ณัฐธิณี อิชิยามา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 15 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/722235

 

ทีมงานเปิดเลนส์ส่องโลกต้องรีบกลับเมืองไทยก่อนครับ เพราะประสงค์ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลอายุ 80 ปี เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่คณะ ธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งมีระหว่าง 16-17 กันยายน พ.ศ.2559 ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร และอาคาร 100 ปีฯ

จันทร์ที่ผ่านมา พ่อพาทีมงานเปิดเลนส์ส่องโลกเดินทาง 1.30 ชั่วโมง ด้วยรถไฟจากสถานีโกทันดะไปยังสถานีโกอิ ไปดูกิจการผลิตอาหารของโรงงานปลาทองเอเชียนฟู๊ด ผู้ผลิตลูกชิ้นหมู เนื้อและไก่ ซึ่งส่งไปทั่วญี่ปุ่นของคุณณัฐธิณี อิชิยามา หรือคุณปลา นอกจากนั้น เธอยังเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปขายในคอนเสิร์ตดังของญี่ปุ่นอีกด้วย

วันที่คณะเปิดเลนส์ส่องโลกไปเยือน คุณปลาและทีมงานกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมไปงานคอนเสิร์ตซึ่งจัดพร้อมกันถึง 2 แห่ง แต่ละแห่งมีคนญี่ปุ่นมาเข้าร่วมงานเป็นหมื่นคน อาหารที่คุณปลาต้องเตรียมไปนั้นมีมากถึง 6 พันชุดต่อแห่ง อาหารเหล่านี้ใช้ผักชีไทยในการปรุงอาหารจำนวนมาก เฉพาะงาน 2 แห่งที่ว่าต้องใช้ผักชีมากถึง 50 กิโลกรัม

แต่ละเดือน คุณปลาต้องสั่งหมู เนื้อ และไก่ อย่างละหลายตัน เพื่อนำมาผลิต ผลิตเสร็จก็นำไปใส่ห้องเย็น เพื่อให้บริษัทจัดส่งสินค้าตราแมวดำนำลูกชิ้นซึ่งบรรจุอยู่ในถุงสุญญากาศและใส่กล่องเรียบร้อยส่งกระจายไปตามเมืองต่างๆ

ที่ญี่ปุ่นกำลังฮิตผักชีไทยและกระเพรา คุณปลาได้จัดเตรียมพื้นที่ไม่ไกลจากร้านอาหารปลาทองไว้ 5 ไร่ เพื่อปลูกพริก ผักชีและกระเพรานำไปใช้ปรุงอาหารให้คนญี่ปุ่นและชาติต่างๆ เมนูอาหารไทยยอดฮิตอันดับ 1 ที่คนญี่ปุ่นเริ่มหันมาทานกันก็คือ ผัดกระเพราหมูสับไข่ดาว ส้มตำ ต้มยำกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำใส ไปจนถึงไส้กรอกอีสาน ลาบหมู พะแนงหมู ไส้อั่ว หมูยอ ทอดมันปลาเห็ด ฯลฯ

คุณปลาจบมัธยมปลายจากโรงเรียนหล่มสักวิทยาคม แต่งงานกับชาวญี่ปุ่นและเดินทางมาญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ.2530 ระยะแรกเป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียวและได้รับการดูหมิ่นถิ่นแคลนจากสังคมพอสมควร เป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียวได้พักหนึ่ง คุณปลาก็เริ่มทำอาหารกล่อง และปั่นจักรยานไปขายให้แม่บ้านคนไทย ใช้จักรยานปั่นไปขายได้ประมาณ 2 ปีก็จึงเปิดร้านอาหาร

คุณปลาขยันเข้าฝึกอบรม เธอเดินทางกลับเมืองไทยมาอบรมการทำลูกชิ้นของกรมปศุสัตว์ อบรมการถนอมอาหาร และการทำอาหารประเภทอื่น อบรมการบริหาร บัญชี ฯลฯ นอกจากนั้น คุณปลายังใช้หลักการอธิบาย เดิมคนญี่ปุ่นทานลูกชิ้นแบบบ้านเราไม่ค่อยเป็น ทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็มักจะเหลือลูกชิ้นไว้ คุณปลาต้องไปพูดคุยสนทนากับลูกค้าให้ทดลองทาน จนเดี๋ยวนี้ทานกันเป็นจำนวนมากแล้ว

คนงานในโรงงานขนาดเล็กของปลาทองเอเชียนฟู๊ด (PTF) เป็นคนไทยและคนฟิลิปปินส์ ทุกคนมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ธุรกิจของคุณปลามีระบบการเสียภาษีที่ถูกต้องเคร่งครัด นอกจากเรื่องการบริหารที่ดีแล้ว สิ่งสำคัญคือการจับกระแสและการสร้างกระแสอาหาร อาหารประเภทใดติดลมบนแล้วจะบูมมาก เช่น กระแสผักชีไทย เดี๋ยวนี้มีผักชีไทยขายอยู่แทบทุกห้างสรรพสินค้า มีสมาคมผักชีเกิดขึ้นมากมายหลายแห่ง การปลูกผักชีไทยขายทำกำไรได้อย่างงดงาม

ปลาทองเอเชียนฟู๊ดเป็นธุรกิจของสตรีไทยที่เริ่มจากการปั่นจักรยานขายข้าวกล่อง และเติบโตมาอย่างมั่นคงด้วยการไปอบรมสัมมนา หาความรู้และประสบการณ์อย่างไม่หยุดนิ่ง จนวันนี้ คุณปลาเป็นเจ้าของธุรกิจที่มั่งคง มีชื่อเสียง เป็นที่เชื่อถือขนาดบริษัทเนื้อของญี่ปุ่นต้องมาเสนอขายและส่งเนื้อเองถึงบริษัท และความที่คุณปลาซื้อวัตถุดิบในปริมาณมาก จึงซื้อได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด ทำให้ต้นทุนในการผลิตต่ำลงไปอีก

สตรีไทยที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ ที่พำนักพักอาศัยในต่างประเทศทั่วโลก สามารถนำภูมิปัญญาไทยและวัฒนธรรมไทยไปสร้างธุรกิจของตนเองในต่างประเทศ ดังตัวอย่างของคุณปลาที่นำวัฒนธรรมอาหารไทยไปต่อยอด

เรื่องราวของสตรีไทยที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ คอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลกและรายการเปิดเลนส์ส่องโลกจะร่วมมือกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นำมารับใช้อยู่เป็นระยะครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

คนไทยที่ญี่ปุ่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 14 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/720878

 

ข้อมูลจากสถานทูตไทยในกรุงโตเกียว คนไทยที่อยู่ในญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายมีประมาณ 46,000 คน ผิดกฎหมาย 6,000 คน รวมแล้วมีคนไทยในญี่ปุ่นประมาณ 52,000 คน

คนไทยที่มาลงหลักปักฐานในญี่ปุ่นนานแล้ว จนขณะนี้เริ่มมีอายุ 40-50 ปี จำนวนไม่น้อยเริ่มมีปัญหาครอบครัว ทั้งปัญหาลูกและสามี หย่าร้าง แต่งงานใหม่ แบ่งสมบัติ ฯลฯ สถานทูตก็พยายามสร้างความเข้มแข็งด้านอาชีพให้คนไทยด้วยการสอนทำอาหารไทย นวดไทย ล่ามทางการแพทย์ ฯลฯ ตามกฎหมาย คนไทยที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่นสามารถทำงานได้ทุกประเภท

ข้อมูลจากนายสิทธิกร ฉันทแดนสุวรรณ กงสุลไทย ทำให้ทราบว่า ห้วงช่วง พ.ศ.2556 ซึ่งเป็นปีที่ยกเลิกการตรวจลงตราหรือวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวไทย มีนักท่องเที่ยวไทยมาญี่ปุ่นประมาณ 2 แสนคน พ.ศ.2557 เพิ่มเป็น 6 แสนคน พ.ศ.2558 เพิ่มเป็น 8 แสนคน และคาดว่า จะมีคนไทยมาเที่ยวญี่ปุ่นทะลุ 1 ล้านคนใน พ.ศ.2559

นั่นหมายความว่า พ.ศ.2559 เป็นต้นไป จะมีคนไทยที่พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เข้ามาญี่ปุ่นปีละประมาณหนึ่งล้านคน ซึ่งอาจมีปัญหาหลายอย่างตามมา อย่างที่ผมเรียนรับใช้ไปเมื่อวานแล้วว่า ขณะนี้มีคนไทยจำนวนหนึ่งหนีไปหางานทำ และมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก เพราะกฎหมายญี่ปุ่นลงโทษนายจ้างแรง จึงไม่มีใครกล้าจ้างคนงานที่อยู่อย่างผิดกฎหมาย มีนายหน้าคนไทยโฆษณาว่า มาญี่ปุ่นแล้ว จะหางานเก็บผลไม้ในสวนเกษตรให้ทำ แต่ทำได้ไม่กี่วัน ผลไม้ก็หมดไร่ ต้องหางานใหม่ไปเรื่อยๆ พ้น 15 วันก็ถูกจับ แถมยังเป็นหนี้ค่านายหน้าพามา 2-3 แสนบาท

ตอนนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวไทยถูกจับข้อหาขโมยสินค้าในห้างสรรพสินค้า ในสวนสนุก บางคนเปิดสินค้าทานก่อนที่จะจ่ายเงิน ซึ่งถือว่าเป็นการขโมยตามกฎหมายญี่ปุ่น ขณะที่ผมเรียนรับใช้ท่านผู้อ่านท่านที่เคารพ มีคนไทยอยู่ในเรือนจำญี่ปุ่นแล้วประมาณ 50 คน จำนวนนี้คือเฉพาะคนที่แจ้งสถานทูตเท่านั้น เพราะเมื่อถูกจับ ตำรวจญี่ปุ่นจะถามก่อนว่าจะให้แจ้งสถานทูตหรือไม่ ถ้าไม่แจ้ง ก็เป็นสิทธิส่วนตัว สถานทูตก็ไม่มีวันทราบ

คนไทยส่วนใหญ่ติดคุกจากคดียาเสพติด ซึ่งคนไทยที่ลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาญี่ปุ่นที่ถูกจับได้มากกว่า 80% เป็นสตรีไทยที่มีคนรักเป็นคนผิวดำ แฟนทำทีเป็นใจดีออกเงินให้มาเที่ยวญี่ปุ่น แต่ก็ฝากของซึ่งข้างในเป็นยาเสพติดมาด้วย

นายหน้าบางกลุ่มหลอกให้หญิงไทยมาทำงานหมอนวด ซึ่งที่ญี่ปุ่นนี่ไม่ให้คนนอกเข้ามาทำงานนวดนะครับ ยกเว้นเข้ามาเป็นครูสอนนวด หรือมีสามีญี่ปุ่นและทำงานในสถานที่นวดที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น ตอนนี้สถานทูตจึงส่งเสริมให้มีสมาคมนวดไทยมาดูแลร้านนวดไทยด้วยกันเองเพื่อให้ถูกประเพณีและกฎหมาย ไม่ให้มีเรื่องอื่นแอบแฝง

ผู้อ่านท่านที่เคารพญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมประเพณีและการปฏิบัติหลายอย่างที่ทำได้และทำไม่ได้อย่างเคร่งครัด นักท่องเที่ยวไทยจำนวนหนึ่งมาชมดอกซากุระแล้วก็ไปจับไปเด็ด เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องต้องห้าม แม้แต่การใช้ตะเกียบแบบญี่ปุ่นก็ควรเรียนรู้มาก่อน ว่าต้องไม่ปักตะเกียบลงไปบนข้าวขณะทานอาหารเด็ดขาด และต้องไม่คุยโทรศัพท์มือถือบนรถสาธารณะ นักท่องเที่ยวที่ผิดมารยาทคุยโทรศัพท์บนรถสาธารณะอาจจะได้รับการเตือนจากผู้โดยสารอื่น ซึ่งไม่ใช่เสียชื่อเฉพาะตัวท่าน แต่เสียไปถึงคนไทยโดยรวมด้วย

ที่ควรทำก่อนเดินทางมาญี่ปุ่นคือ การประกันสุขภาพ เพราะค่ารักษาพยาบาลในญี่ปุ่นแพงมาก เคยมีคนไทยป่วยเข้าห้องไอซียู เสียค่าใช้จ่ายวันละ 2 แสนบาทมาแล้ว หากท่านมาป่วยแล้วอยู่โรงพยาบาลสัก 5 วัน ก็อาจจะเสียเงินถึงหนึ่งล้านบาทก็ได้นะครับ

เดือนตุลาคม 2559 จะมีภาพยนตร์สารคดีการเตรียมความพร้อมและการแก้ไขปัญหากรณีมีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ ที่ผลิตโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แพร่ภาพทางโทรทัศน์หลายตอน และแน่นอนครับว่าภาพยนตร์สารคดีบางตอนจะแถมเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมายเมื่อเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นด้วยครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

เที่ยวญี่ปุ่นอย่าให้เกิน 15 วัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 13 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/719770

 

เสาร์ที่ผ่านมา พ่อและทีมงานเปิดเลนส์ส่องโลกวิ่งรอกจากนครอุสึโนะมิยะ เมืองเอกของจังหวัดโทะชิงิ มากรุงโตเกียว ที่นครอุสึโนะมิยะ ทีมงานได้ชมการสอนภาษาไทยให้คนญี่ปุ่นของสมาคมเด็กไทยกรุ๊ป ซึ่งเป็นกลุ่มอาสาสมัครคนไทยที่ดูแลคนไทยด้วยกันเอง โดยไม่แสวงหากำไร สมาคมนี้มีคุณรัตนาภรณ์ ทนานนท์ เป็นประธาน มีสมาชิกประมาณ 200 คน ต่างทำงานช่วยเหลือเกื้อกูลคนไทยที่มีปัญหาซึ่งมีเข้ามาให้แก้แทบทุกวัน ทั้งที่บ้าน หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล สถานีตำรวจ ศาล เรือนจำ ฯลฯ

ที่ห้องประชุมใหญ่ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ทีมงานได้ดูการอบรมความรู้พื้นฐานในการเป็นล่ามทางการแพทย์ และการบรรยายความรู้สู้ภัยพิบัติ จัดโดยเครือข่ายคนไทยในญี่ปุ่น ที่มีอาจารย์วีริน ทาเคดะ เป็นประธาน วันอาทิตย์ที่ผ่านมามีคนไทยในญี่ปุ่นเข้าอบรม 80 คน ต่อไปในอนาคต ผู้ผ่านการอบรมสามารถทำหน้าที่เป็นล่ามเมื่อมีคนไทยเข้าโรงพยาบาล เป็นการช่วยเหลือคนไทยที่พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้หรือพูดได้แต่ไม่เข้มแข็งพอให้สามารถสื่อสารกับแพทย์ได้

ที่สถานเอกอัครราชทูตไทย พ่อและทีมงานได้สนทนากับนายสิทธิกร ฉันทแดนสุวรรณ กงสุล และผู้ที่เป็นจิตอาสาช่วยเหลือคนไทยในต่างแดนอีกมากมายหลายท่าน

20 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้รับชวนไปญี่ปุ่นบ่อยครั้งแต่แทบทุกครั้งเป็นการเชิญโดยรัฐบาล หรือหน่วยงานของญี่ปุ่นให้ไปดูงานด้านต่างๆ เช่น ท่องเที่ยว พลังงาน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฯลฯ แต่ครั้งนี้ พ่อไปในนามที่ปรึกษาของบาลานซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเน็คชั่นส์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตหนังสารคดี “พม.กับการส่งเสริมและพัฒนาหญิงไทยในต่างประเทศ” ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีนายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต เป็นอธิบดี และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการ

สมัยก่อนคนไทยไปญี่ปุ่นยาก เพราะได้วีซ่ายากมาก กระทั่ง 1 กรกฎาคม 2556 เป็นต้นมา คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ 15 วันโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ความที่ไม่ต้องใช้วีซ่า ทำให้คนไทยแห่เข้าไปเที่ยวญี่ปุ่นกันมากถึงปีละหลายแสนคน ประมาณกันว่า ไม่สิ้นปีนี้ก็ปีหน้า อาจจะมีนักท่องเที่ยวไทยไปญี่ปุ่นมากถึง 1 ล้านคน

นักท่องเที่ยวไทยจำนวนหนึ่งไปญี่ปุ่นแล้วไม่ยอมกลับ ถือโอกาสหลบหนีไปทำงานอย่างผิดกฎหมาย ตัวเลขพวกที่พ้นเวลา 15 วันแล้วไม่ยอมกลับนี่ มีเพิ่มขึ้นทุกปี พ.ศ.2556 มี 3,558 คน พ.ศ.2557 มี 4,391 คน พ.ศ.2558 มี 5,277 คน และ พ.ศ.2559 ซึ่งยังไม่ทันสิ้นปีเลยครับ ก็มีตัวเลขมากถึง 5,959 คนแล้ว

1 กรกฎาคมปีนี้ ญี่ปุ่นขยายการยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวไทยต่อไปอีก 3 ปี แต่ได้ขอความร่วมมือมาทางฝ่ายไทยว่า ขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่อง overstay หรือการที่นักท่องเที่ยวไทยอยู่เกินเวลา เพื่อหลบเข้าไปทำงานด้วย

ทีมงานผลิตสารคดีอยู่ใกล้ชิดกับผู้บริหารสมาคมเด็กไทยกรุ๊ปและเครือข่ายคนไทยในญี่ปุ่นเพียงเวลาไม่กี่วัน ก็ยังได้ยินคนไทยที่อยู่เกินเวลาโทรศัพท์มาขอร้องให้สมาคมและเครือข่ายพาเข้าไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ไม่มีนายจ้างที่ไหนกล้าจ้างนักท่องเที่ยวที่อยู่เกิน 15 วันดอกครับ เพราะถ้าถูกจับได้ นายจ้างจะต้องถูกจับและปรับมากถึง 3 ล้านเยน และอาจจะโดนจำคุก 3 ปี

คนไทยบางกลุ่มหนีเข้าไปทำงานเก็บผลิตผลการเกษตร แต่ตามสวนตามไร่ก็มีงานเฉพาะช่วงเช้า แถมค่าจ้างก็ต่ำมาก สวนของคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก เก็บไม่กี่วันก็หมดแล้ว ต้องไปหาสวนอื่นเก็บต่อ ซึ่งหายากมาก สุดท้ายก็โทร.มาขอให้สมาคมหรือเครือข่ายพาเข้ามอบตัว

เรื่องพวกนี้น่าสนใจ พรุ่งนี้ขออนุญาตกลับมารับใช้กันต่อครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ทำไมถึงยังไม่ลงนาม?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 12 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/719068

 

ขณะที่เขียนคอลัมน์ฉบับนี้ พ่อและทีมงานเปิดเลนส์ส่องโลกปฏิบัติงานอยู่ที่ญี่ปุ่นได้หลายวันแล้วครับ ระยะนี้พวกเราสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นมาก ซึ่งความสัมพันธ์ในอดีตมีผลต่อการตัดสินใจของญี่ปุ่นและรัสเซียในปัจจุบัน และความสัมพันธ์นี้มีผลต่ออนาคตของการเมืองโลก

บางท่านงงว่า ญี่ปุ่นกับรัสเซียยังมีสถานะสงคราม แต่ทำไมมีความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน คนที่คิดสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับญี่ปุ่นคือ นายเวียเชสลัฟ มีไฮโลวิช โมโลตอฟ ซึ่งตอนนั้นเป็น รมว.ต่างประเทศโซเวียต ตรงกับเหตุการณ์ในญี่ปุ่นที่นายกรัฐมนตรี โยชิดะ ชิเงะรุ หัวหน้าพรรคเสรีนิยม กำลังจะลงจากตำแหน่ง และจะมีนายกรัฐมนตรีใหม่คือ นายฮาโตยามา อิชิโร หัวหน้าพรรคประชาธิปไตย (ตอนนั้น พรรคเสรีนิยมและพรรคประชาธิปไตย ยังไม่ได้รวมพรรคกัน)

มีคนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งค้านการสถาปนาความสัมพันธ์ เพราะยังโมโหที่โซเวียตเอาดินแดนไป ตอนนั้นญี่ปุ่นยังไม่ได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติและอยากเป็นมาก นายโมโลตอฟขู่ญี่ปุ่นว่า คุณจะเป็นสมาชิกสหประชาชาติไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ลงนามสนธิสัญญาสันติภาพกับเรา เราจะใช้สิทธิยับยั้งในฐานะสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงประเภทถาวร

ญี่ปุ่นจึงไปเจรจากับโซเวียตที่ลอนดอน คุยกันอยู่หลายรอบ เรื่องทั้งหลายที่ตั้งใจจะตกลงกัน ก็ไม่สำเร็จ นายกฯญี่ปุ่นก็พยายามด้วยการนำคณะเจรจาไปกรุงมอสโกต่อ เป้าหมายก็คือ อยากลงนามสนธิสัญญาสันติภาพกับโซเวียต แต่ญี่ปุ่นเสนออะไรไป นายนิกิตา ครุสชอฟ ซึ่งเป็นผู้นำโซเวียต ซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงครามโลกในสมัยนั้นไม่เอาสักอย่าง

ญี่ปุ่นจึงบอกว่า อย่างนั้นญี่ปุ่นขอลงนามใน “ปฏิญญาร่วมระหว่างญี่ปุ่นกับโซเวียต” ก่อนก็ได้ และค่อยไปลงนามสนธิสัญญาสันติภาพกับโซเวียตภายหลัง

ข้อใหญ่ใจความในปฏิญญาฉบับนั้นก็คือ…จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกัน…โซเวียตจะหนุนญี่ปุ่นให้เป็นสมาชิกสหประชาชาติ… โซเวียตจะส่งเชลยญี่ปุ่นที่ยังถูกจับและขังอยู่ในโซเวียตกลับญี่ปุ่น…โซเวียตจะยกเลิกสิทธิค่าปฏิกรรมสงคราม…ทั้งสองประเทศจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการค้าบนพื้นฐานของความเป็นมิตร…จะมีข้อตกลงด้านการประมง… โซเวียตจะคืนเกาะฮาโบไมและเกาะชิโกตันให้หากในอนาคตมีการทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างกันแล้ว

ปฏิญญาฉบับนั้นลงนามเมื่อ 12 ธันวาคม ค.ศ.1956 ที่กรุงโตเกียว และในวันนั้นเอง ญี่ปุ่นก็ได้เป็นสมาชิกสหประชาชาติสมปรารถนา อีก 2 สัปดาห์ต่อมา เชลยสงครามที่ตกค้างอยู่ในโซเวียต 1,025 คนก็ได้กลับญี่ปุ่น

สาระสำคัญของปฏิญญาคือ จะมีการทำ “สนธิสัญญาสันติภาพ” ระหว่างกัน แต่ผ่านไปแล้ว 60 ปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ทำ หลายคนสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร?

เกือบทุกข้อในปฏิญญาที่ลงนามไปเมื่อ ค.ศ.1956 ปฏิบัติกันได้เกือบทั้งหมด มีอยู่เรื่องเดียวที่เป็นปัญหา คือญี่ปุ่นบอกว่า โซเวียตยังไม่คืนดินแดนทั้งหมดให้ ก็จึงไม่ลงนามในสนธิสัญญา เมื่อไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญา โซเวียตก็จึงไม่คืนเกาะฮาโบไมและชิโกตัน

เขียนถึงนายโมโลตอฟ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศโซเวียต คนนี้น่าสนใจครับ คณะผู้นำโซเวียตไม่ค่อยใช้ชื่อจริง ชื่อจริงของโมโลตอฟคือ เซรีบีเน ตอนที่เซรีบีเนรณรงค์เคลื่อนไหวในโรงเรียนและปฏิบัติการจิตวิทยาปลุกระดมทางการเมือง แกใช้ชื่อแฝงว่า โมโล-ตอฟ ซึ่งหมายถึงค้อน และกระทั่งทุกวันนี้ มีน้อยคนในโลกนี้ที่เรียกแกว่าเซรีบีเน

คณะผู้นำโซเวียตสมัยก่อนมีทางเดินคล้ายกัน เหมือนเป็นสูตรคณิตศาสตร์เลยนะครับ มักจะเริ่มจากการเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ต่อต้านระบบพระเจ้าซาร์ และมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ.1917

นายโมโลตอฟเพิ่งมาเสียชีวิตเมื่อ ค.ศ.1986 (พ.ศ.2529) นี่เอง แกมีบทบาทในการก่อตั้งสหภาพโซเวียตมาตั้งแต่เริ่ม มีบทบาททั้งในสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 หรือแม้แต่ปฏิญญาร่วมระหว่างญี่ปุ่นกับโซเวียต นายโมโลตอฟก็เป็นคนจัดเตรียม

หลายท่านศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซีย สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน มองโกเลีย ฯลฯ โดยไม่ได้ตามบทบาทของนายโมโลตอฟ ก็อาจจะมองประวัติศาสตร์และความขัดแย้งในโลกปัจจุบันได้ไม่ครบด้านครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

โอบามาโดนทั้งจีนทั้งฟิลิปปินส์เล่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 8 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/714798

 

การประชุมจี 20 ที่เมืองหางโจวของจีนในช่วงห้วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวันของประธานาธิบดีโอบามามาจอด แต่ไม่มีบันไดพรมแดงมาเทียบเหมือนผู้นำชาติอื่นๆ ทำให้ประธานาธิบดีโอบามาต้องเดินลงทางบันไดที่ติดมากับเครื่องบิน เรื่องอย่างนี้ถือว่าเล่นกันแรงมากไปนะครับ

เจ้าหน้าที่ของจีนยังตะโกนใส่หน้าสื่อมวลชนสหรัฐฯว่า นี่คือสนามบินของเรา นี่คือประเทศของเรา ความบาดหมางอันนี้นี่แหละครับ ทำให้ประชาชนคนอเมริกันรู้สึกว่า จีนไม่ให้เกียรติ ซึ่งผมเชื่อว่าต่อไปในอนาคต ฝ่ายสหรัฐฯก็คงจะต้องเอาคืน

หลังจากที่เหตุการณ์อันเสื่อมเกียรติเกิดขึ้นแล้ว ก็มีการโต้กันในทวิตเตอร์ ตามด้วยการโต้เถียงกันอีกระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กับเจ้าหน้าที่ของทางการจีนที่ทะเลสาบซีหู ซึ่งเป็นสถานที่ที่ประธานาธิบดีโอบามาจะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

สมัยก่อนตอนที่เจียง เจ๋อหมิน เป็นผู้นำจีนและได้รับเชิญไปประชุมที่สหรัฐฯ คราวนั้นสหรัฐฯเป็นฝ่ายเล่นจีนก่อนด้วยการจัดประชุมที่ชั้นบนของอาคาร แต่ชั้นล่างดันให้พวกเอ็นจีโอมาจัดนิทรรศการเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและเหตุการณ์เทียนอันเหมิน

ครั้งหนึ่ง ประธานาธิบดีคลินตันกับภริยาเดินทางไปเมืองจีน จีนจัดต้อนรับที่เมืองซีอานที่มีสุสานทหารของจักรพรรดิ์จิ๋นซี ยังไม่ทันประชุมอะไร ฝ่ายจีนก็พาคลินตันไปดูสุสานทหาร เหมือนกับจะย้ำว่า อ้า ประเทศของเรามีประวัติศาสตร์มายาวนานหลายพันปี มีรากฐานอารยธรรมเก่าแก่ วันนี้ พวกเราขอต้อนรับประเทศเกิดใหม่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างสหรัฐฯนะครับ

คลินตันก็แสบ พอได้เข้าไปในกรุงปักกิ่ง แทนที่จะไปเยือนตามสถานที่ที่ทางรัฐบาลจีนจัดไว้ให้ กลับให้ทางสถานทูตสหรัฐฯ แอบจัดให้ไปเยือนโรงเรียนตามสลัมซึ่งมีสภาพแย่มาก สมัยนั้นจีนเสียหน้าเยอะ เพราะจีนพัฒนาถนนสายใหญ่ๆ ในกรุงปักกิ่ง ตึกรามอาคารบ้านช่องสองข้างทางก็สร้างกันใหญ่โต เพื่อประกาศก้องร้องให้ดังไปทั้งโลกว่าจีนยิ่งใหญ่ จีนทันสมัย แต่คลินตันและภริยากลับไปเยี่ยมโรงเรียนในสลัมทำให้จีนเสียภาพลักษณ์

ตอนที่เหมา เจ๋อตง ไปเยือนกรุงมอสโก ก็มีเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน เหมาเป็นชาวเอเชียที่รูปร่างสง่าสูงใหญ่ แต่ผู้นำฝ่ายสหภาพโซเวียตในสมัยนั้นตัวเล็ก พวกรัสเซียเป็นฝรั่งมังค่าที่น่าจะตัวใหญ่ กลัวว่าเรื่องความสูงความสง่างามจะสู้พวกจีนเอเชียไม่ได้ ทีมงานของผู้นำรัสเซียจึงสร้างเก้าอี้พิเศษที่ใช้นั่งเฉพาะผู้นำฝ่ายตน ทำให้ได้นั่งเก้าอี้ที่ดูสูงขึ้น ทว่าให้เหมาผู้นำจีนนั่งเก้าอี้ที่ต่ำกว่าปกติธรรมดา คราวนั้นก็ทะเลาะกันแรง จนเกิดความระหอง ระแหงบานปลาย

การเดินทางมาเยือนเอเชียครั้งนี้ของโอบามาน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย แต่เป็นครั้งสุดท้ายที่โชคไม่ดีเลยนะครับ เพราะนอกจากจะโดนหมิ่นเกียรติจากฝ่ายจีนแล้ว โอบามายังโดนประธานาธิบดีใหม่ถอดด้ามอย่างโรดริโก ดูเตอร์เต ผู้ซึ่งเพิ่งจะได้เป็นผู้นำฟิลิปปินส์เมื่อ 30 มิถุนายนที่ผ่านมานี่เอง ด่าโอบามาว่าเป็นไอ้ลูกโสเภณี กรณีที่จะไปเตือนดูเตอร์เตเรื่องสิทธิมนุษยชน

แต่ก่อนง่อนชะไร ฟิลิปปินส์เป็นประเทศลูกกระจ๊อกของสหรัฐฯมาตลอด เคยตกอยู่ใต้อาณานิคม เป็นประเทศลูกน้องที่สหรัฐฯให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล วันดีคืนดี ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กลับมาแถลงกับผู้สื่อข่าวโดยพูดจาถึงผู้นำสหรัฐฯ ว่า “แกจำเป็นต้องรู้จักเคารพคน ไม่ใช่เป็นเฉพาะแค่ตั้งคำถามและพูดถ้อยแถลง ไอ้ลูกโสเภณีเอ้ย ข้าจะสาปแช่งแกในที่ประชุมเลย” และ “เราจะเกลือกกลั้วอยู่ในโคลนยังกะหมู ถ้าแกทำยังงั้นกะข้า”

โดนเข้าไป 2 ดอก ทั้งจากจีนและฟิลิปปินส์

โอบามาอาจจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะลงจากตำแหน่งที่นั่งมานานเกือบจะ 8 ปี อย่างไม่ค่อยมีความสุขนักนะครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

Toss someone for it

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 7 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/713743

 

เมื่อเอ่ยถึงจอห์น เพื่อนคนหนึ่งพูดว่า He is a nowhere man. ประโยคนี้หมายถึง จอห์นเป็นคนที่ทำงานอะไรประสบความสำเร็จน้อยมาก He is a person who achieves little. คำนี้เราไม่ค่อยได้ยินกันในประเทศอื่นมากนัก แต่ที่ออสเตรเลียใช้กันเยอะครับ

ต้องรายงานสถานการณ์ให้กับผู้ใหญ่ฟัง ปีเตอร์เตรียมพูดอะไรยืดยาว ท่านผู้ใหญ่พูดว่า Keep your report short and sweet. วลี short and sweet มีความหมายเท่ากับ brief หมายถึง สั้นๆ ย่อๆ ผู้ใหญ่เตือนว่าอย่าพูดเยอะ อย่าพูดยาว

ผู้อ่านท่านเคยปั่นเหรียญไหมครับ? บางทีก็ออกหัว บางทีก็ออกก้อย ในภาษาอังกฤษก็มีวลี toss someone for it เช่น If we can’t agree on who is going to drive the car, then I’ll toss you for it. ถ้าเรายังตัดสินใจไม่ได้ว่าใครเป็นคนขับรถ ผมจะหมุนหัวก้อยนะ

ในงานชุมนุมศิษย์เก่า ไม่ว่าหญิงหรือชายต่างชอบจับเข่าคุยกันถึงเรื่องครอบครัวตัวเอง ไม่ว่าชาติไหนดอกครับ ชอบคุยอย่างนี้ทั้งนั้น ฝรั่งก็เหมือนกัน ตามาระ (Tamara) พูดกับเพื่อนๆ เมื่อวันก่อนว่า I’ve trained my husband well-he makes the bed every morning. วลี train someone well หมายถึง สอนให้ทำโน่นทำนี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภรรยาสอนสามี หรือสามีสอนภรรยา ประโยคนี้ตามาระก็อวดเพื่อนๆว่า โอย ฉันฝึกสามีของฉันดี เช้าขึ้นมาก็จัดเตียงเก็บเตียงเป็นระเบียบเรียบร้อย.

คุณนิติ นวรัตน์
pasalok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

มองโกล พม่า ญวน และรัสเซีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 7 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/713898

 

เห็นเถียงกันจังเรื่องมองโกลเคยบุกมาเมียนมาหรือไม่? ขอเรียนนะครับ ว่าพวกมองโกลพอจัดการกับฮ่องเต้อายุ 9 ขวบ ซึ่งเป็นรัชกาลที่ 9 ของราชวงศ์หนานซ่งได้เรียบร้อยแล้ว กุบไลข่านก็เข้าครอบครองแผ่นดินจีนและตั้งราชวงศ์หยวน

ก่อนหน้าที่พวกมองโกลจะตั้งราชวงศ์หยวนได้ไล่ฆ่าชาวฮั่นตายไปหลายสิบล้านคน พอตั้งราชวงศ์หยวนปุ๊บ ก็มีการสำรวจประชากรชาวจีนปั๊บ ปรากฏว่า คนจีนเผ่าพันธุ์ฮั่นเหลือเพียงแค่ 18 ล้านคน

ราชวงศ์หนานซ่งสิ้นเมื่อ ค.ศ.1279 พอปีต่อมา กุบไลข่านก็ได้รับรายงานว่า มีอาณาจักรอยู่แห่งหนึ่ง (ซึ่งก็คือเมียนมาในปัจจุบัน) มีทรัพยากรมาก กุบไลข่านจึงสั่งให้จัดทัพใหญ่ไปสะสมเสบียงที่มณฑลหยุนหนานในปัจจุบัน และพอถึง ค.ศ.1283 ก็มีคำสั่งให้บุกพม่า ฝ่ายพม่ารู้ว่า ยังไงซะตัวเองต้องแพ้แน่ จึงขอผ่อนปรนและขอยอมส่งเครื่องบรรณาการให้

พวกพม่าแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสู้ ฝ่ายหนึ่งยอม แล้วก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน พวกหนึ่งจับกษัตริย์พม่าเอาไปขังและฆ่าทูตมองโกล จากนั้นก็สู้รบกันอย่างหนักจนสิ้นราชวงศ์พุกามภายในห้วงเวลานี้เอง พวกที่ขึ้นมาปกครองอาณาจักรยอมเจรจากับมองโกลและยอมส่งเครื่องบรรณาการให้ถี่ถึง 3 ครั้งต่อปี พวกมองโกลถึงยอม

พอกุบไลข่านสวรรคตเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1294 กษัตริย์พม่ามอบให้รัชทายาทนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายแด่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ รัชทายาทพม่าอยู่ที่กรุงปักกิ่งนานมาก ตอนขากลับก็มีขบวนช้างม้าแห่แหนอย่างสมพระเกียรติ แต่พอกลับมาถึงแผ่นดิน ทั้งกษัตริย์และรัชทายาทพม่าก็โดนพวกกบฏจับไปขังและเชือดคอทิ้ง กองทัพมองโกลก็จึงต้องมาแผ่นดินพม่าอีกรอบ มาถึงก็ฆ่าดะ ไม่ว่าชายหรือหญิง จนถึง ค.ศ.1302เหตุการณ์ทุกอย่างในพม่าจึงสงบ ฮ่องเต้จีนจึงมอบสารตราตั้งตั้งให้กษัตริย์องค์ใหม่ครองบัลลังก์พม่า

เหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้ พวกพม่าไม่ได้บันทึก แต่ราชสำนักจีนบันทึกไว้โดยละเอียด ทว่าบันทึกในสายตาของฝ่ายจีนที่ครองอำนาจโดยพวกมองโกลนะครับ

เวียดนามเองก็เคยถูกพวกมองโกลบุกมาตีแล้ว 2 รอบ แต่ยังไม่แตก ก่อนที่จะเสด็จสวรรคต 10 ปี กุบไลข่านสั่งให้กองทัพเตรียมแผนบุกเวียดนามและยกทัพไปตีเวียดนามครั้งที่ 3 ใน ค.ศ.1288 พวกเวียดนามรู้ว่ามองโกลเก่งเฉพาะการรบบนหลังม้า แต่ไม่เก่งการรบทางน้ำ ทว่ากุบไลข่านดันสั่งให้ขนเสบียงมาทางเรือ พวกเวียดนามก็เลยตั้งกองกำลังแบบกองโจรซัดพวกมองโกลซะตายไปหลายหมื่น เรือรบของมองโกลเสียหายโดนทำลายไปมากกว่า 400 ลำ นับว่า เป็นความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับอัปราชัยที่สุด

ก่อนเสด็จสวรรคต 2 ปี กุบไลข่านก็สั่งให้กองทัพมองโกลเตรียมบุกเกาะชวาเหมือนกัน ตอนที่กุบไลข่านสวรรคตด้วยวัย 79 ปี และฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์นั้น มีการสำรวจว่าชาวจีนทั้งประเทศมีกี่คน ได้สถิติว่า มีทั้งหมด 11,633,281 ครัวเรือน ประชากร 53,654,337 คน แต่พวกที่อยู่ห่างไกลในชนบทและในดินแดนทุรกันดารก็สำรวจกันไม่ได้นะครับ

พวกมองโกลเคยปกครองพวกรัสเซียอยู่นานหลายร้อยปี จนกระทั่ง ค.ศ.1359 ผู้ครองนครมอสโกก็เริ่มกล้าหาญชาญชัยกล้านำทัพรบกับกองทัพมองโกล สร้างความแปลกประหลาดใจให้กับพวกมองโกลมาก อีก 19 ปีต่อมา 11 สิงหาคม ค.ศ.1378 มองโกลยกกองทัพหลายแสนคนไปลุยนครมอสโก พวกรัสเซียก็จัดเรือเร็วและทหารดักซุ่มอยู่ตามลำน้ำ ฆ่าทหารและม้าของมองโกลลอยเท้งเต้งกลางน้ำเป็นจำนวนหมื่น นี่แหละครับ วันที่มองโกลแพ้รัสเซีย

นสพ.ไทยรัฐฉบับที่ท่านจับอ่านอยู่ในขณะนี้ เป็นฉบับของวันที่ 7 กันยายน ค.ศ.2016 วันพรุ่งนี้ 8 กันยายน ก็จะครบ 636 ปี ที่กองทัพรัสเซียชนะทหารมองโกลอย่างสิ้นซาก หลังจากแพ้เมื่อ ค.ศ.1378 อีก 2 ปีต่อมา กองทัพมองโกลที่ประกอบไปด้วยทหาร 2 แสนคน ก็ยกทัพไปตีนครมอสโก รัสเซียใช้หญิงสาวผิวขาว ผมบลอนด์ถือเหยือกเหล้ายั่วยวนทหารมองโกล พอลงมาจากหลังม้า กะว่าจะกินเหล้าเคล้านารีให้หายเหนื่อย เวลานั้นแหละครับ ทหารรัสเซียก็ออกมาฆ่าทหารมองโกลจนเกือบเกลี้ยงกองทัพ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

รัสเซีย ญี่ปุ่น ทะเลาะเพราะเกาะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 6 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/713108

 

นักการระหว่างประเทศสนใจการพบกันระหว่างนายปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และนายอาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อ 2 กันยายน 2559

ถ้าหากในอนาคตทั้ง 2 ประเทศสามารถทำ “ร่างข้อเสนอยุติข้อพิพาทหมู่เกาะระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่น” ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซียก็จะดีขึ้นอย่างมาก

สงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปนานแล้วครับ ญี่ปุ่นแพ้ รัสเซียชนะ ญี่ปุ่นจึงต้องไปลงนามสัญญาสันติภาพกับประเทศโน้นชาตินี้ ที่นครซานฟรานซิสโก แต่กับโซเวียต ญี่ปุ่นยังไม่ได้ลงนามสัญญาสันติภาพด้วย เพราะตอนนั้นทั้ง 2 ประเทศตกลงกันไม่ได้เรื่องดินแดนตอนเหนือของญี่ปุ่น ที่โซเวียตยึดไปตอนปลายสงคราม

ตั้งแต่ญี่ปุ่นแพ้สงครามจนถึง พ.ศ.2497 โซเวียตมีนโยบายเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น ไม่คบค้าสมาคมกับรัฐบาลญี่ปุ่น ตอนที่โซเวียตไปลงนามสนธิสัญญามิตรภาพและพันธมิตรกับจีนใน พ.ศ.2493 มีบางข้อความระบุว่า “ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการรุกราน” ในประวัติศาสตร์รัสเซียเคยรบแพ้ญี่ปุ่น จีนเองก็เคยถูกญี่ปุ่นรุกราน ทั้งรัสเซียและจีนลงนามในสนธิสัญญากันก็เพราะต้องการจับมือกันซัดกับญี่ปุ่น

ดังนั้น ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โซเวียตกับญี่ปุ่นยังอยู่ในภาวะสงคราม (จากสงครามโลกครั้ง 2) เมื่อรัสเซียเป็นผู้สืบสิทธิจากโซเวียต รัสเซียกับญี่ปุ่นก็จึงยังอยู่ในภาวะสงครามกันด้วย

รัสเซียยึดดินแดนที่ญี่ปุ่นเรียกว่า “ดินแดนทางเหนือ” ซึ่งประกอบด้วย หมู่เกาะฮาโบไม เกาะชิโกตัน เกาะคุนาชิริและเอโตโรฟุ รัสเซียเรียกหมู่เกาะพวกนี้ว่า “คูริลใต้”

เรื่องชื่อนี่ทำให้ทะเลาะกันมากเหมือนกันครับ เพราะต่างฝ่ายต่างตั้งชื่อเป็นภาษาตนเอง อย่างหมู่เกาะซุอิโซ พวกรัสเซียเรียก เกาะทานฟิโรวา หรือหมู่เกาะคุนาชิริ พวกรัสเซียเรียก เกาะคุนาเชอร์ ที่จริงเกาะเหล่านี้ ตอนที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีคนญี่ปุ่นอยู่ แต่พอรัสเซียเข้ามา ถึงแม้ว่าจะไม่เอาคนรัสเซียมาอยู่เพราะมีความยากลำบากในการดำรงชีวิต แต่รัสเซียก็ตั้งกองกำลังป้องกันชายแดนอยู่ตามเกาะเหล่านี้

บริเวณหมู่เกาะที่ทั้ง 2 ชาติแย่งกรรมสิทธิ์กันเป็นบริเวณที่มีกระแสน้ำอุ่นโซยาบรรจบกับกระแสน้ำเย็นโอคอตส์ก ทำให้มีปลาชุกชุมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีทั้งวาฬ ปลาแซลมอน ปลาค็อด ปูก้ามยักษ์ ฯลฯ คนรัสเซียหาประโยชน์จากประมงไม่เก่ง แต่ญี่ปุ่นทำประมงเก่งมาก คนญี่ปุ่นกดดันรัฐบาลให้พยายามเอาหมู่เกาะพิพาทพวกนี้กลับคืนมา

รัสเซียได้หมู่เกาะไปทำให้ญี่ปุ่นนอนไม่หลับ เพราะหมู่เกาะพวกนี้อยู่ใกล้กับญี่ปุ่นมาก อย่างหมู่เกาะฮาโบไมอยู่ห่างจากแหลมโนซัมปุของญี่ปุ่นเพียง 3.7 กิโลเมตร สมัยสงครามเย็น โซเวียตใช้หมู่เกาะเหล่านี้เป็นฐานทัพที่มีฝูงเครื่องบินมิก-23 และเครื่องบินทิ้งระเบิดประเภทต่างๆมาจอดกันเต็มพรืดไปหมด

ตอนที่รบกันในสงครามโลกครั้งที่ 2 สตาลินกลัวญี่ปุ่นชนะ ถ้าญี่ปุ่นชนะ โซเวียตก็คงโดนยึดแผ่นดินไปเยอะ พอรู้ว่าญี่ปุ่นแพ้ปุ๊บ สตาลินผู้นำโซเวียตก็จับไมค์ปราศรัยปั๊บว่า “พี่น้องร่วมชาติที่รักทั้งหลาย ต่อไปนี้ญี่ปุ่นจะโจมตีเราทางตะวันออกไกลไม่ได้อีกแล้ว และจากนี้เป็นต้นไป รัสเซียสามารถเชื่อมกับมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลโอคอตส์กได้แล้ว”

ญี่ปุ่นและรัสเซียต่างอ้างกฎหมายระหว่างประเทศและอ้างเหตุผลทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้สังคมนานาประเทศเข้าใจและเห็นใจว่าตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนเหล่านี้จริงๆ

รัสเซียอ้างสนธิสัญญามากมายหลายฉบับ บางฉบับมีข้อความ ว่า ถ้าโซเวียตกระโจนเข้าไปต่อต้านญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 และชนะ โซเวียตจะได้หมู่เกาะคูริลและส่วนใต้ของสะขะลิน

รัสเซียบอกว่า ก่อนยอมแพ้สงคราม ญี่ปุ่นทำข้อตกลงว่าอำนาจอธิปไตยของญี่ปุ่นจะมีอยู่เฉพาะเหนือ 4 เกาะใหญ่ ฮอกไกโด ฮอนชู คิวชู และชิโกกุ บวกกับเกาะเล็กๆอีกส่วนหนึ่งเท่านั้น และตามข้อตกลงที่นครซานฟรานซิสโก ญี่ปุ่นประกาศสละกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะคูริลแล้ว

ญี่ปุ่นเถียงคอเป็นเอ็นว่า ตามประวัติศาสตร์ ญี่ปุ่นครอบครองเกาะเหล่านี้ก่อนที่รัสเซียจะรู้จัก รัสเซียไม่เคยอ้างสิทธิ์เรียกร้องเกาะเหล่านี้มาก่อนเลยจนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ญี่ปุ่นยังอ้างกฎหมายระหว่างประเทศอีกหลายข้อ

วันหน้าถ้ามีโอกาส ผมจะมาเล่ารับใช้ถึงกฎหมายระหว่างประเทศที่ญี่ปุ่นใช้อ้างเพื่อให้โลกเข้าใจและเห็นใจฝ่ายตนครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th

www.nitipoom.media

www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

อาลัย ฯพณฯ อิสลาม คาริมอฟ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 5 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/711910

 

พุธมะรืนนี้ 09.00-12.00 น. ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “อาเซียนกับการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ที่สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น ปทุมธานี

ขอแสดงความเสียใจต่อประชาชนสาธารณรัฐอุซเบกิสถานที่สูญเสียประธานาธิบดีอิสลาม คาริมอฟ เมื่อวันเสาร์ที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา

รายการเปิดเลนส์ส่องโลกเคยได้รับความกรุณาจากประธานาธิบดีท่านนี้เกี่ยวกับบทสารคดีและการอนุญาตให้ถ่ายทำรายการทั่วประเทศเมื่อ พ.ศ.2545 และหลังจากนั้น พ่อ พี่ชาย และทีมงานก็เดินทางเข้าไปปฏิบัติภารกิจต่างๆในอุซเบกิสถานอีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถ่ายทำสารคดี การไปศึกษาลู่ทางการลงทุนและเป็นที่ปรึกษาพานักลงทุนไทยไปจับคู่ธุรกิจ การได้รับเชิญไปดูงานเกี่ยวกับ OTOP และครั้งล่าสุด พ่อเพิ่งเดินทางไปประชุมกับบีโอไอที่อุซเบกิสถานเมื่อปีที่แล้วนี้เอง

ตั้งแต่แยกออกจากสหภาพโซเวียตเมื่อ 1 กันยายน 2534 เป็นระยะเวลานานถึง 25 ปี ถ้าไม่ใช่ประธานาธิบดีคาริมอฟดูแลประเทศ ผมว่าอุซเบกิสถานคงไม่สงบอย่างนี้ คงจะวุ่นวายขายปลาช่อนเหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆ แถมคงจะไม่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่างที่เป็นอยู่ อุซเบกิสถานที่พ่อผมเห็นเมื่อ พ.ศ.2534 มาจนถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬาร หลายเมืองของประเทศนี้เมื่อก่อนเงียบเหงาราวกับป่าช้า แต่เดี๋ยวนี้เป็นชุมชนเมืองที่แออัดยัดเยียดเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว

กรุงทัชเคนท์เมืองหลวงที่พ่อและทีมงานเปิดเลนส์ส่องโลกไปปักหลักอยู่กันเมื่อ พ.ศ.2545 อีก 10 ปีกลับไปอีกครั้ง คราวนี้จำตรอกซอกซอยเดิมแทบไม่ได้ นอกจากพัฒนาเรื่องเศรษฐกิจและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไปได้ทั่วประเทศแล้ว ประธานาธิบดีคาริมอฟยัง รื้อฟื้นศาสนาอิสลามในภูมิภาคเอเชียกลาง ตอนที่โซเวียตแตกใหม่ๆ ทุกประเทศในเอเชียกลางรวมทั้งภูมิภาคชายแดนด้านตะวันออกของจีนมีมัสยิดทุกประเทศรวมกันไม่น่าจะถึง 100 แห่ง แต่พอถึง  พ.ศ.2542 มีการสำรวจมัสยิดพบว่ามีเพิ่มเป็น 160 แห่ง

เพียงแค่ 2 ปี ใน พ.ศ.2544 มีมัสยิดทั้งหมดมากถึง 5,000 แห่ง เป็นการเพิ่มที่มาจากสนับสนุนอย่างแรงโดยประธานาธิบดีคาริมอฟ

ประธานาธิบดีคาริมอฟเป็นคนที่ทำอะไรช้าแต่มั่นคง เมื่อ 26 เมษายน 2539 ประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินของรัสเซีย และประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมินของจีนเชิญผู้นำ 4 ประเทศสำคัญในเอเชียกลางไปประชุม เพื่อสร้างข้อตกลงซ่างไห่ซึ่งตอนหลังเรียกว่า กลุ่มซ่างไห่ไฟฟ์ และกลายมาเป็น “องค์การความร่วมมือซ่างไห่” ในปัจจุบันนั้น ประธานาธิบดีนูร์สุลตาน นาซาร์บาเยฟ ของคาซัคสถาน ประธานาธิบดีอิโมมาลิ ราคโมนอฟ ของทาจิกิสถาน และประธานาธิบดีอาสการ์ อคาเยฟ ของคีร์กีซไปกันครบ แต่ท่านคาริมอฟไม่ไป รอดูจนกระทั่งองค์กรนี้มั่นคงและเป็นประโยชน์แท้จริงจึงกระโจนเข้าร่วมเมื่อ 5 กรกฎาคม 2543

ทุกครั้งที่พ่อผมไปประชุมที่อุซเบกิสถาน ซึ่งมีโอกาสร่วมประชุมกับรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ทั้งกระทรวงเกษตร กระทรวงเศรษฐกิจต่างประเทศ รวมทั้งธนาคารกลางของอุซเบกิสถาน ทุกท่านจะพูดถึงเรื่องที่ประธานาธิบดีคาริมอฟอยากจะให้เกิด เช่น เรื่องการเลี้ยงปลาเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารเพราะอุซเบกิสถานไม่มีทางออกทะเล แต่เป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีทองคำสำรองเป็นอันดับ 8 ผลิตยูเรเนียมได้เป็นอันดับ 7 ผลิตฝ้ายอันดับ 6 และส่งออกฝ้ายได้มากเป็นอันดับ 5 ของโลก

ด้วยการเอาจริงเอาจัง ปัจจุบันอุซเบกิสถานมีเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพิเศษมากถึง 3 แห่ง ทั้งเขตอานเกรน เขตนาวาอีและ
เขตจีซซาคฮ์ พ่อและทีมงานเดินทางไปเยือนเขตเศรษฐกิจพิเศษ มามากมายหลายประเทศ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยสัมฤทธิ์เท่าที่ควร ไม่เหมือนเขตนาวาอีของอุซเบกิสถานที่เพิ่งเข้าไปประชุมกันเมื่อปีที่แล้ว ที่นั่นมีความคึกคักและดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพ

ประธานาธิบดีคาริมอฟเคยถูกลอบสังหารแต่ก็รอด ท่านเป็นคนเอาจริงเอาจังเรื่องการต่อต้านกลุ่มก่อการร้ายที่กระจายซ่อนอยู่ในภูมิภาคเอเชียกลาง ด้วยการข่าวที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูง ทำให้ท่านสามารถป้องกันประเทศไม่ให้ยุ่งยากจนมาถึงปัจจุบัน

สิ้นประธานาธิบดีคาริมอฟ ผมก็ยังนึกถึงอุซเบกิสถานในอนาคตไม่ออกเลยครับ เพราะผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งต่อจากท่าน ไม่ทราบว่ามีฝีไม้ลายมือขนาดไหน.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th  
www.nitipoom.media  
www.facebook.com/nitipoom.thailand 

 

คีร์กีซกับจีน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 2 ก.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/709105

 

อาทิตย์มะรืนนี้ 4 กันยายน ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “ประชาคมอาเซียนด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง” ให้นักศึกษาปริญญาโท 65 คน เวลา 13.00-17.00 น. ที่ห้องประชุมนักบริหาร คณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง

30 สิงหาคม 2559 มีระเบิดเกิดขึ้นที่สถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงบิชเคก เมืองหลวงสาธารณรัฐคีร์กีซ มีทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ตอนนี้ทั้งรัฐบาลคีร์กีซและรัฐบาลจีนต่างยอมรับกันแล้วนะครับว่า เป็นเรื่องของการก่อการร้าย

พ.ศ.2547 มีเหตุการณ์สำคัญใน 3 จชต. 3 เหตุการณ์คือ 1) 4 ม.ค.มีการปล้นอาวุธปืนล็อตใหญ่ 413 กระบอก จากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส 2) 28 เม.ย. เหตุการณ์ความไม่สงบที่มัสยิดกรือเซะ ทำให้มีคนตายภายในมัสยิด 32 คน และ 3) 25 ต.ค. เหตุการณ์ที่ตากใบ นราธิวาส มีคนตาย 85 คน

ปลาย พ.ศ.2547 ทีมงานเปิดเลนส์ส่องโลกได้รับชวนให้ไปเยือนคีร์กีซ ซึ่งเป็นสาธารณรัฐที่อยู่บนเทือกเขาสูง สมัยนั้น คีร์กีซยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว ในกรุงบิชเคก ซึ่งเป็นเมืองหลวงก็ยังเงียบเหงาราวกับป่าช้า ผู้เชิญพาพ่อผมและทีมงานนั่งรถไปตามต่างจังหวัดและในที่สุดก็เดินทางข้ามเทือกเขาเลากาลงใต้ไปที่กรุงออช ซึ่งเป็นเมืองปกครองอิสระ

ได้พบปะกับผู้คนทั้งในกรุงบิชเคกและทั้งในคามนิคมเรื่อยไปตามรายทางลงใต้จนถึงกรุงออช ได้พบเรื่องที่ทำให้แปลกใจ เพราะมีคนในหมู่บ้านถามถึงเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะและตากใบ ทั้งที่ในสมัยนั้นอินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย การติดต่อสื่อสารในชนบทของคีร์กีซต้องทำด้วยโทรศัพท์ทางไกลหรือจดหมาย เรื่องนี้ทำให้ได้ฉุกคิดว่า กลุ่มผู้คนบริเวณนี้อาจจะเป็นผู้เสพข่าวความรุนแรงที่รัฐบาลของประเทศต่างๆทำกับคนมุสลิมก็ได้

ตามพ่อไปบรรยายวันก่อน ท่านผู้ฟังถามว่า ทำไมคนตุรกีถึงต้องโกรธแค้นเมื่อทราบข่าวรัฐบาลจีนจับกุมคุมขังคนอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์

ได้ยินพ่อตอบว่า มาจาก 2 สาเหตุ อย่างแรกเลยก็คือ เป็นมุสลิมด้วยกัน อย่างที่สองคือ มีเชื้อสายดั้งเดิมเดียวกัน

มีการขุดค้นทางโบราณคดีพบว่า ชาวเติร์กมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบประเทศมองโกเลียปัจจุบัน พวกเติร์กอยู่มาจนถึงศตวรรษที่ 6 จึงอพยพออกจากบริเวณเทือกเขาอัลไตไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนต่างๆ และเข้ามาในดินแดนอนาโตเลียซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศตุรกีในปัจจุบันกลางศตวรรษที่ 11

ติดกับเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีนขึ้นไปทางตอนเหนือเป็นประเทศคีร์กีซ มีพรมแดนติดกันยาวถึง 858 กิโลเมตร

เมื่อรัฐบาลจีนจับกุมคุมขังและประหารชีวิตผู้ก่อความไม่สงบชาวอุยกูร์ คนคีร์กีซก็ไม่พอใจจีนด้วยเหตุผลแบบเดียวกับคนตุรกีไม่พอใจจีนนั่นแหละครับ คือนับถือศาสนาอิสลามด้วยกันและมีบรรพบุรุษเป็นพวกเติร์กเหมือนกันกับอุยกูร์

พวกเติร์กออกจากแถวเทือกเขาอัลไตกระจายกันไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนต่างๆ ครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างถึง 18 ล้านตารางกิโลเมตร

สรุปการระเบิดสถานทูตจีนในกรุงบิชเคกเมื่อสองวันก่อน ผู้ก่อการก็คงต้องการจะแก้แค้นที่รัฐบาลจีนกระทำต่อชาวอุยกูร์

ผมเชื่อว่าต่อไปนี้ จีนคงไล่ล่าผู้ก่อการร้ายในภูมิภาคเอเชียกลางรุนแรงขึ้น ทั้งในคีร์กีซ ทาจิกิสถาน หรือแม้แต่ข้ามไปที่อุซเบกิสถาน

ชาวอุยกูร์จากจีนเคยอพยพหนีตายมาอยู่ในดินแดนไทยจำนวนหนึ่ง มาเพื่อรอการเดินทางต่อไปยังประเทศตุรกี ซึ่งทางรัฐบาลตุรกีประกาศยินดีต้อนรับชาวอุยกูร์เหล่านี้ ในขณะเดียวกันรัฐบาลจีนก็ขอให้รัฐบาลไทยส่งอุยกูร์พวกนี้กลับไปให้จีน ตอนนั้นเรามีทางเลือกอยู่แค่ 2 อย่าง ถ้าปล่อยให้ไปตุรกี จีนก็จะโกรธ และถ้าส่งกลับไปที่จีน ตุรกีก็โกรธ

สุดท้าย ไทยเลือกส่งให้กลับไปเมืองจีน

ทำให้มีการประท้วงที่สถานทูตไทยในตุรกีกันหนักพอสมควร

ระเบิดสถานทูตจีนในกรุงบิชเคกครั้งนี้

เป็นการเริ่มต้นการตอบโต้แก้แค้นของพวกที่มีเชื้อสายเดียวกัน

เมืองไทยก็ไปเกี่ยวดองหนองยุ่งกับเขาด้วย

ก็ควรต้องระวังหน่อยครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand