แล้งนี้…ระวังหนอนหัวดำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/567236

โดย สะ-เล-เต 25 ม.ค. 2559 05:01

 

8 ปีมาแล้ว…ที่หนอนหัวดำ แมลงศัตรูพืชต่างถิ่นเข้ามาซ่องสุมกำลัง ทำลายสวนมะพร้าวบ้านเรา

ที่ผ่านมา แม้การปราบปรามด้วยการปล่อยแตนเบียนไข่กริโกแกรมม่า และใช้สารเคมี (emamectin benzoate 1.92% EC) ฉีดเข้าลำต้น จะสามารถลดพื้นที่การระบาดลงสูงสุด 100,510 ไร่ เมื่อปี 2556…ให้ลงมาเหลือ 56,287 ไร่ ได้ในปี 2557 ทำให้หลายฝ่ายต่างคลายกังวล การปราบปรามได้ผลจริง

ลดพื้นที่การระบาดไปถึง 44%

การเอาใจใส่ปราบปรามอย่างจริงจังของชาวสวนมะพร้าวลดลง ประกอบกับปี 2558 ประเทศไทยประสบภัยแล้งรุนแรง เป็นธรรมชาติของแมลง เจอความแห้งแล้ง อากาศร้อน จะกระตุ้นให้แมลงขยันผสมพันธุ์มากขึ้นเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเองไม่ให้สูญสลาย…ส่งผลให้ปีที่ผ่านมา พื้นที่การระบาดเด้งเพิ่มไปเป็น 73,032 ไร่

ไม่เพียงแค่นั้น การระบาดยังกว้างไกลมากขึ้น จากเดิมที ปี 2556 มีการระบาดแค่เพียง 16 จังหวัด…วันนี้ครอบคลุมกินพื้นที่ไปถึง 24 จังหวัด จากระบาดกันแค่ภาคใต้ ลุกลามมาถึงภาคกลาง ภาคตะวันออก

ปีนี้แล้งหนักกว่าปีก่อน ฉะนั้นพี่น้องชาวสวนมะพร้าวห้ามประมาทละเลยโดยเด็ดขาด แม้พื้นที่ระบาดจะยังไม่ถึงแสนไร่ก็ตาม แต่โอกาสที่มันจะขยันผสมพันธุ์ให้ระบาดหนักได้เหมือนเก่านั้นไม่ยาก

วันนี้เศรษฐกิจประเทศไม่ดี รัฐบ่จี๊ พี่น้องชาวสวนมะพร้าวโปรดอย่างอมืองอเท้ารอแต่ความช่วยเหลือจากทางการอย่างเดียว…ต้องพึ่งตัวเอง เป็นหลัก ขืนมัวแต่รอ กว่าถั่วจะสุกงาจะไหม้เสียก่อน รู้ๆกันอยู่ ราชการบ้านเราทำงานได้รวดเร็วขนาดไหน

ช่วงนี้ให้หมั่นดูแลสวนมะพร้าว ตรวจดูทางใบ หากมีหนอนหัวดำ มาทำรัง ให้ตัดทางใบมาฝังหรือเผาทำลายทิ้ง และร่วมด้วยช่วยกันเพาะเลี้ยงแตนเบียนไข่กริโกแกรมม่า มาปล่อยให้ไปกัดกินหนอนหัวดำ…สามารถขอพันธุ์มาเลี้ยงขยายพันธุ์ได้ที่ “ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน” ใกล้บ้าน

อย่าทำเป็นวางเฉย ธุระไม่ใช่ ปล่อยให้หนอนหัวดำระบาดหนักถึงขั้นต้องใช้วิธีฉีดสารเคมีเข้าต้นมะพร้าว ค่าใช้จ่ายจะบานไม่หุบ…และถ้ามัวรอให้รัฐช่วย ไม่มีทางได้ทั่วถึง มีแต่โค่นทิ้งสถานเดียว.

สะ–เล–เต

เดินหน้าสหกรณ์ทุจริต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/565355

โดย สะ-เล-เต 21 ม.ค. 2559 05:01

 

การพัฒนาสหกรณ์ไทยให้มีความเข้มแข็งตามนโยบายนายกรัฐมนตรีก้าวไปอีกขั้น ล่าสุดกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ผลักดันแผนพัฒนาความเข้มแข็งสหกรณ์ระยะเร่งด่วนภายใน 2 ปี (2559–2560)

เน้นมาตรการพัฒนาการบริหารจัดการและระบบธรรมาภิบาล เสริมสร้างความโปร่งใสให้สหกรณ์ ยกระดับมาตรฐานการควบคุมภายใน ยกระดับมาตรฐานความมั่นคงทางการเงิน มาตรการกำกับและตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น และมีการแก้ไขกฎหมาย เพิ่มอำนาจให้นายทะเบียนสหกรณ์ในการออกระเบียบมีอำนาจฟ้องร้องบุคคลภายนอกที่มาสร้างความเสียหายต่อสหกรณ์ได้

สำหรับมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวด ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้กำหนดให้มีการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของสหกรณ์ผ่านระบบ MIS จัดทีมตรวจการสหกรณ์ระดับจังหวัด ตรวจสอบทั้งระบบทุกสหกรณ์ภายใน 3 ปี และต่อไปจะกำหนดให้สหกรณ์รายงานธุรกรรมทางการเงินทุกเดือน รวมถึงตั้งทีมตรวจสอบระดับจังหวัด ลงพื้นที่ตรวจสอบสหกรณ์ทุกแห่ง และมีทีมตรวจการสหกรณ์เฉพาะกิจจากส่วนกลางเข้าไปตรวจสอบกรณีที่สหกรณ์ดำเนินการส่อไปในทางทุจริต โดยประสานความร่วมมือกับกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

นอกจากนี้ยังเตรียมตั้งสถาบันพัฒนากรรมการสหกรณ์โดยเฉพาะ เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารงานสหกรณ์ ควบคู่กับการสร้างธรรมาภิบาล สำหรับการพัฒนาด้านการตรวจการและตรวจสอบบัญชีจากหน่วยงานภาครัฐ จะมีการตั้งโรงเรียนผู้ตรวจการสหกรณ์และโรงเรียนผู้ตรวจสอบบัญชีขึ้น รวมถึงมีเครือข่ายสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นสันนิบาตสหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ สถาบันการศึกษา สถาบันทางการเงิน หอการค้า สภาอุตสาหกรรม

เครือข่ายเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยยกระดับความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์เชื่อมั่นว่าหากสามารถขับเคลื่อนได้ตามแผนที่กำหนด สหกรณ์จะเป็นระบบที่เข้มแข็งและสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศได้ตามนโยบายของรัฐบาล

ขอให้เป็นจริง ทำจริงทีเถอะ…ไม่ใช่มัวคิดแต่จ้องจับผิด จนการพัฒนาเดินหน้าไม่ได้ก่ะแล้วกัน.

สะ–เล–เต

ล้งจีนพ่นพิษ..ลำไยจันทบุรี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/564880

โดย สะ-เล-เต 20 ม.ค. 2559 05:01

 

20 ปีมาแล้วที่เกษตรกร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ปรับเปลี่ยนอาชีพจากชาวไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพด มาเป็นชาวสวนลำไย เพราะเป็นพื้นที่มีศักยภาพ อากาศดี สามารถทำลำไยนอกฤดูได้

10 ปีมาแล้ว ที่พ่อค้าชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ได้เข้ามาลงทุนสร้าง “ล้ง” รับซื้อผลผลิตลำไยนอกฤดู เฉพาะในเขต จ.จันทบุรี มีมากกว่า 50 ล้ง ทำให้เกิดการแข่งขันรับซื้อลำไยสูง เป็นผลดีต่อเกษตรกรที่ขายลำใยได้ราคา เพราะมีการมาจองขอซื้อเหมาสวนล่วงหน้า

ลำไยเริ่มออกดอกล้งจีนจะส่งตัวแทนมาเจรจาขอซื้อเหมาสวน ให้ราคา กก.ละ 40-60 บาท แล้วแต่จะตกลงกัน จากนั้นจะมีการทำสัญญาซื้อขาย จ่ายมัดจำกันล่วงหน้า 20-30% ส่วนที่เหลือค่อยมาจ่ายกันหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว…เกษตรกรมีหน้าที่ดูแลลำไยให้ได้คุณภาพ

ตามที่ตกลงกันไว้ ไม่ให้ขาดปุ๋ย ขาดน้ำ ขาดยา และต้องไม่ให้เกิดโรค ไม่เช่นนั้นจะถูกหักค่าเสียหาย ค่าใช้จ่ายส่วนนี้เกษตรกรจะรับภาระทั้งหมด

ภาพโดยรวม 10 ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีปัญหาตุกติกกันสักเท่าไร จะมีรายการเบี้ยวผิดสัญญาบ้างไม่กี่ราย อยู่ในระดับที่พอเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้

แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิม…จะเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นดี เศรษฐกิจจีนซบเซา ไม่อาจจะคาดเดาได้ เพราะที่ผ่านมาก็มีปัญหามาแล้ว เพียงแต่ไม่มากเท่าปีนี้ เกษตรกรถูกเบี้ยวมากถึง 40–50%

ลำไยนอกฤดูที่ทำสัญญากันไว้ ถึงเวลาที่จะต้องมาเก็บเกี่ยวออกจากสวนแล้ว เจ้าของสวนแจ้งให้มาเก็บเกี่ยวแล้ว…แต่ล้งจีนไม่ยอมมา

อ้างเหตุผลสารพัดขอผัดผ่อนไปเรื่อย

หากปล่อยทิ้งให้เนิ่นไปเป็นเดือน ลำไยแก่จัด ผลแตก ลูกบิดเบี้ยว ร่วงหล่นเน่าใต้ต้น ไร้ราคา…เกษตรกรไม่รู้จะทำไงดี ล้งจีนคู่สัญญา

ไม่ยอมมาเก็บ จะขายให้เจ้าอื่นก็ทำไม่ได้ เพราะสัญญาค้ำคอ ผิดสัญญาไม่เพียงจะต้องถูกปรับ 2 เท่าตัว ยังมีความผิดฐานลักทรัพย์ เอาของเขาไปขายให้คนอื่นเข้าให้อีก

ทั้งที่กรณีแบบนี้มีหลายปี แต่ทำไมภาครัฐถึงไม่สามารถหามาตรการอะไรมารองรับซะที หรือมีปัญหาไร้ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับโลกปัจจุบัน.
สะ–เล–เต

ลงทะเบียนปลูกข้าวโพด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/564251

โดย สะ-เล-เต 19 ม.ค. 2559 05:01

 

ข่าวดีสำหรับเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ต้องการเรียนรู้วิธีการปลูกข้าวโพดแบบถูกต้องได้ผลผลิตสูง มีตลาดรับซื้อแน่นอน และได้ราคาดีกว่าตลาดทั่วไป

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ BKP บริษัทในกลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เครือซีพี ยังคงเดินหน้าใช้ระบบตรวจสอบแหล่งที่มาของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุแหล่งที่ปลูกและเกษตรกรผู้ปลูก สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและร่วมแก้ปัญหาหมอกควันในประเทศอย่างยั่งยืน

โดยจะเปิดให้เกษตรกรที่จะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีนี้ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันเริ่มปลูกไปจนถึงวันก่อนเก็บเกี่ยวขายผลผลิต…ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ ลานรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ใกล้บ้าน

สำหรับเกษตรกรที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการ จะต้องมีคุณสมบัติ เป็นเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิถูกต้อง หรือเพาะปลูกในพื้นที่ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการ รวมไปถึงพื้นที่ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและองค์กร NGO เพื่อส่งเสริมการปรับตัวของเกษตรกรในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

การลงทะเบียนของเกษตรกรจะทำให้ได้สิทธิพิเศษในเรื่องช่วยพัฒนาอาชีพให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะเมื่อได้ข้อมูลการเพาะปลูกต่างๆจากเกษตรกร ทางบริษัทจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปวิเคราะห์หาแนวทางพัฒนาศักยภาพเกษตรกร เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่มาให้ความรู้ถึงวิธีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างถูกต้องเพื่อให้ผลผลิตสูงสุดแก่เกษตรกร

นอกจากนั้น เกษตรกรยังมีหลักประกันในเรื่องไม่ต้องกังวลว่าผลผลิตจะล้นตลาดไม่มีใครรับซื้อ เพราะทางบริษัทจะรับซื้อ
ผลผลิตทั้งหมด พร้อมทั้งให้ราคาสูงกว่าราคาตลาดทั่วไป บวกเพิ่มให้ อีกไม่น้อยกว่ากิโลกรัมละ 50 สตางค์

ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ บริษัทจะสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะเกษตรกรที่มาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเท่านั้น.

สะ–เล–เต

หม่อนใหม่…ต้านราสนิม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/563927

โดย สะ-เล-เต 18 ม.ค. 2559 05:01

 

“หม่อน” นอกจากจะเป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรสรรพคุณครอบ จักรวาล ทุกส่วนตั้งแต่ใบ กิ่ง ต้น ผล ราก มีสรรพคุณทางยา บำรุงร่างกาย แก้ได้สารพัดโรคแล้ว ใบหม่อนยังเป็นอาหารของตัวไหม ที่มาของผ้าไหมหรูหรา ราคาไม่ธรรมดา

อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เกษตรกรจะได้ผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับใบหม่อนเป็นหลัก เพราะกว่าจะได้รังไหมมาต้มสาวขาย ต้นทุนการผลิต 60-70% อยู่ที่ใบหม่อน

และที่เป็นปัญหาใหญ่ของเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหม…ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ใบหม่อนมักจะเป็นโรคราสนิม

อันเกิดจากสปอร์เชื้อราเข้าไปฝังตัวในใบ กลายเป็นจุดเล็กสีเหลืองหรือสีน้ำตาลปนแดง บวมขึ้นเป็นตุ่มแผลใหญ่ เมื่อเนื้อเยื่อใบถูกทำลายและแตกออก จะเห็นสปอร์เชื้อราเป็นผงสีน้ำตาลปนแดง คล้ายสนิมบนตุ่มแผล กระจายทั่วใต้ใบ หากระบาดรุนแรงใบหม่อนจะมีสีเหลืองทั้งใบ แห้งเป็นสีน้ำตาลและร่วงหล่น นำไปใช้เลี้ยงไหมไม่ได้

จากปัญหานี้ กรมหม่อนไหม โดย ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ศรีสะเกษ จึงได้ปรับปรุงพันธุ์หม่อนใหม่ขึ้นมา…พันธุ์ SRCM 9105-46

เหมาะจะนำไปปลูกในพื้นที่มีการระบาดของโรคราสนิม เพราะทนทานต่อโรคราสนิม ให้ผลผลิตใบต่อไร่สูง ค่อนข้างทนแล้ง ท่อนพันธุ์แตกรากดีทำให้ขยายพันธุ์ง่าย

SRCM 9105-46 เป็นพันธุ์หม่อนลูกผสม เกิดจากการผสมเกสรระหว่างหม่อนพันธุ์นครราชสีมา 60 กับหม่อนพันธุ์ SKS S.1.91…มีลักษณะเด่นคือให้ผลผลิตใบสูงกว่าพันธุ์บุรีรัมย์ 60 ในพื้นที่ของเกษตรกรในเขตอาศัยน้ำฝน เฉลี่ย 63.00%

มีความทนทานต่อโรคราสนิมได้ดีกว่าพันธุ์บุรีรัมย์ 60 เฉลี่ย 18.88% และยังคงนำไปเลี้ยงไหมได้ดีไม่แตกต่างจากพันธุ์บุรีรัมย์ 60 จึงเป็นพันธุ์หม่อนที่กรมหม่อนไหมแนะนำให้ใช้ปลูกในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคราสนิม ทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้

เกษตรกรสนใจหม่อนพันธุ์ใหม่ทนโรคราสนิม ติดต่อสอบถามได้ที่ 0-2558-7924-6 ต่อ 401-405.

สะ–เล–เต

ตลาดเกษตรพึ่งตนเอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561980

โดย สะ-เล-เต 14 ม.ค. 2559 05:01

 

บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ ในสวนสามพราน จ.นครปฐม ใต้หลังคามุงแฝก บรรยากาศแบบไทยเดิมของตลาดสุขใจ ถูกวางเรียงรายไปด้วยสินค้าเกษตรอินทรีย์ มีกฎกติกาห้ามใช้โฟม เน้นการใช้ไม้กลัด ถุงพลาสติกย่อยสลายได้ ทุกร้านค้าต้องมีใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์การันตี

มีลูกค้าทั้งไทยเทศมาจับจ่าย ด้วยมีทั้งของกิน พืช ผัก ผลไม้ สมุนไพร ของใช้ ยันของตกแต่งบ้าน จากเกษตรกรทั่วประเทศ…จนกลายเป็นตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ใหญ่ที่สุดของประเทศ ณ เวลานี้

ทั้งที่ 5 ปีก่อน ที่นี่ไม่ต่างจากตลาดสินค้าเกษตรทั่วไป ผลิตออกมาก็ไม่รู้ไปขายใคร…5 ปีที่ผ่านไป เขาทำกันแบบไหนถึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้

เดิมทีเกษตรกรในพื้นที่นี้ปลูกพืชอินทรีย์อยู่แล้ว แต่หาที่ขายไม่ได้ ผลผลิตที่ได้ไม่มีคุณภาพ เพราะไม่รู้จะทำดีไปเพื่ออะไร…อรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการสามพราน ริเวอร์ไซด์ เห็นใจชาวบ้านจึงอุทิศพื้นที่กว่า 2 ไร่ เปิดให้นำผลผลิตเกษตรอินทรีย์เข้ามาขายแบบไม่เก็บค่าเช่า

มีตลาดให้นำสินค้ามาวางขายได้ ใช่ว่าจะทำให้การค้าขายคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น แรกๆมีคนขายแค่ไม่กี่เจ้า คนซื้อมันก็ต้องย่อมน้อย…มิต่างร้านค้ามีของวางขายน้อย คนย่อมเดินเข้าห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าหลากหลายกว่า

ตลาดสุขใจก็เช่นกัน เติบโตจากหลักการนี้ ปัจจัยสำคัญคือใช้จุดแข็งของตัวเอง เกษตรกรปลูกเองขายเอง ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง สลัดทิ้งภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์แพง เมื่อของมีราคาให้จับต้องง่าย ลูกค้าแบบปากต่อปากเริ่มเข้ามา ลูกค้ามากยิ่งเพิ่มแรงจูงใจให้เกษตรกรนำผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์มาขายให้สินค้าหลากหลายมากขึ้น…สินค้ามากลูกค้ายิ่งมาก การแข่งขันเรื่องคุณภาพเกิดตามมาโดยไม่ต้องมีกฎเกณฑ์บังคับ

จนทำให้ตลาดที่มีเกษตรกรเป็นพ่อค้าเองไม่กี่ราย วันนี้เพิ่มมาเกือบ 200 ราย มียอดเงินสะพัดจากการขายเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ เดือนละกว่า 2 ล้านบาท

นี่คงเป็นอีกตัวอย่าง หรือจะเรียกให้หรูว่า “โมเดล” ช่วยเหลือเกษตรกรได้ในแบบพึ่งพาตัวเอง…ที่อาจตรงข้ามกับแนวคิดของคนในภาครัฐ เกษตรกรไม่เดือดร้อน พึ่งพาตัวเองได้ แล้วจะเอาอะไรมาเป็นเหตุผลอ้างขอเบิกงบประมาณ.

สะ–เล–เต

ครัวโลก…เหลื่อมล้ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561508

โดย สะ-เล-เต 13 ม.ค. 2559 05:01

 

ทั้งที่ประเทศไทยได้ชื่อเป็นครัวของโลก ในอาเซียนที่เพิ่งจะรวมตัวกันเป็นเออีซีอย่างเป็นทางการไปหมาดๆ ไทยเป็นเบอร์หนึ่ง เราผลิตอาหารได้ พร้อมมูลส่งออกไปขายทั่วโลก ถึงขนาดมีบริษัทคนไทยไปลงทุนในธุรกิจอาหาร การเกษตรในหลายประเทศ…แต่ไม่น่าเชื่อวันนี้การเจริญเติบโตของเด็กไทยยังไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐาน

สถิติสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2558 ที่เพิ่งผ่านไป พบว่านักเรียน 4,656,457 คน จากโรงเรียนชั้นประถมทุกสังกัด 30,816 โรงเรียน…มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ 10.03% มีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ 9.74% ชี้ชัดเด็กไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท มีภาวะโภชนาการต่ำ

ขณะเดียวกัน…มูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบท ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ได้ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน สร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ พร้อมกับสนับสนุนพันธุ์ไก่ และเทคโนโลยีการเลี้ยงให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ…26 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งมอบไปแล้ว 550 แห่ง

ล่าสุดโครงการที่ 551 นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัทซีพีเอฟ เพิ่งได้ส่งมอบโรงเรือนพร้อมพันธุ์ไก่ให้ ร.ร.อนุบาลประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี ไปก่อนสิ้นปี 2558 ท่ามกลางการต้อนรับ และรอยยิ้มของคณะครูและเด็กนักเรียน ที่ต่างคาดหวังรอคอยการได้กินข้าวไข่เจียว ไข่ดาว ทุกมื้อตราบเท่าที่ไปโรงเรียน

โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เป็นไปเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงอาหารแก่เยาวชนไทยในพื้นที่ห่างไกลให้ได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ ที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้สนับสนุนงบประมาณไปแล้ว 82 ล้านบาท ส่งเสริมเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 120,000 คน มีสุขภาพอนามัยที่ดี เติบโตสมวัย ได้รับประโยชน์ พร้อมกันนี้ยังได้ตั้งเป้าในปี 2559 จะส่งมอบโครงการเพิ่มอีก 50 แห่ง รวมกับที่ได้มาทั้งหมดเป็น 602 โรงเรียน

ไม่รู้จะอนุโมทนาสาธุในความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ ที่ปลุกปั้นจนไทยกลายเป็นหนึ่งในครัวโลก หรือจะอเนจอนาถในความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยดี.

สะ–เล–เต

รางวัล…เพลี้ยแป้งสีชมพู

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/561005

โดย สะ-เล-เต 12 ม.ค. 2559 05:01

 

ในสายตาเกษตรกรไทย แม้ผลงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะไม่เป็นที่ประทับใจสักเท่าไร…แต่ในอีกมุม องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กลับชื่นชม พร้อมให้โล่รางวัล

“เอดวาร์ด ซาวมา” จากผลงานควบคุมการระบาดของเพลี้ยแป้งมันสำปะหลังสีชมพู

ไม่ใช่ได้มาเพราะแค่สามารถหยุดการระบาดได้เฉพาะในประเทศเท่านั้น ยังได้ในฐานะที่สามารถต่อขยายความร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีการระบาดของเพลี้ยแป้งสีชมพูไปยังประเทศลุ่มน้ำโขง ทั้งลาว กัมพูชา เมียนมา รวมถึงจีน

และสิ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญของ FAO ต้อง งง-อึ้ง-ทึ่ง จนต้องยกรางวัลให้นั่นคือ ความสามารถในการแก้ปัญหาได้รวดเร็ว จากที่ระบาดสร้างปัญหาไปนับล้านไร่ ลดลงมาเหลือเพียงหลักพันไร่ได้ในเวลาแค่เพียง 3 ปี (2553-2555)…ในขณะที่ประเทศในแถบแอฟริกา ต้นกำเนิดของเจ้าเพลี้ยสีชมพูเจ้าปัญหา ใช้เวลามานานนับสิบปียังไม่อาจสัมฤทธิผลได้

3 ปีแห่งการหาทางเอาชนะเพลี้ยแป้งสีชมพู เราใช้ทั้งวิธีป้องกันด้วยการรณรงค์ให้เกษตรกรนำท่อนพันธุ์มาแช่น้ำยากำจัดเชื้อเพลี้ยแป้ง และผลิตตัวห้ำตัวเบียน เพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ “แตนเบียนอะนาไกรัสโลเพสซี่” และ “แมลงช้างปีกใส” ให้ไปช่วยกำจัด กัดกินเพลี้ยแป้งสีชมพู

เราผลิตและปล่อยไปมากถึง 80 ล้านตัว…นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ผู้เชี่ยวชาญ FAO อึ้งและทึ่งเป็นที่สุด ไม่เข้าใจว่าไทยใช้วิธีการยังไง ในการผลิต และปล่อยตัวห้ำตัวเบียนปริมาณมหาศาลได้ยังไง

ในที่สุด สุขใจในคำตอบวิธีการแบบไทยๆ…ประชารัฐ นั่นคือทุกภาคส่วนร่วมกันเป็นเครือข่าย ภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันพัฒนามันสำปะหลัง โรงงานต่างๆที่น่าปลื้มใจสุดๆ คือความร่วมมือจากเกษตรกรของศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนกว่า 500 แห่ง ช่วยกันผลิตและปล่อยตัวห้ำตัวเบียนในพื้นที่ที่มีการระบาด

ผลิตและปล่อยไป 80 ล้านตัว โดยไม่ต้องมาเสียเวลาคิดหาวิธีการโลจิสติกส์ใดๆมาจัดการเหมือนที่ฝรั่งคิดกัน

คงเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่น่าภูมิใจของประเทศ…สามัคคีร่วมใจกันทำ เราทำได้ทุกครั้ง ที่สำคัญยังสะท้อนให้เห็นว่า ความสำเร็จใดๆจะมีมิได้เลย หากปราศจากการมีส่วนร่วมจากประชาชน.

สะ–เล–เต

กฎใหม่…รมผลไม้สด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/560620

โดย สะ-เล-เต 11 ม.ค. 2559 05:01

 

ปี 2558 ไทยส่งออกลำไยสดไปได้ 251,042.54 ตัน มูลค่า 5,697.48 ล้านบาท น้อยกว่าปี 2557 ที่ส่งออกไปได้มากถึง 357,206 ตัน เงินทองไหลเข้าประเทศหดหายไป 1,763 ล้านบาท

สาเหตุสำคัญมาจากลูกค้าขาใหญ่ลำไยไทย ไม่ว่าจีน อินโดนีเซีย เวียดนาม ตรวจพบสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ตกค้างในลำไยส่งออก ที่ถูกนำมาใช้รมลำไยสดไม่ให้เน่าเสียเร็ว มีปริมาณเกินมาตรฐาน สินค้าเลยถูกตีกลับ

ที่ผ่านมา แม้หลายหน่วยงานจะพยายามเข้ามาร่วมด้วยช่วยแก้ไข นำลำไยไปแช่น้ำเกลือก่อนนำเข้าตู้อบ ใช้เทคโนโลยีการอบในรูปแบบใหม่…แต่ยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติในกระบวนการรมผลไม้สดด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ให้เป็นมาตรฐานครั้งแรกของประเทศไทย ใช้สำหรับผลไม้…จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 4 พ.ค.2559 เป็นต้นไป

“ฉะนั้น ในช่วงเวลานี้ผู้ประกอบการโรงรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ทั่วประเทศกว่า 110 แห่ง ต้องเร่งปรับตัวและเตรียมพร้อม ยื่นเรื่องขออนุญาตกับสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ขณะเดียวกันต้องขอการตรวจรับรองจากกรมวิชาการเกษตร หรือผู้ประกอบการตรวจสอบมาตรฐานที่ มกอช.กำหนด ภายใน 4 พ.ค.นี้ด้วยเช่นกัน”

นางสาวดุจเดือน ศศะนาวิน เลขาธิการ มกอช. ฝากเตือนผู้ประกอบการโรงรมซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ผู้นำเข้าและผู้ส่งออกผลไม้ โดยเฉพาะลำไย ต้องเร่งปรับปรุงโรงรม ห้องรม ระบบบำบัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและหลักปฏิบัติในมาตรฐานฯอย่างถูกต้องและถูกวิธี เพื่อรองรับผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในรอบกลางปี 2559 ได้ทัน

จะช่วยให้การส่งออกลำไยสดผ่านฉลุย ไม่ถูกตีกลับเหมือนปีที่ผ่านมา

ผู้ประกอบการสามารถขออนุญาตทาง online ได้ที่ tas.acfs.go.th หรือติดต่อกองควบคุมมาตรฐาน มกอช. 0-2579-4140, 0-2561-2277 ต่อ 1710 หรือ 1712 ในวันเวลาราชการ.

สะ–เล–เต

ของขวัญฝ่าวิกฤติแล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/558717

โดย สะ-เล-เต 7 ม.ค. 2559 05:01

 

ภัยแล้งกำลังมาเยือน…ในข่าวร้ายยังมีข่าวดีมาฝากพี่น้องชาวนาที่มิอาจหาน้ำมาทำนาปรังได้ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้สั่งการให้สหกรณ์จังหวัดในพื้นที่ 22 จังหวัด ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ร่วมบูรณาการขับเคลื่อนมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง

ในเบื้องต้นมีแผนเร่งให้การช่วยเหลือบรรเทาภาระหนี้สินและลดต้นทุนของสมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว จัดสรรงบประมาณ 206.233 ล้านบาท ซึ่งผ่านการอนุมัติจาก ครม.เพื่อนำมาจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แทนสมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร อัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 6 เดือน

ช่วยลดดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 3 ให้กับสมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่ 134,479 ราย จาก 651 สถาบันเกษตรกร ทั้งหนี้สัญญากู้เดิมและสัญญากู้ใหม่ ที่กู้ไม่เกิน 30 เม.ย.59 จะได้รับสิทธิลดดอกเบี้ย 6 เดือนเหมือนกัน

พร้อมกันนั้นยังมีแผนสนับสนุนสินเชื่อระยะสั้นให้แก่สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร ในพื้นที่ 22 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งด้วย โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ได้อนุมัติกรอบวงเงิน 300 ล้านบาท ให้สหกรณ์กู้ยืมไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนแบบปลอดดอกเบี้ย ระยะเวลา 6 เดือน

จากการสำรวจความต้องการพบว่ามีสหกรณ์ขอรับการช่วยเหลือ 183 แห่ง ขณะนี้คณะกรรมการบริหาร กพส.อยู่ระหว่างเร่งพิจารณาจัดสรรเพื่อให้การช่วยเหลือโดยเร็ว

นอกจากนั้น กรมส่งเสริมสหกรณ์ยังมีแผนส่งเสริมให้สมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่ปลูกพืชใช้น้ำน้อยและอายุเก็บเกี่ยวสั้น เพื่อสร้างรายได้ทดแทนการทำนาปรัง โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ สารพัดถั่ว ที่ตลาดมีความต้องการสูง แล้วให้สหกรณ์ในพื้นที่รับซื้อผลผลิตของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการอีกด้วย

ได้แต่หวังว่าโครงการช่วยเหลือเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรและสหกรณ์ฝ่าวิกฤติภัยแล้งนี้ไปได้…อย่าให้เหมือนในอดีต ทำไปแล้วล้มเหลว สหกรณ์รับซื้อถั่วมาแล้ว ไม่รู้จะระบายขายไปที่ไหน แล้วปล่อยทิ้งแบบตัวใครตัวมันอีกกะแล้วกัน.

สะ–เล–เต