยลดต้นทุนการกำจัดวัชพืชได้ดีในยุคค่าแรงแพง

แต่กระนั้น เมื่อมีข้อดีย่อมต้องมีข้อเสียควบคู่กันไปเป็นธรรมชาติของทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรดีไปหมดจด หรือมีข้อเสียไปซะทุกอย่าง…พาราควอตฆ่าหญ้าได้ แต่ถ้าเอาไปใช้ผิดประเภท เอาไปทำลายตัวเองหรือคนอื่นๆ พาราควอตฆ่าคนได้เช่นกัน

เนื่องจากเป็นสารไม่มีกลิ่น แถมยังมีสีคล้ำๆคล้ายเครื่องดื่มน้ำดำ…ในเมื่อพาราควอตหาซื้อได้ง่าย ถ้านำไปวางไม่ถูกที่ถูกทาง คนอาจจะเผลอไปหยิบมาดื่มกินได้

แม้จะเป็นปัญหาเล็กๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม ถ้าสายตาไม่ฝ้าฟางจนเกินไป เพื่อป้องกันปัญหานี้ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จึงได้ออกข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติเฉพาะพาราควอตให้มีสีฟ้าให้แตกต่างจากเครื่องดื่มทั่วไป, พร้อมให้เติมสารที่ทำให้มีกลิ่นฉุนและต้องมีสารกระตุ้นให้เกิดการอาเจียนฉับพลัน…เพื่อคนที่เผอเรอจะได้ดื่มไม่ลง และถ้าดื่มไปแล้วจะได้อาเจียนออกมาทันที

และในบ้านเราได้ออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในแนวทางเดียวกับ FAO มาตั้งแต่ปี 2541 ไปแล้ว

เกษตรกรจะสามารถสังเกตได้ง่ายๆ พาราควอตที่ถูกต้อง บริษัทผู้ผลิตมีความรับผิดชอบต่อสังคม… น้ำยาจะต้องมีสีฟ้าอมเขียว ดมแล้วจะมีกลิ่นฉุนมาก

แต่ถ้าไปพบเจอ พาราควอตที่ไร้กลิ่น และน้ำยายังคงมีสีดำเหมือนน้ำอัดลม อย่าไปซื้อมาใช้จะดีกว่า เพราะนอกจากคนในบ้านจะเสี่ยงอันตรายแล้ว ยังจะเป็นการส่งเสริมให้บริษัทที่ทำธุรกิจไม่เคารพกฎหมาย ไร้จิตสำนึก คิดจ้องแต่จะเอาเปรียบเกษตรกรไม่รู้จักจบจักสิ้น

และอีกอย่าง ซื้อพาราควอต หรือสารเคมีทางการเกษตรทั้งหลายมาไว้ที่บ้าน รู้จักเก็บเข้าตู้ให้เป็นที่เป็นทาง และปิดตู้ล็อกกุญแจไว้ได้ด้วยก็จะดี…ฝึกหัดให้เป็นนิสัย ไม่เพียงคนในบ้าน สัตว์เลี้ยงจะปลอดภัย สารเคมีที่ซื้อมาจะไม่ถูกแดดแผดเผาทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด.
สะ–เล–เต

พาราควอตผิดหรือคนผิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/578578

โดย สะ-เล-เต 18 ก.พ. 2559 05:01

 

อย่างที่บอกไปเมื่อวันวาน…พาราควอต มีข้อเด่นสามารถกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกได้ โดยพืชหลัก พืชทำเงินไม่ได้รับผลกระทบ ถึงจะซึมลงดิน พืชเศรษฐกิจยังอยู่ได้ เพราะไม่มีฤทธิ์ทำลายรากพืช ทำลายเฉพาะใบหรือกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชเท่านั้น

จึงเป็นที่นิยมของเกษตรกร ช่วยลดต้นทุนกำจัดวัชพืชได้มากกว่าวิธีอื่น แต่ไม่วายยังมีคนบางกลุ่มบางองค์กรยังคงเดินหน้าต่อต้านพาราควอต …ด้วยเหตุผลเป็นอันตรายต่อมนุษย์แต่อันตรายแบบไหน วิธีไหน!!??

รายงานขององค์การอนามัยโลก ระบุระดับการตกค้างในพืช อาหาร และน้ำดื่ม ที่เกิดจากการใช้พาราควอตทางการเกษตรตามคำแนะนำ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของเด็กและประชาชนทั่วไป

องค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา ระบุระดับความเป็นพิษทางการหายใจ จากการศึกษากับสัตว์ทดลอง ขนาดของละอองสารที่เกิดจากการฉีดพ่นพาราควอตทางการเกษตร (ขนาด 400-800 ไมครอน) มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ความเป็นพิษในระยะยาวไม่พบว่าเป็นสารก่อมะเร็ง ไม่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ ไม่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ และไม่มีผลต่อระบบประสาท

ส่วนบ้านเรา การสัมมนาเรื่อง “บทบาทของพาราควอตต่อพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย” จัดโดยสมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย ศ.นพ.วินัย วนานุกูล ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี นำข้อมูลปี 2553-57 มาแจกแจง…ผู้ป่วยที่มารักษาด้วยภาวะพิษจากสารเคมีปราบศัตรูพืช 28,488 คน มาจากสารกำจัดแมลง 47.4%…มาจากสารกำจัดวัชพืช 31.7% หรือ 9,023 คน

สารกำจัดวัชพืชที่ทำให้คนเสียชีวิตมากที่สุด…พาราควอต ตามมาด้วย ไกลโฟเสต

และสาเหตุที่ให้คนได้รับพิษจากพาราควอต…ตั้งใจกิน หวังฆ่าตัวตาย 78.4%…จากอุบัติเหตุ 17.3%…จากการทำงาน 3.3%

เมื่อเป็นเช่นนี้เกษตรกรเลยเกิดคำถาม พาราควอตมีไว้ฆ่าหญ้า คนเอามาใช้ฆ่าตัวตาย เอ็นจีโอต้องการแบน…ปืน รถยนต์ ที่ทำให้คนไม่อยากตาย ไม่รู้อีโหน่อีเหน่โดนลูกหลงตายทุกวัน ตายมากกว่าพาราควอต ทำไมถึงไม่รณรงค์ให้แบน ห้ามมี ห้ามใช้กันบ้าง…

สะ–เล–เต

ตามรอย…พาราควอต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/578145

โดย สะ-เล-เต 17 ก.พ. 2559 05:01

 

แต่ละปีบ้านเรานำเข้าสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชไม่น้อย ปี 2557 นำเข้ามาทั้งในรูปผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปและสารออกฤทธิ์ 2.26 แสนตัน และสารเคมีที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด “สารกำจัดวัชพืช” นำเข้ามาคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 80%

ที่น่าประหลาดใจ ในบรรดาสารกำจัดวัชพืชที่นำเข้ามา ทำไม “พาราควอต” ซึ่งนำเข้ามาเป็นเบอร์ 2 รองจาก “ไกลโฟเสต” ถึงได้ถูกกลุ่มเอ็นจีโอ ผู้อ้างตัวรักษ์โลก พิทักษ์สิ่งแวดล้อม และถนอมชีวิตมนุษย์ ต่อต้านเรียกร้องในการยกเลิกการใช้พาราควอต ด้วยข้ออ้างเป็นสารเคมีอันตรายที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุด…ทั้งที่นำเข้ามาแค่ 1 ใน 3 ของไกลโฟเสต

พาราควอตอันตรายแค่ไหน…เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ วันก่อน สมาคมวิทยาการวัชพืชแห่งประเทศไทย ได้จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง “บทบาทของพาราควอตต่อพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย” วันนี้ สะ-เล-เต จะขอนำเรื่องราวมาให้สังคมได้รู้จักพาราควอตในอีกมุม

จุดกำเนิดของพาราควอตได้จุติในปี 2501 โดยบริษัทอังกฤษ และถูกผลิตออกมาจำหน่ายให้ใช้กันครั้งแรกเมื่อปี 2505 ที่มาเลเซีย เพื่อกำจัดหญ้าในสวนยางพารา เพราะกำจัดวัชพืชได้แบบไม่ไปทำลายพืชหลัก

มีคุณสมบัติทำลายการสังเคราะห์แสงของใบไม้ ฉีดต่ำๆ พ่นถูกใบ วัชพืชจะตายภายใน 1 ชั่วโมง รวดเร็วทันใจเหมาะกับพื้นที่ฝนตกชุก ฟ้าเปิดไร้เมฆฝนไม่กี่ชั่วโมงก็กำจัดวัชพืชได้ โดยไม่มีฤทธิ์ทำลายระบบราก…ฉีดไปโดนโคนต้นยาง น้ำยาซึมลงดิน ต้นยางไม่เป็นอะไร

พืชทำเงินไม่ตาย วัชพืชทำลายเงินถูกกำจัด ด้วยมีผลดีเช่นนี้ พาราควอตเลยถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในวงกว้าง และบ้านเรามีการขึ้นทะเบียนให้ใช้สารตัวนี้มาตั้งแต่ปี 2506

แต่แล้วปี 2533 ปลาที่เกษตรกรเลี้ยงตายยกบ่อ มีเสียงตั้งข้อสงสัยพาราควอตที่ฉีดพ่นกำจัดวัชพืชรอบบ่อปลาน่าจะเป็นตัวการสำคัญ…
ผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกลับตรงข้าม พาราควอตไม่ใช่ปัญหา แต่มาจากอากาศหนาวผิดปกติจุลินทรีย์ในน้ำเติบโตเร็ว จนปลาไม่มีอากาศหายใจถึงได้น็อกตายยกบ่อ และปัญหานี้ไม่เกิดแค่ในบ้านเรา ประเทศเพื่อนบ้านเจอเหมือนกันหมด

ถึงความจริงจะกระจ่าง แต่อุดมการณ์ต้านพาราควอตไม่ยอมจบ…ติดตามตอนต่อไป.

สะ–เล–เต

เชื้อรารุกมะพร้าว+ปาล์ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/577632

โดย สะ-เล-เต 16 ก.พ. 2559 05:01

 

ช่วงฤดูกาลเปลี่ยนผ่าน มีทั้งร้อน หนาว ฝนในวันเดียวกัน กรมวิชาการเกษตรฝากเตือนพี่น้องชาวสวนมะพร้าว ช่วงนี้ให้ระวังโรคผลร่วง…โดยเฉพาะช่วงมีแดดสลับฝน

จะมีเชื้อราเข้าไปทำลายขั้วผล เกิดแผลสีน้ำตาลแห้ง ลุกลามไปเรื่อยๆ ทำให้ผลเน่าร่วงหล่น ส่วนในผลที่ยังไม่มีเนื้อมะพร้าว เชื้อราจะรุกเข้าทำลายเปลือก กะลาอ่อน สุดท้ายเนื้อเน่าเสียหาย ที่สำคัญโรคนี้มักจะพบในมะพร้าวให้ผลรอเก็บเกี่ยว ไม่ระวังป้องกันให้ดีน้ำตาร่วงแน่

ฉะนั้น ช่วงนี้ให้เอาใจใส่ หมั่นดูลูกมะพร้าว ก้าน ใบ เมื่อพบโรคอย่าไปเสียดาย ให้ตัดทิ้ง เผาทำลายนอกแปลงปลูกทันที เช่นเดียวกับลูกมะพร้าวที่ร่วงจากต้น ถ้าอาการรุนแรงมาก ดูแล้วรอดยาก ก็ตัดทำลายต้นทิ้ง นำออกจากแปลงปลูกได้เลย และฉีดพ่นสารป้องกันโรคด้วยฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 80-100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารเมทาแลกซิล 25% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50-60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

ข้อควรจำ พยายามตัดแต่งคอมะพร้าวให้สะอาด โปร่ง โล่ง แสงส่องเข้าถึง

ส่วนปาล์มน้ำมัน ให้ระวังต้นวัยอ่อน อายุ 3-5 เดือน มักมีโรคใบไหม้ระบาด เริ่มจากมีจุดสีเหลืองเล็กๆกระจายทั่วใบ จากนั้นค่อยๆขยายขนาดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หากรุนแรงแผลจะขยายรวมตัวกัน ทำให้ใบไหม้แห้ง ม้วนงอ เปราะฉีกขาดง่าย ต้นกล้าชะงักการเติบโต ตายในที่สุด หากพบให้นำออกจากแปลงไปเผาทำลายทันที

หนทางป้องกันที่ดีที่สุด เกษตรกรต้องหมั่นใส่ปุ๋ยบำรุงต้นกล้าให้สมบูรณ์แข็งแรงจะได้มีแรงต่อสู้กับโรคได้ หากพบใบเกิดอาการของโรค แม้จะเล็กน้อยให้ตัดส่วนนั้นเผาทำลาย

และเมื่อทำทุกทางแล้วโรคยังระบาดอยู่อีก ให้พ่นสารแมนโคเซบ 80% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออะซอกซี่สโตรบิน+ไดฟีโนโคนาโซล 20% +12.5% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไทแรม 80% ดับเบิ้ลยูจี อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือแคปแทน 50% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุก 7 วัน

แต่มีข้อแม้ ห้ามพ่นสารชนิดเดียวต่อเนื่องนานเกินไป ให้สลับใช้ชนิดสาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา และงดการให้น้ำด้วยระบบพ่นฝอย เพราะจะทำให้เชื้อราฟุ้งกระจายระบาดในวงกว้าง ควรเปลี่ยนใช้ระบบน้ำหยด หรือใช้คนรดน้ำแทนจะดีกว่า.

สะ–เล–เต

เคล็ดบำรุงข้าวไร่ละ 6 ตัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/575405

โดย สะ-เล-เต 11 ก.พ. 2559 05:01

 

การทำนาสไตล์ชาวนามาดากัสการ์ ใช้น้ำไร่ละ 500 ลบ.ม. น้อยกว่าการทำนาที่เราเคยชินถึง 60% ได้ผลผลิตสูงถึงไร่ละ 6 ตัน…โดยไม่ต้องควักเงินซื้อปุ๋ยเคมี ทำได้อย่างไร?

เคล็ดลับในการเลี้ยงบำรุงต้นข้าว สุพจน์ ทองเสมียน เกษตรกรผู้ร่วมทดสอบปลูกข้าวแบบนี้ ที่ จ.สระแก้ว ใช้เพียงแค่ 3 สูตรอาหารที่คิดทำกันขึ้นมาเอง

จุลินทรีย์หน่อกล้วย…ใช้หน่อกล้วยสูง 1 ม.จำนวน 30 กก. สับละเอียด ใส่ถังพลาสติกทึบแสง กากน้ำตาล 10 กก. น้ำสะอาด 100 ลิตร คลุกเคล้าให้เข้ากันปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 2 วัน 2 คืน ห้ามให้อากาศเข้า หมักต่ออีก 7 วัน แต่ให้เปิดฝาคนทุกวัน ให้หน่อกล้วยจมน้ำอยู่เสมอ จะได้จุลินทรีย์หน่อกล้วย เก็บไว้ใช้ได้นาน 6 เดือน

ปุ๋ยยูเรียน้ำอินทรีย์…ใช้ถั่วเหลืองบดละเอียด 1 กก. สับปะรดสับละเอียด 2 กก. น้ำมะพร้าว หรือน้ำซาวข้าว 10 ลิตร กากน้ำตาล 3 กก. จุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตร ผสมให้เข้ากัน ใส่ถังหมัก 15 วัน เปิดคนทุกวัน ครบกำหนดกรองกากออกจะได้ยูเรียน้ำอินทรีย์…

ยูเรียสูตรนี้ 4 ลิตร มีสรรพคุณเท่ากับปุ๋ย 46-0-0 หนึ่งกระสอบ

ฮอร์โมนไข่…ใช้ไข่ไก่สด 5 กก. กากน้ำตาล 5 กก. ยาคูลท์ 1 ขวด แป้งข้าวหมาก 1 ก้อน ตีไข่ให้เข้ากัน ผสมกากน้ำตาล นำเปลือกไข่มาตำละเอียดผสมกับวัตถุดิบทั้งหมด หมักในถังพลาสติกปิดฝา คนทุกวัน ครบ 14 วัน ให้กรองเอากากออก

การใช้งาน…ช่วงเดือนแรกใช้น้ำส้มควันไม้ ยูเรียน้ำอินทรีย์ จุลินทรีย์หน่อกล้วย อย่างละ 30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง เพื่อบำรุงใบ…เข้าเดือนที่ 2 ทำเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนจากยูเรียน้ำอินทรีย์เป็นน้ำหมักมูลค้างคาวแทน ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง…เดือนที่ 3-4 ให้ฮอร์โมนไข่ 30 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้งไปจนเก็บเกี่ยว เพื่อบำรุงต้นให้แตกกอดี เปิดตาดอก รวงยาว เมล็ดสมบูรณ์

ในช่วงการปลูกให้ระวังนก หนู ส่วนแมลงศัตรูพืชไม่ค่อยพบ เพราะมีการฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ป้องกันอยู่แล้ว ส่วนวัชพืช หากพบต้องรีบถอนทิ้ง สุพจน์ยืนยันทำเพียงเท่านี้จะได้ข้าวไร่ละ 6 ตันแน่

แต่ถ้าเป็นการปลูกครั้งแรก อาจต้องปรับปรุงดินให้มีอินทรียวัตถุมากหน่อย ผลผลิตอาจไม่ถึง 6 ตัน แต่ 2-3 ตัน นั้นได้แน่ๆ…และถ้าทำนาแบบนี้ไปเรื่อยๆ ปีที่ 2-3 ข้าวไร่ละ 6 ตัน ไม่ไกลเกินเอื้อม.

สะ–เล–เต