วืดทุบสถิติโลกน่าเจ็บใจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/624793

โดย ดอย ดอกฝิ่น 25 พ.ค. 2559 05:01

 

บรรดานักตกปลาคิดว่าคงไม่มีใครจับ “ปลาทูน่าครีบเหลือง” ขนาดใหญ่น้ำหนักเกิน 400 ปอนด์ ได้อีกแล้ว จนกระทั่งปี พ.ศ.2553 และ 2555 จึงรู้ว่าคิดผิดถนัด…

เพราะพรานเบ็ดประสบความสำเร็จในการตกมัจฉาที่ใครๆล้วนปรารถนาเป็นผู้พิชิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสถิติโลก ปลาทูน่าครีบเหลืองถูกลากขึ้นมาบนบกตัวแรกหนัก 405 ปอนด์ ตัวที่สองหนัก 427 ปอนด์ ครองสถิติโลก เป็นข้อพิสูจน์ว่าในทะเลยังอุดมสมบูรณ์ด้วยมัจฉา

รายล่าสุด โรเบิร์ต รอสส์ พรานเบ็ดผู้คลั่งไคล้กีฬาตกปลา ก็จับปลาทูน่าครีบเหลืองขนาดยักษ์ได้ในน่านน้ำชายฝั่งทะเลใกล้เมืองลอเรตโต้ ประเทศเม็กซิโก

ตามข่าว “GrindTV” ปลาทูน่าตัวนี้ชั่งน้ำหนักได้ถึง 430 ปอนด์ นี่แปลว่านายพรานโรเบิร์ตทำลายสถิติโลกลงราบคาบ แต่เมื่อเขาแจ้งองค์กรกีฬาตกปลา “Pisces Sportfishing” นั้น ความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาได้แล่แยกเนื้อแยกหนังแยกกระดูกเสียแล้ว

ตามกฎกติกาปลาที่จะติดสถิติโลกต้องมีสภาพสมบูรณ์ และชั่งน้ำหนักด้วยตาชั่งที่สมาคมกีฬาตกปลานานาชาติรับรอง…พรานโรเบิร์ตเลยชวดทุบสถิติโลกอย่างน่าเจ็บใจ.

ดอย ดอกฝิ่น

อเมริกา อเมริกาโกย และไทย (3)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/624800

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 25 พ.ค. 2559 05:01

 

ธันวาคม 1996-พฤศจิกายน 1997 พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ บริหารประเทศและรัฐบาลนี้ได้ 1.ปิดสถาบันการเงิน 16+42 = 58 แห่ง 2.เปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทจากระบบตะกร้าเงินมาเป็นระบบลอยตัวภายใต้การจัดการ และ 3.รับการช่วยเหลือในโครงการเงินกู้ไอเอ็มเอฟ 17,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ยุครัฐบาลพลเอกชวลิต อเมริกาไม่ช่วยเราเลย

กลางเดือนพฤศจิกายน 1997 นายชวน หลีกภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี อเมริกาก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งนายคลินตัน ประธานาธิบดี นางอัลไบรท์ ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศ รวมทั้ง รมว.กลาโหม รมว.คลัง รมช.คลัง ประชุมกันเรื่องที่จะช่วยไทยหลายครั้ง

20 มกราคม 1998 นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รมว.คลัง บินไปอเมริกา พอถึงเดือนมีนาคม 1998 นายชวนก็ไปอเมริกา ถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกาก็กลับมาแน่นแฟ้นด้วยบทบาทของพระเอกขี่ม้าขาวที่จะเข้ามาช่วยเศรษฐกิจไทย

อเมริกาช่วยไทยด้วยการหนุน stand-by credit ของไอเอ็มเอฟ 4 พันล้านเหรียญ หนุนเงินกู้จากธนาคารโลก 1.5 พันล้าน หนุนเงินกู้จากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย 1.2 พันล้าน ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกสหรัฐฯ ประกาศเจตนารมณ์ที่จะเพิ่มเงินกู้เพื่อการค้าระยะสั้น 1 พันล้าน หนุนการศึกษาความเป็นไปได้ในการแปรรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย อเมริกาให้ทุนนักเรียนไทย 165 คนไปเรียนต่อ ให้เราผ่อนเงินที่ซื้อเครื่องบิน F/A 18 จำนวน 8 เครื่อง ฯลฯ

ยุคนี้นี่แหละครับ ที่เราโดนดูดเลือดจนแทบหมดตัว เพราะรัฐบาลไปทำหนังสือแสดงเจตจำนง หรือ Letter of Intent-LOI ไว้อย่างเสียเปรียบมาก มีเงื่อนไขอะไรบานเบอะเยอะแยะที่ทำให้เราเสียอำนาจอธิปไตยในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ

เมื่อเราต้องเข้าโครงการกู้เงินฉุกเฉิน ก็มีการสั่งให้ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าให้สูง ที่เถียงกันมากก็คือเรื่องภาษีน้ำมันลิตรละ 1 บาท เราถูกสั่งให้ตั้ง Financial Restructuring Authority หรือองค์กรปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) สั่งให้เราตั้ง Asset Management Corporation ที่เราเรียกกันว่า บริษัทจัดการทรัพย์สิน หรือ บบส. ฯลฯ

รัฐบาลไทยสมัยนั้นยอมให้ต่างชาติถือหุ้นธุรกิจในไทยได้ 100% ให้สถาบันการเงินมีกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดแยกเงินกู้ที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อรายได้ (NPL) ยอมรับประกันเต็มที่ต่อผู้ฝากเงินและผู้ให้กู้ ยอมแก้กฎหมายล้มละลายเพื่อให้ผู้กู้เก็บเงินเพิ่มได้เร็วขึ้น ฯลฯ

เราโดนสั่งให้ขึ้นค่าบริการและขายสาธารณูปโภค ให้ปฏิรูปสถาบันการเงินโดยการควบขายกิจการธนาคารเพื่อใช้หนี้เงินกู้ต่างประเทศที่รัฐบาลกู้มา รัฐบาลไทยเอาร่างกฎหมาย 11 ฉบับ ไปผ่านที่ประชุม ครม. และรัฐสภาตามเงื่อนไขใน policy conditionality ของไอเอ็มเอฟ กฎหมายพวกนี้นี่แหละครับที่เราเรียกว่ากฎหมายขายชาติ

ตอนนั้น คนไทยใจรักชาติของแท้ต่อสู้กับรัฐบาลไทย ขอร้องผู้คนในรัฐบาลว่า กรุณาอย่าขายทุกอย่างให้ต่างชาติ อย่าขายรัฐวิสาหกิจ โปรดช่วยปกป้องอาชีพและธุรกิจให้คนไทยในอนาคต อย่าอุ้มแต่คนรวยและทิ้งคนจน

พ.ศ.2540 อเมริกาเข้ายุ่งกับไทยอีกครั้ง และครั้งนี้โกยเงินไปเยอะ ทรัพย์สินของคนไทยราคา 100 บาท มีคนเอาไปประเคนให้ฝรั่งอเมริกันในราคา 10 บาท ฝรั่งก็มาถามคนไทยเจ้าของเดิมว่า ไอจะขายสมบัติเดิมของยูให้ยูในราคา 50 บาทเอาไหม?

เจ้าของคนไทยไม่มีทางเลือก ก็ต้องดิ้นรนไปหาเงินมาซื้อในราคา 50 บาท ฝรั่งอเมริกันได้กำไรไปทันที 40 บาท โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย

คนไทยทั้งประเทศเหมือนตกอยู่ในนรกขุมใหญ่

กระทั่งมีรัฐบาลใหม่ใน พ.ศ.2544 ซึ่งมีฝีมือ ในการบริหารของรัฐบาลใหม่ทำให้เราสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมด จากนั้น กระแสต่อต้านอเมริกาก็เบาลงไป

พ.ศ.2557 อเมริกาเล่นงานไทยอีกครั้งด้วยการจัดเราอยู่ในประเทศเทียร์ 3 ตามกฎหมายต่อต้านการค้ามนุษย์ พ.ศ.2558 ก็ยังคาเราไว้ที่เทียร์ 3

พ.ศ.2559 ความสัมพันธ์ไทย-อเมริกา แย่ลงเรื่อยๆ

จากการที่ตามพ่อไปพูดทั่วประเทศ ผมมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า ภายในปีสองปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะมีปัญหาเหมือนเมื่อ พ.ศ.2540

แต่จะต่างตรงที่ คนที่จะล้มคราวนี้

จะเป็นชั้นกลางและชั้นล่าง

ถึงวันนั้น อเมริกาจะเข้ามาอีกครั้ง

เศรษฐกิจล่มครั้งหน้า อย่าพึ่งรัสเซียและจีน

รัสเซียยังเอาตัวเองไม่รอด ช่วยใครไม่ได้

จีนก็จะฮุบธุรกิจเราจนหมดทั้งประเทศ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

อเมริกา อเมริโกย และไทย (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/624277

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 24 พ.ค. 2559 05:01

 

จันทร์วานนี้ ผมรับใช้ถึงตอนที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ไล่กลุ่มซอยราชครูออกจากการเมืองไทยได้สำเร็จ จากนั้น รัฐบาลใหม่ก็ให้ไทยอยู่กับอเมริกาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ทั้งทางทหาร (ต่อต้านคอมมิวนิสต์) และเศรษฐกิจ (ยึดนโยบายเสรีนิยม) อิทธิพลอเมริกาเริ่มเข้ามาอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติและการส่งเสริมการลงทุนของไทยก็ในยุคนี้

3 ประธานาธิบดีอเมริกันที่ใช้ไทยเป็นเครื่องมือสู้คอมมิวนิสต์คือ ไอเซนฮาว, แคนาดี และจอห์นสัน กระทั่งถึงยุคนิกสัน แกใช้ Nixon Doctrine หรือหลักการนิกสัน ที่ลดความผูกพัน + ไม่ยุ่งปัญหาภายในชาติเอเชีย จากนั้น นิกสันก็ไปจับมือกับจีน และถอนตัวจากสงครามเวียดนาม บั้นปลายท้ายที่สุด อเมริกาก็ถอนฐานทัพออกจากไทยไปทั้งหมดเมื่อ ค.ศ.1976

ค.ศ.1976-1996 เป็นเวลา 20 ปี ที่ไทยกับอเมริกาห่างเหินกัน ช่วงนี้อเมริกาหันไปสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและการค้าระหว่างประเทศ ไทยกับอเมริกาทะเลาะกันอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ทางการค้าในประเด็นทรัพย์สินทางปัญญา

กระทั่ง 2 กรกฎาคม 1997 ไทยลดค่าเงินบาททำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเอเชีย ตอนนั้น คณะผู้ลากมากดีของไทยมองไปที่อเมริกาเพื่อขอความช่วยเหลือ หลายท่านพูดความสัมพันธ์ระหว่าง ค.ศ.1958-1976 โดยกะจะให้อเมริกานึกถึงความหลัง แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่ออเมริกาปฏิเสธการมีส่วนร่วมในข้อเสนอการระดมทุน 17.2 พันล้านเหรียญเพื่อกอบกู้เศรษฐกิจเอเชียและไทย

อเมริกาไม่ช่วยไทย แต่ช่วยอินโดนีเซียและเกาหลีใต้ เพราะอเมริกาคิดว่าอินโดนีเซียสำคัญต่อความมั่นคงของอาเซียน ส่วนเกาหลีใต้ก็มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ถ้าพังขึ้นมาเมื่อใด ก็จะกระทบกับเศรษฐกิจอเมริกันมาก

นายคลินตัน ประธานาธิบดีอเมริกัน พูดถึงวิกฤติเศรษฐกิจในครั้งนั้นว่า “…เป็นเพียงประกายไฟบนท้องถนน…” เป็นเรื่องเล็กน้อย และจะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

นายกรีนสแปน ประธานธนาคารกลางอเมริกัน และนายซัมเมอร์ส รมช.คลัง ทั้งสองคนนี้พูดเหมือนกันในทำนองว่า ปัญหาไม่ได้เกิดมาจากการเก็งกำไรค่าเงิน แต่บริษัทของพวกเอเชียเป็นฝ่ายผิด พวกนั้นสุรุ่ยสุร่ายกับการใช้เงินทุนดอกเบี้ยต่ำ

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ บริหารประเทศตั้งแต่ธันวาคม 1996 และลาออกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1997 ช่วงที่พลเอกชวลิตเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้น อเมริกาไม่ช่วยเราเลย

กระทั่งนายชวน หลีกภัย เข้าบริหารประเทศกลางเดือนพฤศจิกายน 1997 อเมริกาถึงเริ่มกดดันไอเอ็มเอฟให้ช่วยเหลือเรา

ช่วงนี้เองครับ ที่เสือหิวนักธุรกิจอเมริกันร่วมมือกับเสือโหยนักการเมืองไทยบางกลุ่ม ใช้มาตรการไอเอ็มเอฟดูดเลือดคนไทย ไอ้ปื๊ดลูกเจ้น้องก้นซอยสองที่อ่านข่าวเผินๆ ก็จะไม่รู้ดอกครับ ว่าอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ในตอนนั้น จึงมอง “คนชั่วเป็นคนดี” มอง “คนดีเป็นคนชั่ว”

แต่สำหรับคนที่ตามเรื่องนี้อย่างละเอียด ก็จะรู้ว่า ใครคือคนที่ร่วมมือกับฝรั่งดูดเลือดคนไทย ผู้ใหญ่ฝ่ายไทยคณะหนึ่งบินไปเจรจาและวางแผนที่อเมริกา หลังจากนั้น นักการเมืองและนักธุรกิจอเมริกันหลายคณะก็บินมาประชุมที่เมืองไทยเป็นว่าเล่น

นายการ์เทน รมช.พาณิชย์ของรัฐบาลคลินตัน พูดปราศรัยกับพวกที่จะเข้ามาว่า “ประเทศนี้กำลังลงไปอยู่ในถ้ำมืด…บริษัทอเมริกันจะประสบความสำเร็จในการเข้าไปอยู่ในตลาด”

นางบาร์เชฟสกี ผู้แทนการค้าอเมริกัน เขียนรายงานเมื่อกุมภาพันธ์ 1998 มีข้อความตอนหนึ่งว่า “…โครงการไอเอ็มเอฟรวมกับการปรับโครงสร้างรัฐวิสาหกิจ การเร่งแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งทางพลังงาน การขนส่ง สาธารณูปโภคและคมนาคม จะสร้างโอกาสธุรกิจและประโยชน์ให้กับบริษัทธุรกิจอเมริกัน”

ผมโตมาพร้อมกับการที่พ่อชี้ให้ดูคนดีมีชื่อเสียงของไทยที่ปรากฏหน้าค่าตาทางหน้าจอทีวีว่า “คนนี้ต้องระวัง ทำตัวยากจนไม่มีทรัพย์สิน แต่ในความเป็นจริง ได้เงินจาก ปรส. ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลฟื้นฟูพวกไฟแนนซ์ที่ถูกปิดไปเป็นจำนวนมาก ส่วนคนนี้ก็มีข่าวว่าได้สตางค์จากบริษัทจัดการทรัพย์สิน บบส. ไปหลายพันล้าน”

ความสัมพันธ์ไทย-อเมริกา ยังไม่จบนะครับ ผมว่าจะเขียนต่อไปเรื่อยๆ เพื่อที่ผู้อ่านท่านที่เคารพจะได้นำมาเชื่อมกับความสัมพันธ์ไทย-อเมริกา และไทย-รัสเซีย ในปัจจุบัน.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

อเมริกา อเมริโกย และไทย (1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/623862

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 23 พ.ค. 2559 05:01

 

สมัยนี้ หาประเด็นมาเขียนรับใช้เปิดฟ้าส่องโลกได้ง่ายขึ้น อยากจะทราบว่า สังคมไทยสนใจเรื่องอะไรก็เข้าไปในโซเชียลมีเดีย เปิดตาดูพักเดียวก็ทราบ อย่างตอนนี้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับไทยกำลังมาแรง มีทั้งกระแสด่าและกระแสเชียร์ ส่วน ผู้เขียนเปิดฟ้าส่องโลกก็โดนกดดันจากผู้อ่าน สั่งให้เขียนความสัมพันธ์ไทยและอเมริกาในทัศนะของตัวเอง

ผมขอเริ่มหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบจบลงไปใหม่ๆ ก็แล้วกันนะครับ เมื่อ “สงครามโลก” จบปุ๊บ ก็เกิด “สงครามเย็น” ปั๊บ ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต ตอนแรกก็สู้กันแต่ในยุโรป โซเวียตชนะเพราะทำให้ประเทศในยุโรปเป็นคอมมิวนิสต์ได้เกือบครึ่ง อเมริกาจึงใช้นโยบายสกัดกั้นคอมมิวนิสต์ ด้วยการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจกับประเทศยุโรปด้วยแผนการมาร์แชลล์ ถ้าเป็นเรื่องทหาร อเมริกาก็สร้างองค์กรนาโตขึ้นมา

สงครามเย็นขยายมาทางเอเชียด้วย ตอนแรก คอมมิวนิสต์ชนะในเอเชีย เหมาเจ๋อตงปฏิวัติแผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จ เกาหลีถูกแบ่งออกเป็นเกาหลีเหนือ-ใต้ ญวน เขมร ลาว เป็นคอมมิวนิสต์ อเมริกากลัวว่าไทยจะเป็นคอมมิวนิสต์ตามไปด้วย ก็ส่งคณะทูตกริฟฟินมาพบจอมพล ป. พิบูลสงคราม เพื่อเสนอความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและทหาร ไทยและอเมริกาก็จึงลงนามในความตกลงว่าด้วยมูลนิธิฟูลไบร์ทและความร่วมมือทางทหาร

จอมพล ป.พิบูลสงคราม ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม อะไรก็ให้รัฐบาลทำในรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นนโยบายที่ทำให้เกิดการผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ + ต่อต้านการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้การแข่งขันทางการเมืองและเศรษฐกิจมีอยู่เพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มจอมพล ป.พิบูลสงคราม + จอมพลผิน ชุณหะวัณ + พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เราเรียกกลุ่มนี้ว่า “กลุ่มซอยราชครู” กับกลุ่มของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เราเรียกกลุ่มนี้ว่า “กลุ่มสี่เสาเทเวศร์”

กลุ่มสี่เสาเทเวศร์ยึดอำนาจได้ ก็ตั้งรัฐบาล 2 คณะ คณะรัฐบาลชั่วคราวของนายพจน์ สารสิน และคณะรัฐบาลรักษาการของพลเอกถนอม กิตติขจร นโยบายในการบริหารงานมีเพียงอย่างเดียว คือ ทำลายฐานอำนาจกลุ่มราชครู ย้ายตำรวจพลร่มมาสังกัดกองทัพบก ผลักดันให้ซีไอเอของอเมริกาที่มาซ่อนในเมืองไทยภายใต้ชื่อบริษัทซี ซัพพลาย ออกนอกประเทศ

จอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารเพียงเพื่อต้องการโค่นอำนาจฝ่ายเดิม โดยไม่ได้เตรียมนโยบายการเมืองและเศรษฐกิจอะไรเอาไว้เลย นำความปวดเศียรเวียนเกล้ามาให้อเมริกามาก อเมริกาจึงเอาจอมพลสฤษดิ์ไปรักษาตัวที่วอเตอร์รีดและให้ประชุมกับผู้นำของตน

ผู้นำสหรัฐฯสมัยนั้นสั่งนายกฯไทย 2 เรื่อง 1.ต้องกันคอมมิวนิสต์ให้ได้ และ 2.ต้องทำให้เศรษฐกิจเป็นเสรีนิยมเต็มรูปแบบ นายดิลลัน รอง รมช.ต่างประเทศฝ่ายเศรษฐกิจของอเมริกาถึงกับยัด “หลักการพัฒนาเศรษฐกิจเสรีนิยม” ใส่มือจอมพลสฤษดิ์

ทำให้ต้องออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 33 ความว่า…

รัฐจะไม่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมขึ้นใหม่เพื่อแข่งขัน, รัฐจะไม่โอนกิจการอุตสาหกรรมเอกชนมาเป็นของรัฐ, รัฐจะให้สิทธิพิเศษกับบริษัทเอกชนไทยและต่างประเทศ ทั้งงดอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร ไม่ต้องเสียภาษี 2-5 ปี ส่งผลิตภัณฑ์และนำเงินออกนอกประเทศได้ ฯลฯ จากนั้น อเมริกาก็สั่งให้จอมพลสฤษดิ์ตั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้เป็นเครื่องมือเศรษฐกิจแนวเสรีนิยม

อเมริกาส่งที่ปรึกษา+ธนาคารโลก มาดูแลไทยใกล้ชิด

นี่คือจุดเริ่มที่อเมริกามายุ่งกับไทย

เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ยุคประธานาธิบดีไอเซนฮาว, จอห์น เอฟ. แคนาดี และลินคอน บี. จอห์นสัน จนกระทั่ง อเมริกามีประธานาธิบดีชื่อ นายริชาร์ด นิกสัน คนนี้แกประกาศ Nixon Doctrine หรือหลักการนิกสัน ซึ่งมีข้อใหญ่ใจความว่า อเมริกาจะลดความผูกพันกับชาติต่างๆ ในเอเชีย แต่จะยังรักษาพันธกรณีในสนธิสัญญา ต่อไปนี้ อเมริกาจะช่วยชาติเอเชียเฉพาะเมื่อเกิดการคุกคามในรูปแบบอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้น สำหรับปัญหาความมั่นคงภายใน พวกคุณชาติเอเชียต้องจัดการกันเอง อเมริกาไม่ยุ่งด้วย

จากนั้น นิกสันก็ไป 1.จับมือจีน 2.ถอนตัวจากสงครามเวียดนาม 3.ลดความช่วยเหลือไทยลงครึ่งหนึ่ง และ 4.เริ่มถอนทหารและฐานทัพออกจากไทย

พรุ่งนี้มารับใช้กันต่อครับ.

คุณนิติ นวรัตน์

มาร์มาร่าจะสร้างพลเมืองโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/622631

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 20 พ.ค. 2559 05:01

 

ศุกร์วันนี้ 10.00-11.00 น. ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ เสวนา “เผยแผ่พระพุทธศาสนาในไทยอย่างไรให้ยั่งยืน” ที่บูธมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ในงานสัปดาห์วันวิสาขบูชา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

เสาร์พรุ่งนี้ 10.00-12.00 น. ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิพูดการเตรียมสอบเข้าเป็นนักเรียนนายสิบตำรวจ สำหรับชายผู้มีวุฒิ ม.6 และ ปวช. ที่ชั้น B ศูนย์การค้าไดอานา หาดใหญ่ จองที่นั่งได้ฟรีที่ 09-8262-9293 พอถึงเสาร์กลางคืน 20.30-21.30 น. ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ พูด “มุสลิมเป็นผู้ก่อการร้ายจริงหรือ?” ที่โรงเรียนพัฒนามูลนิธิ อ.กงหรา จ.พัทลุง การพูดครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานหารายได้สมทบทุนสร้างอาคารเรียน 5 ห้องเรียน 850,000 บาท

เดือนที่แล้ว ผมได้รับเชิญให้ไปงาน International Festival of Language & Culture (IFLC) ภาษาวัฒนธรรมนานาชาติ ที่ออสเตรเลีย ทว่าไปไม่ได้เพราะติดงานสงกรานต์ ถึงเดือนนี้ก็ได้รับเชิญใหม่ ให้ไปร่วม IFLC ที่เมืองดอร์ทมุนด์ รัฐนอร์ทไรน์เวสต์ฟาเลีย เยอรมนี และไปชมโรงเรียนในเครือมาร์มาร่าที่เมืองดึสเซลดอร์ฟและในอีกหลายเมือง

IFLC จัดโดยตูร์กแชแดร์ หรือสมาคมนานาชาติแห่งภาษาตุรกี เป็นมหกรรมแสดงความสามารถทางภาษาและวัฒนธรรมจากทุกมุมโลกที่จัดแสดงทุกปี ตอนจัดครั้งแรกเมื่อ 2546 มีเยาวชนจากเพียง 17 ประเทศเท่านั้นที่เข้าร่วม แต่พอมาถึงปีนี้ มีเยาวชนมากกว่า 160 ประเทศเข้าร่วม นอกจาก IFLC จะให้โอกาสเยาวชนแสดงวัฒนธรรมของตนให้เยาวชนชาติอื่นดูแล้ว IFLC ยังสนับสนุนนักเรียนทั่วโลกให้ได้ศึกษาเกี่ยวกับภาษาตุรกีอีกด้วย

ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า IFLC จะช่วยไม่ให้โลกมีสงครามในอนาคต เพราะงานนี้ทำให้คนเห็นความแตกต่างและเข้าใจกันมากขึ้น ผมรับเชิญไปร่วมงานหลังจากที่อ่านคำให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับงานนี้ของ รมว.ศึกษาธิการฟิลิปปินส์, รมว.วัฒนธรรมและท่องเที่ยวคีร์กีซ, รมว.สารสนเทศวัฒนธรรมฯ แทนซาเนีย, รมว.ศึกษาธิการโมซัมบิก, ประธานรัฐสภาแอลเบเนีย, รมว.ศึกษาธิการและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย, รมว.ต่างประเทศฝรั่งเศส, รมว.สิทธิมนุษยชนเซเนกัล, คณะกรรมาธิการสหภาพแอฟริกัน เอธิโอเปีย, ผู้สำเร็จราชการออสเตรเลีย, รมว.เศรษฐกิจโรมาเนีย, รมว.นวัตกรรมฯ รัฐนอร์ทไรน์เวสต์ฟาเลีย เยอรมนี ฯลฯ

งาน IFLC มีผู้นำโลกให้การสนับสนุนเยอะ เช่น ประธานสหภาพยุโรป นายกรัฐมนตรีเบลเยียมและออสเตรเลีย ฯลฯ ซึ่งนำมาเขียนกันเต็มหน้าก็ไม่หมดดอกครับ

ที่ผ่านมาเราสนใจการศึกษาภาษา และวัฒนธรรมของโลกตะวันตก บางคนก็สนใจศึกษาอารยธรรมตะวันออกไกลอย่างจีน เกาหลี หรือญี่ปุ่น บางท่านสนใจอารยธรรมอินเดีย รัสเซีย หรืออาหรับ ทว่ายังมีอารยธรรมหนึ่งซึ่งทั้งการศึกษาและความเจริญทางวิชาการยิ่งใหญ่มากในอดีตที่เราไม่ค่อยได้สนใจมาก่อน นั่นคืออารยธรรมมหาจักรวรรดิอุษมานิยะฮฺ หรือออตโตมาน ซึ่งยิ่งใหญ่อยู่นานถึง 600 ปี สามารถพาอิสลามเข้าไปในยุโรป พิชิตเมืองคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ และเมื่อ พ.ศ.2223 มีพื้นที่ครอบครองถึง 12 ล้าน ตร.กม.

นอกจากมหาจักรวรรดิอุษมานิยะฮฺจะเด่นด้านการเมืองการปกครองแล้ว ที่ยิ่งใหญ่มากอีกด้านหนึ่งก็คือด้านการศึกษา มีมักตับ อัล-ศิบยาน หรือดาร อัล-ตะอลีม ซึ่งเป็นสถาบันที่จัดการศึกษาระดับประถมศึกษา นอกจากนั้นยังมีสถาบันศึกษาประเภทมัดระซะฮฺ แถมยังมีการนำโรงพยาบาลมาเป็นสถาบันการศึกษาที่สอนวิชาแพทย์และมีสถาบันการศึกษาอื่น เช่น มัสยิด ห้องสมุด ราชวัง บ้านของผู้รู้ ที่พักของพวกศูฟี ฯลฯ

หนึ่งในกลุ่มโรงเรียนสมัยใหม่ที่สืบทอดความยิ่งใหญ่มาจากยุคก่อนในมหาจักรวรรดิอุษมานิยะฮฺก็คือโรงเรียนในเครือมาร์มาร่า ซึ่งตอนนี้มีอยู่ในเกือบทุกประเทศทั่วโลก สำหรับประเทศไทย บริษัทมาร์มาร่าก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.2537 ประสงค์ของโรงเรียนในเครือนี้ก็คือต้องการให้นักเรียนของตนเป็นพลเมืองโลก เก่งภาษาอังกฤษ เป็นเลิศทางวิชาการ เด่นทางคุณธรรม ตอนนี้มีโรงเรียนในเครือมาร์มาร่าในไทย 4 แห่ง คือ โรงเรียนมาร์มาร่า วิชัยวิทยา จ.เชียงใหม่, โรงเรียนนานาชาติแพนเอเชีย เขตประเวศ, โรงเรียนจินดามณี หลักสูตรภาษาอังกฤษ เขตจอมทอง และโรงเรียนศิริวัฒน์ หลักสูตรภาษาอังกฤษ เขตสายไหม

เกือบ 20 ปี ที่เปิดฟ้าส่องโลกใน นสพ.ไทยรัฐ และเปิดเลนส์ส่องโลกในสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ตระเวนศึกษาเรียนรู้และถ่ายทำระบบการศึกษาในเกือบร้อยประเทศ แต่ที่ยังไม่เคยเรียนรู้ก็คือ การบริหารการศึกษาของชาวตุรกี ผู้สืบทอดมาจากอารยธรรมของมหาจักรวรรดิอุษมา-นิยะฮฺ ซึ่งต่อไปนี้ผมและทีมงานก็จะไปเยือนโรงเรียนในเครือมาร์มาร่าตามประเทศต่างๆมากขึ้น เพื่อนำความรู้มารับใช้ท่านผู้อ่านและท่านผู้ชม.
คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

ต้องเอาใจไปคุยกับรัสเซีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/622069

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 19 พ.ค. 2559 05:01

 

นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ บรรยายถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับผู้ต้องราชทัณฑ์ 200 คน ที่หอประชุมภายในเรือนจำพิเศษฯ 08.30-10.30 น. พฤหัสบดีวันนี้ 19 พฤษภาคม 2559

ขณะที่กระแสของสหรัฐอเมริกาตกต่ำลงอย่างมากในประเทศไทย กระแสของรัสเซียกำลังมาแรง ผมเข้าไปดูในโซเชียลมีเดียประเภทต่างๆ โดยเฉพาะในเฟซบุ๊ก พบว่าสังคมไทยหวังพึ่งพิงรัสเซียสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ด้านการค้า การลงทุน

ขอเรียนนะครับ ว่าการคบค้าสมาคมกับรัสเซียอย่างแนบสนิทเป็นหนึ่งมิตรชิดใกล้นั้นเป็นเรื่องดี เพราะรัสเซียคบกับใครแล้ว ก็ไม่ทอดทิ้ง และยอมตายไปด้วยกัน ดูอย่างรัสเซียกับซีเรีย แม้ว่าโลกตะวันตกจะต่อต้านประธานาธิบดีซีเรีย นายอัซซาด รุนแรงยังไงก็ตาม แต่รัสเซียก็ไม่ทิ้งนายอัซซาด แถมช่วยอัซซาดทุกเรื่อง

ทว่าในทางเศรษฐกิจ ผมขออนุญาตแนะนำนะครับว่า อย่าพึ่งพารัสเซียมากนัก เพราะรัสเซียเป็นประเทศที่เอาไข่ไปใส่ตะกร้าใบเดียว รายได้ของรัสเซียส่วนใหญ่เกิน 80-90% มาจากน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ เมื่อราคาน้ำมันตก รัสเซียก็เดี้ยงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

119 ปีที่แล้ว สมัยที่ยังเป็นจักรวรรดิรัสเซีย รัสเซียกับสยามมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก พระพุทธเจ้าหลวงทรงส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยมหาดเล็กที่รัสเซีย แม้สนิทกัน แต่รัสเซียก็ไม่สามารถแสดงบทบาทมากในความขัดแย้งระหว่างสยามและฝรั่งเศส เพราะรัสเซียเป็นพันธมิตรสำคัญของฝรั่งเศส แถมยังต้องพึ่งพาการเงินจากฝรั่งเศส ที่รัสเซียช่วยเราในสมัยนั้น เป็นการช่วยเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการกดดันทางการทูต

ตอนที่รัสเซียเป็นสาธารณรัฐหลักของสหภาพโซเวียต ไทยกับรัสเซียห่างเหินกัน เริ่มมีสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันเมื่อ ค.ศ.1941 จนถึงโซเวียตล่มเมื่อ ค.ศ.1991 ไทยกับรัสเซียทำความตกลงกันแค่ 6 ฉบับเท่านั้น

โซเวียตล่มแล้ว รัสเซียก็ตั้งตัวเองเป็นประเทศใหม่ชื่อสหพันธรัฐรัสเซีย ระหว่าง ค.ศ.1992-2000 รัฐบาลรัสเซียโดยนายเยลต์ซินไม่ได้สนใจไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มุ่งสนใจแต่สหรัฐอเมริกาและยุโรป 8 ปีของห้วงช่วงดังกล่าว ไทยกับรัสเซียลงนามความร่วมมือกันแค่ 5 ฉบับ

หลายคนคิดว่ารัสเซียเป็นประเทศใหญ่ มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูง จึงจะต้องเป็นประเทศร่ำรวย แต่ไม่จริงเสมอไปดอกครับ ผมยังจำได้ว่าใน ค.ศ.1994 ไทยกับรัสเซียต้องมาลงนามความตกลงในการปรับโครงสร้างหนี้ที่รัสเซียติดค้างประเทศไทย

พ้นยุคของนายเยลต์ซิน นายปูตินเป็นประธานาธิบดีรักษาการดูแลประเทศตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 จนกระทั่งมาเป็นประธานาธิบดีตัวจริง ในยุคนี้ไทยกับรัสเซียก็มีความตกลงว่าด้วยข้อยุติการชำระหนี้ที่สหพันธรัฐรัสเซียคงค้างราชอาณาจักรไทยลงนามเมื่อ ค.ศ.2003

รัสเซียเป็นประเทศจนเร็วรวยเร็ว ผู้บริหารของประเทศอื่นที่รู้จักธรรมชาติของประเทศนี้ดีจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเอาเศรษฐกิจของประเทศตัวเองไปพึ่งพิงอิงแอบแนบกับรัสเซียอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ค.ศ.1998 รัสเซียประสบปัญหาการเงินอย่างหนักและผิดนัดชำระหนี้ค่าสินค้ากับฝ่ายไทยมากกว่า 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และปัญหาเรื่องหนี้สินก็ถูกแช่เอาไว้อย่างนั้นนานพอสมควร

ช่วงที่ปูตินดูแลประเทศ นักท่องเที่ยวรัสเซียที่มาประเทศไทยเพิ่มจำนวนขึ้นมาก คนรัสเซียมาเที่ยวประเทศไทยใช้เงินกันอย่างสนุกมือ คนไทยเห็นอย่างนั้นก็เข้าใจว่ารัสเซียรวย คงใช้หนี้เราหมดแล้ว แต่ไม่ใช่ครับ รัสเซียยังไม่ได้ชำระหนี้ค่าสินค้าจนกระทั่งเดือนตุลาคม ค.ศ.2002 ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยสมัยนั้น ไปเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ รัสเซียเสนอปรับโครงสร้างหนี้กับฝ่ายไทย โดยรัสเซียชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยอัตราคงที่ 2.5% ให้ไทยภายในเวลา 5 ปี ซึ่งส่วนใหญ่รัสเซียก็ชำระหนี้ด้วยสินค้าและบริการต่างๆ และฝ่ายไทยก็เห็นชอบกับข้อเสนอรัสเซีย

ผมขอเรียนอย่างสรุปนะครับ ว่ารัสเซียเป็นประเทศที่สถานะทางเศรษฐกิจขึ้นๆลงๆ แต่สิ่งที่รัสเซียมีมากกว่าประเทศมหาอำนาจอื่นก็คือ ความเป็นมิตรที่ทุ่มเทให้กันอย่างจริงใจ

การเยือนของนายกรัฐมนตรีไทยในรัสเซียครั้งนี้

ผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มาก

ถ้าฝ่ายเราเอาหัวใจไปเจรจา.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

กว่าชาวนาจะปฏิวัติสำเร็จ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/621441

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 18 พ.ค. 2559 05:01

 

พุธวันนี้ ประธานกรรมการและฝ่ายจัดการ สหกรณ์การเกษตรจากจันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ตราด สระแก้ว และระยอง 250 คน จะเข้าหลักสูตรผู้นำสหกรณ์ยุคใหม่ฯ จัดโดยชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด ที่ รร.จอมเทียนการ์เด้น รีสอร์ท จ.ชลบุรี และเชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด 10.00-12.00 น.

มีคนถามผมหลายครั้ง ว่าพลังชาวนารัสเซียมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงจากระบอบพระเจ้าซาร์ไปเป็นระบอบโซเวียตบ้างหรือเปล่า? ผมขอรับใช้เรื่องชาวนารัสเซียสมัยก่อนคอมมิวนิสต์ให้ฟังดีกว่าครับ

ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ทรงประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาการปลดปล่อยทาสติดที่ดินเมื่อ ค.ศ.1861 เพื่อปฏิรูปสังคมและปลดปล่อยทาสติดที่ดินกว่า 23 ล้านคน ให้เป็นอิสระจากการกดขี่ของพวกขุนนางเจ้าที่ดิน แต่เงื่อนไขการปลดปล่อยก็ซับซ้อนเยอะ ให้ทาสติดที่ดินต้องจ่ายเงินชดเชยค่าที่ดินที่ได้รับครอบครัวละ 22.5 ไร่แก่รัฐ นาน 49 ปี

แรกๆ ซาร์ก็ทรงได้รับพระสมัญญาว่า “ซาร์ผู้ปลดปล่อย” แต่พอชาวนาต้องมาจ่ายเงินจริงๆ ก็รู้ว่านี่เป็นการเอาเปรียบพอๆกับการเป็นทาสติดที่ดิน จึงมีคนคิดจะล้มระบบซาร์ สมัยนั้น ใครอยากปฏิวัติก็ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถ้าอยู่ในประเทศแล้วถูกจับได้โทษมีอย่างเดียวคือประหารชีวิต สื่อปฏิวัติสมัยนั้นไม่มีเฟซบุ๊ก นักปฏิวัติจึงต้องใช้วารสารและหนังสือเป็นเครื่องมือปลุกระดมและจัดตั้งแนวความคิดทางการเมือง

อเล็กซานเดอร์ ลีวาโนวิช เฮอร์เซน คิดปฏิวัติพระเจ้าซาร์ก็ลี้ภัยอยู่นอกประเทศเหมือนกัน และใช้เครื่องมือเป็นนิตยสารรายปักษ์ทำการปลุกระดมโดยคิดขบวนการ “ไปหาประชาชน” ให้พวกปัญญาชนสละความสุขสบายไปทำงานใช้ชีวิตร่วมกับชาวนา รวมทั้งช่วยเตรียมชาวนาให้พร้อมในการก่อการปฏิวัติโค่นอำนาจซาร์

นี่แหละครับ คือการก่อตัวของแนวความคิดสังคมนิยมแรกเริ่มของรัสเซียที่เราเรียกกันในเวลาต่อมาว่า “ขบวนการนารอดนิค” หรือ “รัสเซียปอปปูลิสต์” หนังสือของพวกขบวนการนี้น่าอ่านมากครับ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาที่ว่าด้วยการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นอุดมการณ์สังคมนิยมและสละชีวิตในการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสังคมแห่งความเสมอภาค

ปัญญาชนที่ได้อ่านหนังสือพวกนี้ ก็ทยอยออกไปอยู่ต่างประเทศกันเยอะ ไปตั้งกลุ่มต่อต้านพระเจ้าซาร์ เขียนหนังสือเป็นเล่ม ผลิตบทความลงวารสาร แม้แต่นายทหารหลายคน เมื่ออ่านหนังสือพวกนี้แล้ว ก็อินขนาดหนีไปอยู่นอกประเทศและเสนอความคิดในการปฏิวัติ อย่างนายทหารที่ชื่อว่า ปีเตอร์ ลัฟรอฟ ก็ทำแบบเดียวกัน แกผลิตบทความชุดจดหมายแห่งประวัติศาสตร์ว่าด้วยปัญญาชนที่รวมกันเป็นกลุ่มเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม หน้าที่ของปัญญาชนคืออุทิศตนเพื่อติดอาวุธทางความคิดสังคมนิยมให้แก่ชาวนา ลัฟรอฟเชื่อว่าเมื่อชาวนาเข้าใจความหมายของการปฏิวัติ ไฟปฏิวัติก็จะลุกลามขึ้นทั่วประเทศ และหลังจากการปฏิวัติ รัสเซียก็จะเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองครั้งใหญ่

ค.ศ.1873-1874 เกิดทุพภิกขภัยแถวลุ่มแม่น้ำดอนและแม่น้ำวอลกา ผู้คนอดอยากไม่มีอะไรจะกิน ความจนทำให้นโยบาย “ไปหาประชาชน” เป็นปฏิบัติการที่ปัญญาชนลงมือทำจริงๆ พอถึง ค.ศ.1879 ก็เกิดปรากฏการณ์ทางสังคมที่เรียกว่า “ฤดูร้อนที่บ้าคลั่ง” มีปัญญาชนกว่า 3,000 คน ไปอยู่ใน 37 จังหวัด ชาวนาจึงเริ่มตื่นและเริ่มต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของตนเอง

ชาวนาบางส่วนที่ยังมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าซาร์ได้รายงานความเคลื่อนไหวของปัญญาชน พวกนี้จึงโดนกวาดล้าง และทำให้ปัญญาชนกว่าครึ่งถูกจับและขบวนการ “ไปหาประชาชน” ล้มเหลว แต่ปัญญาชนสมัยนั้นก็ไม่ยอมแพ้ หันไปปลุกระดมความคิดทางการเมืองให้กรรมกรแทนและตั้งองค์กรปฏิวัติที่กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กที่ชื่อว่า กลุ่มที่ดินและเสรีภาพ

นายทหารที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวนาจำนวนไม่น้อยก็เอาด้วย ลูกสาวนายทหารคนหนึ่งที่เป็นสมาชิกกลุ่มที่ดินและเสรีภาพยิงนายพลผู้บัญชาการตำรวจบาดเจ็บสาหัส เมื่อถูกจับได้ เธอให้การในศาลว่า มูลเหตุของการยิงก็เพราะความรู้สึกด้านคุณธรรมของเธอถูกทำร้าย ในช่วงตัดสินคดีความเกิดจลาจล เพราะคนที่ประทับใจในคำให้การของเธอออกมาประท้วงวุ่นวายไปหมด

ตั้งแต่นั้นมา กลุ่มที่ดินและเสรีภาพก็หันมาใช้ความรุนแรงฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยอ้างว่าเป็นความชอบธรรม เพราะเป็นวิธีการเดียวที่จะปกป้องตนเองจากอำนาจรัฐ

ท้ายที่สุดคนในกลุ่มนี้ปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ได้ รัฐบาลจึงปราบอย่างรุนแรง หลายคนจึงหนีออกนอกประเทศและไปศึกษาแนวความคิดของลัทธิมากซ์แทน

ลัทธิมากซ์ทำให้การปฏิวัติรัสเซียสำเร็จใน ค.ศ.1917.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

จีนโดนควีนอังกฤษนินทา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/620925

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 17 พ.ค. 2559 05:01

 

สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นเชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “การเสริมสร้างศักยภาพการบริหาร ในบริบทอาเซียนของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” รับใช้นักบริหารงานทั่วไป รุ่นที่ 56/1 ที่สถาบันฯ จ.ปทุมธานี อังคารวันนี้ 13.00-16.00 น.

20 ตุลาคม 2558 คณะของ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิปฏิบัติภารกิจอยู่ที่กรุงแอดดิสอาบาบา สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเอธิโอเปีย วันนั้น พ่อสั่งให้พวกเราเลิกงานเร็วกว่าปกติ เพื่อกลับไปดูถ่ายทอดสดสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชทานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำแบบรัฐพิธีแก่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงและคณะที่พระราชวังบั๊กกิ้งแฮมเนื่องในโอกาสที่ผู้นำจีนและภริยาเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดมิติใหม่ในความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ

สมเด็จพระราชินีนาถแห่งอังกฤษทรงมีพระราชดำรัสต่อผู้นำจีนว่า “การเดินทางมาเยือนของท่านถือเป็นช่วงสำคัญในปีที่พิเศษสุดสำหรับความสัมพันธ์ของเราทั้งสองประเทศ…ข้าพเจ้ามั่นใจว่า การเยือนของท่านจะเน้นย้ำถึงความจริงใจและมิตรภาพ ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองชาติให้แน่นแฟ้นไปตลอดช่วงเวลาหลายปีข้างหน้า”

การไปเยือนสหราชอาณาจักรเมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดีสีได้นั่งรถม้าสีทองเคียงข้างสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ไปยังพระราชวังบั๊กกิ้งแฮมโดยตลอดสองข้างทางมีประชาชนหลายพันคนยืนโบกสะบัดธงชาติจีนเพื่อให้การต้อนรับ ทว่าขณะเดียวกัน ก็มีผู้ประท้วงราว 200 คนชูป้ายโจมตีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในจีน

20 ตุลาคม 2558-9 พฤษภาคม 2559 ผมประทับใจการเยือนสหราชอาณาจักรของนายสี แต่แล้วก็เหมือนฟ้าผ่าโครมลงมากลางศีรษะ เมื่อมีข่าวว่า ในงานพระราชทานเลี้ยง ณ สวนของพระราชวังบั๊กกิ้งแฮมเมื่ออังคาร 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา เลขาธิการพระราชวังเบิกตัวนางลูซี ดอร์ซี ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเข้าเฝ้า และกราบทูลแนะนำว่า เธอเป็นผู้รับผิดชอบการรักษาความปลอดภัยในช่วงการเยือนของนายสีเมื่อปีที่แล้ว

เมื่อการกราบทูลแนะนำตัวเสร็จปุ๊บ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงออกพระโอษฐ์ปั๊บว่า “โชคร้ายจริง” หลังจากนั้นก็มีพระราชดำรัสถึงพวกเจ้าหน้าที่จีนว่าพวกนั้นประพฤติตน “หยาบคายมาก” และยังมีคำพูดอื่นในด้านลบอีกหลายประโยค

พระราชดำรัสถึงจีนในครั้งนี้ นายปีเตอร์ วิลคินสัน ช่างภาพอย่างเป็นทางการประจำพระองค์สมเด็จพระราชินีบันทึกไว้อย่างละเอียด และถูกนำออกมาเผยแพร่แก่สื่อมวลชนทีวีช่องต่างๆ ตามข้อตกลงรวมการเฉพาะกิจ

ผมเข้าไปอ่านบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน สื่อจีนฉบับนี้โต้ตอบด้วยการด่าสื่ออังกฤษแรงครับ…

“สื่ออังกฤษมีแต่พวกปีศาจข่าวลือ”…“พวกป่าเถื่อน”…และ “เมื่อพวกเขามีประสบการณ์ได้มีโอกาสสัมผัสกับอารยธรรมตะวันออกที่ยืนยาวกว่า 5,000 ปี เราก็มีความเชื่อว่า พวกเขาจะมีความก้าวหน้าในเรื่องมารยาทการวางตนของพวกเขา”

น่าเสียดายความสัมพันธ์อังกฤษ—จีน แทนนายสีนะครับ เพราะเท่าที่ทราบนายสีเป็นคนระมัดระวังในเรื่องการพูดการจาและการปฏิบัติตนในห้วงที่ไปต่างประเทศมาก แต่ที่พลาดอาจจะเป็นพวกข้ารัฐการติดตามที่ปฏิบัติตนไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมการเป็นแขกของประเทศอื่น จนพวกอังกฤษเอาไปเล่าขานว่าพวกจีนนี่ “หยาบคายมาก”

เดี๋ยวนี้มีกล้องบันทึกทั้งภาพทั้งเสียงของผู้คนได้ง่าย คนที่สนทนากันอาจจะพลาดถูกอัดและแพร่ภาพได้ เมื่อวันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2559 เช่นเดียวกัน นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และนายกฯ อังกฤษกราบทูลถึงเรื่องว่า มีใครบ้างเดินทางมาอังกฤษเพื่อเข้าร่วม “การประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยการทุจริตคอร์รัปชัน” ที่จัดขึ้นในกรุงลอนดอนว่า…

“เราได้ไนจีเรียเข้าร่วมประชุมด้วย แท้ที่จริง เราได้ผู้นำบางคนที่มาจากประเทศที่มีการคอร์รัปชันอย่างมโหฬารเดินทางมาอังกฤษ” นายกฯ คาเมรอนกราบทูลต่อไปว่า “ไนจีเรียและอัฟกานิสถาน สองประเทศนี่ น่าจะมีการคอร์รัปชันมากที่สุดในโลก”

คำพูดพวกนี้ สื่อถ่ายทอดไปทั้งโลก

ไม่รู้ว่า คนที่โดนนินทาจะคิดยังไง.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

เสียดายประเทศไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/620560

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 16 พ.ค. 2559 05:01

 

เป็นที่แน่ชัดถนัดแจ้งแล้วว่า เกียรติภูมิของประเทศในเวทีระหว่างประเทศมีอิทธิพลต่อความกินดีอยู่ดี ความมั่งคั่งหรือความยากจนของตน

ปีที่แล้ว เมื่อมีข่าวลือว่านายกรัฐมนตรีของรัสเซียจะมาเยือนประเทศไทย หลายคนตกใจ เพราะกลัวว่าจะถูกกดดันจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก กลัวว่าเราจะโดนจัดอยู่ในกลุ่มเทียร์ 3 โดยกฎหมายต่อต้านการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาซ้ำอีกปีหนึ่ง และกลัวว่าเราจะโดนอาวุธพิเศษอะไรอีกมากมายหลายอย่าง และเมื่อนายกรัฐมนตรีรัสเซียเดินทางมาเยือนจริงๆ ในเดือนเมษายน 2558 เราก็ถูกแกล้งจากตะวันตกหลายเรื่อง

ไม่กี่วันก่อน ผู้ใหญ่ในรัฐบาลพูดว่าจะซื้อเครื่องบินจากสวีเดน แทนที่สวีเดนจะตีปีกดีใจที่ตนจะขายเครื่องบินได้และมีเงินเข้าประเทศ ทว่ากลับเป็นเรื่องตรงกันข้าม องค์กรด้านสันติภาพและสนับสนุนการลดอาวุธของสวีเดน (SPAS) ออกมาคัดค้านการขายอาวุธให้กับรัฐบาลไทย ส่วนเรื่องสาเหตุนั้นคงไม่ต้องพูดถึง ทั้งผม ทั้งผู้อ่านท่านที่เคารพก็ทราบเรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว

ไม่ทราบว่า หลังจากนี้ไปอีกสักกี่สิบปี เราจึงจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมนานาชาติได้เช่นเดียวกับประเทศอื่น ก้มดูอันดับของเราในสังคมนานาชาติ น้ำหนักเราช่างน้อยด้อยค่าเหลือเกิน หลายประเทศแสดงท่าทีแขยงแขงขนเรา น่าเสียดายว่า เราได้เติบโตจนเคยเป็นประเทศสำคัญในสังคมนานาชาติ เคยเป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าได้แสดงบทบาทปกป้องสันติภาพนานาชาติ และมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก ทว่า วันนี้ชื่อเสียงเหล่านั้นหายไปจนไม่มีอีกแล้ว

การรายงานการทบทวนสิทธิมนุษยชนของประเทศกว่า 105 ประเทศตามกลไก Universal Periodic Review หรือ UPR ที่นครเจนีวา เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลายประเทศตั้งคำถามต่อรัฐบาลไทยถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน หลายประเทศพูดถึงเราเรื่องคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาตรา 44 บางประเทศพูดถึงเราในแง่การขยายอำนาจของพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ บางประเทศเรียกร้องให้เรายกเลิกการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร ฯลฯ

นานถึง 4 ชั่วโมงที่นานาประเทศมีข้อใหญ่ใจความด้านลบเมื่อพูดถึงไทย รวมทั้งเสนอแนะแบบสั่งให้ประเทศเราทำโน่นปฏิบัตินี่ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยมาก่อน หรือแม้กับประเทศอื่นที่เคยโดน ก็ไม่เคยมีประเทศไหนเคยเสื่อมเกียรติยศมากในระดับนี้

เพราะต้องรักษาเกียรติภูมิในเวทีนานาชาติ ผู้นำและรัฐมนตรีของหลายประเทศจะต้องเข้าคอร์สอบรมการใช้คำพูดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ประเทศในเวทีระหว่างประเทศ เพราะวาทกรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น สามารถเพิ่มหรือลดอำนาจให้กับประเทศได้ ท่านเหล่านั้นต้องเรียนรู้กลวิธีการใช้ความสุภาพแบบตรงประเด็น ตั้งแต่การกล่าวถ่อมตน การสัญญา การแสดงความสนใจหรือห่วงใย การใช้คำขวัญ หลายประเทศเป็นห่วงภาพลักษณ์และสถานะของประเทศตัวเองถึงขนาดกำหนดว่า ผู้ที่จะออกไปสู่เวทีนานาชาติจะต้องเรียนรู้ถึงการใช้ความสุภาพแบบไม่ตรงประเด็น การใช้อุปลักษณ์ การโยงความสัมพันธ์ การใช้สหบท การใช้คำพังเพย ฯลฯ

ไทยยับย่อยอัปราชัยในเวทีโลกไปแล้ว ความพ่ายแพ้นี้จะมีผลต่อความมั่งคั่งที่จะเกิดจากการขายสินค้าและบริการและอื่นๆ อีกมากมายหลายอย่าง ทัศนะที่โลกมีต่อประเทศของเราเชิงลบ ทำให้เราถูกแยกออกมาอยู่ในประเทศกลุ่มชั่ว (ดี), ผิด (ถูก), ชอบธรรม (ไม่ชอบธรรม) ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ และผลลัพธ์นี้จะนำหายนะมาสู่คนไทยทั้ง 70 ล้านในอนาคตอันใกล้

ความที่เราไม่ธำรงรักษาสมดุลทางยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศจะทำให้เราต้องเผชิญกับการแทรกแซงรูปแบบใหม่ และภัยคุกคามแบบใหม่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน

ท่านคอยดูเถิด

ผมแปลกใจที่นักการทูตและนักการระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงของไทยหลายท่านแสดงทัศนะ “ไม่แคร์สังคมโลก” ทั้งที่ท่านผ่านร้อนผ่านหนาวและเดินวนเวียนอยู่ในเวทีระหว่างประเทศมาเกือบทั้งชีวิต ท่านน่าจะตกผลึกในการรักษาความสมดุลและเกียรติภูมิของประเทศ

เสียดายประเทศไทยครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

นายกฯ ไทยระวังอาถรรพณ์ทะเลดำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/619065

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 13 พ.ค. 2559 05:01

 

นายกรัฐมนตรีไทยและผู้นำอาเซียนอีก 9 ประเทศจะไปประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ที่เมืองโซชิ จังหวัดกราสโนดาร์ สหพันธรัฐรัสเซีย 19-21 พฤษภาคม 2559 ซึ่งปีนี้ การประชุมสุดยอดอาเซียน-รัสเซีย จะครบรอบ 20 ปี

พ.ศ.2559 เป็นปีทองของประชาคมอาเซียนครับ เพราะผู้นำอาเซียนมีโอกาสร่วมประชุมสุดยอดครบทั้ง 3 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลก 15-16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็เป็นการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ ที่เมืองแรนโชไมเรจ รัฐแคลิฟอร์เนีย พอถึงเดือนกันยายนก็จะมีการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ที่กรุงเวียงจันทน์

ไม่ค่อยมีคนไทยมีประสบการณ์เดินทางไปเมืองโซชิ ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศอันดับหนึ่งของรัสเซียที่ตั้งอยู่ริมทะเลดำ คนที่มีประสบการณ์เทียวเที่ยวไปและมีเพื่อนฝูงในตำแหน่งสำคัญต่างๆ ของเมืองริมทะเลดำ ก็เห็นจะเป็น ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์

ในโอกาสที่ผู้นำอาเซียน 10 ประเทศจะไปเยือนเมืองโซชิในสัปดาห์หน้า รายการ “World Beyond เดินทางสร้างชาติ” ทางช่อง 3 จะแพร่ภาพเวลา 06.00-06.30 น. ของเช้าวันเสาร์พรุ่งนี้ 14 พฤษภาคม พ่อผมกับนางสาวบาลาซาน นวรัตน์ น้องสาวของผม จะเสนอตอน “ประวัติศาสตร์ดินแดนแถบทะเลดำ-โซชิ” ใครอยากทราบว่าเมืองที่นายกรัฐมนตรีไทยจะไปเยือนสวยยังไงก็เชิญเปิดช่อง 3 ดูได้ในวันเสาร์พรุ่งนี้ครับ

ท่านที่ตื่นสายดูไม่ทันก็ดูได้ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ “นิติภูมิ นวรัตน์” ผมจะเอามาลงหลังจากแพร่ภาพช่อง 3 เสร็จแล้วครับ

เพราะพ่อเพิ่งกลับจากโซชิยังไม่ครบปี ผมก็เลยมีภาพใหม่ๆ ของทะเลดำมารับใช้กัน ตอนที่คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวอนุมัติให้รัสเซียเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันระหว่าง 7-23 กุมภาพันธ์ 2557 นายปูตินก็เอาเมืองโซชินี่แหละครับ เป็นสถานที่จัดแข่งขัน แล้วก็ทุ่มงบประมาณมากถึง 2.1 ล้านล้านบาทไปปรับปรุงถนนหนทาง สร้างมอเตอร์เวย์ เจาะอุโมงค์ สร้างสนามบินใหม่ และสร้างเมืองบริวารล้อมรอบเมืองโซชิ

ความมุ่งหวังตั้งใจของปูตินก็คือ อยากจะใช้โซชิดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศให้เข้ามาให้ได้ปีละหลายล้านคน แต่เกิดเรื่องซะก่อนครับ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองโซชิเสร็จเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2557 พอวันรุ่งขึ้นก็เกิดวิกฤตการณ์ปัญหาอูเครน ตามมาด้วยปัญหาไครเมีย จากนั้นก็มีความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอูเครนกับกบฏต่อต้านรัฐบาลที่รัสเซียให้การสนับสนุน

ปัญหาพวกนี้ทำให้สหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสมาชิกสหภาพยุโรปอีก 28 ประเทศลงโทษรัสเซีย ไม่คบค้าสมาคม ไม่ไปมาหาสู่ ไม่เข้าไปเที่ยว เมืองโซชิที่แต่เดิมฝันกันนักหนาว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปปีละมากมายหลายสิบล้านคน ปรากฏว่าไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเลยครับ มีแต่พวกรัสเซียด้วยกันเองเที่ยว

นายกรัฐมนตรีไทยไปประชุมที่เมืองโซชิครั้งนี้ ผมอยากจะแนะนำว่าถ้ามีเวลา ขอให้ท่านนั่งรถเยือนสาธารณรัฐอับคาเซียและสาธารณรัฐจอร์เจียที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เพราะมีข่าวว่าที่นั่นสวยมาก ผมเองยังไม่เคยไปจอร์เจีย แต่พ่อเคยพานายเนติภูมิพี่ชายคนโตไปเยือนทุกตรอกซอกมุมของประเทศนี้เมื่อ พ.ศ.2548 กลับมาถึงเมืองไทย พี่ชายผมก็เพ้อแต่ความสวยของประเทศนี้ เวลาผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว พี่ชายผมยังไม่หายเพ้อเลยครับ

ทะเลดำนี้อาถรรพณ์นัก ผู้นำที่ไปเยือนมักจะหมดอำนาจ

นายกอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียตไปลงนามสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธศาสตร์และอาวุธนิวเคลียร์พิสัยไกลกับสหรัฐอเมริกาเมื่อกรกฎาคม 2534 ทำให้พวกหัวอนุรักษ์และกองทัพโซเวียตไม่พอใจ พอสิงหาคม 2534 นายกอร์บาชอฟก็ไปพักผ่อนที่ทะเลดำ ขณะอยู่ที่นั่นก็โดนกองทัพโซเวียตทำรัฐประหาร โชคดีที่พวกทำรัฐประหารไม่รอบคอบ ไม่จับกุมบุคคลสำคัญที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ไม่ตัดระบบสื่อสาร ทำให้นายกอร์บาชอฟยังโผล่หน้าออกมาพูดจากับประชาชนทางหน้าจอโทรทัศน์ได้ ผู้คนโซเวียตก็เลยออกมาเดินขบวนต่อต้านการรัฐประหาร ทำให้ฝ่ายกบฏยอมแพ้ ต้องฆ่าตัวตายกันหลายคน

นายกอร์บาชอฟบินจากทะเลดำกลับมากรุงมอสโก และครองอำนาจอยู่ได้อีกไม่ถึง 4 เดือน สหภาพโซเวียตก็ถึงล่มสลาย นายกอร์บาชอฟก็หมดอำนาจกลายเป็นไอ้ปื๊ดลูกเจ้น้องก้นซอยสองมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ผู้นำคนไหนไปทะเลดำก็ต้องระวังหน่อยนะครับ

ทะเลดำอาถรรพณ์นัก

ผมขอเอาใจช่วยให้ท่านพ้นอาถรรพณ์นะครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand