มันมากับพายุฤดูร้อน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 25 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/610280

 

กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีความเสี่ยงเกิดพายุฤดูร้อน พายุฝนฟ้า คะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บ ถี่บ่อยมากขึ้น

น.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สำนักเทคนิคและวิชาการสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มีคำแนะนำแก่เกษตรกรเลี้ยงสัตว์เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

สิ่งแรกที่ควรทำ สำรวจพื้นที่รอบฟาร์ม ตัดแต่งกิ่งไม้ ต้นไม้ให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้หักโค่นมาโดนหลังคาโรงเรือนหรือสายไฟ หากโรงเรือนเลี้ยงสัตว์เป็นโรงเรือนเก่าไม่แข็งแรง ต้องหาไม้ค้ำยันเพื่อป้องกันการพัง และซ่อมแซมหลังคาให้ดี เพื่อป้องกันน้ำฝนที่จะเข้าไปในโรงเรือนได้ ควรปรับปรุงและเสริมความแข็งแรงบริเวณชายคาเพื่อไม่ให้ลมพัดเสียหาย และจัดเก็บอาหารสัตว์ให้มิดชิดไม่ให้โดนฝน

ก่อนที่จะเกิดพายุฝน สภาพอากาศจะร้อนจัด ต้องเตรียมน้ำให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้สัตว์เกิดความเครียด ขณะเดียวกันต้องมีการระบายอากาศที่ดี ในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์แบบเปิดต้องมีผ้าใบป้องกันฝนสาดเข้าโรงเรือน และต้องเพิ่มพัดลมระบายความร้อนให้กับสัตว์

โรงเรือนระบบปิดปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำ (อีแวป) ต้องควบคุมการทำงานของพัดลมและเยื่อกระดาษหน้าโรงเรือนให้เหมาะสม เตรียมเครื่องสำรองไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงให้พร้อม สำหรับกรณีไฟดับ

ขณะเกิดพายุฝน ลมพัดรุนแรงทำหลังคาพังเสียหาย พื้นโรงเรือนเปียกชื้น ต้องรีบทำความสะอาดให้พื้นแห้ง ในกรณีเลี้ยงไก่เนื้อ ต้องนำแกลบรองพื้นที่เปียกออก เปลี่ยนแกลบใหม่ทันที เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดแก๊สแอมโมเนีย ที่จะกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของไก่ ส่วนการเลี้ยงสุกรและไก่ไข่ ต้องทำพื้นให้แห้งและสะอาดทันที และหากอาหารสัตว์โดนฝนจนเปียกมาก ไม่ควรนำมาเลี้ยงสัตว์

หลังเกิดพายุฝน ต้องสำรวจความเสียหายของโรงเรือน และดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว หากโรงเรือนพังเสียหาย ต้องรีบย้ายสัตว์เข้าเลี้ยงในโรงเรือนหลังอื่น และเน้นการระบายอากาศที่ดี จัดเตรียมน้ำให้เพียงพอ และให้อาหารตามที่สัตว์กินได้ควรผสมวิตามินละลายน้ำให้สัตว์กิน หลังเกิดพายุฝน 3–5 วัน เพื่อลดความเครียดให้กับสัตว์เลี้ยง.

สะ–เล–เต

 

22 ปีที่รอ…ต้องให้รออีกแค่ไหน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย สะ-เล-เต 11 เม.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/603907

 

ฝายนาไพร ต.ฟากท่า อ.ฟากท่า จ.อุตรดิตถ์ แห้งขอด ไม่เหลือสภาพลำน้ำ…เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้ แต่ไม่ใช่ครั้งแรก

ปี 2536 เกิดปรากฏการณ์เอลนินโญให้คนไทยได้คุ้นชื่อนี้เป็นครั้งแรก ฝายที่สร้างมาตั้งแต่ปี 2517 เลยมีสภาพเหมือนปีนี้ ทั้งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าต้นน้ำของแม่น้ำปาด ลุ่มน้ำสาขาของลุ่มน้ำน่าน

คงไม่ต้องบรรยายว่า เกษตรกรทุกข์แค่ไหน ไม่มีน้ำ ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้…ปี 2537 จึงได้ร้องเรียนต่อรัฐบาลในยุคนั้น ขอให้สร้างอ่างเก็บน้ำ เพื่อจะได้เก็บสำรองใช้ในหน้าแล้ง และรัฐบาลได้อนุมัติให้กรมชลประทาน ศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างอ่างเก็บน้ำน้ำปาด

แต่ด้วยขณะนั้น ประเทศไทยเพิ่งมีการใช้กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม มีการปรับแก้กฎหมายให้เหมาะสมกันตลอดเวลา ตามกระแสเรียกร้องของเอ็นจีโอและนักวิชาการ ผู้มีรายได้หลักจากการรับจ้างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม…การศึกษาของกรมชลประทาน ที่เริ่มต้นทำมาในปี 2544 จึงเป็นไปอย่างเรือเกลือ เพราะต้องทำตามกฎหมายใหม่ที่เปลี่ยนไปเรื่อย

ผลการศึกษาของกรมชลประทานสำเร็จ แต่พอจะเอามาใช้กลับต้องแห้ว ด้วยกฎกติกาใหม่ การศึกษาที่ทำมากว่า 5 ปี ใช้ไม่ได้ เป็น ข้อมูลเก่าที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน…ศึกษาไปเสียเงินฟรี

ปี 2557 มีการประชุม ครม.สัญจร ที่อุตรดิตถ์ มีการอนุมัติให้กรม ชลประทานทำการศึกษาทบทวนความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง จะสร้างอ่างเก็บน้ำเหนือฝายนาไพรขึ้นไปประมาณ 2-3 กม. เก็บกักน้ำได้ 85 ล้าน ลบ.ม. โดยมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 3 พันไร่…ที่สำคัญราษฎรที่ได้รับผลกระทบถูกน้ำท่วมที่ทำกินและบ้านเรือน ทุกคนต่างยินดีให้สร้างอ่างเก็บน้ำ ไม่มีใครคัดค้าน เพราะรู้ฤทธิ์พิษสงของความแห้งแล้งเป็นอย่างดี

ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้เร็ว…แต่ก็นั่นแหละ พื้นที่ก่อสร้างฯอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรมของกรมป่าไม้ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช

ต้องรอให้เจ้าของพื้นที่อนุมัติให้เข้าไปศึกษาในพื้นที่ได้เสียก่อน… ช่วยคิดทำอะไรไวๆหน่อย อย่าให้ชาวบ้านต้องรอเก้อกันอีกเลย…รู้ใช่ไหม ประเทศชาติเกิดวิกฤติขาดแคลนน้ำ.

สะ–เล–เต

 

กฟก.สัญญา มิ.ย.ซื้อหนี้ 3 พันล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/588162

โดย สะ-เล-เต 10 มี.ค. 2559 05:01

 

สัปดาห์ที่แล้วม็อบเกษตรกรจากภาคเหนือและภาคกลางนับพันคน ได้มาปักหลักชุมนุมกดดันรัฐบาล กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ให้เร่งอนุมัติเงิน 3,000 ล้านบาท ซื้อหนี้ให้กับเกษตรกรที่กำลัง จะถูกบังคับคดี…โดยผู้ชุมนุมให้เหตุผลเงินก้อนนี้ได้ผ่านความเห็นชอบ ของคณะรัฐมนตรีมาตั้งนาน แต่ทาง กฟก.ไม่ยอมรีบเร่งดำเนินการ

เรื่องนี้ นายวัชระพันธุ์ จันทรขจร เลขาธิการ กฟก. ชี้แจงเงิน 3,000 ล้านบาท ที่มีแกนนำนำมาอ้างนั้น จริงๆแล้วยังไม่ผ่านการอนุมัติของ ครม. เป็นแต่เพียงตัวเลขที่รัฐบาลให้ กฟก.ทำการสำรวจหนี้เร่งด่วน ของเกษตรกรที่กำลังจะถูกสถาบันการเงินยึดที่ดินทำกิน เพราะศาลได้ตัดสินแล้ว และอยู่ในขั้นบังคับคดีนำไปขายทอดตลาด

การสำรวจหนี้เร่งด่วนกลุ่มนี้มีอยู่ 19,494 ราย คิดเป็นวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท

แต่เนื่องจากการจะเข้าไปซื้อหนี้เหล่านี้ได้ ต้องทำตามระเบียบ ตามกฎหมายของ กฟก. ที่จะต้องให้คณะกรรมการชุดต่างๆอนุมัติเพื่อความโปร่งใส แต่เนื่องจากที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดต่างๆ หมดวาระลงไปพอดี จึงต้องรอให้มีการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการให้เสร็จสิ้นเสียก่อนถึงจะทำได้

การแต่งตั้งคณะกรรมการทุกชุดเพิ่งจะเรียบร้อยเมื่อ ก.พ. ที่ผ่านมา นี่เอง และได้มีการเดินหน้าทำการซื้อหนี้ให้เกษตรกรทันที ในวันนี้ (10 มี.ค.) จะมีการนัดหารือระหว่างเกษตรกรกับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ โดยมี กฟก.เป็นตัวกลาง เพื่อให้เกษตรกรที่ไม่พอใจในการซื้อหนี้ 50% ของเงินต้น จะได้เจรจาลดหนี้ให้เหลือ 30%

จากนั้น 17 มี.ค. เรื่องจะถูกส่งไปยังบอร์ดจัดการหนี้ และส่งเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร (บอร์ดใหญ่) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเพื่อรับทราบ ก่อนจะเสนอให้กับคณะรัฐมนตรี และส่งกลับมาให้ กฟก.เพื่อบริหารจัดการต่อไป…ขั้นตอนทั้งหมดนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงปลายเดือน พ.ค.-ต้นเดือน มิ.ย. กฟก.น่าจะเริ่มนำเงิน 3,000 ล้านบาทมาใช้บริหารจัดการหนี้ได้เต็มที่

และในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว เกษตรกรไม่ต้องกังวลจะถูกยึดที่ทำกิน เพราะทางสมาคมธนาคารจะช่วยชะลอการบังคับหนี้ของสถาบันเจ้าหนี้ให้ได้ในกรอบ 90 วัน.

สะ–เล–เต