นาน้ำน้อย…ไร่ละ 6 ตัน!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/574843

โดย สะ-เล-เต 10 ก.พ. 2559 05:01

 

“การทำนาแบบที่เราเคยชิน ปล่อยน้ำท่วมขังต้นข้าวนาน ผลที่ตามมาทำให้ผนังเซลล์โคนต้นที่จมน้ำตลอดเวลาจึงอ่อนแอ การแตกกอพลอยน้อยลง แสงแดด ออกซิเจน ก็เช่นกันถูกบล็อกไม่ให้ถึงโคน ทำให้เกิดหอยเชอรี่ ปู เพลี้ย แมลงศัตรูพืชตามมา แต่การทำนาใช้น้ำน้อย ให้น้ำแบบปลูกผักจะไม่มีปัญหาเหล่านี้ ต้นข้าวแข็งแรง ผลผลิตเพิ่ม ประหยัดต้นทุนปราบศัตรูพืช ประหยัดน้ำ แถมอัตราการปล่อยก๊าซมีเทนตัวการทำโลกร้อนยังต่ำอีกด้วย เพราะไม่เกิดการหมักเหมือนการทำนาทั่วไป”

เป็นข้อดีของการทำนาน้ำน้อยที่ สุพจน์ ทองเสมียน หนึ่งในเกษตรกรร่วมโครงการทดสอบปลูกข้าวน้ำน้อยแบบชาวนามาดากัสการ์ บอกเล่าถึงความสำเร็จในการทดลองปลูกที่ จ.สระแก้ว ได้ผลผลิตเป็นข้าวเปลือกมากถึง 6 ตันต่อไร่ โดยใช้น้ำเพียงไร่ละ 500 ลบ.ม. และลงทุนแค่ไม่เกิน 5,000 บาท/ไร่

การทำนาน้ำน้อยแบบนี้ สุพจน์ มองว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด…เริ่มจากการเตรียมดิน ไถกลบพืชที่ขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าตอซัง ฟาง หญ้า ปอเทือง พืชตระกูลถั่ว ถ้าไม่มีใช้ใบไม้ ปุ๋ยอินทรีย์มาหว่านทั่วแปลง ในอัตราไร่ละ 5-10 กระสอบ จากนั้นราดด้วยจุลินทรีย์หน่อกล้วย 5-10 ลิตร ผสมน้ำ 200 ลิตร ไถกลบทิ้งไว้ 20-30 วัน ขั้นตอนนี้ถ้าดินไม่ดีต้องทำหลายรอบ

จากนั้นไถคราด ทำคันนา เดินท่อระบบเทปน้ำพุ่ง ซึ่งจะเหมาะมากกับนานอกเขตชลประทาน นำกล้าอายุ 15 วัน จากแปลงเพาะลงปลูกห่างกัน 40×40 ซม. (อาจใช้เชือกขึงทำแนวเพื่อความสะดวก)…ถ้าเป็นข้าวพันธุ์ที่แตกกอเยอะ ให้ปลูกหลุมละต้น แต่ถ้าเป็นพันธุ์แตกกอน้อย ให้ปลูกหลุมละ 2-3 ต้น

พื้นที่ 1 ไร่ จะลงกล้าได้ทั้งหมด 6,400 หลุม และพึงระลึกเสมอว่า…ต้นกล้า 1 หลุม แตกกอ 200 ต้น เราจะได้ข้าวเพิ่ม 200 รวง

การรดน้ำ ไม่จำเป็นต้องให้น้ำท่วมขังตามความเชื่อเดิมๆ แต่ให้พอชุ่มเหมือนปลูกผัก และการปลูกข้าวที่ได้ผลผลิตไร่ละ 6 ตัน สุพจน์ เปิดน้ำรดต้นข้าวแค่วันละ 10 นาที เฉพาะในช่วงที่ดินดูแห้ง หากฝนตกไม่ต้องรดน้ำ นอกจากจะประหยัดน้ำ ยังบริหารจัดการง่าย ไม่เปรอะเปื้อนดินโคลนเวลาเดินเข้านา

มาถึงตรงนี้ คงต้องมาติดตามกันต่อ เขาบริหารจัดการ ดูแลรักษาระหว่างการปลูกยังไง มีเทคนิคอะไรดีๆ ที่ชาวนาจะเอาไปประยุกต์ใช้
กับการทำนาของตัวเองได้.

สะ–เล–เต

ทำนาให้น้ำแบบผัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/574317

โดย สะ-เล-เต 9 ก.พ. 2559 05:01

 

มาว่ากันต่อถึงการทำนาแบบ SRI (system of rice intensification) หรือ การทำนาแบบประณีต ใช้น้ำแค่ 500 ลบ.ม. ต่อไร่ พอๆกับปลูกพืชใช้น้ำน้อยแต่ให้ผลผลิตสูงไร่ละ 6 ตัน…อันเป็นเทคนิคที่ประเทศไทยรับรู้มากว่า 20 ปี แต่ไม่ยอมทำอะไร

จากอดีตเราถูกสอนให้เข้าใจผิดว่า ข้าวเป็นพืชที่ชอบน้ำท่วมขัง…จริงๆ แล้ว ข้าวเป็นพืชตระกูลหญ้าที่สามารถทนน้ำท่วมขังได้มากกว่าหญ้าพันธุ์อื่นๆ เท่านั้นเอง

เมื่อเข้าใจธรรมชาติในหลักการนี้ ผศ.ดร.จิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต อธิบายให้ฟังถึงการทำนาแบบนี้ จึงมีความต่างจากการทำนาแบบที่เราเคยคุ้นชินกันมาในหลายเรื่อง

เรื่องแรก เมื่อข้าวมันคือหญ้า การปรับปรุงดินก็ต้องทำให้เหมือนพืชอื่นๆ ทำดินให้ร่วนซุย โดยใช้ใบไม้แห้ง มูลสัตว์ เป็นหลัก

ต้นกล้าก็เช่นกัน จะเอามาปลูกต้องใช้ ต้นกล้าอายุ 15 วัน ไม่เหมือนที่ทำกันมา ใช้ต้นกล้าอายุ 30 วัน…เหตุที่เป็นเช่นนั้น ต้นกล้า 15 วัน ถอนลงแปลงปลูก รากจะไม่ขาด เหมือนใช้ต้นกล้า 30 วัน

ปลูกแบบประณีต เหมือนปลูกผัก แต่ละหลุมไม่ต้องใส่ให้มากต้น (ขึ้นกับพันธุ์ข้าว พันธุ์ไหนแตกกอเยอะ ปลูกหลุมละต้น พันธุ์ไหนแตกกอน้อยปลูกหลุมละหลายต้น) ปลูกเป็นแนวห่างกัน 40-50 ซม. เพื่อให้ข้าวแตกกอได้ง่าย ไม่แย่งอาหารกันเอง และยังช่วยให้การบริหารจัดการแปลงสะดวก กำจัดวัชพืชได้ง่าย…ไม่เหมือนการดำนาของเราที่ใช้ระยะห่าง 20-25 ซม.

ส่วนเรื่อง “น้ำ” พระเอกของเรื่อง ไม่ได้ใช้วิธีไขน้ำมาขังในนา แต่ให้น้ำผ่านระบบท่อรดน้ำตามแนวปลูก ห้ามให้น้ำขังเด็ดขาด ไม่ต้องให้ทุกวัน แต่ให้ดินชุ่มเสมอเหมือนปลูกผัก สังเกตดินเริ่มแห้งเมื่อไรถึงจะให้น้ำ ด้วยการนำท่อพีวีซีปักในดิน แล้วคอยดูว่ามีน้ำขังอยู่ในท่อพีวีซีหรือเปล่า ถ้ายังมีน้ำก็ไม่ต้องให้

นี่แหละ หัวใจของการทำนาน้ำน้อย ไร่ละ 500 ลบ.ม. ส่วนการดูแลทำกันยังไงถึงได้ผลผลิตสูงไร่ละ 6 ตัน…มีให้ติดตามกันต่อพรุ่งนี้.

สะ–เล–เต

นาน้ำน้อยตัวจริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573932

โดย สะ-เล-เต 8 ก.พ. 2559 05:01

 

โลกร้อน ภัยแล้ง น้ำน้อย อย่าว่าแต่นำไปใช้เพื่อการเกษตร น้ำสำหรับดื่มกิน ทำน้ำประปา อาจจะไม่พอ…ทำนาใช้น้ำมาก ดูจะตกเป็นจำเลยของสังคมไปโดยปริยาย

แม้ปัจจุบันจะมีเทคนิคการทำนาประหยัดน้ำ แบบที่เรียกว่า “เปียกสลับแห้ง แกล้งข้าว” เป็นทางเลือกให้เกษตรกรใช้น้ำอย่างประหยัดก็ตาม แต่ก็ลดการใช้น้ำได้ไม่เกิน 30% หรือลดการใช้น้ำทำนาจากไร่ละ 1,200-1,500 ลบ.ม. เหลือ 840-1,050 ลบ.ม.

แต่วันนี้ การทำนาเปียกสลับแห้งต้องบอกว่า ยังใช้น้ำมากเกินไป เพราะมีการทำนาน้ำน้อย น้อยจริงๆ ใช้น้ำแค่เพียงไร่ละ 500 ลบ.ม. พอๆกับพืชใช้น้ำน้อยอย่างข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วลิสง

ที่สำคัญให้ผลผลิต 6,000 กก./ไร่ ในขณะนาเปียกสลับแห้ง ได้อย่างมากแค่ 1,200 กก.

การทำนาแบบนี้มีชื่อเรียก SRI (system of rice intensification) แปลตรงตัวคือ การทำนาแบบประณีต

หลายคนอาจเข้าใจว่านี่เป็นเทคนิคใหม่ จริงๆแล้วเป็นเรื่องเก่า บ้านเราได้ยินกันมาไม่น้อยกว่า 20 ปี แต่คนไทยยุคนั้นไม่สนใจไยดี เพราะน้ำท่ามันยังอุดมสมบูรณ์ ผิดกับวันนี้

ผศ.ดร.จิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เล่าถึงที่มาที่ไปของการทำนาใช้น้ำน้อยจริงๆ เป็นเทคนิคมาจากภูมิปัญญาชาวนามาดากัสการ์ ที่คิดค้นขึ้นมาเมื่อ 60 ปีที่แล้ว จากนั้นได้ถูกนำมาเผยแพร่ใน 40 ประเทศทั่วโลก โดยนักวิชาการชาวอเมริกัน

ในเอเชียมีหลายประเทศที่ใช้วิธีการทำนาแบบนี้ ศรีลังกา ลาว กัมพูชา ส่วนบ้านเรารับรู้เรื่องนี้มาเหมือนกัน แต่ไม่ยอมใช้ จนถูกลืมเลือนไป และเมื่อนำมาพูดอีกครั้ง เลยนึกว่าเป็นเรื่องใหม่

หลักสำคัญของการทำนาแบบนี้ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจใหม่ว่าข้าวไม่ใช่พืชชอบน้ำท่วมขัง จริงๆแล้วข้าวเป็นพืชตระกูลหญ้าที่สามารถทนน้ำท่วมขังได้มากกว่าหญ้าพันธุ์อื่นๆเท่านั้นเอง

ส่วนจะปลูกกันยังไง ให้น้ำกันแบบไหน ถึงใช้น้ำน้อยนิด แต่ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นมหาศาล…ติดตามตอนต่อไป.

สะ–เล–เต

เลี้ยงปลาฝ่าอากาศแปรปรวน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/572048

โดย สะ-เล-เต 4 ก.พ. 2559 05:01

 

ปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น ต้องปรับอุณหภูมิร่างกายเท่ากับสภาพแวดล้อม อุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเลี้ยงปลานิล ปลาทับทิม ปลา ยอดนิยมของเกษตรกรไทยอยู่ที่ประมาณ 26-30 ํC

เมื่อมาเจอสภาพอากาศแปรปรวน อุณหภูมิลดต่ำลงในช่วงเช้าและค่ำ สลับกับร้อนในช่วงกลางวันอย่างในตอนนี้ อุณหภูมิที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา มีผลทำให้ระบบเมตาบอลิซึ่มของปลาผิดปกติ ปลาจะชะงักการเจริญเติบโต สุขภาพแย่ลง เซื่องซึม กินอาหารน้อย ยิ่งอีกไม่กี่วันต้องเจอปัญหาภัยแล้ง พื้นที่เลี้ยงมีปริมาณน้ำลด ยิ่งทำให้ปลากระชังที่เลี้ยงในแม่น้ำสายต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ภาวะวิปริตเช่นนี้ อดิศร์ กฤษณวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ แนะนำให้เกษตรกรวางแผนเลี้ยงให้รอบคอบ ไม่ปล่อยปลาหนาแน่นเกินไป ก่อนปล่อยปลาลงกระชังให้อนุบาลลูกปลาก่อนปล่อย 1 เดือน เพื่อให้ลูกปลาโตมีภูมิต้านทานเพิ่ม หรือซื้อหาลูกพันธุ์ที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาปล่อยแทน
ให้เฝ้าสังเกตอาการปลากินอาหารน้อยลง เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน จึงควรให้อาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง เพิ่มเป็นวันละ 5-6 มื้อ เพื่อให้อาหารเท่าที่ปลากินหมด และห้ามให้อาหารช่วงเช้า เพราะอากาศเย็นปลากินอาหารได้น้อย

ที่ขาดไม่ได้ช่วงอากาศหนาวจัด ควรผสมวิตามินซีเพื่อกระตุ้นภูมิต้านทานโรคลงไปในอาหารปลา ให้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ถ้าเป็นไปได้ควรตรวจสอบสุขภาพปลาโดยสุ่มตรวจพาราไซต์ทุกสัปดาห์

คุณภาพน้ำเป็นอีกสิ่งที่ควรหมั่นตรวจเป็นประจำ ค่าของแอมโมเนียไม่ควรเกิน 0.5 ppm ออกซิเจนต้องไม่น้อยกว่า 4 ppm จะให้ดีควรติดตั้งเครื่องให้อากาศ โดยเฉพาะช่วงอากาศร้อน ควรเปิดตลอดเวลา ให้น้ำ
คลุกเคล้ากับอากาศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ส่วนการเลี้ยงในบ่อดิน แนะนำให้นำระบบ “โปรไบโอติก” ใช้แบคทีเรียเป็นมิตรกับปลาและสิ่งแวดล้อม ช่วยปรับสมดุลสิ่งแวดล้อมในบ่อ ห้ามใช้ยา สารปฏิชีวนะใดๆ และเมื่อหากลมหนาวมาเยือน ให้ทำแนวบังลมในทิศทางที่ลมหนาวพัดมา เพื่อช่วยลดความเย็นในบ่อ…ปลาจะได้ไม่ทุกข์หนัก จนไม่กินอาหาร

ตอนนี้ยังพอมีน้ำให้เลี้ยงได้ เลี้ยงให้ดีจะได้มีเงินเก็บ เพราะต่อไปน้ำจะสาหัสกว่านี้ สิบอกไฮ่.

สะ–เล–เต

ไก่หนาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/571522

โดย สะ-เล-เต 3 ก.พ. 2559 05:01

 

ลมหนาวยังไม่หมด ยังมีตามมาสมทบกันอีกระลอก สภาพอากาศเช่นนี้ สัตว์ปรับตัวไม่ทัน ส่งผลให้สัตว์เกิดความเครียด ภูมิคุ้มกันโรคลดลง เจ็บป่วยได้ง่าย

น.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก ซีพีเอฟ เตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกให้เอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ ด้วยการปรับสภาพในโรงเรือนให้มีความอบอุ่นแก่ตัวสัตว์ ใช้ผ้าม่านหรือกระสอบมาปิดบังลมรอบโรงเรือน แต่ต้องมีการระบายอากาศ ส่วนในโรงเรือนปิดแบบอีแวปควรกั้นผ้าหรือกระสอบเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้มีลมโกรก และอาจเพิ่มไฟกกให้กับสัตว์ที่อายุยังน้อย

แต่ย้ำว่า…ไม่ควรสุมไฟให้ไก่ เพราะอาจเกิดอันตรายได้

การเลี้ยงไก่เนื้อให้ใช้แกลบรองพื้นในการเลี้ยง และหมั่นกลับแกลบอย่างน้อย 1-2 วันต่อครั้ง เพื่อป้องกันการเก็บความชื้น ส่วนไก่ไข่ต้องจัดการกับมูลไก่ใต้กรงบ่อยขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากแก๊สแอมโมเนียที่จะมีมากขึ้นในช่วงนี้ และควรเพิ่มอาหารให้มากขึ้น เพื่อไก่จะได้นำพลังงานจากอาหารไปต่อสู้กับความหนาวเย็น พร้อมเข้มงวดกับการทำวัคซีนป้องกันโรคตามระยะ เวลาที่กำหนด โดยสามารถเพิ่มวิตามินละลายน้ำให้ไก่กินได้ตามสมควร

และด้วยในช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคมของทุกปี จะมีการอพยพย้ายถิ่นของฝูงนกจากซีกโลกเหนือมายังบ้านเรา เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์ปีก เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกแบบปล่อย เช่น เป็ดไล่ทุ่งและไก่บ้านในช่วงนี้ควรนำสัตว์ปีกเข้าไปเลี้ยงภายในโรงเรือนที่มีตาข่ายปิดมิดชิดและมีหลังคาคลุม เพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดนกจากฝูงนกอพยพ ควบคู่กับการให้น้ำของสัตว์ปีกจะต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนออกฤทธิ์ประมาณ 2-3 ppm หรือปริมาณน้ำ 1,000 ลิตรต่อคลอรีนออกฤทธิ์ 2-3 กรัม รวมไปถึงการพ่นยาฆ่าเชื้อในกลุ่มกลูตาราลดีไฮด์เป็นประจำทุกวัน ที่สำคัญควรมีรองเท้าบูตสำหรับใส่ภายในโรงเรือนโดยเฉพาะ

สำหรับเกษตรกรที่สงสัยสัตว์ของตนเองจะเสี่ยงติดเชื้อโรค สังเกตได้จากมีการตายผิดปกติเกินร้อยละ 1 ของสัตว์ทั้งฟาร์มต่อวัน ให้แจ้งไปที่สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก 0–2988–0670 เพื่อจะได้ส่งเจ้าหน้าที่ของซีพีเอฟลงพื้นที่เก็บตัวอย่างสัตว์และนำมาส่งตรวจ โดยจะทราบผลภายใน 1–2 วัน.

สะ–เล–เต

แก้หนาวให้สัตว์กีบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/571013

โดย สะ-เล-เต 2 ก.พ. 2559 05:01

 

ภูมิอากาศโลกแปรปรวนสุดจะบรรยาย หนาวกะทันหันอย่างไม่เคยพบเคยเห็นได้เจอกันมา…การประกอบอาชีพเกษตรที่ต้องพึ่งพาลมฟ้าธรรมชาติเป็นหลัก ยิ่งต้องระมัดระวังศึกษาหาความรู้ให้มากเข้าไว้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมา

หนาวๆ อย่างนี้ น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ ฝากเตือนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ระยะนี้ต้องควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนให้มีอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่หนาวจนเกินไป

สังเกตได้ง่ายๆ จากการนอนของสุกร…ถ้าอุณหภูมิเหมาะสม หมูจะนอนสบายใช้ด้านข้างตัวนอนราบกับพื้น…แต่หากอุณหภูมิต่ำ หนาวเย็นเกินไป สุกรมักจะนอนบนขาตัวเอง และมีอาหารหนาวสั่น หรือไม่ก็มันจะนอนรวมสุมกันเป็นกอง

อาจใช้ผ้าม่านกั้นแนวลมที่จะเข้าโรงเรือนเพื่อไม่ให้ลมหนาวพัดผ่านตัวสุกรโดยตรง กรณีลูกสุกรอายุน้อยอาจทำกล่องกกและเพิ่มหลอดไฟกก หรือใช้วัสดุรองพื้น เช่น ตีแผ่นไม้รองนอน แกลบ ขี้กบ ขี้เลื่อย เพื่อไม่ให้หมูสัมผัสกับความเย็นของพื้นซีเมนต์ แต่ต้องมั่นใจว่าวัสดุรองนอนเหล่านั้นปลอดจากเชื้อโรค และต้องควบคุมไม่ให้โรงเรือนเปียกชื้นหรือแฉะมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้อุณหภูมิภายในลดต่ำลง

และต้องควบคุมการให้อาหารให้เหมาะสม ด้วยการแบ่งมื้ออาหารให้มากขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นการกินอาหารของสุกร เนื่องจากอากาศหนาวหมูจะกินอาหารแต่ละครั้งได้ไม่มากเหมือนเดิม

ส่วนเรื่องโรคในสัตว์กีบคู่ โค กระบือ รวมทั้งสุกร ช่วงนี้ต้องเฝ้าระวังเรื่องโรคติดต่อ โดยเฉพาะโรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) ป้องกันด้วยการทำวัคซีนตามโปรแกรมที่สัตวแพทย์แนะนำ และป้องกันสัตว์พาหะจากภายนอกที่อาจนำเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์ม รวมถึงไม่อนุญาตให้คนภายนอก ที่มีโอกาสสัมผัสเชื้อจากฟาร์มอื่นเข้าฟาร์ม

ที่สำคัญ ไม่อนุญาตให้รถบรรทุกจากฟาร์มอื่นที่มีสัตว์อยู่บนรถเข้าฟาร์มโดยเด็ดขาด

ในสุกรควรระวังโรคพีอาร์อาร์เอส (PRRS) เป็นพิเศษ การป้องกันควรเน้นควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนที่เหมาะสม กรณีเกิดโรคขึ้นในฟาร์มให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์…ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถสอบถามข้อมูลด้านสุขภาพสัตว์และขอคำแนะนำอย่างครบวงจร ได้ที่สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก 0-2988-0670 ในเวลาทำการตั้งแต่ 08.30-18.00 น.

สะ–เล–เต

อากาศแห้งแมลงถั่วลิสงระบาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/570669

โดย สะ-เล-เต 1 ก.พ. 2559 05:01

 

ลมหนาวมาพร้อมกับอากาศแห้ง กรมวิชาการเกษตรเตือนเกษตรกรปลูกถั่วลิสง ระวังแมลงศัตรูพืช 4 ชนิด…เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยไฟ หนอนม้วนใบถั่ว และหนอนกระทู้ผัก

ในระยะที่ถั่วลิสงอายุ 30 วัน ให้สังเกต เพลี้ยจักจั่น มักพบตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของเพลี้ยจักจั่น มักจะมาดูดน้ำเลี้ยงใต้ใบ ทำให้ใบเหลืองไปจนถึงทำให้ขอบใบไหม้ ห่อขึ้นด้านบน ใบแห้งและร่วงหล่น ทำให้ผลผลิตลดลง 50%…หากในแปลงปลูกพบใบถูกทำลาย 40% ให้พ่นสารฆ่าแมลงคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 40 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร

เพลี้ยไฟ ก็เช่นกัน เราจะพบตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมาดูดน้ำเลี้ยงจากใบและยอดอ่อน ทำให้ใบหงิกงอ บิดเบี้ยว แห้งกรอบ และมีไขติดเส้นกลางใบสีน้ำตาลคล้ายสนิม ถ้าระบาดรุนแรงจะทำให้ยอดไหม้และตาย ผลผลิตลดลงมากกว่า 50%…ให้ฉีดพ่นสารฆ่าแมลงคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 50 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไตรอะโซฟอส 40% อีซี อัตรา 50 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นซ้ำ 1-2 ครั้ง ห่างกัน 7 วัน

ส่วน หนอนม้วนใบถั่ว ที่ฟักออกจากไข่ใหม่ๆอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ชักใยบางๆ คลุมตัวไว้กัดกินผิวใบ เมื่อหนอนโตขึ้นจะกระจายกันออกไปเพื่อหากินใบอื่น หรือไม่ก็ชักใยดึงเอาใบหลายๆ ใบมาห่อรวมกัน และอาศัยกัดกินอยู่ในใบที่ม้วนนั้นจนหมด จะแยกย้ายกันไปทำลายใบอื่นต่อไป

หากพบใบถูกทำลาย 30% ให้พ่นสารฆ่าแมลงแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% อีซี อัตรา 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไตรอะโซฟอส 40% อีซี อัตรา 40 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 40 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร

สำหรับ หนอนกระทู้ผัก ตัวอ่อนที่ฟักออกมาจากไข่ใหม่ๆอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ช่วยกันแทะผิวใบด้านล่าง เหลือแต่ผิวใบด้านบน เมื่อผิวใบแห้งจะเห็นเป็นสีขาว เมื่อโตขึ้นจะแยกกลุ่มออกไปกัดกินใบทั่วทั้งแปลง หากพบการระบาดให้พ่นเชื้อไวรัสของหนอนกระทู้ผัก ในอัตรา 50 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร พ่น 1-2 ครั้ง

หากในแปลงปลูกพบใบถูกทำลาย 30% ให้พ่นสารฆ่าแมลงแลมบ์ดา-ไซฮาโลทริน 2.5% อีซี อัตรา 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไตรอะโซฟอส 40% อีซี อัตรา 40 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคลอร์ฟลู–อาซูรอน 5% อีซี อัตรา 20 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร.

สะ–เล–เต

เกษตรในฝัน..ซีพี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/568712

โดย สะ-เล-เต 28 ม.ค. 2559 05:01

 

“ข้อจำกัดของเกษตรกรไทย ขาดกระบวนการบริหารจัดการ ขาดความรู้เทคโนโลยี ขาดความสามารถในการพัฒนาสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของตลาด ขณะเดียวกันมีความเสี่ยง 3 ประการ เงินลงทุน ภัยธรรมชาติ และราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอน”

เป็นมุมมองของ ศุภชัย เจียรวนนท์ รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ในเวที “สัมมนาการเกษตรทันสมัยเพื่อความยั่งยืนในสังคม AEC” จัดโดยสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เมื่อสุดสัปดาห์เกษตรกรส่วนใหญ่ยังอยู่ในวังวนหนี้สิน จากความไม่ชัดเจนในเรื่องที่ทำกิน ความขัดแย้งเรื่องแนวเขตที่ดินระหว่างรัฐกับประชาชน และความไม่เป็นเอกภาพในการจัดการที่ดินของรัฐ ทำให้เกิดการสูญเสียที่ทำกิน ส่งผลให้เกิดความล้มเหลวในการผลิตสินค้าเกษตร และก่อให้เกิดปัญหาอีกหลากหลายตามมา

ทั้งที่เรามีพื้นที่ปลูกข้าวมากที่สุดในอาเซียน ทำไมผลผลิตต่อไร่เราต่ำ ทั้งที่เรามีสินค้าเกษตรส่งออกมากมาย แต่ทำไมเกษตรกรยังคงยากจน…ผู้บริหารซีพีตั้งคำถาม เหมือนที่เกษตรกรเคยถาม แต่ไม่เคยได้คำตอบ

การแก้ปัญหาในอดีต สหรัฐอเมริกาใช้คอนแทรกต์ฟาร์มมิ่ง ลักษณะปลาใหญ่กินปลาเล็ก ใครทำดีเก่งขยายกิจการทำต่อไป ใครทำไม่ได้ก็ล้มหายตายจาก…ส่วนอียู ใช้ระบบสหกรณ์ เริ่มจากชุมชน โดยมีผู้นำที่เข้มแข็ง เป็นทั้งนักบริหาร นักลงทุน พ่อค้า นำผลกำไรคืนสู่ผู้ถือหุ้น

ส่วนไทยคอนแทรกต์ฟาร์มมิ่งถูกมองเป็นการผูกขาด เอาเปรียบเกษตรกร…สหกรณ์ไทยก็ล้มเหลว ขาดประสิทธิภาพ ทำให้การเกษตรไทยล้มเหลวทั้งในเชิงระบบและตัวเกษตรกร

ถ้าจะให้เกษตรไทยอยู่รอดในเวทีการค้าเสรีได้ ศุภชัย มองเรื่องปรับเปลี่ยนการทำเกษตรแบบเดิมๆ ไปสู่เกษตรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่… นายทุน พ่อค้าคนกลาง เกษตรกร จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อชุมชน มีการบริหารงานแบบเอกชน ที่มีผลกำไรผลตอบแทนคืนให้ผู้ถือหุ้น โดยเกษตรกรจะต้องมีส่วนร่วมในหุ้นนั้นๆ

ขณะเดียวกัน เกษตรกรต้องปรับตัวเข้าให้ถึงเทคโนโลยี รู้ข้อมูลทุกอย่าง จากนั้นค่อยๆกลายเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ มองทั้งตลาดในและตลาดนอก เข้าใจกลไกตลาด พร้อมไปกับเพิ่มมูลค่าสินค้า สร้างมาตรฐาน ความปลอดภัย มีแหล่งที่มาที่ไปของผลผลิต ผู้นำต้องมีศักยภาพ และเอาความรู้ที่มีทั้งหมดเข้าระบบ เพื่อแบ่งแชร์ให้คนอื่น เชื่อมโยงเทคโนโลยีระหว่างเกษตรกร-เอกชน-หน่วยงานภาครัฐ เชื่อมให้ได้ว่า…ใครที่ไหน ต้องการอะไร

สำคัญที่สุดคือ ภาครัฐต้องมีความชัดเจนในทุกเรื่อง และต้องปฏิรูปตัวเองให้ได้เช่นกัน.

สะ–เล–เต

โรคสตรอเบอรี่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/568147

โดย สะ-เล-เต 27 ม.ค. 2559 05:01

 

สตรอเบอรี่อยู่ในช่วงออกดอกติดผล และระยะนี้จะมีหมอกในตอนเช้าและอุณหภูมิลดต่ำ กรมวิชาการเกษตร เตือนเกษตรกรเฝ้าระวังการระบาด…ไรสองจุดสตรอเบอรี่

สังเกตที่ผิวใบ บริเวณที่ไรดูดทำลายมีลักษณะกร้าน ใต้ใบเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง หากเริ่มพบไรสองจุดเข้าทำลายใต้ใบสตรอเบอรี่ (1-2 ตัวต่อใบย่อย) ให้ใช้ชีววิธีปล่อย “ไรตัวห้ำ” ในอัตรา 2-5 ตัวต่อต้น หรือ 5,300-13,300 ตัวต่อพื้นที่แปลงสตรอเบอรี่ขนาด 1 งาน และควรปล่อยเป็นระยะๆ ห่างกันประมาณ 2 สัปดาห์

แต่ถ้ามีจำนวนไรสองจุดเกินกว่า 5-20 ตัวต่อใบย่อย ให้ปล่อยไรตัวห้ำในอัตรา 30-40 ตัวต่อต้น จำนวน 3-4 ครั้ง…หากพบการระบาดรุนแรงและไม่มีการเลี้ยงขยายไรตัวห้ำ แนะให้ใช้สารเฟนไพรอกซิเมต 5% เอสซี อัตรา 20 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารโพรพาร์ไกต์ 30% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร (ควรใช้สารเฟนไพรอกซิเมตเป็นอันดับแรกเพราะเป็นอันตรายต่อไรตัวห้ำน้อย)

ส่วนโรคอื่นที่มักจะพบในการปลูกสตรอเบอรี่ในช่วงนี้ คือ…โรคใบจุด จะเห็นอาการบนก้านใบหรือผล มีแผลขนาดเล็กสีม่วงเข้ม ต่อมาแผลจะขยายขนาด รอบแผลมีสีม่วงแดง กลางแผลสีน้ำตาลอ่อนถึงขาวหรือเทา ให้เกษตรกร กำจัดวัชพืชในแปลงปลูก ตัดแต่งใบแก่ออก เพื่อให้ต้นโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก เมื่อพบโรคให้ตัดส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก หากโรคเริ่มระบาด ให้พ่นด้วยสารไดฟีโนโคนาโซล 25% อีซี อัตรา 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารไตรฟลูมิโซล 30% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 6 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร

โรคแอนแทรคโนส มักพบอาการบนไหล แผลขนาดเล็กสีม่วงแดง ขยายลุกลามตามความยาวสายไหล แผลที่ขยายยาวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล อาการที่เกิดกับผล แผลจะเป็นวงรีสีน้ำตาลเข้ม เนื้อเยื่อของแผลบุ๋มลึกลงในผิวผล เมื่ออากาศชื้นจะมองเห็นกลุ่มสปอร์สีส้มของเชื้อราอยู่บริเวณแผล ให้ตัดส่วนที่เป็นโรคไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก หากพบโรคเริ่มระบาดที่ไหล ให้พ่นด้วยสารฟลูโอไพแรม+สารไตรฟลอกซีสโตรบิน 25% +25% เอสซี อัตรา 10 มล.ต่อน้ำ 20 ลิตร

หากพบ 2 โรคนี้ ให้งดการให้น้ำแบบพ่นฝอย ให้ใช้ระบบน้ำหยดแทน และแปลงที่พบการระบาดของโรค หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ให้เก็บซากพืชไปเผาทำลายนอกแปลงปลูก และควรปลูกพืชชนิดอื่นหมุนเวียน ควรไถดินให้ลึกและพลิกหน้าดินตากแดดหลายๆวัน เพื่อทำลายเชื้อโรค และใส่ปูนขาวปรับสภาพดินก่อนปลูกพืชฤดูถัดไป.

สะ–เล–เต

อนาคตเกษตรกับโลกร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/567637

โดย สะ-เล-เต 26 ม.ค. 2559 05:01

 

แค่เดือนมกราคม ภัยแล้งออกฤทธิ์เผาน้ำแห้งขอดกันไปแล้วหลายพื้นที่…ผู้รู้หลายคนต่างให้น้ำหนักไปที่อิทธิพลของปรากฏการณ์เอลนินโญ

แต่ รศ.ดร.บัญชา ขวัญยืน รักษาการอธิบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในกูรูเรื่องน้ำ ให้น้ำหนักไปที่ปรากฏการณ์โลกร้อน อากาศแปรปรวนมากกว่า

และฝากบอกเตือนพี่น้องเกษตรกรไทยให้ตระหนักเรื่องนี้ให้มาก คิดจะทำเกษตรให้ตัวเองอยู่รอดในยุคนี้ได้ อย่าหวังพึ่งพาฝนฟ้าเป็นอันขาด และอย่าได้คิดหวังพึ่งพาการหาน้ำชลประทานจากภาครัฐ

เรื่องหวังพึ่งน้ำชลประทาน จากเขื่อน จากอ่างเก็บน้ำ มองข้ามไปได้เลย เนื่องจากประเทศแทบจะไม่เหลือพื้นที่ ให้สร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำใหม่ๆ ได้อีกแล้ว เพราะพื้นที่เหมาะสมถูกสร้างไปหมดแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อน

ส่วนฝนฟ้านั้นยิ่งพึ่งพาไม่ได้ไปกันใหญ่ เพราะภาวะอากาศที่แปรปรวน ฤดูกาลต่างๆจะไม่เหมือนเดิม ฤดูฝนที่คิดว่าฝนจะตก ฝนอาจจะมาช้าไปเป็นเดือนๆ ดูอย่างวันนี้ มกราคมฝนดันมาตกได้ยังไง หนาวก็ไม่หนาว

ที่สำคัญรูปแบบของฝนจะไม่เหมือนเดิม โลกร้อนนอกจากจะทำให้ฝนน้อยลงแล้ว ฝนตกมาแต่ละครั้งจะตกมาในปริมาณมากกว่าเดิมจนกลายเป็นน้ำท่วม…ที่ไหนเคยน้ำดีก็อาจจะไม่ดีเหมือนเก่า เห็นได้จาก กี่ปีมาแล้วล่ะที่ฝนไม่ยอมตกเหนือเขื่อน น้ำไหลเข้าเขื่อนน้อย

“โลกวันนี้เราไม่สามารถนำสถิติเก่าๆ 20-30 ปี มาเป็นฐานข้อมูลในการวางแผนบริหารจัดการน้ำได้อีกแล้ว เพราะธรรมชาติไม่เหมือนเดิม ภาครัฐไม่สามารถไปควบคุมบังคับให้ฝนตกได้ และบังคับให้ฝนตกลงเขื่อนไม่ได้ ฉะนั้น หนทางที่จะช่วยให้เกษตรกรอยู่รอดได้ ต้องพึ่งพาตัวเอง สร้างแหล่งน้ำสำรองเป็นของตัวเอง”

เพราะเป็นหลักประกันในการทำอาชีพเกษตรได้ดีที่สุด ดูอย่างเกษตรกร ทำการเกษตรแบบผสมผสานตามหลักทฤษฎีใหม่…เกิดภัยแล้ง ทำไมเกษตรกรกลุ่มนี้ถึงไม่เดือดร้อน นั่นเพราะมีบ่อน้ำเป็นของตัวเอง

เกษตรกรต้องเลิกคิด การขุดบ่อในที่ดินทำให้สูญเสียที่ทำกิน…ต้องคิดใหม่ มีสระน้ำ คือการให้โอกาสตัวเองมีทางหาเงินได้ทั้งปี ยุคโลกร้อนขืนมัวรอแต่ฝนฟ้า ชีวิตจะเอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนฝน.

สะ–เล–เต