ออตโตมัน (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 4 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/680347

 

ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ สำรวจกรุงหริหราลัยหรือ The Lost City เมืองของขอมโบราณที่สาบสูญไปกว่า 1,214 ปี มาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งที่ 4 กำหนดวันแล้วครับ ระหว่าง 26-28 สิงหาคม 2559 รับผู้ร่วมทีมสำรวจได้ 15 คน สนใจติดต่อคุณชวิกา 09-8262-9293

เมื่อวาน ผมรับใช้ถึงตอนที่กองทัพออตโตมันยึดกรุงคอนตแตนติโนเปิลได้ และเปลี่ยนชื่อเป็น อิสตันบูล พร้อมทั้งแปลงวิหารเซนต์โซเฟียของศาสนาคริสต์นิกายกรีกออร์โธดอกซ์ให้เป็นสุเหร่า ชนะพวกคริสต์ได้แล้ว สุลต่านจักวรรดิออตโตมันก็สามารถเอาชนะกองทัพของเปอร์เซียที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ได้อีก หลังจากนั้นก็ข้ามทะเลแดงเข้าไปในอียิปต์ ต่อมายึดนครเมกกะและนครเมดีนาได้

รัชสมัยสุลต่านสุไลมานที่ 1 ออตโตมันยึดกรุงเบลเกรด รบชนะฮังการี ปิดล้อมกรุงเวียนนา ยึดกรุงแบกแดด แผ่อำนาจไปในดินแดนแม่น้ำไทกรีสยูเฟรติส คุมน่านน้ำในอ่าวเปอร์เซีย ยึดตูนิสและแอลจีเรียจากสเปน ยึดเมืองนีสจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ

สุลต่านสุไลมานที่ 1 สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.2109 ถือว่าเป็นการสิ้นสุดยุครุ่งโรจน์ในการขยายพรมแดนของจักรวรรดิออตโตมัน จากนั้น พวกชาติตะวันตกเริ่มมีอำนาจทางทะเลจากการพบเส้นทางเลือกใหม่จากยุโรปมาเอเชีย ฝ่ายคริสเตียนก็เริ่มชนะกองทัพเรือออตโตมันและเริ่มปลดปล่อยทาสชาวคริสต์ให้เป็นอิสระ ภายหลังจักรวรรดิออตโตมันรบกับกองทัพรัสเซียบ่อย ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ฝ่ายไหนชนะก็ได้ควบคุมทะเลดำ

ชะตากรรมของตุรกีขึ้นๆ ลงๆ กระทั่งอาร์ชดุ๊กฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการีและพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ขณะเสด็จประพาสกรุงซาราเยโว เมื่อ พ.ศ.2457 เป็นชนวนทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ตุรกีก็เข้าร่วมสงครามด้วย โดยอยู่ฝ่ายมหาอำนาจกลาง แต่ก็แพ้ต่อกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร รัฐบาลของสุลต่านเมห์เมดที่ 6 ของตุรกีจึงตัดสินใจยอมแพ้ กองทัพสัมพันธมิตรยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล กองทหารกรีกและอิตาลียึดดินแดนชายฝั่งทะเลตะวันตกและทางใต้ของอะนาโตเลีย

มุสตาฟา เคมาล ปาชา ได้รวบรวมพวกชาตินิยมเพื่อเตรียมต่อสู้เพื่อเอกราชและประชาธิปไตยของชาวเติร์ก สุลต่านตอบโต้ด้วยการปลดเคมาลจากตำแหน่งทางทหาร แต่เคมาลก็ต่อสู้ในฐานะพลเรือน และได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำของพวกชาตินิยม

พวกชาตินิยมยึดเมืองอังโกราและเปลี่ยนชื่อเป็น อังการาแล้วประกาศตั้งสมัชชาใหญ่แห่งชาติ โดยอ้างว่าสุลต่านถูกต่างชาติควบคุมบงการ เป็นความรับผิดชอบของมุสลิมที่จะต้องต่อต้านการครอบงำ จากนั้น ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งชาติก็จัดตั้งรัฐบาลขึ้น เคมาลได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ารัฐบาล และตั้งประเทศใหม่ชื่อ สาธารณรัฐตุรกี

พอแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ออตโตมันก็ถูกลงโทษให้ต้องปล่อยดินแดนทั้งหลาย เหลือแต่เพียงดินแดนรอบกรุงคอนสแตนติโนเปิลและดินแดนบางส่วนในอะนาโตเลีย ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม ชาวเติร์กจึงสนับสนุนเคมาลให้ปฏิวัติล้มล้างอำนาจสุลต่าน

กรีซถือโอกาสเข้ายึดครองดินแดนของตุรกี แต่เคมาลนำกองทัพเข้าต่อสู้จนชนะ จากนั้น กองกำลังของเคมาลก็ขับไล่ฝ่ายสัมพันธมิตรออกไป สุลต่านเมห์เมดที่ 6 เสด็จลี้ภัยไปต่างประเทศ ตุรกีจึงยุบตำแหน่งสุลต่าน แต่ยังคงให้มีตำแหน่งคอลิฟะห์หรือผู้นำศาสนา โดยไม่ให้มีอำนาจทางการเมือง

ถ้าไม่มีเคมาล ผมก็เดาว่า ตุรกีคงไม่มีประเทศใหญ่อย่างนี้ เคมาลไปเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาแซฟวร์ จนได้ดินแดนที่เสียไปกลับคืนมาเกือบหมด การเจรจาของเคมาลทำให้สนธิสัญญาโลซานที่ลงนามระหว่างตุรกีกับสัมพันธมิตรเมื่อ พ.ศ.2466 รับรองสถานภาพความเป็นประเทศและกำหนดเขตแดนของตุรกีใหม่ให้มีขนาดใหญ่อย่างในปัจจุบัน

เคมาลเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐ ได้รับสมญานามว่า อตาเติร์ก ที่หมายถึงบิดาของชาวเติร์ก ต่อมาก็มีการประกาศยกเลิกตำแหน่งคอลิฟะห์ ปิดสถาบันการศึกษาของฝ่ายศาสนา ขับไล่ราชวงศ์ทุกองค์ออกนอกประเทศ ยุบศาลที่พิจารณาตามกฎหมายชาริอะห์ โอนหน้าที่ทางการศาลจากฝ่ายศาสนามาให้ฝ่ายบ้านเมือง

มีการประกาศรัฐธรรมนูญเมื่อ 20 เมษายน 2467 โดยยังคงให้อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ในเดือนเมษายน 2471 ก็ยกเลิกข้อกำหนดเรื่องศาสนาประจำชาติ ทำให้ตุรกีเป็นสาธารณรัฐที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาอีกต่อไป

จักรวรรดิออตโตมันจึงสิ้นสุดลงเมื่อมีการสถาปนาสาธารณรัฐตุรกี.

“คุณนิติ นวรัตน์”
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ออตโตมัน (1)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 3 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/679272

 

แม้ว่าการรัฐประหารในตุรกีจะจบไปแล้ว แต่ความสนใจในตุรกีและจักรวรรดิออตโตมันยังมีอยู่ในสังคมไทย มีคำถามมาจำนวนหนึ่ง ผมจึงขอถือโอกาสนี้รับใช้ถึง “ออตโตมัน” จักรวรรดิอิสลามซึ่งมีอาณาเขตกว้างขวาง ครอบคลุมดินแดนถึง 3 ทวีป

จักรวรรดิออตโตมันตั้งเมื่อ พ.ศ.1842 (สมัยพระยาเลอไทย กรุงสุโขทัย) จนถึง พ.ศ.2465 (สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ยาวนาน 623 ปี

ยุทธการที่เมืองแมนซีเคิร์ต เมื่อ พ.ศ.1614 จักรพรรดิโรมานุสที่ 4 ของจักรวรรดิไบแซนไทน์ แพ้ชนเผ่าเซลจูกเติร์ก เซลจูกเติร์กจึงสถาปนาอาณาจักรสุลต่านแห่งรูนขึ้นในตอนกลางของดินแดนอะนาโตเลีย มีประมุขเป็นสุลต่าน ปกครองมุสลิมและชนเผ่าแถวนั้น

การตั้งอาณาจักรของเซลจูกเติร์กเป็นภัยต่อคริสตศาสนิกชนผู้ไปแสวงบุญที่นครเยรูซาเลม จักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์จึงส่งสาส์นไปขอความช่วยเหลือจากสันตะปาปาเออร์บานที่ 2 ให้ส่งกองทัพคริสเตียนไปช่วยปราบมุสลิม และนี่ล่ะครับ เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสดครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ.1639 ที่ยืดเยื้อยาวนานมาจนถึง พ.ศ.1834

เมื่อเซลจูกเติร์กมีอำนาจในดินแดนอะนาโตเลียแล้ว ก็เปิดโอกาสให้พวกชนเผ่าเติร์กอื่นๆ ในเอเชียกลาง และแถวเทือกเขาอัลไต ได้อพยพมาอยู่ในอะนาโตเลีย รวมทั้งเติร์กชนเผ่ากายีซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกออตโตมันด้วย

พ.ศ.1836 พวกมองโกลชนะกองทัพสุลต่านแห่งรูน อาณาจักรสุลต่านแห่งรูนจึงเสื่อม ดินแดนที่ไม่ได้ถูกกองทัพมองโกลยึดครองจึงถือโอกาสประกาศตนเป็นราชรัฐอิสระภายใต้การนำของออสมัน เมื่อออสมันได้เป็นประมุขของราชรัฐอิสระนี้แล้ว ก็เป็นผู้นำนักรบไปทำสงครามศาสนากับจักรวรรดิไบแซนไทน์ ด้วยความเชื่อว่า การทำสงครามกับพวกนอกศาสนาเป็นการแสดงศรัทธาสูงสุดต่ออัลลอฮ์ สุดท้ายจักรวรรดิไบแซนไทน์ก็แพ้

เหล่าทหารชาวเติร์กเผ่าต่างๆ ที่สนับสนุนออสมันมีชื่อเรียกว่า ออสมันลีลาร์ ที่แปลว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องกับออสมัน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ออตโตมัน ออสมันบุกยึดดินแดนอื่นอีกมากมายหลายแห่ง และเรียกจักรวรรดิที่ใหญ่โตมโหฬารของตนเองว่า จักรวรรดิออต-โตมัน ผู้สืบเชื้อสายของออสมันสืบทอดบัลลังก์ในฐานะสุลต่านติดต่อกันนานถึง 623 ปี

ต่อมา กองทัพของออตโตมันไม่ชอบไปตีกับเมืองมุสลิมด้วยกัน สุลต่านจึงตั้งกองทัพใหม่ขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่งชื่อ จานิสซารี ที่เอาทาสคริสเตียนที่ถูกซื้อมาบ้าง ที่ถูกจับเป็นเชลยศึกบ้าง เอามาฝึกเป็นนักรบ นอกจากนั้น สุลต่านออตโตมันสั่งให้ส่งเด็กผู้ชายจากดินแดนยุโรปในปกครองมาเป็นบรรณาการเพื่อเปลี่ยนศาสนาให้เป็นมุสลิมที่จงรักภักดีและเป็นทหารที่มีระเบียบวินัยที่สุด ห้ามแต่งงาน อุทิศทั้งร่างกายและจิตใจทำสงครามเพื่อปกป้องสุลต่าน บางสมัย สุลต่านมีทหารจานิสซารีมากถึง 10,000 คน บางยุคมีมากกว่านั้น

ทหารออตโตมันยึดดินแดนต่างๆ ในยุโรป เข้าไปยึดแม้แต่มาซิโดเนีย ซึ่งเป็นปิตุภูมิของพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราช ยึดเซอร์เบีย ยึดบัลแกเรีย ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ตอนที่ออตโตมันจะเข้าไปยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งยึดได้ยากมากเพราะมีกำแพงเมืองที่สูงถึง 12 เมตร กว้าง 5 เมตร ยาว 6.5 กิโลเมตร ปิดล้อมอยู่นาน 50 วันจึงยึดได้

บางคนเชื่อว่า ยุโรปสมัยกลางสิ้นสุดลงและเริ่มต้นประวัติศาสตร์ยุโรปสมัยใหม่เมื่อกรุงคอนสแตนติโนเปิลของคริสเตียนถูกออตโตมันยึดนี่ล่ะครับ ก่อนที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะแตก พวกนักปราชญ์ราชบัณฑิตของจักรวรรดิไบแซนไทน์ทยอยขนงานต้นฉบับตัวเขียนสำคัญๆ หลบหนีไปยังอิตาลี อันนี้นี่ล่ะครับ ที่ทำให้อิตาลีรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในสมัยเรอเนซองซ์

อารยธรรมกรีกและโลกของจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่มีจักพรรดิปกครองติดต่อกันถึง 82 องค์ เป็นเวลา 1,123 ปี ก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นโลกมุสลิมและอารยธรรมอิสลาม

กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกเปลี่ยนชื่อเป็นกรุงอิสลามบูล ต่อมาเพี้ยนเสียงเป็น อิสตันบูล ทว่าคนทั่วไปก็ยังนิยมเรียก คอนสแตนติโนเปิล จนกระทั่ง พ.ศ.2473 รัฐบาลตุรกีได้นำชื่อ อิสตันบูล กลับมาใช้แทนชื่อ คอนสแตนติโนเปิลอย่างเป็นทางการ

วิหารเซนต์โซเฟียของศาสนาคริสต์นิกายกรีกออร์โธดอกซ์ ก็ถูกแปลงเป็นสุเหร่า

ถ้าท่านไม่เข้าใจการสู้รบในยุคนั้น ก็ไม่เข้าใจการต่อสู้สำคัญของโลกในทุกวันนี้ พรุ่งนี้ขออนุญาตมาว่ากันต่อครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

สหพันธรัฐฟิลิปปินส์?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 2 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/678383

 

27 กรกฎาคม 2559 มีประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติหารือยุทธศาสตร์ของฟิลิปปินส์ในการเจรจากับจีน เพื่อหาทางออกข้อพิพาทกรรมสิทธิ์น่านน้ำในทะเลจีนใต้

คนที่นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมคือ นายดูเตอร์เต ส่วนคนที่นั่งประชุมให้ข้อคิดเห็นคือ อดีตประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์อีก 4 คน ทั้งนายฟิเดล รามอส นายโจเซฟ เอสตราดา นางกลอเรีย มากาปากัล อาร์โรโย และนายเบนิโญ อากีโนที่ 3

ภาพอย่างนี้ในบ้านเราไม่มี แต่ในฟิลิปปินส์เป็นภาพปกติเพราะได้รับวัฒนธรรมการเมืองจากสหรัฐฯ ที่ตอนหาเสียงโจมตีกันมากมาย แต่เมื่อแก๊ง แก๊ง เสียงเคาะระฆังบอกว่าหมดเวลา ทุกคนก็หันมาร่วมมือกันเพื่อประเทศ เอาประโยชน์ประเทศมาเป็นที่หนึ่ง

คนชนะก็หันไปขอความเห็นความช่วยเหลือจากคนแพ้ คนแพ้ก็ช่วยอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ทั้งที่ในอดีตเคยมีเรื่องกันมาทั้งนั้น อย่างนางอาร์โรโย เคยเป็นรองประธานาธิบดีของนายเอสตราดา แต่เคยร่วมมือในการล้มเอสตราดาให้ถูกขับออกจากตำแหน่งเมื่อ 20 มกราคม 2544 แล้วก็ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทนในวันที่ 21 มกราคม 2544

นายเอสตราดาเรียกร้องให้ผู้คนต่อต้านนางอาร์โรโย แต่ก็ล้มรัฐบาลของนางอาร์โรโยไม่ได้ นายอากีโนที่ 3 ที่เพิ่งลงจากตำแหน่งไปเมื่อ 29 มิถุนายน 2559 ก็เป็นคนผลักดันให้ดำเนินคดีและจับกุมนางอาร์โรโยในข้อหาโกงการเลือกตั้ง ติดคุกอยู่หลายปีเพิ่งได้ออกมาเพราะศาลฎีกายกฟ้องเมื่อ 2 สัปดาห์มานี้เอง ตอนที่กำลังหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ นางอาร์โรโยก็ส่งสัญญาณให้ประชาชนต่อต้านนายดูเตอร์เต

ผู้นำแทบทุกคนล้วนมีเรื่องซัดกันมากมายหลายอย่างสาธยายไม่หมด แต่เมื่อถึงคราวต้องเจรจากับจีน ทุกคนก็มานั่งระดมความเห็นกันโดยใช้ประสบการณ์และข้อมูลในระหว่างเป็นประธานาธิบดีมาใช้

ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แต่ละคนชนะเลือกตั้งเพราะสถานการณ์ในเวลานั้นอำนวย อย่างนายฟิเดล รามอส ขึ้นมาได้เพราะคนเอือมบริวารเก่าของนายมากอส พอถึงยุคนายเอสตราดา แกก็ชูนโยบาย Pro-poor, For-poor สนับสนุนคนจนซึ่งมีประมาณร้อยละ 40 แต่ก็พังเพราะนายเอสตราดาโดนข้อหารับสินบนจากบ่อนพนันเถื่อน คอร์รัปชัน และเอาญาติพี่น้อง พรรคพวกบริวารเข้ามารับตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งๆที่ตอนสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง แกสาบานว่า การบริหารงานของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เอาญาติและพรรคพวกบริวารมาเกี่ยวดองหนองยุ่ง

นางอาร์โรโยโปรโมตจุดเด่นของตนเรื่องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ โม้ว่าตนจะสามารถพาประเทศไปสู่ความเจริญเหมือนสมัยนายรามอสได้ ผู้คนจึงเลือก

พอถึงนายอากีโนที่ 3 ก็ชูจุดที่พ่อเคยเป็นวุฒิสมาชิกและถูกยิงตายที่สนามบิน และต่อมาแม่ก็ได้เป็นประธานาธิบดี ในยุคของนายอากีโนที่ 3 ต้องถือว่าฟิลิปปินส์เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคง แต่ก็ยังมีปัญหาสังคม เช่น ปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดจนผู้คนเบื่อหน่าย

นายดูเตอร์เตจึงมาถูกจังหวะถูกเวลา ด้วยการชูนโยบายปราบอาชญากรรม จะปรับปรุงกฎหมายที่ใช้บังคับอย่างจริงจัง จะจัดระเบียบสังคม นายดูเตอร์เตไม่เป็นเรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีภาพลักษณ์ที่ดีด้านการต่างประเทศ เติบโตมาจากนักการเมืองท้องถิ่น เรื่องนี้ทำให้คนชั้นกลางและคนรวยกลัวว่า เมื่อแกขึ้นมาแล้ว รัฐบาลของแกจะฉุดให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ที่เคยขยายตัวในอัตราร้อยละ 6.2 ต่อปีติดต่อกันในยุคของนายอากีโนที่ 3 ลงมาต่ำกว่านี้ แต่คนจนเลือกดูเตอร์เตเพราะกลัวอาชญากรรมและยาเสพติดมากกว่า

ในฟิลิปปินส์ บางจังหวัดอุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง บางจังหวัดก็กันดารยากจน การปกครองในอดีตเป็นการปกครองของรัฐบาลรวมศูนย์ ตอนนี้นายดูเตอร์เตประกาศแล้วครับว่า จะจัดการหยั่งเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเปลี่ยนระบอบการปกครอง พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปกลางวาระใน พ.ศ.2562

ปัจจุบัน ฟิลิปปินส์ปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐ นายดูเตอร์เตแกต้องการจะเปลี่ยนจากระบอบสาธารณรัฐไปเป็นระบอบ “สหพันธรัฐ” ภายใน พ.ศ.2565 ต่อไปจังหวัดต่างๆของฟิลิปปินส์ก็เป็นเหมือนกับประเทศนั่นแหละครับ มีอำนาจมากขึ้น

พ.ศ.2565 ประชาคมอาเซียนอาจจะมีสมาชิกชื่อ สหพันธรัฐฟิลิปปินส์ ก็ได้ครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ถ้าไม่แรง ก็ปกครองดาเวาไม่ได้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 1 ส.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/677687

 

นายรตนภูมิ โนสุ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 2 เชิญ ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “การศึกษาสร้างคน สร้างงาน วางพื้นฐานสู่อาชีพ” รับใช้ผู้บริหารโรงเรียนดีประจำภาคเหนือตอนบน 400 คน ที่โรงแรมคุ้มภูคำ จ.เชียงใหม่ 09.00-12.00 น. ของจันทร์วันนี้

ผู้อ่านท่านหนึ่งมีอีเมลมาบอกว่า อยากให้ผมเขียนถึงดาเวาของฟิลิปปินส์ เมืองที่นายดูเตอร์เตเคยเป็นนายกเทศมนตรีมาก่อน ขอรับใช้เลยครับ ว่าเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของฟิลิปปินส์เรียงตามลำดับได้แก่ มะนิลา เซบู อีโลอีโล ซัมบวนกา ดาเวา โจโล เลกัสปี และอาปาร์รี ดาเวาเป็นเมืองท่าใหญ่อันดับ 5 มีพื้นที่ใหญ่โตเป็นอันดับ 4 ของฟิลิปปินส์

มีท่าเรือเล็กๆ ล้อมเมืองดาเวาอยู่ประมาณ 50 แห่ง ตัวเมืองดาเวาเองตั้งอยู่บนปากแม่น้ำดาเวา ใกล้ปากอ่าวดาเวา อยู่ตอนใต้ของเกาะมินดาเนาซึ่งเป็นเกาะใหญ่อันดับ 2 รองจากเกาะลูซอน

มินดาเนาเป็นอีกเกาะหนึ่งซึ่งคนไทยน่าเข้าไปทำมาค้าขาย ที่นี่มีที่ราบโกตาบาโต พวก ข้าว มะพร้าว ต้นป่าน ปลูกได้ดีและที่ดีที่สุดก็คือ ทุเรียน แต่การปลูกทุเรียนยังเป็นแบบโบราณ ถ้ามีความรู้อย่างชาวสวนทุเรียนไทย ผมว่าทุเรียนฟิลิปปินส์น่าจะไปได้ไกลกว่านี้อีกเยอะ คนบนเกาะมินดาเนาชอบทุเรียนมากนะครับ ขนาดเรียกทุเรียนว่า ผลไม้แห่งเทพเจ้า

เกาะมินดาเนามีภูเขาอาโปที่สูงที่สุดในฟิลิปปินส์ แถวเทือกเขาเป็นป่าดงดิบที่ยังอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เพราะความอุดมสมบูรณ์นี่ล่ะครับ ทำให้คนจีนและญี่ปุ่นมาตั้งถิ่นฐานที่ดาเวามากกว่าเมืองอื่นในฟิลิปปินส์

คนญี่ปุ่นเข้ามาเยอะ ดาเวาจึงเป็นฐานอิทธิพลของญี่ปุ่นก่อนที่สเปนและสหรัฐอเมริกาจะเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคม สหรัฐฯ เคยไล่คนญี่ปุ่นในดาเวาและบนเกาะมินดาเนาอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้าย เมื่อ พ.ศ.2446 สหรัฐฯ ก็กลับต้องนำกรรมกรจากญี่ปุ่นเข้ามาทำงานในฟิลิปปินส์ มาทำงานตัดถนนหนทาง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจจากเกาะอื่นแล้ว ผู้ใช้แรงงานชาวญี่ปุ่นเหล่านี้ก็มักจะมาลงหลักปักฐานอยู่ที่เกาะดาเวา ตอนหลัง ดาเวาจึงกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเส้นใยป่านและอุตสาหกรรมสิ่งทอของฟิลิปปินส์ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็มาจากการลงทุนและแรงงานของชาวญี่ปุ่นในเมืองดาเวาที่มีมากกว่า 18,000 คนนี่เองครับ

อดีตประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ทุกคนมักจะมาจากครอบครัวคนชั้นสูงและส่วนใหญ่จะมาจากเมืองในเกาะอื่น ซึ่งเกาะพวกนั้นได้รับอิทธิพลของสเปน เมื่อสเปนแพ้สหรัฐฯ ที่คิวบา สเปนก็จึงต้องเสียฟิลิปปินส์ให้สหรัฐฯ การพัฒนาของผู้คนในเกาะอื่นๆ มักจะได้รับอิทธิพลจากตะวันตกสองประเทศนี้ แต่ผู้คนที่เมืองดาเวาไม่ใช่ นิสัยใจคอและการใช้ชีวิตของคนที่นี่ยังเป็นแบบเดิม ปลอดอิทธิพลทางวัฒนธรรมและการพัฒนาแบบตะวันตกในทุกด้าน

พฤติกรรมสมัยที่เป็นนายกเทศมนตรีนครดาเวาของนายดูเตอร์เตอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับจากคนฟิลิปปินส์ในตอนแรก แต่เพราะปัญหาฟิลิปปินส์มีมากและยากเกินกว่าที่จะแก้ไข ทำให้คนเริ่มหันมาชอบพฤติกรรมของนายดูเตอร์เตที่ตรงไปตรงมา จริงใจ รุนแรง ใจนักเลงแบบคนดาเวาของแท้และดั้งเดิม และเชื่อว่าพฤติกรรมของแกแก้ไขปัญหาของชาติได้

เมืองดาเวาแห่งเกาะมินดาเนายังเป็นพื้นที่ของพวกโมโร หรือมุสลิมที่มีประวัติความเป็นมาและปัญหาพื้นฐานต่างจากพื้นที่ของมุสลิมที่อื่น นายดูเตอร์เตจึงเข้าใจอิสลามและมุสลิมได้ดีกว่าอดีตประธานาธิบดีคนอื่น ทั้งมุสลิมบนเกาะมินดาเนา และบนเกาะซูลู ซึ่งมีลักษณะนิสัยใจคอแตกต่างกันอย่างมาก

ร้อยละ 10 ของประชากรเมืองดาเวานับถือศาสนาอิสลาม แต่มุสลิมในเมืองนี้ก็แบ่งออกเป็นอีกหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มตาซุก กลุ่มซันจิล ฯลฯ แต่ละกลุ่มก็มีภาษาของตนเอง แม้นับถือศาสนาเดียวกัน ก็ยังเข้ากันไม่ค่อยได้ และต่างคนต่างอยู่

ความที่ต้องทำงานกับผู้คนหลากหลายมากมายหลายกลุ่มหลายศาสนาหลายเชื้อชาติ ทำให้ดูเตอร์เตใช้นิสัยคนดาเวามาบริหาร คือนิสัยที่มีความเด็ดขาด

ซึ่งบุคลิกอย่างที่ว่า คนไทยหลายคนรับไม่ได้

แต่คนฟิลิปปินส์บอกว่า “พวกเรารับได้”.

“คุณนิติ นวรัตน์”
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

เรียนพร้อมฝึกงาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 29 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/675117

 

เสาร์พรุ่งนี้ 10.00-12.00 น. ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิจะไปพูดที่ดิอามาน โฮเตลแอนด์รีสอร์ท อ.เทพา จ.สงขลา รับใช้ครู 500 คน

จันทร์ที่จะถึง 09.00-12.00 น. พูดการศึกษาสร้างคน สร้างงาน วางพื้นฐานสู่อาชีพ รับใช้ ผอ.โรงเรียนและศึกษานิเทศก์ 400 คน ที่โรงแรมคุ้มภูคำ จ.เชียงใหม่

เดี๋ยวนี้การศึกษาต้องมี 2 ลักษณะ คือเรียนทฤษฎีเข้ม แต่ก็ต้องให้ผู้ที่เรียนจบมาแล้ว ทำงานได้จริง พวกที่พ่อแม่ขับรถไปส่งไปรับเช้าเย็น ประคบประหงมกันทุกอย่างนั้น เมื่อสิ้นบุญพ่อแม่แล้ว ชีวิตคนพวกนี้หกคะเมนตีลังกา เอาตัวไม่รอดเป็นจำนวนมาก

ที่ผมต้องชมก็คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 ที่เมื่อวันพุธวานซืน ท่านเชิญผมไปพูดรับใช้ผู้อำนวยการโรงเรียน 165 คน+ผู้บริหารสถานประกอบการอีก 36 แห่ง+ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 คน

ผอ.โรงเรียนทั้งหลายเดินทางมาลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับผู้บริหารสถานประกอบการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เด็กนักเรียน ป.6–ม.3 ไปฝึกงานนอกเวลา ให้มีประสบการณ์และให้มีรายได้ช่วยเหลือตัวเอง นอกจากนั้น ยังได้รับรู้การทำงานตั้งแต่เด็ก แทนที่เด็กจะเอาเวลาไปเที่ยวเล่นก็หันมาสนใจอาชีพในอนาคตของตนเอง

ที่ไปลงนามเมื่อวานซืน มีตั้งแต่ธุรกิจระบบโซลาร์เซลล์ สกัดสารจากสมุนไพร สอนขายสินค้าออนไลน์ ปุ๋ยเกษตรอินทรีย์ ปลูกผักไฮโดรโพรนิกส์ เบเกอรี่ ฯลฯ นี่เป็นการยิงปืนนัดเดียวนกตกลงมาทั้งฝูง ได้ความรู้ ได้อาชีพที่ต่อยอดได้ในอนาคต ได้ความผูกพันกับธุรกิจในท้องถิ่น และได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์

เด็กในสังคมตะวันตกเรียนไปทำงานไปกันมานานแล้วครับ และก็ไม่ได้เสียหายหรือทำให้สังคมล่มสลาย เคยมีวิจัยของสหรัฐอเมริกาว่าเศรษฐีเงินล้าน (ดอลลาร์) ของสหรัฐอเมริกาที่สร้างตัวได้ก่อนอายุ 30 ปีนั้น เป็นพวกที่เรียนไปทำงานไปมาก่อน ไปดูประวัติชีวิตเศรษฐีของโลกทั้งหลายซีครับ บางคนก็เรียนชั้นประถมก็ทำงานส่งหนังสือพิมพ์แล้ว เรื่องส่งหนังสือพิมพ์ไม่ต้องยกตัวอย่างใครอื่นดอกครับ ยกนายวอเรน บัฟเฟต ที่เรารู้จักชื่อกันดีนี่แหละ

เดิมเยาวชนบางคนอาจจะไม่รู้คุณค่าของการทำงานให้ได้เงิน แต่เมื่อทำแล้ว และได้จับเงินของจริง ก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้สนใจในการทำงานมากขึ้น และก็อาจจะเอาประสบการณ์จากการฝึกงานทำงาน มาใช้ในการเรียนในชั้นเรียนได้อีกด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องเงินแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ เพราะต้นทุนของมนุษย์ที่ทุกคนมีเท่ากันก็คือเวลา การใช้เวลาไปฝึกงานทำงานจึงทำให้เด็กนักเรียนเหล่านี้มีทักษะในการทำงานมากกว่า

นอกจากการฝึกงานแล้ว ผู้ใหญ่ก็ต้องเข้าใจนะครับ ว่าวัยเด็กยังต้องมีเรื่องเที่ยว เรื่องสันทนาการ และการออกกำลังกาย การคบหาสมาคมในช่วงวัยของตนเอง สิ่งหนึ่งที่ต้องแนะนำเยาวชนเหล่านี้คือ การบริหารเวลา อย่าให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดไป

ไปพูดในหลายจังหวัด พ่อมักจะได้รับชวนให้แวะไปดูวิทยาลัย มหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชน ที่น่าตกใจในขณะนี้ก็คือ แต่ละแห่งมีนักศึกษาลดน้อยลงเรื่อยๆ บางภาควิชาไม่มีนักศึกษาเลยแม้แต่คนเดียว เพราะหลักสูตรหลายอย่างไปตอบสนองต่อการมีงานทำในอนาคต อาคารสถานที่ขนาดใหญ่ก็จึงกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่ทำให้การดำเนินงานสถาบันไปไม่รอด

สิ่งที่น่าห่วงไม่แพ้การศึกษาก็คือ เรื่องศาสนาครับ วัดหลายแห่ง ตอนที่เจ้าอาวาสเป็นพระเกจิอาจารย์ดังมีชื่อเสียง ศาสนิกชนเข้าไปทำบุญกันเยอะแยะ ก็สร้างอาคารสถานที่กันขนาดใหญ่โตโอฬาร

พอเกจิอาจารย์มรณภาพ ก็มีคนมาทำบุญน้อยลง คราวนี้ก็มีปัญหาที่ตามมาคือ ค่าบำรุงรักษา ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ บางวัดต้องปล่อยทิ้งร้าง ผู้คนก็ไม่กล้าไปบวช เพราะขืนไปเป็นพระในวัดขนาดใหญ่ พระต้องทำความสะอาดดูแลวัดกันเหนื่อยมาก

นอกจากวัฒนธรรมการทำงานฝึกงานระหว่างเรียนแล้ว เราน่าจะปลูกฝังวัฒนธรรมการบำรุงรักษา คนทำบุญหอบเงินไปสร้างโน่นสร้างนี่ แต่น้อยคนที่จะไปทำบุญซ่อมแซมอาคารสถานที่ภายในวัด

มีคนเชิญพ่อพูดวันละหลายแห่ง สิ่งที่พ่อผมสั่งพวกเราไว้ก็คือ ถ้างานชนกัน ให้เลือกไปพูดที่สถานศึกษาไว้ก่อน

ถ้าชนกันระหว่างโรงเรียนกับมหาวิทยาลัย

ให้เลือกโรงเรียน.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

แยกศาสนาออกจากการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 28 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/674118

 

นายฮำสะ สายสะหลำ นายกสมาคมครูสอนศาสนาอิสลามภาคฟัรฎูอีน (ภาคบังคับ) จังหวัดสงขลา เชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “ครูฟัรฎูอีนที่โลกมุสลิมต้องการ” รับใช้ครูสอนศาสนาอิสลามภาคฟัรฎูอีน (ภาคบังคับ) ประจำมัสยิด 500 คน ที่ดิอามาน โฮเตลแอนด์ รีสอร์ท อ.เทพา จ.สงขลา 10.00-12.00 น. ของวันเสาร์มะรืนนี้

ตุรกีมีพลเมือง 75 ล้านคน ร้อยละ 99 นับถือศาสนาอิสลาม คนของประเทศตุรกีเราเรียกว่าชาวเติร์ก ยุคก่อนตอนสมัยโบราณ พวกเติร์กพำนักพักอาศัยอยู่ในเอเชียกลาง กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 8 มีกองคาราวานสินค้าของพวกอาหรับมาค้าขายแถวเอเชียกลาง พวกเติร์กจึงค่อยๆทะยอยเริ่มเข้ารับอิสลาม

ชาวเติร์กอพยพเข้ามาอยู่ในอนาโตเลียซึ่งเป็นดินแดนของตุรกีในปัจจุบันในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ภายหลังสร้างอาณาจักรออตโตมันอันยิ่งใหญ่ได้ เมืองสำคัญในศาสนาอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นเมกกะ เมดินา และเยรูซาเลม พวกนี้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมันทั้งนั้นแหละครับ

สุลต่านเติร์กตีอียิปต์แตกเมื่อ พ.ศ.2060 ก็เอาตำแหน่งกาหลิบหรือผู้นำศาสนามาด้วย ทำให้สุลต่านของออตโตมันมีสถานะเป็นผู้นำทางศาสนาในเวลาเดียวกัน

การปกครองในอาณาจักรออตโตมันยุติธรรมพอสมควร มีการอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามประกอบกิจกรรมทางศาสนาได้เสรี ไม่กีดกัน ไม่กลั่นแกล้ง เพียงแต่ต้องเสียภาษีสูงกว่าพวกที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น

ผู้อ่านท่านคงเคยได้ยินคำว่ายังเติร์ก Young Turks หรือเติร์กหนุ่ม กันมาบ้างนะครับ คำนี้มาจากเหตุการณ์ พ.ศ.2419 เมื่อกลุ่มปัญญาชนที่เรียกตัวเองว่ายังเติร์กบีบให้สุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2 พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกและเปลี่ยนการปกครองของอาณาจักรออตโตมันมาเป็นระบบรัฐสภา แต่เป็นระบบรัฐสภาได้ไม่นานนัก พวกเติร์กหนุ่มก็ปฏิวัติปลดสุลต่านพระองค์เดิมออกจากพระราชอำนาจ และตั้งสุลต่านหุ่นเชิดขึ้นมา

ผู้นำเติร์กหนุ่มที่รวบอำนาจปกครองไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนำออตโตมันเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2457 โดยเลือกอยู่ฝ่ายเยอรมนี เมื่อเยอรมนีแพ้ ออตโตมันก็แพ้ไปด้วย ต้องลงนามในสนธิสัญญายกดินแดนในบอลข่าน ในตะวันออกกลางให้ผู้ชนะ

พวกตะวันตกที่ชนะสงครามเข้ามายึดอนาโตเลียที่ชาวเติร์กถือว่าเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง กองทัพรัฐบาลอ่อนแอเกินกว่าที่จะสู้ พวกเติร์กรักชาติที่นำโดยมุสตาฟา เคมาล จึงจับอาวุธขับไล่กองกำลังต่างชาติ ตุรกีจึงมีสงครามปลดปล่อยระหว่าง พ.ศ.2462-2466 ช่วงนี้นี่เองครับ ตุรกีมีรัฐบาล 2 ชุดในเวลาเดียวกัน คือ 1.รัฐบาลของสุลต่านออตโตมัน ตั้งที่เมืองอิสตันบูล และ 2.รัฐบาลแห่งสมัชชาใหญ่ตุรกี ตั้งอยู่ที่เมืองอังการา

สถานการณ์สับสนวุ่นวายและยุ่งเหยิง สุลต่านทนแรงกดดันไม่ไหว จึงเสด็จหนีลี้ภัย วันที่เสด็จหนีออกนอกประเทศนั้น ถือว่าเป็นการสิ้นสุดอย่างสมบูรณ์ของอาณาจักรออตโตมันที่ยาวนาน 623 ปี มีสุลต่านจากราชวงศ์เดียวปกครองทั้งสิ้น 36 พระองค์

เมื่อมีรัฐบาลเดียวแล้ว รัฐบาลแห่งสมัชชาใหญ่ตุรกีจึงตั้งประเทศขึ้นใหม่เมื่อ 29 ตุลาคม 2466 ชื่อว่า “สาธารณรัฐตุรกี”

ความผิดหวังจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ยกกษัตริย์ให้เป็นทั้งสุลต่านและกาหลิบ หมายถึงเป็นทั้งผู้ปกครองและผู้นำศาสนา ทำให้รัฐบาลใหม่ของสาธารณรัฐตุรกีแยกศาสนาจากการเมืองอย่างเด็ดขาด ปิดโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ผู้ชายห้ามพันศีรษะ ผู้หญิงก็ห้ามคลุมฮิญาบ พวกเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดที่เคยรุ่งเรืองทั้งในอาณาจักรและศาสนจักรก็ถูกเชิญให้เสด็จไปประทับในต่างประเทศเมื่อ 3 มีนาคม 2467

มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ปกครองตุรกีได้อย่างสงบเรียบร้อยมาได้นาน 15 ปีก็เสียชีวิตด้วยโรคตับแข็งเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2481 ขณะอายุได้ 57 ปี

ท่านผู้นี้ได้รับการยกย่องทั้งเป็นรัฐบุรุษ ทั้งผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี ทุกคนรักท่าน เพราะตระหนักว่าถ้าไม่มีมุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ก็ไม่มีสาธารณรัฐตุรกีอย่างทุกวันนี้

เป็นเวลานานหลายปี ที่นายเออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกีคนปัจจุบันพยายามดึงศาสนากลับมายุ่งกับการเมือง ทุกครั้งที่พยายามทำ ก็จะโดนทหารและศาลรัฐธรรมนูญเล่นงาน โดยโดนเล่นงานทั้งยุบพรรค ทั้งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

เพิ่งมาชนะของจริงเมื่อ 15-16 กรกฎาคม 2559

นายเออร์โดกันกำลังย้อนเวลาให้ตุรกีกลับไปเป็นก่อนยุคมุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก หลายคนอยากรู้ว่า ชีวิตของนายเออร์โดกันจะอวสานอย่างไร?

“คุณนิติ นวรัตน์”
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

ทำไมเออร์โดกันต้องล้างบาง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 27 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/673031

 

สัปดาห์นี้ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ เดินสายพูดครบทุกภาค อังคารเมื่อวานพูดที่ขอนแก่น พฤหัสบดีพรุ่งนี้พูดที่ปทุมธานี วันเสาร์พูดที่สงขลา วันจันทร์พูดที่เชียงใหม่

พฤหัสบดีพรุ่งนี้ 09.00-12.00 น. รับใช้ผู้บริหาร อปท. 120 คน 13.00-16.00 น. รับใช้นักบริหารงานคลัง 75 คน ที่สถาบันพัฒนาบุคลากรส่วนท้องถิ่น จ.ปทุมธานี

เรื่องของตุรกีกำลังมั่ว ความเชื่อของผู้คนทั้งโลกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็เชียร์ประธานาธิบดีเออร์โดกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็เชียร์นายเฟตฮุลเลาะห์ กูเลน ที่ขณะนี้ลี้ภัยอยู่ในสหรัฐฯ ฝ่ายที่เชียร์นายเออร์โดกันบอกว่า รักแก เพราะแกกล้าต่อกรกับอิสราเอล หลายคนถึงขนาดยกย่องให้แกเป็นคอลีฟะห์ หรือกาหลิบ ซึ่งคำนี้ใช้เรียกประมุขของอาณาจักรอิสลาม

ขอเรียนนะครับ ว่ารากฐานสำคัญของการก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกีก็คือ Secularism หรือ “หลักการแบ่งแยกศาสนาออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาด” มีความพยายามของหลายพรรคที่นายเออร์โดกันเคยสังกัด จะนำศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่หลายครั้ง แต่ก็โดนศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งปิดพรรคเหล่านั้นไปจนสิ้น

พ.ศ.2465 สมัชชาใหญ่แห่งตุรกีมีมติเลิกตำแหน่งสุลต่าน แต่ยังคงตำแหน่งกาหลิบซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำทางศาสนาอิสลามไว้ อีก2ปีต่อมา รัฐบาลใหม่ของสาธารณรัฐตุรกีเลิกตำแหน่งกาหลิบ และประกาศปิดโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามทั่วประเทศ พร้อมทั้งห้ามผู้ชายโพกศีรษะ ห้ามสตรีคลุมฮิญาบ ให้ยกเลิกกฎหมายฉบับใดที่ยึดตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามหรือกฎหมายชาลีอะห์ และเอากฎหมายแบบตะวันตกมาใช้แทน

พ.ศ.2471 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้ตัดคำว่า “ศาสนาประจำชาติคือศาสนาอิสลาม” ออก และให้เลิกตัวอักษรอารบิก หันมาใช้ตัวอักษรละตินแบบตะวันตก

พ.ศ.2480 หนึ่งปีก่อนที่มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกีจะถึงแก่อสัญกรรม ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตุรกีเป็น Secular State แปลเป็นไทยน่าจะเท่ากับรัฐโลกวิสัย หรือรัฐฆราวาส หมายถึงรัฐที่เป็นกลางด้านศาสนา ไม่สนับสนุนหรือต่อต้านความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาใดๆ ไม่มีศาสนาประจำชาติ แต่ถ้ามีก็เป็นแต่เพียงความหมายทางสัญลักษณ์ ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวันของคน ทุกคนมีเสรีในการนับถือศาสนา

คนในพรรคการเมืองไหนมีหัวเอียงไปทางศาสนา พรรคนั้นจะโดนศาลรัฐธรรมนูญปิด พ.ศ.2513 นายเออร์บากันตั้งพรรคการเมืองสายนิยมอิสลามขึ้นมาเป็นครั้งแรก ชื่อว่าพรรค National Order อยู่ได้เพียงปีเดียว ศาลรัฐธรรมนูญก็สั่งปิด (ครั้งที่ 1) นายเออร์บากันต้องลี้ภัยไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ปีต่อมาก็ได้รับอนุญาตให้กลับประเทศ แกก็มาตั้งพรรคใหม่ชื่อพรรค National Salvation ได้ ส.ส. มากถึงร้อยละ 11.8 ได้ร่วมรัฐบาลผสม แต่พอถึง พ.ศ.2523 ก็โดนทหารทำรัฐประหาร นายเออร์บากันพร้อมสมาชิกพรรค 21 คนถูกจำคุกและถูกห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองข้อหาต่อต้านหลักการแยกศาสนาออกจากการเมือง (ครั้งที่ 2)

ผู้ใกล้ชิดนายเออร์บากันจึงต้องมาตั้งพรรคใหม่ชื่อพรรค Welfare และเมื่อมีการเลือกตั้ง พรรคก็ได้ ส.ส.เยอะมากที่สุด เป็นรัฐบาล นายเออร์บากันพ้นโทษและพ้นวาระที่ถูกห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง มาแล้ว ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

เป็นได้เพียงปีเดียว กองทัพก็เคลื่อนไหวต่อต้านทำให้พรรคล่ม ศาลรัฐธรรมนูญปิดพรรค Welfare ข้อหาขัดหลักการการแยกศาสนาออกจากการเมือง (ครั้งที่ 3)

พวกที่ไม่โดนจำคุกก็ออกมาตั้งพรรคใหม่ชื่อว่าพรรค Virtue เลือกตั้งก็ได้ ส.ส. มากถึงร้อยละ 15.4 แต่ก็โดนศาลรัฐธรรมนูญปิด ข้อหาขัดหลักการการแยกศาสนาออกจากการเมืองอีก (ครั้งที่ 4)

นายเออร์โดกัน (ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน) จึงออกมาตั้งพรรค Justice and Development เมื่อสิงหาคม พ.ศ.2544 ลงเลือกตั้งก็ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ในรอบ 15 ปี แต่นายเออร์โดกันเป็นนายกฯ ไม่ได้ เพราะโดนโทษจำคุกและถูกห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง 4 ปี ข้อหาอ่านบทกวีหนุนอิสลาม เมื่อพ้นโทษแล้วจึงค่อยมาเป็น

พ.ศ.2545 อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งปิดพรรค Justice and Development เช่นเดียวกัน แต่คราวนี้รอด

ท่านลองนึกถึงการสู้กับศาลรัฐธรรมนูญและทหารของพรรคสายอิสลามของตุรกีดูนะครับ ตั้งพรรคมากี่ครั้งก็ถูกปิด สมาชิกพรรคถูกจำคุก ถูกตัดสิทธิ์ คนที่ไม่โดนจำคุกก็มาตั้งพรรคใหม่ กว่าจะถึงวันนี้ ต้องสู้กันจนทุกคน “ตกผลึก” ทางการต่อสู้ จนกลายเป็นเพชร

15 กรกฎาคม 2559 พรรคสายอิสลามชนะทหารและศาล

จึงต้องล้างบางฝ่ายตรงข้ามให้สิ้น.

“คุณนิติ นวรัตน์”
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

รัสเซียยอมคืนดีกับตุรกีเพราะ…?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 26 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/671964

 

นายเชิดศักดิ์ ศรีสง่าชัย ผอ.สำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 เชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ พูด “การศึกษาเพื่อการมีงานทำ” ที่ห้องประชุมวีวิช จ.ขอนแก่น 09.00-12.00 น. ของอังคารวันนี้ ท่านใดว่างเชิญครับ

มีคำถามถามมาว่า ตุรกีโดยประธานาธิบดีเออร์โดกัน ยิงเครื่องบินของรัสเซียตกเมื่อปีก่อน และโดนรัสเซียลงโทษไม่คบหาสมาคมด้วย แต่ทำไมก่อนการรัฐประหารไม่นาน รัสเซียจึงยกเลิกการลงโทษทาง เศรษฐกิจแก่ตุรกี?

มีคนวิเคราะห์กันเยอะแยะ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวดองหนองยุ่งกับการเมืองระหว่างสหรัฐฯ รัสเซีย และตุรกี แต่ผมมีข้อมูลจากปากของพวกผู้ใหญ่ในรัสเซียว่า อยากจะให้ยูมองในมุมที่แรงกดดันภายในจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของรัสเซียไว้ด้วย

ขณะที่รัสเซียเริ่มเปิดประเทศเมื่อ พ.ศ.2535 ตุรกีก็เริ่มสร้างอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรองรับนักท่องเที่ยวรัสเซีย ทั้งรัสเซียและตุรกีต่างเป็นประเทศที่ติดทะเลดำ ความใกล้ทำให้คนรัสเซียนิยมบินไปเที่ยวตุรกีมากกว่าที่อื่น จากกรุงมอสโกบินไปตุรกีใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง บางพื้นที่ของรัสเซียใช้เวลาบินแค่ 50 นาทีเท่านั้น

เมืองไทยเคยได้นักท่องเที่ยวรัสเซียสูงสุด 1.9 ล้านคนต่อปี แต่นักท่องเที่ยวรัสเซียไปเที่ยวตุรกีกันปีละ 7-8 ล้านคน เพราะตุรกีทำการท่องเที่ยวราคาถูก จ่ายค่าโรงแรม 3 ดาว แค่ 40 ดอลลาร์ต่อวัน ถ้าโรงแรม 4-5 ดาว ก็ 80-100 ดอลลาร์ ได้ทานทั้งอาหารเช้า กลางวัน เย็น ดื่มเหล้าไวน์ได้อย่างเต็มที่ทุกมื้อ คนรัสเซียไปพักผ่อนที่ตุรกี จึงนอนกินอยู่ในโรงแรมทั้งวัน หมกตัวกันทีละ 7-15 วัน ไม่ออกไปไหน ยกเว้นตอนไปเล่นน้ำทะเล เด็กๆที่เอาไปด้วยก็มีการแสดงละครสำหรับเด็ก พ่อแม่ไปว่ายน้ำ ไปกินเหล้าฟรีในบาร์ ลูกๆก็ดูละคร

ตอนที่ตุรกียิงเครื่องบินรัสเซียตก ประธานาธิบดีปูตินออกนโยบายห้ามคนรัสเซียเที่ยวตุรกี บางคนอาจจะมองว่าตุรกีเสียประโยชน์ แต่ถ้ามองจากแว่นตาของคนรัสเซีย คนรัสเซียมองว่าพวกตนเสียประโยชน์ที่ไม่ได้พักผ่อนในราคาถูก จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวของคนรัสเซียนั้น ยกให้ตุรกีที่ 1 เมืองไทยที่ 2 และเวียดนามที่ 3 แต่ ไทยกับเวียดนามไกล ค่าเครื่องบินแพงกว่า ค่าโรงแรม อาหารที่พักอะไรแพงกว่า

รัสเซียก็มีพื้นที่ติดทะเลดำ แต่การไปเที่ยวชายทะเลเมืองโซชิในรัสเซียกลับแพงกว่าไปเที่ยวตุรกี เงินที่ใช้ไปเที่ยวเมืองโซชิของรัสเซีย 1 สัปดาห์ สามารถไปเที่ยวตุรกีได้ 2 สัปดาห์ ที่ไครเมียเมื่อก่อนอยู่กับอูเครน ตอนนี้มีการลงประชามติมาอยู่ภายใต้การปกครองของรัสเซียแล้ว แม้คนไครเมียจะทำทัวร์ราคาถูกลงมาได้บ้าง แต่โครงสร้างพื้นฐานของไครเมียไม่ดี ไฟฟ้าและน้ำดื่มหายาก เพราะพรมแดนของไครเมียด้านหนึ่งติดอูเครนที่ยังมีปัญหากันอยู่

ประธานาธิบดีเออร์โดกันมีนโยบายดูแลนักท่องเที่ยวรัสเซียเต็มที่ เพราะนอกจากเม็ดเงินที่ได้เข้าตุรกีแล้ว นายเออร์โดกันก็กำลังถูกบีบจากทั้งทางสหรัฐฯและสหภาพยุโรป เหลือเพียงมหาอำนาจเดียวที่ให้ตุรกีคบค้าสมาคมก็คือ รัสเซีย

บริษัททัวร์ในรัสเซียส่วนใหญ่เป็นของชาวตุรกี หุ้น 100% ของปิกัสตุสทัวร์เป็นของคนตุรกี ครึ่งหนึ่งของหุ้นของเตซทัวร์ก็เป็นชาวตุรกี มีเพียงบริษัทใหญ่ลำดับ 3 เท่านั้น ที่เป็นของชาวรัสเซียแท้ๆ ชื่อ
บริษัท บิบลิโอโกลบุส ของนายอเล็กซานเดอร์ ตูโกลูคอฟ ซึ่งเป็นเพื่อนรักของพ่อผม คบกันมาเมื่อสมัยเกือบ 25 ปีที่แล้ว

ตอนที่นายปูตินห้ามคนรัสเซียไปเที่ยวตุรกี เศรษฐกิจของบริษัททัวร์แย่มาก บางแห่งต้องขายโรงแรมที่ตนเป็นเจ้าของเพื่อนำเงินมาใช้พยุงธุรกิจ ทั้งเตซทัวร์และปิกัสตุสทัวร์ ขายโรงแรม 5 ดาวในตุรกีของตัวเองในห้วงที่ตุรกีโดนรัสเซียแซงก์ชั่นทั้งนั้น

สมัยก่อนตอนที่ยังเป็นผู้รับผิดชอบระดับเล็กๆ ในเทศบาลนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก นายปูตินสนใจการท่องเที่ยวมาก เคยเดินวนไปที่บูธของ ททท.บ่อยๆ ความใฝ่ฝันปรารถนาเมื่อ 20 ปีที่แล้วของนาย
ปูตินก็คือ อยากจะบูมนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กให้มีนักท่องเที่ยวเยอะๆ แบบเดียวกับตุรกีและไทย
อย่างหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ใต้สมองของนายปูตินก็คือ ความมุ่งมั่นด้านการท่องเที่ยว นายปูตินชอบเรื่องการท่องเที่ยวมาก

รอบตัวนายปูตินก็เป็นเจ้าของบริษัทท่องเที่ยวหลายแห่ง

ในมุมมองของผม

หนึ่งในหลายสาเหตุที่ทำให้รัสเซียหันมาคืนดีกับตุรกี

ก็คือการที่นายปูตินแคร์การท่องเที่ยวครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

อาลัย สหาย พลโท สะหมาน วิยะเกด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 25 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/671321

 

12 ธันวาคม 2557 คณะเปิดเลนส์ส่องโลกไปร่วมพิธีเปิดศูนย์มิตรภาพไทย-เวียดนาม ที่บ้านดง ต.ป่ามะคาบ อ.เมือง จ.พิจิตร

ผมถาม ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ผู้พาพวกเรามาร่วมงานว่า ทำไมศูนย์มิตรภาพไทย-เวียดนาม ต้องมาตั้งที่บ้านดงด้วย? พ่อเล่าอะไรหลายอย่างระหว่างนั่งรถและสรุปว่า การที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นชาติเอเชียรบชนะรัสเซียที่เป็นฝรั่งมังค่า ทำให้คนเอเชียมีกำลังใจที่จะต่อสู้เพื่อกอบกู้เอกราชจากฝรั่ง หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ นายฟาน โบ่ว โจว ชาวจังหวัดเหง่อาน ท่านผู้นี้ได้ทูลเชิญเจ้าชายเกื่อง เด๋ เชื้อสายราชวงศ์เหงียน เสด็จไปเรียนที่ญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ.2449 โดยเอาคนหนุ่มลูกหลานของคนเวียดนามต่อต้านฝรั่งเศส 200 คนไปเรียนด้วย

เรียนได้เพียง 3 ปี ญี่ปุ่นก็พลิกลิ้นไปอยู่ข้างฝรั่งเศสและไล่นักศึกษาญวนออกนอกประเทศ นักศึกษาญวนหลายคนประท้วงด้วยการคว้านท้องจนตาย เจ้าชายเกื่องและนายโจวจึงหนีมาจีนและสยาม นายโจวได้มาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้น นักศึกษาญวนที่โดนทั้งฝรั่งเศสและญี่ปุ่นเล่นงานก็หนีมาสยาม

เจ้านายฝ่ายสยามพระองค์หนึ่งมอบเครื่องมือทำกินและที่ดินให้นักศึกษาญวนพวกนี้ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อีกพระองค์หนึ่ง มอบที่ดินในจังหวัดศรีสะเกษ รัฐบาลสยามมอบที่ดินให้นักศึกษาญวนกลุ่มนี้ที่บ้านถ้ำ จังหวัดนครสวรรค์ และที่บ้านดง จังหวัดพิจิตร

บุคคลหนึ่งซึ่งออกจากญี่ปุ่นมาด้วยก็คือ นายดั่ง ทุก เหือ ทำหน้าที่ฝึกอบรมนักปฏิวัติญวนในสยาม ต่อมานายเหือกลายเป็นผู้นำสำคัญในการต่อต้านฝรั่งเศส

วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป กระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ.2458-2462) สยามกับฝรั่งเศสเป็นพันธมิตรกันในสงคราม ฝรั่งเศสกดดันสยามให้จับนักปฏิวัติญวน ทว่าเจ้าหน้าที่สยามไม่ได้จับ แต่แอบแนะนำให้พวกนักปฏิวัติหนีไปหลบอยู่ในที่ปลอดภัย

ปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 นายเหือกลับมาบ้านดงอีกครั้งพร้อมกับแนวความคิดเรื่องการปฏิวัติที่สอดคล้องกับความคิดการกู้ชาติของโฮจิมินห์

สงครามโลกครั้งที่ 1 จบไปได้ 8 ปี เมื่อ 3 มีนาคม 2470 ที่บ้านดงก็มีทารกน้อยเชื้อสายไทยถือกำเนิดเกิดมาดูโลกคนหนึ่ง ชื่อเด็กชายสะหมาน วิยะเกด เมื่อโตขึ้นมาก็ถูกนำไปเลี้ยงดูในดินแดนลาว พออายุถึง 18 ปี ก็สมัครเป็นทหารในสังกัดลาวอิสระ เคลื่อนไหวต่อต้านฝรั่งเศสตามแนวชายแดนลาว–เวียดนามระหว่าง พ.ศ.2488–2492 ภายหลังได้เป็นหัวหน้าการเมือง หมวดทหารลาวอิสระ ประจำแขวงจำปาสัก

พ.ศ.2492 หนุ่มน้อย 22 ปี ผู้นี้ก็ได้เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน เป็นรองหัวหน้าการเมืองการทหารในเขตใต้ แขวงอัตตะปือ และได้รับเลื่อนยศเป็นนายพล

ภายหลัง พลโทสะหมานเป็นผู้บัญชาการทหารเขตลาวใต้ทั้งภาค ได้รับเลือกจากการประชุมใหญ่ครั้งที่ 2 ของพรรคประชาชนลาวให้เป็นกรรมการศูนย์กลางพรรค เคยทำงานเป็นหัวหน้าการเมือง กองบัญชาการทหารสูงสุด กองทัพปลดปล่อยประชาชนลาว ท่านเป็นผู้ชี้นำแนวคิด ทฤษฎีและวัฒนธรรมของศูนย์กลางพรรค เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ เป็นอดีตรัฐมนตรีศึกษาธิการ อดีตประธานสภาแห่งชาติ 2 สมัย ฯลฯ

00.24 น. ศุกร์ 22 กรกฎาคม 2559 พลโทสะหมานถึงแก่มรณกรรมด้วยโรคชรา อายุ 89 ปี ผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักหลายท่านบินไปร่วมงานทางศาสนาตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา

จันทร์วันนี้ 25 กรกฎาคม 2559 เวลาบ่าย จะมีพิธีฌาปนกิจที่บริเวณลานพระธาตุหลวงเวียงจันทน์

คอลัมน์เปิดฟ้าส่องโลกขอแสดงความอาลัยต่อการจากไปของสหาย พลโท สะหมาน วิยะเกด อย่างสุดซึ้ง และขอให้ดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุคติในเบื้องสัมปรายภพ

ขอขอบคุณที่นอกจากต่อสู้กับฝรั่งเศสแล้ว ภายหลังท่านยังเข้าร่วมกับเจ้าสุภานุวงศ์ ต่อสู้อย่างแข็งขันเพื่อล้มล้างรัฐบาลของเจ้ามหาชีวิตสว่างวัฒนา ซึ่งเป็นผู้เอาฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาเข้ามาเข่นฆ่าคนลาวด้วยกัน

มีประวัติศาสตร์อยู่หลายช่วงที่พระมหากษัตริย์และเจ้านายระดับสูงของไทยในอดีตทรงช่วยเหลือเพื่อนบ้านให้สามารถกอบกู้เอกราชจากพวกฝรั่งมังค่าได้ แต่ในอดีตประวัติศาสตร์พวกนี้มักจะถูกซ่อนไว้เพราะมีการต่อสู้ระหว่างเสรีนิยมกับคอมมิวนิสต์ในสงครามเย็น บัดนี้ ไม่มีสงครามเย็นแล้วครับ เราน่าจะรื้อฟื้นประวัติศาสตร์พวกนี้มาช่วยสร้างสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน

นอกจากแผ่นดินไทยแล้ว ก็ยังมีคนไทยจำนวนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนบ้านกอบกู้เอกราช ที่เราควรนำประวัติของท่านเหล่านั้นมาเผยแพร่ครับ.

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand

 

รัฐประหารตุรกี (2)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย คุณนิติ นวรัตน์ 22 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/668647

 

นายเออร์โดกัน ประธานาธิบดีตุรกี เคยเป็นสมาชิกพรรคช่วยให้รอดแห่งชาติ พรรคสวัสดิการ และพรรคคุณธรรม พรรคที่นายเออร์โดกันสังกัด มักจะถูกศาลรัฐธรรมนูญปิดด้วยข้อหาขัดต่อหลักการแบ่งแยกศาสนาออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาด ที่เราเรียกกันว่า Secularism เช่น พรรคสวัสดิการถูกปิดเมื่อ พ.ศ.2541 พรรคคุณธรรมถูกปิดเมื่อ พ.ศ.2544

เป็นนายกเทศมนตรีนครอิสตันบูลระหว่าง พ.ศ.2537-2541 จากนั้นก็ติดคุกข้อหาอ่านบทกวีสนับสนุนอิสลาม และถูกห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง 4 ปี

พ้นจากคุกมาก็ตั้งพรรคความยุติธรรมและการพัฒนา (AKP) สมัยนั้น แกยังไม่ดัง นายเออร์โดกันจึงไปหานายเฟตฮุลเลาะห์ กูเลน ผู้ที่มีคนรู้จักซึ่งสร้างโรงเรียนและมหาวิทยาลัยไว้เยอะมากในนามของขบวนการฮิตเม็ต โดยนายเออร์โดกันสัญญากับนายกูเลนว่า แกจะสร้างความเท่าเทียมกันให้เกิดขึ้น จะสร้างเสรีภาพ จะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทหารร่างไว้ตอนที่ปฏิวัติเมื่อ พ.ศ.2523 ให้เป็นประชาธิปไตย จะแก้ไขปัญหากลุ่มการก่อการร้าย จะสร้างกฎหมายขึ้นมาหลายฉบับเพื่อเปิดทางไปสู่การเจรจาเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ฯลฯ

สัญญาว่าจะแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งตุรกีเจอปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจหนักๆสองครั้ง ครั้งแรกเมื่อพฤศจิกายน 2543 และครั้งที่ 2 เมื่อกุมภาพันธ์ 2544 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจใน พ.ศ.2544 ติดลบถึงร้อยละ 9.4 ตุรกีต้องกู้เงินไอเอ็มเอฟมาใช้จ่ายถึง 4 ครั้ง เป็นเงิน 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายประเทศลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดของไอเอ็มเอฟ

นายกูเลนฟังแล้วเห็นว่าดี จึงสนับสนุนการเลือกตั้งเมื่อพฤศจิกายน 2545 พรรค AKP จึงได้ที่นั่งมาเป็นอันดับหนึ่ง มากถึง 363 จากทั้งหมด 550 ที่นั่ง แต่นายเออร์โดกันก็เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะถูกห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง 4 ปี จึงให้รองหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ต่อมามีเลือกตั้งซ่อม นายเออร์โดกันชนะและได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ห้วงของการเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ความสัมพันธ์ระหว่างนายกูเลนและนายเออร์โดกันยังดี ประชาชนที่ชอบนายกูเลนก็หนุนนายเออร์โดกันด้วย การเลือกตั้งครั้งที่สอง พรรค AKP ก็ชนะอีก แม้ว่าจะช่วยเหลือจนชนะ แต่ขบวนการฮิตเม็ตก็ไม่เคยขอตำแหน่ง ไม่เคยส่งคนของขบวนการไปลงเลือกตั้ง มีแต่ช่วยกับช่วย

จนถึงการเลือกตั้งครั้งที่ 3 พวกฮิตเม็ตซึ่งเป็นขบวนการที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับการศึกษาและการช่วยเหลือพัฒนาเพื่อนมนุษย์พบว่า นายเออร์โดกันเปลี่ยนไปมาก เริ่มเอาคนที่ช่วยกันสร้างพรรคมาตั้งแต่ยุคแรกออกไปทีละคนสองคน แต่งตั้งคนใหม่มาแทน และสุดท้ายก็ให้อำนาจประธานาธิบดีมากกว่านายกรัฐมนตรี และมาเป็นประธานาธิบดีซะเอง

ฮิตเม็ตกับนายเออร์โดกันแตกหักกันเมื่อ 17 ธันวาคม 2556 ลูกของรัฐมนตรี 3 คนถูกจับได้เรื่องตั้งบริษัทและมีพฤติกรรมคอร์รัปชัน และเมื่อ 25 ธันวาคม ตำรวจนำคำพูดที่นายเออร์โดกันพูดกับลูกว่าให้รีบย้ายเงินสดจำนวนมากออกจากบ้านไปไว้ที่อื่น ตำรวจจึงจะเดินทางไปจับแกที่บ้าน นายเออร์โดกันรีบปลดผู้บัญชาการตำรวจและแต่งตั้งคนใหม่ จากนั้นก็สั่งให้ผู้บัญชาการคนใหม่ออกคำสั่งไม่ให้ตำรวจมาที่บ้าน

นายเออร์โดกันเรียกเหตุการณ์ 17–25 ธันวาคม ที่แกจะโดนจับว่า “รัฐประหาร” แกพูดว่า คนที่จะสั่งให้ตำรวจจับแกได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือนายกูเลน แกรู้ว่าตำรวจและผู้พิพากษาส่วนใหญ่ในประเทศนี้ รักเคารพกูเลน และนี่กูเลนจะเล่นแกเรื่องคอร์รัปชัน

เหตุการณ์ 17-25 ธันวาคม 2556 ทำให้นายเออร์โดกันสั่งบล็อกโซเชียลมีเดีย บล็อกยูทูบ ปิดกิจการที่เป็นของฮิตเม็ต เช่น นสพ.ซามาน สถานีโทรทัศน์ที่ชื่อว่าซามานโยลู ธนาคารของฮิตเม็ตที่ชื่อว่าแบงก์อัสยา ฯลฯ

เออร์โดกันเริ่มหันมาโจมตีนายกูเลน เริ่มย้ายและปลดตำรวจที่เชื่อว่าเป็นคนของกูเลน ปลดผู้ว่าราชการและนายกเทศมนตรี ตอนนี้เองที่สื่อเริ่มเรียกแกว่า “เผด็จการ”

ที่ประชาชนออกมาจับทหารที่ทำรัฐประหาร ไม่ใช่เพราะคนตุรกีรักนายเออร์โดกันและต้องการจะปกป้องนะครับ แต่คนตุรกีรักประชาธิปไตย กลัวเผด็จการ แขยงแขงขนการปฏิวัติ เพราะรู้ว่าทหารออกมาปฏิวัติแต่ละครั้ง ทำให้พวกตัวเองอดอยากล้มตายหายนะ

วันนี้ นายเออร์โดกันเรียกร้องให้สหรัฐฯส่งนายกูเลน ซึ่งไปลี้ภัยอยู่ที่สหรัฐฯกลับมาลงโทษที่ตุรกี

ผมกำลังรอดูอยู่ครับ ว่าสหรัฐฯจะทำยังไง?

คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand