บทความนี้ไม่เกี่ยวกับไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/611786

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 28 เม.ย. 2559 05:01

 

อบจ. อบต. เทศบาล และองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษอย่าง กทม. และเมืองพัทยามีทั้งสิ้น 7,853 แห่ง มีบุคลากรทั้งข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้างรวมทั้งหมด 466,447 คน (ยังไม่รวมนักการเมืองท้องถิ่น) บรรยายกันนานเท่าใด ก็ไม่หมด พฤหัสบดีวันนี้ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ จึงปักหลักบรรยายที่สถาบัน พัฒนาบุคลากรท้องถิ่นของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ทั้งวัน

ผมชอบอ่านรัฐธรรมนูญของหลายประเทศ

บางประเทศอนุญาตให้รัฐช่วยเกษตรกร แต่บางประเทศกำหนดว่า รัฐต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะการแข่งขันกับเอกชน

รัฐธรรมนูญที่เขียนซ่อนไว้ว่า รัฐต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะการแข่งขันกับเอกชนนี่ เกษตรกรของประเทศนั้นตายแน่ครับ เพราะรัฐเข้าไปแทรกแซงอะไรไม่ได้เลย ที่จะใหญ่ไปเรื่อยๆก็คือบริษัทมหาชนของนายทุนชาติและนายทุนข้ามชาติ อ่านเพลินๆ ก็สวยหรูดูดี แต่คนที่รู้เรื่องมาตรการระหว่างประเทศที่รัฐต่างๆใช้แทรกแซงการค้าสินค้าขั้นพื้นฐาน แค่หลับตาดูก็รู้เลยว่าอนาคต หายนะมาเยือนภาคเกษตรของประเทศนั้นแน่นอน

สินค้าขั้นพื้นฐาน หรือสินค้าเกษตรกรรม สินค้าอาหาร และเครื่องดื่มนั้น ต่างจากสินค้าอุตสาหกรรม กึ่งอุตสาหกรรม และสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะไม่มีทางเลยครับที่สินค้าขั้นพื้นฐานจะเป็นไปตามกลไกตลาด

ประเทศไหนก็ตามที่ปล่อยให้การค้าขายสินค้าเกษตรเป็นไปตามสภาพธรรมชาติ เกษตรกรจะแย่ นายทุนจะรวย ดังนั้น รัฐบาลทั้งหลายในโลกจึงจำเป็นต้องสร้างมาตรการมากมายเข้าไปแทรกแซง ควบคุม ส่งเสริม ค้ำจุนสินค้าเกษตรและสินค้าขั้นพื้นฐาน

แม้แต่เกษตรกรของประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ฯลฯ ก็ยังไม่สามารถจะดำเนินกิจการและประกอบการต่างๆ ภายใต้กลไกของตลาดได้อย่างแท้จริง สินค้าเกษตรส่วนใหญ่ในโลกของเราใบนี้เป็น Non Remunerative Price ผมหมายถึง เป็นสินค้าที่ไม่ก่อรายได้ ไม่คุ้มกับการลงทุนลงแรง ไม่คุ้มกับการเสียเวลาผลิต ไหนจะมีเรื่องความไม่แน่นอนจากลมฟ้าอากาศ ไหนจะมีแมลงศัตรูพืชมาทำลายผลผลิต แถมราคาของสินค้าเกษตรยังต่ำและไม่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่อยู่สบายบนโลกนี้ได้

รัฐบาลของหลายประเทศจึงต้องมีปฏิบัติการที่เข้าไปประกอบกิจการอะไรบางอย่างซึ่งเป็นการจำกัดหรือแข่งขันกับเอกชน เช่น มาตรการจำกัดการส่งออก มาตรการสต๊อกสินค้า มาตรการผูกพันซื้อผูกพันขาย ฯลฯ

สินค้าเกษตรเกี่ยวดองหนองยุ่งกับปากท้องของประชาชน ถ้าประชาชนคนทั้งหลายหาซื้อสินค้าเกษตร สินค้าอาหาร มาบริโภคเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเองและครอบครัวในราคาถูกไม่ได้ ประชาชนก็จะอดอยากปากแห้งกันทั้งประเทศ

ถ้าชาวไร่ชาวสวนชาวนาผลิตสินค้าเกษตรและสินค้าขั้นพื้นฐานมาแล้ว ขายไม่ได้ หรือต้องขายในราคาที่ต่ำมากจนขาดทุนซ้ำซาก เกษตรกรก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน

ถ้าไม่มีรัฐบาลเข้าไปแทรกแซง สังคมของประเทศนั้นล่มจมแน่นอน หายนะจะมาเยือนภายในเวลาไม่กี่ปี ความอดอยากหิวโหยและความยากจนข้นแค้นจะแผ่ซ่านไปทุกตรอกซอกมุมของประเทศ

รัฐต้องเข้าไปแทรกแซงสินค้าเกษตร เพราะสินค้าเกษตรเกี่ยวกับชีวิต เกี่ยวกับสุขอนามัยของคนและสัตว์ ถ้าปล่อยให้มีการค้าขายโดยเสรี มีการนำเข้ากันโดยเสรี หรือผลิตได้อย่างเสรี อาหารการกินของผู้คนในประเทศนั้นก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค ปนเปื้อนสารพิษ หากเอกชนเลือกผลิตแต่พืชหรือสัตว์บางประเภท ก็อาจจะปล่อยให้พืชหรือสัตว์อีกหลายประเภทสูญพันธุ์ไป

31 ธันวาคม 2558 สิบประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดการค้าเสรี บริการเสรี การลงทุนเสรี การเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรี แรงงานที่มีทักษะบางประเภทเสรี เสรีด้านอาหาร เกษตร และป่าไม้

ทว่าประเทศอย่างอินโดนีเซีย และมาเลเซียก็ยังเก็บภาษีข้าว ส่วนฟิลิปปินส์เก็บภาษีข้าวยังไม่พอ ยังมีการกำหนดโควตาอีก

รัฐธรรมนูญที่เขียนคำหรูซ่อนรูปไว้ไม่ให้รัฐช่วยเกษตรกร

เกษตรกรก็จะยากจนลงไปเรื่อยๆ

นายทุนชาติที่ทำธุรกิจเกษตรจะร่ำรวยยิ่งขึ้น

ขณะที่เขียนคอลัมน์ของวันนี้ ผมนึกถึงประเทศในทวีปอเมริกาใต้ แฮ่ๆ ไม่เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญของประเทศไหนนะครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

เฮ้ย อะไรกันนี่!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/611152

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 27 เม.ย. 2559 05:01

 

ที่สมาคมธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซ.งามดูพลี ถ.พระราม 4 กรุงเทพฯ 18.00-21.00 น. ของพุธวันนี้ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ จะพูด “การค้า การลงทุน และการต่างประเทศ” ซึ่งเชิญโดยอาจารย์ มนตรี ฐิรโฆไท ประธานสถาบันนักลงทุนรุ่นใหม่

ห้วง 4 วัน ผมตาม ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ ไปพูดรับใช้เรื่องการศึกษาไทยและการศึกษาโลกถึง 2 งานใหญ่ด้วยกัน งานแรกเมื่อ 22 เม.ย. ของสมาคมกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย ซึ่งมีผู้อำนวยการและกรรมการโรงเรียนมาร่วมรับฟังถึง 650 คน งานที่สองเมื่อ 25 เม.ย. ของมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ที่มีผู้ฟัง 450 คน ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์และผู้อำนวยการโรงเรียนประถมและมัธยมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

สิ่งหนึ่งซึ่งผู้คนในวงการศึกษาไทยกังวลใจก็คือ ขณะนี้มีการตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างแผนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ที่มีข่าวลือว่ากำลังดำเนินการเปลี่ยนสถานภาพครูจาก “ข้าราชการ” ไปเป็น “พนักงานราชการ”

ผมค้านเรื่องนี้ครับ ครูเป็นอาชีพเกียรติยศ ที่ควรได้รับความเคารพยกย่องอย่างสูงจากสังคม ต้องมีความมั่นคงทางสถานภาพ ครูทำงานหนัก ทว่าความก้าวหน้ากลับไม่มีมากเหมือนข้าราชการประเภทอื่น แต่ที่ผู้คนจำนวนหนึ่งเลือกทำงานเป็นครู ก็เพราะความมั่นคงทางอาชีพ

หากเปลี่ยนสถานะเป็นพนักงานราชการที่มีการประเมินเพื่อต่ออายุการทำงานอยู่เป็นระยะ ครูไม่ต้องเตรียมการสอนกันแล้วครับ แต่ต้องเตรียมผลงานเอาไปเสนอผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจอนุมัติ ว่าจะให้ทำงานต่อหรือไม่

ต่อไป ครูจะสอนเก่งหรือไม่เก่งไม่ใช่ปัญหา ถ้าหากเอาใจผู้บริหารอย่างถึงพริกถึงขิง ถึงลูกถึงคน ถึงเนื้อถึงตัว ก็ได้รับการประเมินให้ได้ทำงานต่อ

ปัญหาของการศึกษาไทยมีมากอยู่แล้ว ที่ผ่านมากฎระเบียบอะไรต่างๆ ก็ปรับเปลี่ยนกันบ่อยจนครูตามไม่ทัน เปลี่ยนโน่นปรับนี่จนมั่วซั่วไปหมด วันนี้ ท่านยังมาเสนอเรื่องที่จะทำให้บุคลากรทางการศึกษาขาดขวัญและกำลังใจขึ้นมาอีก

คนที่จะชอบการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ น่าจะมีคนเพียงประเภทเดียวครับ คือพวกประจบสอพลอ พวกเสนอหน้า ผมขอเรียนว่า นี่คือแผลขนาดใหญ่ที่จะปล่อยเชื้อโรคให้เข้าไปก้าวก่ายและสร้างระบบเส้นสายในวงการการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแทรกแซงจากทางการเมือง ต่อไปอาชีพครูก็จะเป็นเหมือนการเล่นกระดานหก พอพรรคการเมือง A มีอำนาจ อีกพวกหนึ่งก็ถูกเททิ้ง แต่เมื่อพรรคการเมือง B มีอำนาจ ก็ยกครูและบุคลากรทางการศึกษาฝั่งของตนขึ้นมาบ้าง

มีข่าวรั่วออกมาด้วยว่า อนุกรรมการยกร่างฯ จะให้ผู้อำนวยการโรงเรียนมาดำรงตำแหน่งด้วยวิธีการสรรหา โดยการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา โดยผู้มีอำนาจในระบบนี้จะมีวาระการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 4 ปี นี่ก็เป็นการบ่มเพาะระบบพรรคพวกขึ้นในวงการศึกษาด้วยเช่นกัน จะเก่งไม่เก่ง จะชั่วจะดียังไง ไม่เกี่ยว ถ้าเป็นพวกเดียวกันก็ได้รับการสรรหาให้มาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน

เกือบ 20 ปีที่ผ่านมา พ่อของผมเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยของรัฐถึง 3 แห่ง เป็นตั้งแต่มหาวิทยาลัยยังเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ จนกระทั่งหลายแห่งออกนอกระบบราชการ แถมยังเคยเป็นกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติที่ให้มหาวิทยาลัยของรัฐบางแห่งออกนอกระบบ ซึ่งพ่อของผมคัดค้านการออกนอกระบบเต็มที่ เพราะจะทำให้ต้นทุนการศึกษาของคนไทยมีราคาแพง แต่น้ำน้อยก็แพ้ไฟ สุดท้าย ร่างพระราชบัญญัติพวกนี้ก็ผ่านรัฐสภาและได้รับการบังคับใช้

เดิม มหาวิทยาลัยเป็นประชาคมของผู้คนในวงการศึกษาของแท้ อาจารย์ข้าราชการมีสถานะมั่นคงและใช้เวลาค้นคว้าหาความรู้กันอย่างเต็มที่ แต่พออาจารย์มีสถานะเป็นพนักงานราชการ มหาวิทยาลัยก็เป็นสังคมแห่งการแบ่งพรรคแบ่งพวก มีเรื่องร้องเรียนและฟ้องร้องอุบัติขึ้นมากมาย ค่าเล่าเรียนแพงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว อธิการบดีบางคนนอกจากจะรับเงินเดือนแล้วยังรับค่าประธานหลักสูตรปริญญาตรี โท เอก สำหรับนักบริหาร รวมแล้วเดือนหนึ่งได้ถึงล้านบาทก็มี

การศึกษาอุดมศึกษากลายเป็นเรื่องการค้าพาณิชย์

อย่าให้เรื่องการค้าพาณิชย์ ระบบเล่นพรรคเล่นพวก รวมทั้งการเมือง ระบาดลามปามเข้าไปในการศึกษาระดับโรงเรียนชั้นประถมและมัธยมเลยครับ

อย่าให้ข่าวลือนี้เป็นจริงเลยครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

รวมกันยิ่งใหญ่ แยกกันกระจอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/610600

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 26 เม.ย. 2559 05:01

 

วัดแก้วพิทักษ์เจริญธรรม เขตประเวศ กทม. จะซื้อที่ดินทำถนนเข้า-ออกวัด 1 ไร่ ตร.ว. ละ 25,000 บาท ผู้อ่านท่านผู้เจริญท่านใดจะทำบุญ ผมเชิญไปกราบนมัสการพระราชธรรมโมลี เจ้าอาวาส หรือโทร.ไปก่อนที่ 08-1420-8253 และ 08-5186-5290 ก็ได้ครับ

ดูเผินๆเหมือนว่า 23 มิถุนายน 2559 ที่จะมีการลงประชามติตัดสินใจว่าสหราชอาณาจักรจะอยู่กับสหภาพยุโรปหรือไม่นั้น ไม่สำคัญแต่ผมว่าเรื่องนี้สำคัญครับ เพราะถ้าอังกฤษออกจากอียูจริงๆ ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนของยุโรป ภูมิภาคอื่นก็จะเลียนแบบ โลกก็จะกลับไปมีสถานะก่อนหน้า พ.ศ.2488

วันก่อน มีคนถามผมว่า ใครที่สมควรจะได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งยุโรป ผมตอบว่า ก็ต้องเป็นคนที่จุดประกายให้เกิดการบูรณาการยุโรป ซึ่งคนที่ชอบพูดเรื่องบูรณาการยุโรปซ้ำๆ ย้ำๆ และพูดเป็นคนแรกๆ ก็คือวินสตัน เชอร์ชิล และชอง มอนเนต์ สองท่านนี้แหละครับ ผมยกย่องให้เป็นบิดาแห่งยุโรป

เชอร์ชิลเคยพูดว่าอยากให้รัฐในยุโรปรวมตัวกันเป็นสหพันธ์หรือสหรัฐเหมือนกับสหรัฐอเมริกา แถมเชอร์ชิลยังเผลอพูดคำว่า United States of Europe ซึ่งหมายถึง สหรัฐยุโรป ขณะกำลังกล่าวสุนทรพจน์ที่เมืองซูริกเมื่อ พ.ศ.2489 ส่วนมอนเนต์ก็เคยพูดว่า ไม่มีอนาคตอื่นใดสำหรับผู้คนในยุโรปนอกเหนือไปจากการเป็นสหภาพ

ความคิดของคนทั้งสองก็คือการทำให้ยุโรปไม่ทะเลาะกัน เพราะก่อนหน้านั้นซัดกันแหลกมามากมายหลายร้อยปี ถ้าไม่มีเชอร์ชิลและมอนเนต์ ป่านนี้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ไปแล้วครับ

อเมริกาเอารัฐต่างๆมารวมกันเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรปก็อยากให้ประเทศต่างๆมารวมกันเป็นประเทศเดียวเป็นสหรัฐยุโรป แต่ก็ต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ขยายไปเรื่องสังคม การเมือง ค่อยๆให้ชินต่อการอยู่เป็นองค์กรเดียวกันแบบ supranational หรือแบบองค์กรเหนือรัฐ

ให้มีการเลือก ส.ส.ของรัฐสภายุโรปที่เลือกทางตรงมาจากประเทศต่างๆ และมีวาระ 5 ปี ค่อยให้ชินกับการมีที่เรียกว่าศาลยุติธรรมยุโรป แม้แต่การเงินก็ให้มีระบบการเงินเดียวกัน มีธนาคารกลางยุโรป มีการประกาศใช้ยูโรเป็นเงินสกุลภายในของอียู

ฟังเชอร์ชิลกับมอนเนต์แล้ว นายโรแบร์ ชูมอง รมว.ต่างประเทศฝรั่งเศส+นายคอนราด อาเดเนาร์ นรม.เยอรมนีตะวันตกก็ลงนามในแผนชูมอง ทำให้เกิดประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป โดยประเทศที่ชอบทะเลาะกันมาก่อนหน้านี้มาเป็นสมาชิกสมาคมแรกของยุโรปครบทั้ง 6 ประเทศ เยอรมนีตะวันตก ฝรั่งเศส อิตาลี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก ประชาคมนี้นี่แหละครับ มีคณะกรรมาธิการที่มีอำนาจเหนือรัฐแห่งแรก ที่ทำหน้าที่ดูแลการดำเนินกิจกรรมต่างๆร่วมกัน

ตั้งแต่ตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรปมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 64 ปี มีเหตุการณ์ระหว่างประเทศเยอะแยะ ไม่ว่าสงครามเวียดนาม สงครามเย็น สงครามอ่าวเปอร์เซีย ความล่มสลายของโซเวียต ฯลฯ มีเรื่องกระทบเยอะ ถ้าไม่มีผลประโยชน์ร่วมกันในประชาคมถ่านหินฯ ประเทศในทวีปยุโรปรบกันไปนานแล้ว

แต่ความร่วมมือในประชาคมถ่านหินฯ ทำให้เหตุการณ์ตรงกันข้าม ทุกประเทศในยุโรปกลับร่วมมือกันมากขึ้น ประชุมกันมากขึ้น ความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากขึ้น จนถึงขนาดเมื่อ พ.ศ.2499 มีการตั้งประชาคมในลักษณะอย่างนี้ขึ้นมาอีก 2 แห่ง คือประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) และประชาคมพลังงานปรมาณูยุโรป (EURATOM)

3 ประชาคมที่ว่า ทำให้ประเทศในยุโรปมองเห็นภาพแห่งอนาคตในการรวมเป็นประเทศเดียวกันตามที่เชอร์ชิลเผลอพูดคำว่าสหรัฐยุโรปในขณะกล่าวสุนทรพจน์

และกลายมาเป็นสหภาพยุโรปที่มีสมาชิกมากถึง 28 ประเทศ

สหภาพยุโรปเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง ทำอะไรก็ทำเหมือนกัน อย่างเมื่อ 1 มกราคม 2558 อียูตัดสิทธิพิเศษทางภาษีสินค้าไทย 6,200 รายการ ทำให้รายได้ของไทยหายไปปีละหลายแสนล้าน รวมหัวกันกดดันไทยให้มีประชาธิปไตยสมบูรณ์ ถ้ายังไม่มี ก็ยังโดน 28 ประเทศ แกล้งตัดจีเอสพี หรือแกล้งหาว่าเราทำประมงที่ผิดกฎหมาย

แทบตายเพราะ 28 ประเทศ รวมตัวกันรุมเล่นไทย

แต่ถ้าอังกฤษถอนตัว อิทธิพลอียูก็อ่อนไปเยอะ

และถ้าอียูแตกเป็นประเทศใครประเทศมัน

ลิทัวเนีย “เพียงประเทศเดียว” มากดดันไทย

เราก็ไม่กลัวดอกครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

สหรัฐยุโรปจะมีหรือไม่?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/610212

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 25 เม.ย. 2559 05:01

 

เพิ่งกลับจากบุรีรัมย์เมื่อวันก่อน จันทร์วันนี้ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ต้องเดินทางขึ้นอีสานอีกแล้วครับ 09.00-12.00 น. ของวันนี้ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ พูด “เหลียวหลังแลหน้าการศึกษาไทยก้าวไกลสู่การศึกษาโลก” รับใช้นักการศึกษา 400 คน ที่ห้องประชุมอเนกประสงค์ ม.กาฬสินธุ์ อ.นามน จ.กาฬสินธุ์

ที่กำลังแรงอยู่ในขณะนี้ในสหราชอาณาจักรก็คือเรื่องของนักสหราชอาณาจักรนิยมกับนักยุโรปนิยม ผู้อ่านท่านคงทราบนะครับ ว่า 23 มิถุนายน 2559 ที่สหราชอาณาจักรจะมีการลงประชามติของประชาชนคนอังกฤษว่ายังจะสนับสนุนให้ประเทศของตนอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไปอีกหรือเปล่า? ซึ่งดูจากโพลก็กลับไปกลับมานะครับ บางช่วง พวกที่อยากจะให้สหราชอาณาจักรออกไปจากอียู หรือ Brexit ก็มีจำนวนมากกว่า แต่บางช่วงพวกที่อยากจะให้อยู่กับสหภาพยุโรปก็มีจำนวนมากกว่า

คนที่อยู่ไม่ติดก็คือนายบารัค โอบามา ซึ่งขณะที่ผมเขียนต้นฉบับรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพอยู่ในขณะนี้ นายโอบามาบินไปเข้าเฝ้าและถวายพระพรสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งมีพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา เมื่อ 21 เมษายน แต่ก่อนหน้าที่จะเดินทางไป นายโอบามาได้เขียนบทความวิงวอนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงชาวอังกฤษให้ลงคะแนนโหวตให้สหราชอาณาจักรยังคงเป็นสมาชิกอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป

นายโอบามาทำทุกอย่างนะครับ เขียนบทความโยงประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร เขียนลึกจนกระทั่งชาวอเมริกันที่ตายในสงครามยุโรป คนอังกฤษหลายคนมีความรู้สึกว่าอังกฤษไม่ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต หนึ่งในหลายสาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะเข้าไปรวมกับสหภาพยุโรป นายโอบามาก็พยายามครับ แกเขียนบอกว่า สหภาพยุโรปไม่ได้ทำให้อิทธิพลของอังกฤษลดลง แต่ช่วยเพิ่มพูนเสียด้วยซ้ำ “ในฐานะที่เป็นเพื่อนของท่าน ข้าพเจ้าขอเรียนกับท่านว่า สหภาพยุโรปทำให้อังกฤษยิ่งใหญ่กว่าเดิม”

เราก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนในประวัติศาสตร์นะครับ ว่าผู้นำของประเทศหนึ่ง จะกล้าไปพูดจาเกี่ยวดองหนองยุ่งกับประเด็นการเมืองของอีกประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นด้านการออกเสียงประชามติ แต่การที่นายโอบามากล้าเอาตัวเข้ามาเสี่ยงในครั้งนี้ ก็เพราะการอยู่หรือออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษสำคัญต่ออิทธิพลของสหรัฐอเมริกาในทวีปยุโรป

การพูดจาแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศอื่นครั้งนี้ เป็นไปตามคาดครับ โอบามาโดนถล่มเละ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษกว่าร้อยคนไปยื่นหนังสือแสดงความไม่พอใจต่อเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำกรุงลอนดอน คนอังกฤษจำนวนไม่น้อยก็ตะโกนก้องร้องด่านายโอบามาว่า เฮ้ย เอ็งเป็นคนนอก จะมาออกความเห็นเรื่องภายในของอังกฤษทำไม? อังกฤษจะอยู่หรือไปจากอียู เกี่ยวอะไรกับเอ็ง?

โดยแท้ที่จริงแล้ว สหรัฐอเมริกาห่างจากประเทศต่างๆในยุโรปมากพอสมควร ประเทศที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปก็คือสหราชอาณาจักร อิทธิพลของอเมริกายังคงทำงานได้ในทวีปยุโรปก็เพราะสหราชอาณาจักรกับสหรัฐอเมริกามีรากเหง้า เดียวกัน มีวัฒนธรรมประเพณีคล้ายกัน ถ้าหมดอังกฤษเป็นสะพานเชื่อมสหรัฐอเมริกาก็จะลดอิทธิพลของตนเองในสหภาพยุโรปไปไม่น้อย

และถ้าสหราชอาณาจักรไม่อยู่ในสหภาพยุโรปก็จะต้องมีอีกหลายประเทศทำตาม ความปรารถนาของนักยุโรปนิยมที่อยากจะเห็นสหรัฐยุโรปก็อาจจะพังทลายลงไป

เดิมรัฐในทวีปยุโรปทะเลาะเบาะแว้งกันไม่มีที่สิ้นสุด รบรันพันตูกันเฉพาะประเทศในทวีปยุโรปยังไม่พอ ยังไปชวนประเทศในทวีปอื่นมาร่วมทะเลาะกันด้วย ผู้อ่านท่านก็คงจะทราบดีนะครับ เหตุการณ์ที่ยุโรปทะเลาะกัน บั้นปลายท้ายที่สุดก็บานปลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

ก็มีผู้คนคิดกันนะครับ ว่าถ้าอยู่เป็นชาติเดี่ยวๆ อยู่แบบตัวใครตัวมัน อยู่แบบผลประโยชน์ใครผลประโยชน์มัน ต่อไปก็ยังจะต้องทะเลาะกันไอ้เรื่องผลประโยชน์นี่แหละ สู้ให้มามีประโยชน์ร่วมกันดีกว่า ถ้ามีประโยชน์อยู่ด้วยกันแล้ว การทะเลาะเบาะแว้งก็น่าจะบรรเทาเบาบางลง

นี่แหละครับ เป็นที่มาของประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป

พ.ศ.2510 ประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป + ประชาคมพลังงานปรมาณูแห่งยุโรป+ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป รวมกันเป็น ประชาคมยุโรป

1 พฤศจิกายน 2536 ประชาคมยุโรป ได้พัฒนามาเป็นสหภาพยุโรป

23 มิถุนายน 2559 จะเป็นวันที่พิสูจน์ว่า สหภาพยุโรปจะเริ่มพัง หรือจะเริ่มใหญ่โตขึ้นไป จนกลายเป็นสหรัฐยุโรปต่อไปในอนาคตหรือไม่?…

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

ชมรมเด็กวัด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/608768

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 22 เม.ย. 2559 05:01

 

ผมซื้อรังนกอีแอ่นและนำมาปรับปรุงคุณภาพเพิ่มมูลค่าเพื่อไปส่งขายที่เมืองจีน โดยมีพี่สะใภ้และพี่เขยคอยจัดการขายให้ที่เทียนจิน เมืองท่าที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงปักกิ่ง

ผู้คนในจันทบุรีและตราดสร้างบ้านให้นกอีแอ่นอาศัย และก็ทยอยเก็บรังนกมาขาย ถึงปีแล้วครับ ที่ผมและแม่ตระเวนดูบ้านนกอีแอ่นในพื้นที่จันทบุรีและตราด เมื่อทราบว่าเป็นลูกหลานใคร ผู้คนก็มักจะเล่าความหลังก่อนของพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดให้ฟัง

เพื่อนพ่อคนหนึ่งซึ่งจบชั้น ป.4 เล่าว่า ถ้าไม่มีโรงเรียนขลุงรัชดาภิเษกมาตั้งอยู่ใกล้บ้าน เด็กบ้านนอกอย่างพ่อของมึงก็ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือชั้น ม.ศ.1 ถึง ม.ศ.3 ทุกทีที่ปิดเทอม พ่อของมึงต้องมาหากูให้พาไปทำงานหาเงินไปจ่ายค่าเล่าเรียนและหนังสือ

อายุเพียง 11 ปี พ่อกับนายยงยุทธ กลางเนิน หรือลุงบอล ซึ่งปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 9/1 ม.6 ต.วันยาว อ.ขลุง ทั้งสองต้องไปรับจ้างผสมและหิ้วปูนสร้างโบสถ์ที่วัดวังสรรพรส ถึงตอนเย็น กระโจนลงคลองอาบน้ำล้างตัวแล้ว ก็ขึ้นไปนวดให้หลวงพ่อคง วันไหนปูนไม่มา พ่อก็จะช่วยผู้คนที่จะมารอสักยันต์ ซึ่งสมัยนั้น นิยมสักยันต์แบบลงอักขระ ทั้งยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์ไตรสรณคมณ์ ยันต์อิติปิโส ยันต์จักรพรรดิมาลา ยันต์ไกรจักร ยันต์หนุนดวงชะตา ฯลฯ

จบ ม.ศ.3 จากโรงเรียนประจำอำเภอแล้ว พ่อไม่รู้จะไปไหนต่อ เพราะสมัยนั้น ไม่มีเงินอุดหนุนการศึกษา เรื่องการเงินลำบากมาก ไหนจะต้องจ่ายค่าเทอม ค่าหนังสือเรียน ฯลฯ หนังสือเรียนสมัยนั้นต้องใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ห่อ จดตัวอักษรอะไรลงไปในกระดาษไม่ได้เลย เพราะต้องเก็บไว้ให้น้อง หรือไม่เอาไปขายต่อ เพื่อนำเงินมาซื้อหนังสือใหม่

ผู้ด้อยสถานะทางเศรษฐกิจอย่างพ่อผมจะไม่ได้เรียนหนังสือต่อชั้นมัธยมปลาย หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากพระ 2 รูป รูปแรกก็คือ พระมหาเข้ม โอภาชาติ (ปัจจุบันคือ พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดป่าคลองกุ้ง จันทบุรี) และพระปลัดสุวัฒน์ ด้วงบ้านยาง (ปัจจุบันคือ พระอุดมวัฒนมงคล เจ้าอาวาสวัดถ้ำวัฒนมงคล ระยอง) ซึ่งก่อนหน้านั้น พ่อต้องหิ้วกล่องกระดาษใส่หนังสือและเสื้อผ้าเครื่องใช้ เร่ร่อนไปขออาศัยหลับนอนในหลายสถานที่

ปัจจุบัน สถานการณ์ด้านการศึกษาของประเทศไทยเริ่มสบายขึ้น เมื่อรัฐบาลคณะต่างๆ ให้ความช่วยเหลือและอุดหนุนเงินการศึกษาในระดับมัธยมปลาย ทำให้แม้แต่โรงเรียนเอกชน ก็ไม่ต้องเก็บค่าใช้จ่ายแพงจากครอบครัวนักเรียนเหมือนเมื่อก่อน

ข้อดีของร่าง รธน. ม.54 คือรัฐเพิ่มการอุดหนุนชั้นอนุบาล

ข้อเสียคือ รัฐตัดการอุดหนุนชั้นมัธยมปลาย

ผมว่าจะเป็นเรื่องดีและแฮปปี้กันทั้งประเทศ หากรัฐจะอุดหนุนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลยันมัธยมปลาย

ผมไม่ห่วงนักเรียนฐานะดีดอกครับ แต่สงสารคนที่มาจากครอบครัวยากจนและปานกลาง โถ หนูๆเพิ่งพ้นจากสถานะความเป็นเด็กน้อยเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง วันนี้หนูต้องมาปากกัดตีนถีบเพื่อหาเงินแลกความรู้ใส่หัวซะแล้ว หนูจะมีสมาธิเรียนหนังสือหรือ?

ผู้อ่านท่านผู้เจริญโปรดอย่าคิดว่าผู้ปกครองจากโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาและอาชีวศึกษา 3,951 แห่ง (นักเรียน 2,386,257 คน ครู 100,067 คน) และโรงเรียนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 30,922 แห่ง (นักเรียน 7,114,804 คน ครู 402,412 คน) จะมีศักยภาพส่งเสียลูกหลานให้ได้รับการศึกษาเหมือนกันทั้งหมดนะครับ

หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน นักเรียนชายที่ไม่มีเงิน แต่อยากเรียนหนังสือ ก็ต้องไปอาศัยวัดละครับ ทั้งประเทศไทยมีวัด 38,984 แห่ง ทั้งพระ 289,131 รูป และเณร 60,528 รูป ก็อาจจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมรับเด็กวัดเพิ่ม

ถ้าพระหรือเณร 1 รูป อาสาอุปการะให้ที่นอนที่กินนักเรียนชาย 3 คน วัดและพระก็จะแบ่งเบาภาระรับนักเรียนชายได้ 1,048,977 คน แต่ทรัพยากรมนุษย์ของเราอีก 8,452,084 คนละครับ ลูกคนยากคนจนในจำนวนนี้จะทำอย่างไร? นักเรียนหญิงจะทำอย่างไร?

พ่อผมฝากแนะนำให้อดีตเด็กวัด ผู้คนที่ในอดีตเคยกินข้าวก้นบาตร คนที่ในอดีตเคยได้รับความช่วยเหลือจากพระเณรในขณะที่เรียนหนังสือ มารวมกันจัดตั้ง “ชมรมเด็กวัด” เพื่อระดมสมองช่วยกันคิดและเข้าไปช่วยเกื้อกูลวัด พระ เณร และเด็กวัดรุ่นใหม่

ใครไม่อายอดีตเชิญที่ Line official ไอดี @LGJ0596P

และค่อยนัดกันว่าจะไปรวมตัวคุยกันที่ไหน

ถ้าวัดไหนพร้อมให้สถานที่เป็นที่ตั้งชมรมเด็กวัด

ก็จะกราบขอบพระคุณมากครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

เอาใจช่วยเอกวาดอร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/608177

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 21 เม.ย. 2559 05:01

 

สถาบันกรมพระจันทบุรีนฤนาถ สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “การวิเคราะห์และการสังเคราะห์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาธุรกิจภาคบริการ” ในหลักสูตร “นักการค้าพาณิชย์” รับใช้พาณิชย์จังหวัด 50 คน 13.00-16.00 น. เสาร์ 23 เมษายน 2559 ที่โรงแรมที เค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

เกิดแผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐเอกวาดอร์ขนาด 7.8 ขณะที่ผมเขียนเปิดฟ้าส่องโลกรับใช้ พบผู้เสียชีวิตแล้ว 413 คน ผมขอแสดงความเสียใจกับรัฐบาลและประชาชนของเอกวาดอร์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

เกิดแผ่นดินไหวที่เอกวาดอร์ปุ๊บ นายเนติภูมิ นวรัตน์ พี่ชายของผมเล่าให้ฟังปั๊บ ถึงเรื่องที่เคยใช้ทุนตนเองตามพ่อของผมไปร่วมประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาครั้งที่ 128 ระหว่าง 19-31 มีนาคม 2556 ณ กรุงกีโต สาธารณรัฐเอกวาดอร์ ซึ่งพ่อผมต้องไปกล่าวถ้อยแถลงให้สมาชิกรัฐสภาทั่วโลกฟังเรื่อง “การค้าอย่างเป็นธรรมและกลไกทางการเงินที่มีนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งพ่อพูดถึงการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ว่าควรที่จะใส่ใจผู้ยากจนในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มชาวนา และพูดถึงไมโครเครดิต โปรเจกต์ หรือระบบสินเชื่อรายย่อย ซึ่งเป็นโครงการที่มีส่วนช่วยเหลือผู้ยากจนได้สำเร็จมาแล้วในหลายประเทศ

ขณะที่พ่อประชุม พี่ผมก็ตระเวนเทียวไปตามเมืองต่างๆ เมื่อกี้นี้ก็ยังพูดกับผมอยู่เลยครับว่า น่าเสียดายการท่องเที่ยวเอกวาดอร์ เพราะประเทศนี้มีมรดกโลกมากถึง 5 แห่ง เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม 3 แห่ง คือ กรุงกีโต ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ ชานตาอานาเด โลส ริโอส เดกูเองกา และคาปักญัน ระบบถนนแอนดีส มีมรดกโลกทางธรรมชาติ 2 แห่ง คือ หมู่เกาะกาลาปากอส และอุทยานแห่งชาติซานไกย์

ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ของประเทศนี้ที่มีสูงมาก เพราะมีเส้นศูนย์สูตรตัดผ่าน กรุงกีโตซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศแท้ๆ แต่กลับมีป่าเยอะ แถมฝนก็ตกมาก

เอกวาดอร์มีพลเมือง 16 ล้าน คนส่วนใหญ่ร้อยละ 55 เป็นเลือดผสมระหว่างสเปนกับอเมริกันอินเดียน ใครไปประเทศนี้ก็จะชินตากับผู้คนที่มีรูปร่างสันทัด อัธยาศัยใจคอดี ใจกว้าง ชอบเต้นรำสนุกสนาน อารมณ์ดีหัวเราะทั้งวัน แต่ในขณะเดียวกันก็เคร่งครัดในศาสนา โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ ร้อยละ 95 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก พี่ชายผมเข้าไปในร้านอาหาร เห็นบริกรปฏิเสธการสั่งเครื่องดื่มของนักท่องเที่ยวต่างชาติว่า “…ขอโทษที่ร้านเราไม่เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันอาทิตย์ครับ”

ใครสนใจจะไปเยือนกรุงกีโต ท่านต้องเดินและทำอะไรช้าๆ นะครับ เพราะกรุงกีโตเป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดของโลก สูงถึง 2,850 เมตร

เอกวาดอร์เป็นประเทศที่ผู้คนสนใจกีฬามาก ตอนที่พ่อและพี่ชายของผมอยู่ในกรุงกีโต กำลังจะมีมหกรรมฟุตบอลโลกที่บราซิล มองไปทางไหน เห็นผู้คนตามถนนหนทาง ใส่แต่เสื้อเชียร์ฟุตบอลทีมชาติเอกวาดอร์ ทุกอาคารบ้านเรือนต่างประดับประดาธงชาติเอกวาดอร์ หัวข้อการสนทนาของผู้คนส่วนใหญ่เป็นเรื่อง ฟุตบอล และฟุตบอล

พ่อพาพี่ชายผมไปชมฟุตบอลซึ่งในสนามมีผู้ชมมากถึง 45,000 คน และก็ได้เห็นวัฒนธรรมการชมกีฬาของคนเอกวาดอร์อย่างแท้จริง นอกจากโบสถ์คริสต์คาทอลิกแล้ว ก็สนามฟุตบอลนี่ล่ะครับ ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนเอกวาดอร์อีกแห่งหนึ่ง

ผู้อ่านท่านอย่าเพิ่งแปลกใจนะครับ หากผมจะบอกว่า เอกวาดอร์ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อน พ.ศ.2543 เอกวาดอร์ใช้เงินสกุลซูเคร เป็นเงินตราประจำชาติ แต่ภายหลังมีภาวะเศรษฐกิจภายในที่ส่อเค้าว่าจะมีปัญหาหนัก รัฐบาลเอกวาดอร์จึงตัดสินใจใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯเป็นเงินตราประจำชาติแทน ทำให้เศรษฐกิจของเอกวาดอร์มีความมั่นคง มีเงินตราในระบบหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น หนึ่งในหลายปัจจัยที่ทำให้เอกวาดอร์เจริญเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ ก็คือ เอกวาดอร์เต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติประเภทปิโตรเลียม เอกวาดอร์เป็นสมาชิกโอเปก นะครับ

เหมือนกับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ราคาน้ำมันตกต่ำ ทำให้เศรษฐกิจเอกวาดอร์ซวนเซเรรวนอยู่เกือบ 2 ปี มาคราวนี้ เจอแผ่นดินไหวเข้าอีก ซึ่งจะต้องใช้เงินบูรณะซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนเป็นจำนวนเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ฐานะที่ครอบครัวของผมเคยไปเยือนสาธารณรัฐเอกวาดอร์ และเคยชื่นชมความสวยงามของทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม ผมขอส่งใจไปช่วยให้รัฐบาลและประชาชนคนเอกวาดอร์ผ่านพ้นความยากลำบากที่สุดนี้ไปได้ด้วยดีนะครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

แค่อยากกินเศษก๋วยเตี๋ยว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/607587

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 20 เม.ย. 2559 05:01

 

ประธานกรรมการ กรรมการดำเนินงาน ฯลฯ ของสหกรณ์การเกษตรจากชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ สุรินทร์ และมหาสารคาม 250 คน เชิญฟัง ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “สินค้าเกษตรกับเศรษฐกิจโลก” ที่ห้องประชุมโรงแรมเทพนคร จ.บุรีรัมย์ 13.00-14.45 น. พฤหัสบดี 21 เมษายน 2559

ผมอ่านหนังสือ Detention Settlements และบทความ North Korean Human Rights: A Story of Apathy, Victims, and International Law ของ เดวิด เอส. ลี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียในลอสแอนเจลิส และมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดซึ่งเขียนถึงนิคมกักกันและเหยื่อที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ

อ่านแล้วเห็นข้อเปรียบเทียบเลยครับว่า การติดคุกในเกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยสากล ช่างแตกต่างกันอย่างฟ้ากับดินกับการติดอยู่ใน กวาน ลี โซ หรือค่ายกักกัน ในเกาหลีเหนือซึ่งเป็นประเทศเผด็จการ

เดวิด เอส. ลี เขียนหนังสือและบทความนี้จากคำบอกเล่าและพยานชาวเกาหลีเหนือที่เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

ในสังคมเผด็จการของเกาหลีเหนือนั้น ผู้มีอำนาจจะจองจำใครก็ได้ตามอำเภอใจ แม้แต่จะประหารใครก็ทำได้ มีทั้งประหารลับ ประหารสาธารณะ เอาคนที่ตนไม่ชอบไปทดลองทางชีวภาพ บังคับให้ทำแท้ง มีแม้แต่การนำทารกแรกเกิดไปเป็นอาหารให้สุนัข ฯลฯ

มีการกดขี่ทางการเมือง และการทำลายล้างศาสนาที่ตนเองไม่ชอบ

นางลี ซุก อ๊อก อดีตนักโทษเกาหลีเหนือซึ่งพ้นโทษและหนีออกจากประเทศได้ ให้ข้อมูลว่า “ฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2533 ข้าพเจ้าเห็นนักโทษคริสเตียนสูงอายุ 6 คน ถูกให้ไปยืนเรียงแถวเพื่อปฏิเสธความเชื่อในคริสต์ศาสนา และให้ยอมนับถืออุดมการณ์จูเชของรัฐ เมื่อนักโทษเงียบ เจ้าหน้าที่ก็โกรธขึ้งและฆ่าทีละคนด้วยการเทเหล็กหลอมราดลงไปบนตัว”

ระยะแรกของการปลดปล่อย ประชาชนคนเกาหลีเหนือต้อนรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วยความชื่นชม และด้วยความหวังว่าตนและครอบครัวจะมีชีวิตที่ดีกว่าเก่า ผู้คนจะเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนตัดหญ้า หรือชาวนา ก็มีสถานะเท่าเทียมกับคนอื่น หวังว่าเผด็จการจะสลายชนชั้นที่เคยเหลื่อมล้ำ

แต่กรณีตัวอย่างที่มีเป็นพันเป็นหมื่น กลับตรงกันข้าม

นายมยุง ชุล อดีตผู้คุมให้ข้อมูลว่า ระหว่างคุมการทำงานเชื่อมต่อทางน้ำทิ้งไปลงที่บ่อน้ำเสียของโรงครัว นักโทษการเมืองหญิง 2 คน เห็นเศษก๋วยเตี๋ยวจากโรงครัวของผู้คุมคาอยู่ที่ขอบบ่อ จึงเอื้อมมือไปโกยเศษก๋วยเตี๋ยวมาทาน

เจ้าหน้าที่ขี่รถจักรยานผ่านมาพอดี จึงถีบนักโทษหญิง 2 คนนี้ลงไปในบ่อน้ำเสีย มีนักโทษชาย 4 คนวิ่งมาที่เกิดเหตุ และช่วยดึงนักโทษหญิงทั้ง 2 ขึ้นมา นักโทษชายคนหนึ่งเอ่ยกับนักโทษหญิงว่า คุณน่าจะบอกเราก่อน เราจะได้ไปหยิบเศษก๋วยเตี๋ยวให้

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา 1 ใน 2 ของนักโทษหญิงก็เสียชีวิต

นายมยุง ชุล อดีตผู้คุมเห็นเหตุการณ์นี้โดยตลอด และได้ตั้งปณิธานว่า วันหนึ่งจะต้องหนีออกจากเกาหลีเหนือ และจะไปบอกให้โลกรู้ถึงความเลวร้ายของระบอบนี้ ที่เริ่มต้นจากการต้อนรับของประชาชน แต่ลงเอยด้วยการทำร้ายประชาชน

นายชอย ดอง ชุล อดีตผู้คุมอีกคนหนึ่ง ที่หนีจากเกาหลีเหนือได้ ให้ข้อมูลว่า นักโทษชายหญิงจะถูกสั่งให้ทำงานในแปลงเกษตรตั้งแต่ตี 5 จนถึงเที่ยงคืน มีหลายครั้ง นักโทษถือขวานหรือเคียวกำลังทำงานอยู่ในไร่ก็จะถูกสั่งให้เดินไปหาเจ้าหน้าที่ แต่เมื่อไปถึงก็จะถูกเจ้าหน้าที่ยิงทิ้งด้วยความสนุกสนาน จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็จะเขียนรายงานว่า ต้องฆ่าเพราะนักโทษก่อกบฏด้วยขวานและเคียว รายงานนี้ถือว่าชอบธรรม เจ้าหน้าที่ไม่ต้องถูกสอบสวน

ในหลายประเทศ แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มเป็นเผด็จการ และลูกหลายของเราไม่ต้องถึงขนาดถูกจองจำในคุกดอกครับ ในบางสถานที่ก็ยังถูกเจ้าหน้าที่รุมซ้อมตามอำเภอใจจนตาย

สังคมที่เพิ่งเปลี่ยนจากระบอบประชาธิปไตยไปเป็นระบอบเผด็จการ ประชาชนจะค่อยๆถูกขโมยอำนาจโดยไม่รู้ตัว และลงเอยด้วยความโหดร้ายเช่นเดียวกันหมด

ถ้าอยากให้ลูกสาวของท่านตายด้วยการถูกเจ้าหน้าที่ถีบลงในบ่อน้ำเสียเพียงเพราะแค่อยากกินเศษก๋วยเตี๋ยว

ก็เชิญชื่นชมระบอบเผด็จการกันต่อไปเถิดครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/607142

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 19 เม.ย. 2559 05:01

 

นายบรรจง พงศ์ศาสตร์ นายกสมาคมกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย เชิญ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล พูด “กลยุทธ์การนำคุณธรรมสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทย” 10.15-12.00 น. และ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “เปิดฟ้าส่องโลกมองการศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21” 13.00-14.30 น. รับใช้ประธาน เลขานุการ และผู้แทนกรรมการสถานศึกษาจากเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทุกเขต 600 คน ศุกร์ 22 เมษายนนี้ โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ท จ.ปทุมธานี

รับใช้ไปเมื่อวันศุกร์ ว่าในร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 นอกจากเรื่องของการศึกษาแล้ว ที่ผมเห็นว่ามีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดวิกฤติความขัดแย้งขั้นสูงถึงขั้นเลือดท่วมแผ่นดินก็คือ มาตรา 31 ซึ่งข้อยกเว้นทั้ง 3 อย่างในมาตรานี้ เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก หากรัฐ หรือเจ้าหน้าที่รัฐไม่รอบคอบ หรือมีอคติ หรือไปห้ามการนับถือศาสนา หรือห้ามการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา ก็อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดมีการประกาศญีฮาดปกป้องศาสนา ตามหลักของศาสนาอิสลามขึ้นมาได้

อ่านเผินๆ ทุกอย่างดีหมด แต่ถ้าอ่านแบบคนรู้ประวัติศาสตร์ ก็จะเกิดความหวาดกลัวว่า ข้อความอย่างนี้เคยสร้างสงครามกลางเมืองมาแล้วในหลายประเทศ

มาตรา 31 บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ข้อความที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญในอดีตจะเขียนว่า “บุคคลย่อมได้รับการคุ้มครอง รัฐจะกระทำการอันเป็นการลิดรอนสิทธิเพราะเหตุแห่งความเชื่อทางศาสนาไม่ได้”

ส่วนข้อห้ามที่บัญญัติว่า “ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ” นำมาใส่เฉพาะในร่างรัฐธรรมนูญ 2559 เป็นครั้งแรก

เมื่อมีรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แบบนี้ รัฐก็มีความชอบธรรมในการห้ามการปฏิบัติตามความเชื่อและการทำกิจกรรมของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ โดยอ้างว่าเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ

นี่เป็นความต้องการคุมศาสนาของฝ่ายการเมืองหรือเปล่า? ข้อความประเภทนี้ ทำให้ประเทศตกอยู่ในทะเลเพลิงได้ง่ายดาย ทำให้แผ่นดิน 5.3 แสนตารางกิโลเมตร ลอยอยู่บนน้ำมันเบนซิน ใครโยนไม้ขีดไฟลงไปแม้เพียงแค่ก้านเดียว ก็ไหม้กันหมดทั้งประเทศ

ประเทศที่เปลี่ยนรัฐธรรมนูญบ่อยๆ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่มักจะร่างเพื่อแก้ไขวิกฤติของประเทศในห้วงเวลานั้น บางคนร่างเพื่อกีดกั้นคนบางกลุ่มที่พวกตนกลัวว่าจะขึ้นมามีอำนาจในอนาคตอันใกล้หรือเปล่า?

คนร่างซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีอายุมาก ไม่ช้าไม่นาน ก็ตายกลายเป็นผีกันแล้ว แต่รัฐธรรมนูญยังคงใช้บังคับกับผู้คนอีกหลายสิบล้าน

พวกได้ประโยชน์ก็จะแฮปปี้มีความสุขที่สามารถใช้รัฐธรรมนูญกดหัวและบีบรัดชีวิตของคนกลุ่มอื่นๆ พวกนี้ทำงาน 10 แต่ได้ผลประโยชน์ 100 พวกที่เสียประโยชน์ก็จะดิ้นรน หาหนทางต่อสู้ เมื่อต่อสู้ด้วยวิธีทางธรรมดาไม่ได้ ก็จะต่อสู้ด้วยกำลังและอาวุธ

บ้านเรามีนักวิชาการเยอะ ลองให้นักวิชาการไปค้นคว้าประวัติสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในแทบทุกประเทศ ล้วนเกิดมาจากข้อความและการปฏิบัติอย่างนี้ทั้งนั้น

ชาวพุทธเป็นศาสนิกชนเดียวในโลก แม้จะมีมหานิกายและธรรมยุต แต่เราก็มิได้แบ่งแยกเหมือนศาสนิกในศาสนาอื่นที่ประกาศชัดเจนว่า ข้าพเจ้าเป็นคาทอลิก เป็นโปรเตสแตนต์ เป็นซุนนี เป็นชีอะห์ เป็นซิกข์นามธารี ฯลฯ

แต่ด้วยร่างรัฐธรรมนูญมาตรานี้ เมื่อนิกายใดถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจจะมีชาวพุทธบางคนประกาศต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

เดิม คนไทยไม่มีสี แต่โดนฤทธิ์รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 เพียง 20 ปี ไทยกลายเป็นสังคม 2 ข้างอย่างรุนแรง

สังคมแบ่งข้าง แบ่งสี ยังไม่หนักเท่าสังคมแบ่งนิกาย ผมขอเป็นนอสตราดาโม้ทำนายทายทักว่า สังคมไทยในอนาคตจะกลายเป็นสังคมที่แบ่งว่า ฉันเป็นมหานิกาย ฉันไม่ไปทำบุญกับวัดธรรมยุต ฉันเป็นศิษย์ธรรมยุต ฉันไม่ชอบมหานิกาย

บางคนเป็นธรรมกาย ที่เชื่อว่าตนเองถูกพวกเธอรังแกมาตลอด จึงพร้อมน้อมใจอยู่ในสังคมปิดตามความเชื่อของตน ยิ่งเธอเอารัฐธรรมนูญ มาตรา 31 มารังแกฉัน มากล่าวหาว่าการตักบาตรพระแสนรูปเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ ฉันจะต่อสู้ ฉันอุทิศกายถวายชีวิตเพื่อปกป้องพระศาสนา ปกป้องในสิ่งที่ฉันเชื่อศรัทธา อย่างนี้เป็นไปได้หรือเปล่า?

มีชีวิตอยู่ ฉันก็ถูกพวกเธอรังแกไม่จบสิ้น

แต่ถ้าฉันตายเพราะการต่อสู้เพื่อปกป้องศาสนา

ฉันก็จะได้ไปสวรรค์ ฉันขอเลือกไปสวรรค์.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

ระวังญีฮาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/606765

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 18 เม.ย. 2559 05:01

 

หนึ่งในฝันของผมก็คือ การให้ภาษา ศิลปวัฒนธรรม และจิตวิญญาณมลายูท้องถิ่น ยังคงอยู่ใน 3 จชต. เพื่อที่จะให้สิ่งเหล่านี้เป็นสะพานเชื่อมไทยไปสู่อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน ซึ่งมีคนใช้ภาษาและวัฒนธรรมมลายูเกือบ 300 ล้านคน

ต้องขอบคุณ มติ ครม. 13 มีนาคม 2555 ว่าด้วยการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้หมู่บ้าน หน่วยราชการ ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล สถานีอนามัย อำเภอ สถานีตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีป้ายชื่อหน่วยงานและป้ายบอกเส้นทางอย่างน้อย 3 ภาษา คือ ไทย มลายูถิ่น และอังกฤษ รวมทั้งภาษาอื่นที่สำคัญ เช่น จีนและอาหรับ อีกด้วย

แต่เมื่อต้นเดือนเมษายน 2559 ข้าราชการท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ท่านผู้ใหญ่คนสำคัญบินจากกรุงเทพฯ ไปเข้าประชุมและสั่งการให้มีการปรับป้ายของบางหน่วยงานให้ตัดเหลือแค่ 2 ภาษาเท่านั้น คือไทยและอังกฤษ และไม่ให้ใช้ภาษามลายูถิ่นอีกต่อไป

แม้ไม่บอก ผมก็พอเดาออกถึงสิ่งที่อยู่ใต้สมองของผู้ออกคำสั่งครั้งนี้ ก็คือ ท่านอาจจะต้องการกลืนวัฒนธรรมมลายูให้จางหายจาก 3 จชต. ไปทีละน้อย

แทนที่จะส่งเสริมให้คนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูได้พัฒนาภาษาของตนจนสามารถติดต่อสัมพันธ์ทำมาค้าขายกับคนอินโดนีเซีย 250 ล้าน คนมาเลเซีย 30 ล้าน และคนบรูไน 4.2 แสน ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดทางภาษาวัฒนธรรม ท่านกลับทำตรงกันข้าม

ระยะหลัง พ่อไปพูดที่ 3 จชต.เดือนละหลายครั้ง พบว่านักเรียนใน 3 จชต.นิยมเรียนในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามมากถึงร้อยละ 80 ของนักเรียนทั้งระบบ

แต่เดิม รัฐบาลไทยอุดหนุนทรัพยากรมนุษย์พันธุ์ไทยให้เรียนฟรี 15 ปี จนถึง ม.6 โรงเรียนเอกชนพวกนี้แม้จะลำบาก แต่ก็ยังพออยู่ได้ ทั้งที่โรงเรียนเอกชนต้องแข่งกับโรงเรียนรัฐ ซึ่งนักเรียนโรงเรียน สพฐ.ได้เงินอุดหนุนประมาณ 42,549 บาท/ต่อคน/ต่อปี

แต่ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 เสมือนสั่งให้รัฐไม่สนับสนุนนักเรียนชั้น ม.4-ม.6 ทำให้โรงเรียนเอกชนซึ่งเดิมได้รับการอุดหนุนจากรัฐประมาณ 13,000 บาท/ต่อคน/ต่อปี ก็จะไม่ได้รับอีกต่อไป ต้องไปเก็บค่าเล่าเรียนจากนักเรียน แม้แต่โรงเรียนรัฐก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ที่กระทบที่สุดเลยก็คือ นักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามใน 3 จชต. ซึ่งนักเรียนเกือบทั้งหมดเป็นมุสลิม

การบีบสมองเยาวชนให้เล็กลงด้วยการเลิกอุดหนุนนักเรียนชั้น ม.4-ม.6 ทำให้พ่อแม่ที่ยากจนต้อง “หยุด” ส่งลูกไปโรงเรียนเอกชน โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่สอนทั้งวิชาสามัญและศาสนา และต้องไปเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลที่ไม่ได้สอนศาสนา เพราะโรงเรียนรัฐเก็บค่าเล่าเรียนถูกกว่า ทว่าโรงเรียนรัฐมีเพียงแค่อำเภอละ 1 แห่งเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นการบีบนักเรียนไทยมุสลิมให้ไปรับทุนเพื่อเรียนต่อในปากีสถาน อัฟกานิสถาน ซีเรีย อิรัก ซูดาน อียิปต์ จอร์แดน อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เลบานอน และในสาธารณรัฐอิสลามเล็กๆ ในสหพันธรัฐรัสเซีย เช่น อินกูเชเตีย เชชเนีย ตาตาร์สถาน ฯลฯ

นักเรียนมุสลิมไทยใน 3 จชต.ได้รับความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามาตลอด ในพื้นที่ 3 จชต. มีปอเนาะที่จดทะเบียนอยู่ 486 แห่ง มีตาดีกาและมัสยิดรวมประมาณ 5 พันแห่ง คนที่จบปอเนาะจากไทยเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยไทยไม่ได้ แต่ไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่เก่าแก่ระดับโลกได้ รวมทั้งมหาวิทยาลัยอัลอัซฮาที่อียิปต์ซึ่งเรื่องนี้สร้างความงุนงงสงสัยให้กับนักการศึกษาในซีกโลกอาหรับเป็นอย่างมาก

สำหรับมุสลิม เงื่อนไขที่จะต้องญีฮาดคือการถูกกดขี่ อัลลอฮฺ (ซุบฯ) ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอาน มีความหมายว่า จงต่อสู้จนกว่าจะไม่มีการกดขี่ การปฏิบัติหน้าที่ หรือจงใจที่จะกดขี่ข่มเหงเพื่อให้เกิดความเสียหายหรือทำลายอิสลาม ให้ญีฮาดเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม ความเสมอภาค และสิทธิของมุสลิมที่ปฏิบัติตนตามวิถีอิสลาม

ในร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 นอกจากเรื่องของการศึกษาแล้ว ที่ผมเห็นว่ามีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งขั้นสูงถึงขนาดเลือดท่วมแผ่นดินก็คือ ร่าง รธน. มาตรา 31 ซึ่งข้อยกเว้นทั้ง 3 อย่างในมาตรานี้ เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก หากรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่รอบคอบ หรือมีอคติ หรือไปห้ามการนับถือศาสนา หรือห้ามการปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา ก็อาจจะเกิดเรื่องใหญ่ถึงขนาดมีการประกาศญีฮาดเพื่อปกป้องศาสนาเกิดขึ้นได้

อ่านเผินๆ ทุกอย่างดีหมด แต่ถ้าอ่านแบบคนที่รู้ประวัติศาสตร์ว่าทำไมในหลายประเทศจึงเกิดสงครามกลางเมือง เมื่ออ่านแล้วจะหนาวครับ ในอนาคต ผมจะค่อยๆ แกะมารับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพ เพื่อป้องกันความวุ่นวายไม่ให้เกิดขึ้นกับแผ่นดินของเราครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

องค์กรอิสระสมัยราชวงศ์หมิง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/605679

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 15 เม.ย. 2559 05:01

 

รับใช้เรื่องประวัติศาสตร์จีนได้รับการตอบรับจากท่านผู้อ่านเยอะครับ หลายท่านบอกว่า การเมืองการปกครองของจีนเป็นศาสตร์ที่นำมาประยุกต์กับการเมืองการปกครองของประเทศต่างๆ ได้ทั้งโลก

อย่างช่วงราชวงศ์หมิงนี่ก็น่าสนใจ เพราะตอนต้นราชวงศ์ สมัยพระเจ้าหมิงไท่จู่ พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ และพระเจ้าหมิงเซวียนจง จักรวรรดิมั่นคงสูงและเศรษฐกิจดีมาก

ทว่าตั้งแต่พระเจ้าหมิงอิงจงเป็นต้นมา จักรวรรดิวุ่นวาย เป็นเช่นนี้เพราะจักรพรรดิมอบให้ขันทีเป็นผู้จัดการบ้านเมือง ขันทีควบคุมกิจการในราชสำนัก รับสินบน ละเมิดกฎหมาย กุมอำนาจทหารและตุลาการเอาไว้ ทำให้ไม่มีความยุติธรรม

ไม่เหมือนตอนตั้งราชวงศ์ใหม่ๆ พระเจ้าหมิงไท่จู่ควบคุมขันทีอย่างเข้มงวดกวดขัน ห้ามขันทีก้าวก่ายกิจการบ้านเมือง ถึงขนาดไม่ให้ขันทีเรียนหนังสือ

ขันทีมีบทบาทหลังจากที่พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ก่อการกบฏและได้รับชัยชนะ เพราะได้รับความช่วยเหลือจากขันที เมื่อขึ้นครองราชย์แล้วก็แต่งตั้งพวกขันทีเป็นทูตและตรวจตรากองทหาร แถมยังตั้งหน่วยงานตงฉั่งให้ขันทีสืบสวนความลับเรื่องส่วนตัวของเหล่าขุนนางและราษฎร ตั้งแต่นั้นมา ขันทีก็ตั้งและควบคุมองค์กรอิสระหลายแห่ง

สมัยรัชกาลพระเจ้าหมิงอิงจง บรรดาขุนนางต้องเรียกขันทีที่มีนามหวังเจิ้นแบบให้เกียรติอย่างสูงว่า เวิงฟู่ ที่มีความหมายว่า พ่อผู้เป็นใหญ่ ความวุ่นวายในราชสำนักมีสูงมาก พวกขันทีก่อกบฏและยกคนโน้นคนนี้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ

ขันทีคนหนึ่งนามว่าวังจื๋อไปจัดตั้งองค์กรอิสระ “ซีฉั่ง” ที่หมายถึง สำนักตะวันตก เพิ่มจาก “ตงฉั่ง” สำนักตะวันออกที่มีอยู่เดิม องค์กรอิสระ ซีฉั่ง และตงฉั่ง ทำให้ขันทีสามารถใส่ไคล้ให้ร้ายผู้คนได้ตามอำเภอใจ ข้าราชการและราษฎรที่ไม่ยอมเป็นพวกขันที แม้ไม่มีความผิดก็ถูกโยนข้อหาใส่ ถูกนำตัวไปประหารชีวิตเป็นจำนวนมาก

ข้อหาที่โดนกันมากที่สุดก็คือ ความไม่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หมิง ต่อมาสถานการณ์เลวร้ายขึ้นอีก เมื่อขันทีหลิวจิ่นจัดตั้ง “เน่ยฉั่ง” ที่แปลว่า สำนักใน เป็นองค์กรอิสระขึ้นมาอีกองค์กรหนึ่ง องค์กรนี้มีอำนาจและมีอิทธิพลล้นฟ้า ราษฎรจีนต่างกล่าวกันว่า สมัยพวกเรามีจักรพรรดิอยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งคือจักรพรรดินั่ง อีกองค์หนึ่งคือจักรพรรดิยืน องค์หนึ่งคือจักรพรรดิจู อีกองค์หนึ่งคือจักรพรรดิหลิวองค์กรอิสระในปลายสมัยราชวงศ์หมิงมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังใหญ่โตขนาดจักรพรรดิก็เข้าไปแทรกแซงไม่ได้

ผู้ที่เป็นมหันตภัยร้ายแรงที่สุดก็คือ ขันทีเว่ยจงเสียน ซึ่งมีอำนาจสั่งการได้ในสมัยจักรพรรดิหมิงซีจง ขันทีเว่ยจงเสียนใช้องค์กรอิสระชี้เป็นชี้ตายข้าราชการและราษฎรได้ เป็นช่วงสมัยที่ทั้งแผ่นดินจีนตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างมากที่สุด

นอกจากขันทีแล้ว สิ่งที่ทำให้ราษฎรออกมาก่อจลาจลทำให้ราชวงศ์หมิงล่มสลายก็คือ ที่ดิน พวกตระกูลใหญ่และขันทีมักจะใช้อำนาจราชการและองค์กรอิสระยึดที่ดินของราษฎรเอาไปเป็นที่ดินของหลวงและที่ดินของขุนนาง ชาวนาจำนวนมากเสียกรรมสิทธิ์ที่ดินไป ถ้าอยากทำนาต่อก็ต้องไปเช่าที่ดินจากเจ้าของใหม่

20 ปีสุดท้ายของราชวงศ์หมิง ขันทีและองค์กรอิสระแนะนำให้ราชสำนักเก็บภาษีเบ็ดเตล็ดเพิ่มหลายประเภท ไหนจะต้องเสียค่าเช่านาของตัวเอง ไหนจะต้องเสียภาษี ราษฎรก็หลบหนีและกลายเป็นคนพเนจรเร่ร่อนไปเป็นจำนวนมาก

ในสมัยพระเจ้าหมิงซือจง เกิดภาวะฝนแล้ง ข้าวยากหมากแพง ทุพภิกขภัยในมณฑลส่านซีมีมากจนคนไม่มีอะไรจะกิน ผู้คนจึงจับกลุ่มแอบคุยกันเพื่อต่อต้านราชวงศ์หมิงอย่างลับๆ

แรกๆ ก็ทำกันไม่กี่กลุ่ม แต่เมื่อความอดอยากปากแห้งบวกกับความอยุติธรรมมีมากขึ้นเรื่อยๆ ขบวนต่อต้านราชวงศ์ก็แผ่ขยายกระจายไปทุกท้องที่อย่างรวดเร็ว เป็นลางบอกเหตุว่า ราชวงศ์หมิงใกล้ถึงจุดอวสาน

การต่อต้านเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดหลายกลุ่ม กลุ่มที่มีคนเข้ามาร่วมด้วยอย่างรวดเร็วที่สุดคือ กลุ่มของหลี่จื้อเฉิง ซึ่งสุดท้ายมีกำลังพลหลายแสนคนในเวลาอันสั้น หลี่จื้อเฉิงจึงสถาปนาตนเองเป็นต้าซุ่นบุกไปยึดเมืองปักกิ่งได้

พระเจ้าหมิงซื่อจงผูกพระศอปลงพระชนม์ตนเอง

ราชวงศ์หมิงซึ่งตั้งมายาวนาน 276 ปี

มีจักรพรรดิในราชวงศ์นี้ถึง 16 พระองค์

ก็ถึงกาลสิ้นสุด.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand